มุมแนะนำหนังสือชวนอ่าน :- หยิกเล็บก็เจ็บเนื้อ (ความสัมพัรธ์ จีน-พคท.)
โดย ดอกไม้ป่า
“จีนกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.)
ช่วงเยือนเมืองไทยนั้น มีนักหนังสือพิมพ์ถามท่านเติ้งเกี่ยวกับเรื่อง พคท. ตั้งแต่ลงจากเครื่องบินถึงแผ่นดินไทยเลยก็ว่าได้ และในการประชุมทุกครั้งก็มีการถามท่านในเรื่องนี้ คำถามก็ถามอย่างเป็นมิตร คือขอความเข้าใจ ว่าจีนจะให้ความช่วยเหลือด้วยหรือไม่ พวกนักข่าวพยายามจะแหย่ๆ คุ้ยๆ แคะๆ เลียบๆ เคียงๆ ทำนองว่าจีนช่วยเหลือคอมมิวนิสต์ไทยอย่างไร ฯลฯ ท่านเติ้งก็ยังนิ่งเงียบ
วันสุดท้าย มีรายการคล้ายการประชุมแถลงข่าว นักหนังสือพิมพ์ก็ถามขึ้นอีก คราวนี้ท่านเติ้งหยุดนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนให้คำตอบว่า “ปัญหานี้เป็นปัญหาที่ประวัติศาสตร์ทอดทิ้งเอาไว้ เป็นเรื่องสืบเนื่องมา ฉะนั้นต้องขอเวลาจัดการ”
ท่านเติ้งให้คำตอบในลักษณะว่า ต้องการ “ขอเวลาจัดการ” โดยท่านได้ทบทวนตามสถานการณ์ใหม่ นั่นคือหันมายึดหลักการ “การปฏิวัติส่งออกไม่ได้” ทุกอย่างก็สงบ ผ่อนคลายลง”
ข้อความข้างบนนี้อยู่ในหนังสือ “หยิกเล็บมังกร” / ความทรงจำของ ซิว ซิววัน ล่ามจีน-ไทย ยุคนายกฯ โจว เอินไหล / เรื่อง: ซิว ซิววัน / สัมภาษณ์และเรียบเรียง: นิพัทธ์พร เพ็งแก้ว / บรรณาธิการ : กษิดิศ อนันทนาธร / จัดพิมพ์ : สวนเงินมีมา / พิมพ์ครั้งที่ 1 มิถุนายน 2563 / หน้าที่ 112
หนังสือเล่มนี้ได้รับการกล่าวถึงว่า เป็นหนังสือที่เรียบเรียงจากปากของ ผู้ทำหน้าที่ล่ามจีน-ไทยประจำตัวนายกฯ โจว เอินไหล และเติ้ง เสี่ยวผิง จึงเท่ากับรับประกันว่า ทุกถ้อยคำทุกเรื่องราวที่ท่านผู้นำทั้งสองของจีนพูดกับฝ่ายไทย ไม่ว่ารัฐบาล หรือตัวแทน ล้วนชัดเจนถูกต้องแม่นยำเชื่อถือได้ เพราะท่านซิวได้ยินมากับหูของตัวเอง
ท่านซิว ซิววัน เป็นลูกครึ่งจีนเกิดในไทย พ่อเป็นคนไหหลำ แม่เป็นคนลำปาง ได้รับการศึกษาภาษาไทยขั้นต้นในโรงเรียนไทยแล้วไปเรียนโรงเรียนจีน เมื่อจีนได้รับการปลดปล่อยจึงไปเรียนภาษาจีนและไทย ในคณะภาษาเอเชียบูรพา ที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง แล้วทำงานเป็นเจ้าหน้าที่องค์การสันติภาพจีน ได้มีโอกาสดูแลผู้แทนไทยที่มาประชุมสันติภาพปี 2500 แล้วตกค้างกลับประเทศไม่ได้ ต่อมาได้ทำงานในสำนักงานเลี่ยว เฉิงจื้อ สังกัดคณะรัฐมนตรีฝ่ายกิจการต่างประเทศ สืบทอดขยายผลการประชุมเอเชีย-แอฟริกาที่นายกฯโจวไปประชุมที่บันดุงเมื่อปี 2498
ท่านได้ใกล้ชิดเหตุการณ์สานสัมพันธ์จีน-ไทยมาตั้งแต่ต้น จึงนับว่ารับรู้เรื่องราวสำคัญๆ ระหว่างรัฐบาลจีนและไทยอย่างครบถ้วน
อนึ่ง หนังสือเล่มนี้ได้อุทิศเนื้อที่กว่าสามสิบหน้าเพื่อยืนยันว่า สังข์ พัธโนทัย เป็นเพียงผู้หาประโยชน์จากจีน แต่ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรมากนัก และยกย่องปรีดี พนมยงค์และครอบครัวว่า เป็นปัญญาชนที่มีคุณสมบัติครบถ้วน พูดถึงกุหลาบ สายประดิษฐ์ กับภรรยาเพียงเล็กน้อย
และหลีกเลี่ยงที่จะเอ่ยถึง พคท.
อย่างไรก็ตาม เพียง 3 ย่อหน้าที่เอ่ยถึง ก็ทำเอา พคท.สมควรกลับมาทบทวนความไว้เนื้อเชื่อใจทั้งหมดที่ทุ่มให้กับจีน อนาคตของพคท.ที่วางอยู่ในมือ พคจ. เหตุการณ์ที่เต้ิง เสี่ยวผิง เดินทางมาไทยในเดือนพฤศจิกายน 2521 แล้วไปร่วมงานพระราชพิธีทรงผนวชของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช แล้วกลับมาสรุปสั้นๆ กับคณะผู้ติดตามว่า “ได้ร่วมพิธีนี้ เราดีใจมากเลยนะ เป็นความสำเร็จในการมาเยือนไทยแล้ว คนไทยได้เห็นภาพของจีนแล้วว่าแสดงความเป็นมิตรกับไทยจริงๆ” แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องของการทูต เป็นวาระที่ต้องแสดงให้ประเทศที่มาเยือนไว้เนื้อเชื่อใจ แต่ พคท.ได้นำเรื่องเหล่านี้มาวิเคราะห์สถานภาพของตัวเองแค่ไหน
ความที่ตอบผู้สื่อข่าวว่า “ปัญหานี้เป็นปัญหาที่ประวัติศาสตร์ทอดทิ้งเอาไว้ เป็นเรื่องสืบเนื่องมา ฉะนั้นต้องขอเวลาจัดการ” หมายความว่าอย่างไร พคท.รู้ตัวหรือเปล่า
ใครที่ตะหงิดๆ กับหนังสือ มุกมังกร ของสิรินทร์ พัธโนทัย จะได้คำตอบที่ชัดเจนจากหนังสือเล่มนี้ “หยิกเล็บมังกร” อยากชวนให้อ่านเพื่อจะได้มีมุมมองใหม่ เข้าใจจีน และได้เห็นภาพหายากหลายๆ ภาพ ส่วนจะรู้สึกว่าหยิกเล็บแล้วเจ็บเนื้อเมื่อได้รับรู้คำบอกเล่าจากท่านซิวว่าเติ้งคิดอย่างไรกับ พคท.เมื่อปี 2521 กันหรือเปล่า ก็แล้วแต่อะนะ
สนใจสมัครสมาชิกผู้มีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท. โปรดคลิ๊ก