ยต้องเตรียมรับมือกับชัยชนะของทรัมป์ หรือแฮรีสอย่างไร ?

 การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาแต่ละครั้งมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ, การเงิน, การเมืองระหว่างประเทศ, สภาพแวดล้อม, ภูมิรัฐศาสตร์ ฯลฯ ของทั้งโลก ด้วยนโยบายการหาเสียงของผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอาจนำไปสู่สงครามการค้าที่รุนแรงขึ้น, สงครามภูมิภาคที่ลุกลามขยายพื้นที่, การเปลี่ยนแปลงธรรมชาติแวดล้อมที่หนักหนาสาหัสมากขึ้น ฯ.

ทุกประเทศจึงต้องจับตามองนโยบายการหาเสียงของรองประธานาธิบดีกามาลา แฮรีสจากพรรคดีโมแครต และอดีตประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์จากพรรครีพลับบริคกันอย่างใกล้ชิด และเตรียมรับมือการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นหลังทราบผลการเลือกตั้ง.
นโยบายของทั้งสองท่านมีทั้งความเหมือนและความต่าง ในความเหมือนมีความต่างดำรงอยู่ ข้อเขียนนี้จะเน้นนโยบายต่างประเทศ และนโยบายเศรษฐกิจการเงิน, สภาพแวดล้อมธรรมชาติที่ส่งผลกระทบต่อทั่วโลก.
1. นโยบายที่ดูจะเหมือนกัน คือทั้งสองท่านมิได้ให้ความสำคัญแก่กลุ่มประเทศอาเซี่ยน และไทย แต่ให้ความสำคัญกับประเทศพันธมิตรขนาดใหญ่ เช่นญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, อินเดีย, ออสเตรเลีย ซึ่งมุ่งไปสู่การปิดล้อมจีนเป็นสำคัญ.
การทำสงครามการค้า และการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน นายทรัมป์ประกาศจะขึ้นภาษีสินค้าจีนอีก 60 % จากที่ประธานาธิบดีไบเดนขึ้นมาแล้ว 100 % ส่วนนางกามาลา แฮรีสจะขึ้นภาษีเพิ่มเช่นกันประมาณ 10 - 20 % ในสินค้าประเภทรถยนต์ไฟฟ้า, แผงโซล่าเซลส์, แบตเตอรี่, เหล็ก, เครื่องจักร์ ฯ
ส่วนประเทศอื่น ๆ ทรัมป์จะขึ้นภาษีนำเข้าอีก 10 – 20 %.
นโยบายการกีดกันจีนจากความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ทันสมัยและสินค้าไฮเทคโนโลยี่ เช่นการผลิตไมโครคอนดัคเตอร์, การผลิตเครื่องจักรกลที่ล้ำสมัย เป็นต้น.
2. นโยบายที่ต่างกันมีมากมายหลายประเด็น
1. นางกามาลา แฮรีส ยังสนับสนุนกรอบความร่วมมือทาง
เศรษฐกิจกับกลุ่มประเทศอินโด-แปซิฟิค,
สนับสนุนประเทศที่มีระบอบการปกครองเป็นประชาธิปไตย, สนับสนุนสิทธิมนุษยชน, สนับสนุนโครงการลดการปล่อยก๊าสเรือนกระจก, สนับสนุนการทำโลกให้เป็นสีเขียว.
นางกามาลา แฮรีส ยืนยันสนับสนุนอิสราเอลในการทำสงครามกวาดล้างกลุ่มฮามาส, ฮิซบอลเลาะห์, กลุ่มฮูตี และกลุ่มติดอาวุธอื่น ๆ ในตะวันออกกลาง ตลอดจนประเทศอิหร่าน แต่มีเงื่อนไขบางประการ เช่นไม่สนับสนุนการเปิดสงครามที่ลุกลามบานปลายไปทั่วตะวันออกกลาง, ไม่สนับสนุนการโจมตีอิหร่านอย่างไม่มีขอบเขตจำกัด.
ด้านสงครามรัสเซีย - ยูเครน นางกามาลายังร่วมมือกับกลุ่มประเทศนาโตอย่างใกล้ชิดต่อไป ในการหนุนช่วยอาวุธยุทโธปกรณ์ และการเงินแก่ยูเครนในการทำสงครามสกัดยับยั้งการแผ่ขยายดินแดนและอำนาจของรัสเซีย.
2. ด้านนายทรัมป์ ประกาศชัดเจนในนโยบาย “ทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง” และเพิ่มเติมนโยบายเดิม “อเมริกามาก่อน” เป็น “อเมริกาเท่านั้น”
ทรัมป์นำเสนอนโยบายเฉพาะหน้า เช่นถ้าเขาชนะการเลือกตั้ง เขาจะยุติสงครามรัสเซีย - ยูเครนโดยทันที ด้วยการงดส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ให้ยูเครน บีบบังคับให้ยูเครนเจรจายุติสงครามกับรัสเซีย ให้กลุ่มประเทศนาโตเป็นหลักทั้งในการส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ และเงินช่วยเหลือยูเครน ถ้านาโตยังจะสนับสนุนยูเครนต่อไป แต่อเมริกาจะถอนตัว.
ด้านสงครามอิสราเอลกับกลุ่มต่อต้านติดอาวุธ ทรัมป์สนับสนุนอิสราเอลอย่างไม่มีเงื่อนไข อิสราเอลจะโจมตีอิหร่าน, ทำสงครามในฉนวนกาซ่ากับชาวปาเลสไตน์, ส่งกำลังทหารเข้ากวาดล้างกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน และเปิดฉากโจมตีกลุ่มฮูตีในเยเมนได้ทั้งนั้น ทรัมป์หนุนช่วยทุกด้าน.
ทรัมป์ยินดีทำข้อตกลงกับประธานาธิบดีปูตินแห่งรัสเซีย, นายคิมจ็องอึลจากเกาหลีเหนือ และนายสีจิ้นผิงจากจีน โดยไม่ใส่ใจนโยบายและท่าทีของประเทศพันธมิตร ซึ่งจะทำให้ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ไต้หวัน รวมทั้งยูเครน ฯ หนาว ๆ ร้อน ๆ ไปตามกัน.
ทรัมป์จะดำเนินนโยบายเดิมคือไม่ใส่ใจพันธมิตร ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มประเทศนาโต หรือกลุ่มญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ออสเตรเลีย, อินเดีย, อาเซี่ยน ฯ ทรัมป์จะบีบให้กลุ่มประเทศนาโตเพิ่มสัดส่วนค่าใช้จ่ายทางการทหารจาก 2 % เป็น 3 % ของ จีดีพี ซึ่งแน่นอน 1 % ที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มประเทศนาโตเป็นเงินจำนวนมหาศาล และเงินเหล่านี้จะใช้ไปในการซื้ออาวุธ โดยเฉพาะจากอเมริกาเป็นหลัก.
ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ไต้หวันต้องจ่ายเงินสนับสนุนการรักษากำลังทหารอเมริกาในประเทศตนเองมากขึ้น มีส่วนต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทางการทหารของอเมริกา เนื่องจากอเมริกาส่งทหารไปประจำการเพื่อปกป้องบูรณะภาพในดินแดนของประเทศทั้งสาม.
ด้านเศรษฐกิจ ทรัมป์ไม่ให้ความสำคัญกับการค้าเสรี ไม่สนใจโลกาภิวัฒน์ มุ่งเน้นผลประโยชน์อเมริกา บีบบังคับกิจการขนาดใหญ่กลับมาตั้งโรงงานผลิตในอเมริกา ไม่สนใจทำสัญญาพหุภาคีทางเศรษฐกิจและการเมืองกับประเทศทั่วโลก แต่ต้องแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน โดยอเมริกาไม่เสียเปรียบ หรืออีกด้านหนึ่งคือต้องได้เปรียบ.
3. ประเทศไทยจะต้องเตรียมตัวรับมืออย่างไร ?
แน่นอนว่าการขึ้นภาษี และกีดกันสินค้าจากจีน เปิดช่องให้ประเทศอย่างไทย, เวียดนาม, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ มีโอกาสส่งสินค้าอุปโภคบริโภคไปยังอเมริกาได้เพิ่มขึ้น
ช่วงปี 2560 -2566 อเมริกานำเข้าสินค้าจากจีนลดลง 15 % ส่วนไทยมีสัดส่วนส่งสินค้าเข้าอเมริกาเพิ่มเพียง 0.5 % เท่านั้น คือเพิ่มจาก 1.3 % เป็น 1.8 %.
แต่สิ่งที่ไทยต้องเผชิญ คือการที่จีนทุ่มสินค้าส่วนเกินเข้ามาขายในประเทศไทย, กลุ่มประเทศอาเซี่ยน และในยุโรป
สัดส่วนการส่งออกสินค้าจีนไปยังยุโรปเพิ่มขึ้น 2 % และกลุ่มอาเซี่ยนเพิ่มขึ้นถึง 5.2 % ไทยส่งออกสิ่งทอไปอเมริกาลดลงจาก 0.5 % เป็น 0.4 % ขณะที่เวียดนามทำได้ดีกว่าคือส่งออกเพิ่มจาก 5.4 % เป็น 7.1 %.
เพื่อทดแทนตลาดในอเมริกาและอาจจะยุโรปที่ลดลง จีนจะส่งสินค้าอุปโภคบริโภคมาขายไทยและกลุ่มประเทศอาเซี่ยนขนานใหญ่ สินค้าจีนทุ่มเข้ามาขายในราคาถูก ต่ำกว่าสินค้าที่ผลิตภายในประเทศมาก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการผลิตในประเทศ เพราะประเทศเหล่านี้ยังมีโครงสร้างการผลิตแบบดั้งเดิม ใช้แรงงานเป็นพื้น ใช้เทคโนโลยี่ต่ำ ขณะที่จีนใช้เครื่องจักรเครื่องกลช่วยการผลิตสินค้าจนลดต้นทุนการผลิตได้อย่างมาก.
ภาระหน้าที่ของรัฐบาลไทยจึงต้องมีแผนแม่บทที่จะผลักดันการแปรเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมของไทยจากสภาพล้าหลัง เป็นการใช้เทคโนโลยี่เครื่องจักรเครื่องกลสมัยใหม่ ให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำและประโยชน์ด้านภาษีแก่โรงงานผลิตที่ใช้เครื่องจักรกลเทคโนโลยี่สมัยใหม่ บูรณาการความร่วมมือจากกระทรวงพาณิชย์, กระทรวงอุตสาหกรรม, กระทรวงการคลัง, กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่ และธนาคารชาติ ฯลฯ
ระบบการศึกษาที่มุ่งเน้นผลิตช่าง, วิศวกร และนักวิทยาศาสตร์ เป็นเรื่องสำคัญสำหรับความก้าวหน้าของประเทศ และการแข่งขันในตลาดโลก.
การปรับเปลี่ยนโครงสร้างยังต้องคำนึงถึงนโยบายโลกสีเขียว ลดการปล่อยก๊าสเรือนกระจก เพิ่มการขายคาร์บอนเครดิต เพราะนโยบายกีดกันการค้าต่อไปจะมีมาตรการเรื่องสภาพแวดล้อมสีเขียวเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างสำคัญ.
ไม่ว่ากามาลา แฮรีส หรือโดนัล ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีเมริกา ไทยล้วนต้องเตรียมรับมือล่วงหน้าทั้งสิ้น ก่อนที่เศรษฐกิจไทยจะล้มละลายยิ่งกว่าปัจจุบัน.

  

สนใจสมัครสมาชิกผู้มีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท. โปรดคลิ๊ก