ทบรรณาธิการ.ในวาระขึ้นปีใหม่ปั.๒๕๖๘......ภารกิจขับเคลื่อนทางการเมืองต่อไปในปี 2568 

 

ภารกิจที่ยังไม่สำเร็จเสร็จสิ้นในปี 2567 และต้องขับเคลื่อนต่อไปในปีใหม่นี้คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับสืบทอดอำนาจเผด็จการของฝ่ายอนุรักษ์นิยม และการผลักดันออกกฎหมายนิรโทษกรรม ให้รวมถึงผู้ต้องหาในคดีมาตรา 112 ตลอดจนการแก้ปัญหาคอรัปชั่นให้เป็นวาระแห่งชาติอย่างจริงจัง.
ทราบกันดีว่า รัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ร่างโดยนายมีชัย ฤชุพันธุ์ กับคณะ มีจุดมุ่งหมายสืบทอดและธำรงรักษาอำนาจของฝ่ายอนุรักษ์นิยม เป็นกฎหมายสูงสุดที่ครอบบนสังคมไทย ทำให้โครงสร้างแห่งการใช้อำนาจในสังคมไทย ทั้งฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ บิดเบี้ยวไปจากระบอบประชาธิปไตยที่ควรจะเป็น.
พรรคการเมืองใหญ่ทั้งพรรคประชาชน (ก้าวไกล) และพรรคเพื่อไทย ได้วางนโยบายหาเสียงเลือกตั้งปี 2566 เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ภายหลังการเลือกตั้ง และมีการจัดตั้งรัฐบาล พรรคเพื่อไทยร่วมกับพรรคการเมืองฝ่ายอนุรักษ์นิยม ได้จัดตั้งคณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ.
ฝ่ายอนุรักษ์นิยมได้ใช้อำนาจตุลาการชี้นำกำหนดให้ต้องมีการทำประชามติทั่วประเทศ เพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนว่าควรจะมีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่ สภาผู้แทนราษฎรจึงได้ตั้งคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างกฎหมายประชามติ ก่อนที่จะเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.).
เพียงขั้นแรกก็เกิดข้อโต้แย้งระหว่างพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาชน กับพรรคฝ่ายอนุรักษ์นิยมว่า จะทำประชามติหนึ่งชั้น หรือสองชั้น คือใช้มติเสียงข้างมากธรรมดาชั้นเดียว หรือใช้ระบบที่ผู้มีสิทธิออกเสียงลงคะแนนทั่วประเทศ ต้องออกไปใช้สิทธิลงคะแนนเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนผู้มีสิทธิออกเสียงลงคะแนนทั้งหมด และต้องได้เสียงข้างมากเกินกึ่งหนึ่งของผู้ออกเสียงลงคะแนน จึงจะสามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้.
วุฒิสภาภายใต้การกำกับของฝ่ายอนุรักษ์นิยม ผ่านพรรคสีน้ำเงิน ซึ่งครองเสียงข้างมาก ได้แก้ไขร่างข้อเสนอของคณะกรรมาธิการสภาผู้แทนฯ ที่เสนอทำประชามติชั้นเดียว เป็นการทำประชามติสองชั้น ส่งกลับให้สภาผู้แทนฯพิจารณาใหม่ เกิดความคิดเห็นขัดแย้งระหว่างวุฒิสภากับสภาผู้แทนราษฎร สภาผู้แทนฯเสียงข้างมากได้ลงมติให้มีการทำประชามติชั้นเดียว ทำให้ต้องพักร่างกฎหมายจัดทำประชามติออกไปอีก 180 วัน ก่อนที่สภาผู้แทนฯจะมีมติยืนยันอีกรอบหนึ่ง หากสภาผู้แทนฯมีมติให้ใช้ระบบทำประชามติชั้นเดียว ร่างกฎหมายประชามติจึงจะมีผลบังคับใช้ และสามารถจัดการเลือกตั้ง สสร.ได้.
เพียงขั้นตอนแรกของการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ถูกฝ่ายอนุรักษ์นิยมยื้อเวลา จนคาดการณ์กันว่าจะไม่สามารถร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ให้แล้วเสร็จทันการเลือกตั้งปี 2570.
ภารกิจที่สอง การตรากฎหมายนิรโทษกรรมคดีการเมือง ตั้งแต่การทำรัฐประหารปี 2549 เป็นต้นมา นักต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยแท้จริง ได้ถูกจับกุมคุมขังหลายร้อยคน ผ่านกรณีการคัดค้านรัฐประหารปี 2549, การเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มคนเสื้อแดงปี 2552 – 2553, การต่อต้านรัฐประหารปี 2557 และการชุมนุมปี 2563 จนถึงการละเมิดกฎหมายอาญามาตรา 112 ฯลฯ.
หลังการเลือกตั้งใหญ่ปี 2566 สภาผู้แทนราษฎรได้ตั้ง “คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม” โดยมีนายชูศักดิ์ ศิรินิล เป็นประธาน ใช้เวลาศึกษา 6 เดือน มีมติเสนอร่างกฎหมายนิรโทษกรรม ให้รวมคดีการเมืองทุกคดีที่เกิดตั้งแต่รัฐประหาร 2549 ตลอดจนผู้ต้องหาในคดีมาตรา 112.
คณะกรรมาธิการวิสามัญฯได้สรุปรายงานการศึกษาเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2567 และนำเสนอประธานสภาผู้แทนราษฎร นายวันมูหะมัด นอร์ มะทา ประธานสภาฯ ได้บรรจุเข้าวาระการประชุมสภาฯ ในวันที่ 3 ตุลาคม 2567 ปรากฏว่า 3 วันก่อนวันประชุมสภาฯ นายชูศักดิ์ ศิรินิล ซึ่งอ้างว่าได้ปรึกษากับนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ประธานวิป (ผู้คุมเสียงสมาชิกสภาผู้แทนฯ) รัฐบาล เห็นควรเลื่อนการพิจารณาของสภาผู้แทนฯออกไปก่อน เพื่อรอรับฟังความคิดเห็นจากหัวหน้าพรรคการเมืองต่าง ๆ ในสภาผู้แทนฯให้ครบถ้วนก่อน เพราะกฎหมายนิรโทษกรรม ต้องผ่านความเห็นร่วมกันของสมาชิกสภาผู้แทนฯ และสมาชิกวุฒิสภา จึงต้องให้ความคิดตกผลึกร่วมกัน ก่อนจะผ่านเป็นกฎหมาย.
โรคเลื่อนระบาดอีกครั้ง โดยไม่มีกำหนดเวลาว่าจะเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนฯอีกเมื่อไหร่ ขณะที่ปี 2567 มีนักโทษการเมืองถูกคุมขังในเรือนจำมากที่สุดในรอบ 4 ปี เป็นจำนวนรวม 68 ราย ปล่อยตัวชั่วคราว และคุมขังครบกำหนดโทษ 34 ราย เสียชีวิตด้วยการอดอาหารประท้วงความไม่เป็นธรรมในระหว่างถูกคุมขัง คือน้องบุ้ง 1 ราย ขณะนี้มีผู้ต้องขังในเรือนจำ 33 ราย.
กว่าครึ่งหนึ่งของผู้ถูกคุมขังเป็นคดีเกี่ยวข้องกับมาตรา 112 จนอดีตนายกรัฐมนตรีคุณอานันท์ ปันยารชุน ได้พูดในวงเสวนา เป็นวาทะแห่งปีว่า “สนุกนักหรือที่จับกุมเยาวชนขังคุก”.
ภารกิจที่สาม การแก้ปัญหาทุจริตคอรัปชั่นของข้าราชการฝ่ายต่าง ๆ ซึ่งระบาดเป็นโรคร้ายบ่อนเซาะกัดกร่อนความเจริญของประเทศมาอย่างยาวนาน ดัชนีความโปร่งใสของการคอรัปชั่นทั่วโลก 180 ประเทศ ปรากฏว่าปี 2566 ประเทศไทยถูกจัดอยู่ในอันดับ 108 ด้วยคะแนน 35 จาก 100 ลดต่ำลงจากปี 2565 ที่อยู่อันดับ 101 ด้วยคะแนน 35 เต็มร้อย.
นโยบายการหาเสียงเลือกตั้งของพรรคการเมือง ล้วนมีข้อกำหนดต่อต้านปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ แต่ในการปฏิบัติที่เป็นจริง พรรคการเมืองส่วนใหญ่ล้วนละเลย การพิจารณาคัดเลือกตัวแทนลงสมัครรับเลือกตั้ง ดูจากศักยภาพที่จะได้รับการเลือกตั้งมากกว่าประวัติการฉ้อฉลคอรัปชั่น เช่นอดีตผู้ชนะการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี โดยการสนับสนุนของพรรคเพื่อไทย หรือนายสมชาย เล่งหลัก จากพรรคภูมิใจไทย ที่มีคดีคอรัปชั่นสมัยอยู่ในพรรคภูมิใจไทย จนต้องถูกศาลปลดจากการเป็นสมาชิกวุฒิสภา เป็นต้น.
ล่าสุด การแถลงนโยบายปี 2568 ของรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ไม่ได้ให้ความสำคัญอย่างจริงจังต่อการแก้ปัญหาคอรัปชั่นเป็นวาระแห่งชาติ ทำประดุจปัญหาคอรัปชั่นไม่ใช่ภัยร้ายแรงที่ต้องเร่งดำเนินการ.
ภารกิจทั้ง 3 ประการข้างต้น เป็นเรื่องหลักที่ภาคประชาชนจะต้องร่วมมือผลักดัน ระดมการสนับสนุนจากภาคส่วนต่าง ๆ รวมทั้งอาจารย์ นักวิชาการ นักกฎหมาย ข้าราชการน้ำดี สื่อมวลชน นักธุรกิจ นักกิจกรรม ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ตลอดจนผู้ใช้แรงงาน และเกษตรกร ฯลฯ ร่วมกับพรรคการเมืองฝ่ายก้าวหน้า เผยแพร่ ให้ความรู้ความเข้าใจปัญหาข้างต้น เพื่อประชาชนทุกชนชั้นทุกหมู่เหล่าที่รักประเทศจะได้ผนึกกำลังขับเคลื่อนภารกิจใหญ่ทั้ง 3 ประการให้สำเร็จโดยเร็ววัน.

 

 

โปรดติดตามและมีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท.  โปรดคลิ๊ก  

whitebanner