อย่านำการปรับค่าจ้างขั้นต่ำมาเป็นเกมส์ต่อรองทางการเมือง
โดย …ดาวประจำเมือง
รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ได้ประกาศปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ มีผลตั้งแต่ 1 มกราคม 2568 ตามนโยบายการหาเสียงปี 2566 ของพรรคเพื่อไทยที่จะปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำให้ถึง 600 บาทต่อวัน และสำเร็จปริญญาตรีได้เงินเดือนเริ่มต้นที่ 25,000 บาท ต่อเดือน ในปี 2570.
คณะกรรมการกำหนดค่าจ้าง ซึ่งเป็นกรรมการไตรภาคี อันประกอบด้วยตัวแทนจากนายจ้าง 5 คน, ตัวแทนจากลูกจ้าง 5 คน และตัวแทนจากภาครัฐ 5 คน มีปลัดกระทรวงแรงงานเป็นประธานคณะที่เราเรียกสั้น ๆ ว่า บอร์ดค่าจ้าง ได้มีมติเมื่อปลายปี 2567 ให้มีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศในอัตราที่ไม่เสมอกัน แบ่งเป็น 17 กลุ่มจังหวัด.
จังหวัดที่ได้รับการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาทต่อวัน มีเพียง 4 จังหวัด และ 1 อำเภอ คือจังหวัดภูเก็ต, ฉะเชิงเทรา, ชลบุรี, ระยอง และอำเภอเกาะสมุย กรุงเทพฯ และปริมณฑล ได้ปรับเป็น 372 บาทต่อวัน ขณะที่เชียงใหม่ และหาดใหญ่ได้ปรับเป็น 380 บาทต่อวัน จังหวัดที่ได้ปรับต่ำสุดคือนราธิวาส, ปัตตานี และยะลา 337 บาท ต่อวัน.
การปรับค่าแรงขั้นต่ำครั้งนี้ ไม่ตรงกับนโยบายที่พรรคเพื่อไทยประกาศไว้ตอนหาเสียงเลือกตั้ง และเป็นการปรับที่ไม่ทั่วถึง โอกาสที่จะเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 600 บาทต่อวัน ห่างไกลความเป็นจริงมาก ทั้งประกาศปรับล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็นปีกว่า.
โดยทั่วไป อัตราค่าจ้างขั้นต่ำกำหนดจากมาตรฐานการครองชีพที่ผู้ขายแรงงาน 1 คนจะสามารถดำรงชีพอยู่ได้ และมีกำลังที่จะไปทำงานในวันต่อ ๆ ไป หากถือมาตรฐานที่ยอมรับกันขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ ค่าจ้างขั้นต่ำจะต้องเป็นค่าจ้างที่เพียงพอแก่การยังชีพตามอัตภาพของแรงงาน 1 คนบวกภรรยา 1 คน และบุตรอีก 1-2 คน แต่สำหรับประเทศไทย กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเฉพาะค่าครองชีพของแรงงานเพียงคนเดียวไม่รวมครอบครัว.
หลักเกณฑ์การพิจารณาค่าจ้างขั้นต่ำตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานปี 2541 แก้ไขเพิ่มเติมปี 2560 กำหนดให้พิจารณาจาก 3 ด้านคือ
- ด้านความจำเป็นในการครองชีพของลูกจ้าง
- ด้านความสามารถในการจ่ายค่าจ้างของนายจ้าง
- ด้านภาวะเศรษฐกิจและสังคมโดยรวม
การพิจารณาปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่ผ่านมา มีแนวโน้มให้ความสำคัญกับเหตุผลของฝ่ายนายจ้างเป็นหลัก ขณะที่ความจำเป็นของลูกจ้างเป็นเหตุผลรอง เช่น เป็นการเพิ่มต้นทุนแก่นายจ้าง นายจ้างไม่สามารถจ่ายได้ จะเกิดการปลดพนักงาน เกิดปัญหาการว่างงาน ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางจะล้มละลายปิดกิจการ ก่อให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ เป็นต้น.
ทั้งที่ความเป็นจริง ค่าจ้างแรงงานมีสัดส่วนในต้นทุนการผลิตเพียง 10 – 15 % เท่านั้น ยกเว้นธุรกิจและอุตสาหกรรมบางประเภทที่มีต้นทุนสูงถึง 20 % เช่นธุรกิจบริการ และธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูง หลายธุรกิจและหลายจังหวัดได้ปรับค่าจ้างขั้นต่ำสูงกว่า 400 บาทต่อวัน ไปเป็นปีแล้ว เช่นภูเก็ต กระบี่ พังงา กรุงเทพ.
พร้อมกันนี้ รัฐบาลยังสามารถออกนโยบายช่วยธุรกิจเอสเอ็มอี ได้ทั้งด้านการลดภาษี, การส่งเสริมการปรับโครงสร้างการผลิตให้ใช้เครื่องจักรเครื่องกล และเทคโนโลยีระดับสูงขึ้น, ให้ธุรกิจเข้าถึงแหล่งเงินทุนด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำ จัดการรณรงค์อบรมความรู้ใหม่ ๆ แก่แรงงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลการทำงาน เป็นต้น.
ข้อน่าสังเกตคือการประกาศปรับอัตราค่าจ้างขึ้นต่ำ ได้ถูกหน่วงเหนี่ยวยื้อยุดมาปีกว่า นับตั้งแต่พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ทั้งที่ควรจะทำได้ทันทีตามนโยบายการหาเสียงปี 2566 และปรับต่ำกว่าเกณฑ์ที่ควรจะเป็นเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย 600 บาทต่อวัน ในปี 2570.
พรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคอันดับสองที่เข้าร่วมรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร และได้รับการจัดสรรให้ดูแลกระทรวงแรงงาน โดยนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ.
นักวิเคราะห์การเมืองหลายท่านมองเหตุผลของความล่าช้าในการปรับค่าจ้างขั้นต่ำออกทันที เพราะการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ผลประโยชน์ในการโฆษณาหาเสียงทางการเมืองจะตกกับพรรคเพื่อไทยเป็นสำคัญ ขณะที่พรรคภูมิใจไทยจะเป็นเพียงคนหามวอให้พรรคเพื่อไทยนั่ง การอ้างเหตุสารพัดเพื่อหน่วงเหนี่ยวขัดขวางการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำโดยเร็วจึงปรากฏออกมาให้เห็นตลอดปีกว่าที่ผ่านมา พรรคภูมิใจไทยได้ประกาศแล้วว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไป พรรคภูมิใจไทยตั้งเป้าที่จะได้ สส. ถึง 251 เสียง ซึ่งแน่นอนย่อมต้องมีกลยุทธเอาชนะพรรคเพื่อไทย.
อย่างไรก็ดี การยกระดับมาตรฐานชีวิตความเป็นอยู่ของแรงงานเป็นภารกิจสำคัญของพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรค ที่อาสามาทำงานให้ประชาชนผ่านอำนาจบริหาร และนิติบัญญัติในสภา การปรับค่าจ้างขั้นต่ำยังต้องดำเนินต่อไปทุกปี เราจึงหวังที่จะเห็นการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ตามหลักการและเหตุผลพื้นฐานทางเศรษฐกิจและการดำรงชีวิตของแรงงาน ตลอดจนกำลังจ่ายของนายจ้าง มากกว่าเหตุผลประโยชน์ทางการเมืองสู่การเลือกตั้งปี 2570.
สนใจสมัครสมาชิกผู้มีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท. โปรดคลิ๊ก