รายงานข่าว    ตัดงบบ้านกาญจนาภิเษก…หรือเป็นเรื่องการเมือง?


เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 67 ทิชา ณ นคร หรือ ป้ามล ผอ.บ้านกาญจนาภิเษก ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ใจความว่า เมื่อวันที่ 31 ก.ค. 67 ที่ผ่านมา ทางกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กระทรวงยุติธรรม ได้แจ้งตัดงบฯ ปี 2568 ของตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านเด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ "ป้ามล" ดำรงตำแหน่งอยู่ ส่งผลให้ต้องยุติการทำงานในฐานะ ผอ. ลง หลังจากทำงานในตำแหน่งนี้มากว่า 20 ปี


โดยที่กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กระทรวงยุติธรรม แจ้งเหตุผลว่า สาเหตุหลักมาจากการครบวาระสัญญาและการปรับนโยบายของกรมพินิจฯ ที่พิจารณาลดตำแหน่งและอัตรากำลังคนตามข้อกำหนดของสำนักงาน ก.พ. การตัดงบนี้เกิดขึ้นเนื่องจากการครบวาระสัญญา 5 ปีของนางทิชา ณ นคร หรือ "ป้ามล" ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน (ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก


อธิบดีกรมพินิจฯ ชี้แจงว่าการตัดงบนี้ไม่เกี่ยวข้องกับจุดยืนทางการเมืองของนางทิชา แต่เป็นไปตามนโยบายของสำนักงาน ก.พ. ที่ต้องการลดอัตราจำนวนคนหรือปรับตำแหน่ง. ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการประเมินผลการทำงานของนางทิชาและการพิจารณาว่าจะต่อสัญญาหรือหาผู้อื่นมาทำหน้าที่แทน


นางนลินนาถ ไกรนรา รองอธิบดีกรมพินิจฯ เปิดเผยว่า กรมพินิจฯ มีแนวทางในการบำบัดแก้ไขฟื้นฟูเยาวชนในรูปแบบต่างๆ ซึ่งส่วนหนึ่งคือรูปแบบของบ้านกาญจนาฯ ยืนยันว่าจะรักษาไว้ไม่สามารถตัดทิ้งได้ ส่วนตำแหน่งของนางทิชาจะเป็นการประเมินตามผลงานปกติ จะไม่มีเรื่องการเมืองหรือการแสดงความคิดเห็นเรื่องระบบราชการมาเกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม ตามหลักการแล้วพนักงานราชการจะมีกรอบสัญญา 4 ปี ซึ่งเมื่อหมดสัญญาจะมีการ จัดสรรกรอบใหม่ ซึ่งจะต้องมีการประเมินผลการทำงาน ตามหลักเกณฑ์ของ ก.พ.ร. และตำแหน่งของนางทิชา ถูกเสนออยู่ในกรอบพนักงานราชการ


การตัดงบประมาณและการพิจารณาตำแหน่งยังส่งผลให้มีการประเมินผลการปฏิบัติงานของบ้านกาญจนาภิเษก ซึ่งเป็นสถานพินิจของเอกชนที่ได้รับงบจากรัฐในการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเยาวชนที่กระทำผิด โดยหลายฝ่ายเป็นกังวลว่า บ้านกาญจนาภิเษกอาจถูกยุบหรือต้องเปลี่ยนภารกิจ หากไม่มีผู้อำนวยการคนเดิมมาดูแลต่อไป

 


ป้ามล ได้โพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า "ไม่ได้รู้สึกตกใจที่ต้องหยุดทำงานนี้สักที หลังทำมา 20 ปี" พร้อมแสดงความเห็นว่า "ความคิดเชิงระบบของคนในระบบราชการมันไม่มีจริง" แม้ว่าระบบบ้านกาญจนาภิเษกจะตอบโจทย์การลดการกระทำผิดซ้ำของเยาวชนที่ถูกพิพากษาได้ แต่ดูเหมือนว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะไม่เป็นที่สนใจของหน่วยงานราชการที่ใช้เงินภาษีประชาชน


นอกจากนี้ ป้ามลยังได้เล่าถึงการได้รับคำเตือนเบาๆ จากผู้คนในแวดวงการเมืองว่า ตนอาจมีปัญหาจากการวิพากษ์วิจารณ์ระบบราชการ หรือประเด็นที่เกี่ยวข้องกับมาตรา 112 แต่ป้ามลก็ยืนยันว่ายังคงยึดมั่นในจุดยืนของตนเองอย่างแน่วแน่ ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงท่าทีหรือประเทศที่ตนรัก


การตัดงบฯ ในครั้งนี้อาจส่งผลกระทบต่ออนาคตของบ้านกาญจนาภิเษกและแนวทางการแก้ไขปัญหาเยาวชนในประเทศไทย ต้องติดตามต่อไปว่าจะมีผลกระทบต่อการดูแลเด็กและเยาวชนที่ถูกพิพากษาในระยะยาวอย่างไร


เมื่อวันที่ 2 กันยายน ที่ผ่านมา มูลนิธิเด็กเยาวชนและครอบครัว และอดีตผู้เคยได้รับโอกาสจากบ้านกาญจนา ก็ร่วมกันเข้ายื่นหนังสือต่อรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม พต.อ.ทวี สอดส่อง เพื่อให้กระทรวงรักษาแนวทางการจัดการและการออกแบบการเรียนรู้ ฟื้นฟูเยาวชนของบ้านกาญจนาภิเษก ตามแนวทางของทิชา ณ นคร(ป้ามล) ที่รักษาแนวทางของจัดการแบบไร้อำนาจนิยมมาตลอด 20 ปี


นายชูวิทย์ จันทรส เลขาธิการมูลนิธิเด็ก เยาวชน และครอบครัว กล่าวว่า จากกรณีมีการรายงานข่าวระบุว่า กองทรัพยากรบุคคลกรมพินิจฯ แจ้งว่างบประมาณปี 2568 มีการตัดตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านเด็กและเยาวชนออก คือ การยุติบทบาทการทำหน้าที่ของ “ป้ามล” ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์และมีข้อกังวลว่าในการดำเนินงานของบ้านกาญจนาฯ จะเข้าสู่ระบบราชการ อำนาจนิยมที่ควบคุมสูงหรือไม่ องค์ความรู้จากการทำงาน 20 ปีที่ผ่านมาจะถูกไปดำเนินการต่อหรือไม่


นายชูวิทย์ กล่าวอีกว่า ในปี 2561 มีงานศึกษาในรูป Focus group ในกลุ่มเยาวชนบ้านกาญจนาฯ ปี 2556-2559 พบเยาวชนทำผิดซ้ำเพียง 6% ต่อมาเมื่อปี 2565 สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร) ได้เสนอเรื่องไปยังรัฐบาลเพื่อดำเนินโครงการการปรับปรุงภารกิจของภาครัฐ แนวทางการขับเคลื่อนการนำร่องถ่ายโอนงานภาครัฐ โดยบ้านกาญจนาภิเษก อยู่ในนิยามกรณีศึกษาที่ดี เนื่องจากมีนวัตกรรมที่หลากหลายที่ช่วยเจียระไนเยาวชนที่หลงผิดสามารถกลับออกมาเป็นคนดีของสังคม ไม่กระทำผิดซ้ำจนเป็นต้นแบบให้กับหลายหน่วยงานเข้ามาศึกษาดูงาน


“แต่จากการให้สัมภาษณ์ของอธิบดีกรมพินิจฯ สะท้อนวิสัยทัศน์ที่น่าเป็นห่วง นอกจากจะไม่ยึดโยงเป้าหมายร่วมระหว่างภาคราชการกับภาคสังคมที่ทำกันมา ไม่สนับสนุนสานต่อแล้วยังด้อยค่า และอาจหมายถึงการเลี้ยวผิดทางอีกครั้ง ซึ่งจะส่งผลให้สังคมไทยเสียโอกาสอย่างใหญ่หลวง” นายชูวิทย์ กล่าว


นอกจากนี้ เครือข่ายอดีตเยาวชนจากศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน(ชาย) บ้านกาญจนา ยัง รวมตัวกันในนาม “กลุ่มผู้ถูกเจียระไน” ร่วมกับเครือข่ายเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยง เครือข่ายบางกอกดีจัง มูลนิธิเพื่อนเยาวชนเพื่อการพัฒนา มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล มูลนิธิขวัญชุมชน เครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต เครือข่ายชุมชนลดปัจจัยเสี่ยง กลุ่มไม้ขีดไฟ มูลนิธิเด็กเยาวชนและครอบครัว และเครือข่ายองค์กรด้านเด็กและเยาวชน เข้ายื่นหนังสือ กับ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เพื่อแสดงจุดยืนและข้อเสนอกับกรณี การให้ยุติบทบาทผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน(ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก


จากสถานการณ์ข้างต้นได้สร้างความกังวลว่า ความสำเร็จของบ้านกาญจนาฯ ในการลดอัตราการกระทำผิดซ้ำของเยาวชนในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา อาจถูกทำลายลงไป


อดีตเยาวชนบ้านกาญจนาฯ ยืนยันว่าระบบการทำงานของศูนย์ฯ มีความแตกต่างจากสถานพินิจอื่น ๆ โดยเฉพาะในเรื่องของการปรับเปลี่ยนทัศนคติและทักษะชีวิตที่ช่วยให้พวกเขาไม่กลับไปกระทำผิดซ้ำอีก ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เป็นเพียงการฝึกวิชาชีพ แต่เป็นการเสริมสร้างความเป็นมนุษย์และความรับผิดชอบต่อสังคม


เครือข่ายฯ เรียกร้องให้กรมพินิจฯ ทบทวนและสนับสนุนการทำงานของบ้านกาญจนาฯ ซึ่งมีผลงานชัดเจนในการลดการกระทำผิดซ้ำของเยาวชนมากกว่า 95% และเสนอให้มีการจัดตั้งศูนย์ฝึกเอกชนตามมาตรา 55 เพื่อให้บ้านกาญจนาฯ สามารถดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง


เครือข่ายฯ ได้ส่งข้อเรียกร้องถึงกระทรวงยุติธรรมและกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน 5 ข้อ คือ
1. ขอให้อธิบดีกรมพินิจศึกษาทบทวนที่มาที่ไป รวมถึงเป้าหมายร่วมเพื่อลดการกระทำซ้ำของเยาวชนที่ศูนย์ฝึกฯ บ้านกาญจนาภิเษก
2. ขอให้อธิบดีกรมพินิจฯ คนปัจจุบันชี้แจงต่อสังคมถึงความคืบหน้าในการดำเนินงานและแนวทางการทำงานใหม่ๆ ของบ้านกาญจนาภิเษก ตามมาตรา 55 พระราชบัญญัติศาลเยาวชน พ.ศ 2553
3. ขอให้อธิบดีคนปัจจุบันเร่งเสนอ ไม่มีการรับรองบ้านกาญจนาฯ เป็นศูนย์ฝึกเอกชน ตามมาตรา 55
4. ขอให้มีการขยายผล หรือสนับสนุนแนวทางการดูแลเด็กและเยาวชนบ้านกาญจนาภิเษก เนื่องจาก มีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าสามารถ ทำให้เด็กกลับใจไม่กระทำผิดซ้ำอีกสูงถึง 90-95 % และ
5. ขอให้ชี้แจงความชัดเจนว่าระบบ กระบวนการต่างๆของบ้านกาญจนา ที่สามารถเปลี่ยนแปลงเด็กและเยาวชนที่ทำผิดได้จริงจะยังคงอยู่อย่างมีหลักประกัน


พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ยืนยันว่า มาตรา 55 ยังคงอยู่และจะไม่มีการยกเลิก พร้อมย้ำว่า บ้านกาญจนาฯ จะเป็นต้นแบบในการสร้างสถานที่ฟื้นฟูเยาวชนในอนาคต ที่ไม่ใช่แค่สถานพินิจ แต่เป็นสถานที่ที่ให้โอกาสเยาวชนที่เคยกระทำผิดได้กลับมาเป็นคนดีของสังคม


พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า บ้านกาญจนาภิเษก เปิดมา 20 กว่าปีแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นรูปแบบที่เหมาะสมที่สุด เพราะการกระทำผิดซ้ำน้อยมาก และทันสมัยในรูปแบบพิเศษ ตามมาตรา 55 ไม่ใช่หน่วยงานราชการแต่เป็นสถานที่ฝึกอบรมและศูนย์ฝึกสำหรับเด็กและเยาวชน ซึ่งรูปแบบของบ้านกาญจนาภิเษกไม่ได้มีแค่แห่งเดียวแต่อาจจะมีในหลายแห่งในอนาคต ตราบใดที่ยังไม่มีการแก้กฎหมายจะยังคงมีอยู่ ซึ่งทราบว่ากรมพินิจฯ ได้เสนอกฎกระทรวง ผ่านความเห็นชอบของ ครม. อยู่ในระหว่างการรับฟังความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาและสร้างคนที่มีคุณภาพออกสู่สังคมได้จริง และที่สำคัญจะต้องผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนเสียก่อนโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้มีส่วนได้เสีย

พ.ต.อ.ทวี ยืนยันว่า มีงบประมาณเพียงพอในการดำเนินงานทั้งหมด แต่เนื่องจากเป็นระบบราชการ มีกรอบงบประมาณและการประเมินงานจาก ก.พ.ร. ซึ่งตำแหน่งของนางทิชา เป็นพนักงานราชการ ในตำแหน่งต่างๆ จะมีสัญญาจ้าง และเกณฑ์การประเมิน จะไม่มีอคติใดๆ หรือตั้งธงว่าจะไม่เอาใครอย่างแน่นอน


4 กันยายน ณัฐวุฒิ บัวประทุม สส. พรรคประชาชน ได้อภิปรายในการประชุมพิจารณางบประมาณประจำปี 2568 ของสภาผู้แทนราษฎร ถึงประเด็นการตัดงบผู้เชี่ยวชาญคนนอกของ "บ้านกาญจนาภิเษก" เป็นผลให้ "ป้ามล" ทิชา ณ นคร ต้องยุติการทำหน้าที่ในบทบาทผู้อำนวยการบ้านกาญจนาภิเษก ส่งความไม่มั่นใจแก่บรรดาบุคลากรในบ้านกาญจนาฯ


ณัฐวุฒิ ตั้งคำถามว่าทำไมงบฯ ของบ้านกาญจนาภิเษกถึงถูกตัดออกในปีนี้ ทั้งๆ ที่ในปีที่ผ่านมา (2561-2567) ได้รับงบประมาณปีละ 13 - 14 ล้านบาท การลดงบประมาณเช่นนี้เกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน โดยณัฐวุฒิ ทวงถามไปยังกรรมาธิการ ว่าต้องมีคำตอบต่อข้อสงสัยนี้


นอกจากนี้ ณัฐวุฒิ ยังเผยว่า อธิบดีกรมพินิจฯ ยังแสดงท่าทีว่าโครงการนี้อาจจะถูกยกเลิกไปก็ได้ และให้เด็กที่ถูกดูแลในบ้านกาญจนาภิเษกจะถูกส่งไปยังสถานที่อื่น ๆ แทน


"สิ่งที่ตามมาคืออะไรครับบุคลากรที่อยู่ในบ้านกาญจนาภิเษกวันนี้ 30 กว่าคนไม่มั่นใจ แล้วเชื่อไหมครับ อธิบดีกรมพินิจฯ บอกว่าปิดก็ได้ ก็กระจายเด็กไปอยู่ที่อื่น ผมคิดว่าเรื่องนี้กรรมาธิการต้องตอบ" ณัฐวุฒิ ระบุ


ณัฐวุฒิ ได้ทิ้งท้ายด้วยคำถามต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมว่า งบประมาณของกรมพินิจฯ 600 กว่าล้านบาทที่ถูกจัดสรรไป จะนำไปใช้ในโครงการอะไร และการตัดงบประมาณของบ้านกาญจนาภิเษกจะส่งผลกระทบต่อการดูแลเด็กและเยาวชนในประเทศไทยอย่างไร

 

สนใจสมัครสมาชิกผู้มีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท. โปรดคลิ๊ก  

 


whitebanner