“บทเรียนความสำเร็จในการต่อต้านรัฐประหารผ่านการประกาศกฎอัยการศึกของเกาหลีใต้”
โดย นายก้าน แซ่ติง,
การทำรัฐประหารด้วยการประกาศกฎอัยการศึกของประธานาธิบดียุน ซอกยอล ล้มเหลวพ่ายแพ้ต่อพลังประชาชนเกาหลีใต้ที่ร่วมมือร่วมใจออกมาชุมนุมคัดค้านคำประกาศในทันทีทันใด ประกอบกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากทั้งพรรคฝ่ายค้านและพรรครัฐบาลได้เข้าร่วมประชุมรัฐสภา ผ่านมติไม่ยอมรับคำประกาศกฎอัยการศึก ทำให้ประธานาธิบดียุน ซอกยอล ต้องออกมาประกาศยกเลิกกฎอัยการศึก ภายในระยะเวลาเพียง 6 ชั่วโมง.
ความสำเร็จของการชุมนุมคัดค้านการรัฐประหารด้วยกฎอัยการศึก เกิดจากความมุ่งมั่นของประชาชนเกาหลี ร่วมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งพรรครัฐบาลและพรรคฝ่ายค้าน ที่เชิดชูยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย ไม่ยอมให้ประเทศถอยกลับสู่ระบอบเผด็จการอีกครั้ง.
ปัจจัยสำคัญอะไรที่ทำให้ประชาชนเกาหลีใต้กล้าออกมาชุมนุมประท้วงคัดค้านคำประกาศกฎอัยการศึกของประธานาธิบดียุน ซอกยอล ?
ชาวเกาหลีใต้มีบทเรียนการต่อสู้คัดค้านเผด็จการรวบอำนาจเบ็ดเสร็จอย่างยาวนาน เสียสละชีวิตเลือดเนื้อบาดเจ็บทุพพลภาพ เพื่อให้ประเทศมีระบอบประชาธิปไตย และมีประสบการณ์ว่าระบอบประชาธิปไตยสามารถช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นจริง จนมีวัฒนธรรมที่เชิดชูรักษาระบอบประชาธิปไตยในความคิดจิตใจอย่างฝังแน่น และลึกซึ้ง.
ประวัติการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของชาวเกาหลีใต้
เฉกเช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ ในสมัยสังคมเกษตรกรรม ชาวนาเกาหลีใต้ได้ลุกขึ้นสู้เรียกร้องสิทธิและความเป็นธรรมตลอดมา จนถึงยุคปีค.ศ. 1910 – 1945 ที่ญี่ปุ่นเข้ายึดครองปกครองเกาหลี กดหัวชาวเกาหลีเป็นพลเมืองชั้นสอง เป็นกำลังสำรองรับใช้ญี่ปุ่น ตั้งแต่เป็นทหารช่วยญี่ปุ่นรุกรานจีน จนเกณฑ์สตรีเกาหลีนับหมื่นคนเป็นวัตถุปลดเปลื้องอารมณ์เพศของทหารญี่ปุ่น.
เมื่อญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง สหรัฐอเมริกาได้เข้ายึดครองเกาหลีตั้งแต่ปี 1945 จนถึงปี 1948 ได้ให้เอกราชแก่เกาหลี เกิดการต่อสู้ภายในประเทศ จนแบ่งแยกประเทศออกเป็นเกาหลีเหนือ และเกาหลีใต้ เกิดสงครามเกาหลีในปี 1950 – 1953 สงครามจึงยุติ ชาวเกาหลีที่ต้องการเสรีภาพประชาธิปไตย โดยเฉพาะปัญญาชนที่สมาทานศาสนาคริสต์ทั้งคาทอลิก และโปรเตสแตนต์ได้อพยพลงสู่ภาคใต้.
นายรี ซึงมัน (Rhee Syng Man) ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในการเลือกตั้งครั้งแรกวันที่ 10 พฤษภาคม 1948 อำนาจทางการเมืองที่ฉ้อฉลหอมหวาน ทำให้ประธานาธิบดีรี ซึงมันใช้อำนาจผูกขาดการเลือกตั้งครั้งต่อ ๆ มา โดยการกีดกันพรรคการเมืองอื่น ตัดสิทธิทางการเมืองนักการเมือง ยุบพรรคการเมือง จนพรรคการเมืองอื่นไม่สามารถจัดตั้งขึ้นมาทันแข่งกับประธานาธิบดีรี ซึงมัน เขาจึงสามารถดำรงตำแหน่งได้ถึง 13 ปี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1948 ถึง 1960.
ประชาชนเกาหลีใต้ได้ร่วมกันประท้วงคัดค้านประธานาธิบดีรี ซึงมัน ในวันที่ 19 เมษายน 1960 เรียกว่า “การปฏิวัติเดือนเมษายน” (April Revolution) การประท้วงต่อต้านประธานาธิบดีรี ซึงมันถูกปราบปรามอย่างรุนแรง ถูกเข่นฆ่าจับกุมคุมขังทรมาน แต่การประท้วงคัดค้านยังขยายตัวออกไปเรื่อย ๆ จน ประธานาธิบดีรี ซึงมันทนแรงกดดันไม่ไหว ลาออกจากตำแหน่งและลี้ภัยไปยู่เกาะฮาวายของสหรัฐอเมริกา.
เกาหลีใต้เกิดสภาวะปั่นป่วนทางการเมืองอยู่พักหนึ่ง นายพลพัค จองฮี (Park Chung Hee) ได้ทำรัฐประหาร สถาปนาระบอบเผด็จการรวบอำนาจเบ็ดเสร็จเช่นกัน จนสามารถดำรงตำแหน่งประธานาธิบดียาวนานจากปี 1961 ถึง 1979.
แรกเริ่ม นายพลพัค จองฮีให้สัญญาว่าจะให้อิสระประชาธิปไตยแก่ชาวเกาหลีใต้ เร่งพัฒนาเศรษฐกิจเป็นเป้าหมายหลัก โดยการกดขี่ขูดรีดแรงงานกรรมกร อ้างวาทกรรมชาตินิยม ความสามัคคีและความมั่นคงของชาติ สามารถสร้างประเทศให้ชาวเกาหลีใต้กินดีอยู่ดีระดับหนึ่ง ประชาชนจึงสนับสนุนเขา.
แต่เมื่อผ่านการดำรงตำแหน่งระยะหนึ่ง เขาได้แก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มทวีอำนาจประธานาธิบดี ลดทอนอำนาจรัฐสภา ให้ประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งได้วาระละ 6 ปี ต่อเนื่องโดยไม่ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ ประธานาธิบดีแต่งตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 1 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประธานาธิบดีมีอำนาจสั่งตรวจค้นจับกุมคนได้โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการยุติธรรมตามกฎหมาย ตลอดจนมีอำนาจแต่งตั้งตุลาการศาลยุติธรรมทั้งหมด ประธานาธิบดีมีอำนาจประกาศมาตรการฉุกเฉินงดใช้รัฐธรรมนูญ และยุบสภาได้ ทำให้เขาควบอำนาจทั้งทางด้านอำนาจบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ.
ประธานาธิบดีพัค จองฮีจึงดำรงตำแหน่งได้นานถึง 18 ปี.
ประชาชนเกาหลีใต้ได้ลุกขึ้นต่อต้านประท้วงการเผด็จอำนาจหนักแรงขึ้นทุกปีของประธานาธิบดีพัคจองฮี ถูกเข่นฆ่าปราบปรามจับกุมคุมขัง ทรมานจนเสียชีวิตบาดเจ็บทุพพลภาพจำนวนมาก มีการตั้งหน่วยงานซีไอเอของเกาหลี (KCIA) เพื่อขจัดผู้เห็นต่างจากรัฐบาล จนในที่สุดประธานาธิบดีพัคถูกหัวหน้าฝ่ายข่าวกรองซึ่งเป็นสมุนคนสนิทลอบสังหารเสียชีวิต.
นายชเว กยูฮา (Choi Kyo Ha) เรียกชื่อตามอาจารย์บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ (ในโครงการวิจัยเรื่อง “กระบวนการสร้างความปรองดองและสถาปนาประชาธิปไตยในเกาหลีใต้ หลังการลุกขึ้นสู้เพื่อประชาธิปไตยที่เมืองควังจู) ได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีชั่วคราว.
นายพลช็อน ดูฮวาน (Cheon Doo Hwan) ได้ทำรัฐประหารยึดอำนาจปกครองประเทศในเดือนธันวาคม 1979 เขาใช้อำนาจเผด็จการเบ็ดเสร็จไม่ด้อยกว่านายพลพัค จองฮี ต่อมาเขาได้แก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้ประธานาธิบดีได้รับเลือกตั้งโดยผ่านคณะผู้เลือกตั้ง ดำรงตำแหน่งได้สมัยเดียว 7 ปี พร้อมสัญญาว่าเมื่อพ้น 7 ปี จะให้ประชาชนเลือกตั้งประธานาธิบดีได้โดยตรง นายช็อน ดูฮวาน จึงได้เป็นประธานาธิบดีตามรัฐธรรมนูญใหม่ในปี 1981.
ช่วงที่นายพลช็อน ดูฮวานทำรัฐประหารขึ้นสู่อำนาจ ได้เกิดการลุกขึ้นสู้ครั้งใหญ่ของชาวควังจูในการเรียกร้องประชาธิปไตยช่วงวันที่ 16 – 26 พฤษภาคม 1980 ที่เรียกว่า “18 พฤษภาคม การลุกขึ้นสู้เพื่อประชาธิปไตย”.
การประท้วงของชาวควังจูเริ่มจากการประท้วงของนักศึกษาหน้ามหาวิทยาลัยช็อนนัม นายพลช็อน ดูฮวานได้ส่งกำลังทหารเข้าปราบปรามอย่างรุนแรง ประชาชนชาวควังจูทนเห็นการปราบปรามเข่นฆ่านักศึกษาอย่างโหดเหี้ยมอำมหิตไม่ได้ จึงลุกฮือร่วมกันต่อสู้คัดค้าน รัฐบาลส่งทหารมากกว่า 20,000 คนเข้าปิดล้อม และปฏิเสธการเจรจากับกลุ่มผู้ประท้วง ตัดการสื่อสารทั้งหมดในเมือง แล้วใช้กำลังอาวุธเข่นฆ่าจับกุมผู้ประท้วง ตั้งแต่วันที่ 18 – 26 พฤษภาคม เหตุการณ์รุนแรงจึงค่อยลดลง.
ชาวควังจูจึงตอบโต้ด้วยการจัดตั้ง “กองกำลังพลเมือง” (Citizen Army) เข้ายึดอาคารสถานที่ทางการ ยึดอาวุธตอบโต้กองกำลังทหาร อาศัยศาลาว่าการเมืองเป็นป้อมปราการ สามารถต่อต้านทหารได้ถึง 10 วัน.
ผลจากการประท้วง ทำให้นักศึกษาประชาชนเสียชีวิต 154 คน สูญหาย 76 คน บาดเจ็บ และ/หรือถูกจับกุมคุมขัง 4,176 คน รวมทั้งหมดประมาณ 4,406 คน ตัวเลขของฝ่ายประชาชน แจ้งว่ามีคนสูญเสียชีวิต, สูญหาย, บาดเจ็บ และถูกจับกุมคุมขังรวมกันประมาณ 7,500 คน.
วันที่ 10 มิถุนายน 1987 ประชาชนได้ลุกขึ้นสู้เพื่อประชาธิปไตยอีกครั้ง หลังจากนายพัค จงซอล (Park Jong Cheol) นักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล ถูกจับด้วยข้อหาต่อต้านรัฐบาล ถูกทำร้ายทรมานจนเสียชีวิต บาทหลวงนิกายคาทอลิกได้ออกคำแถลงเรื่องพัค จงซอล จนทำให้ประชาชนมากกว่าหนึ่งล้านคนออกไปชุมนุมประท้วง เรียกร้องความยุติธรรม ประชาธิปไตย และต่อต้านนายพลโน แทอู (No Tae Woo) ที่มีแนวโน้มจะสืบทอดอำนาจเผด็จการต่อจากนายพลช็อน ดูฮวาน.
ประชาชนต้องการการเลือกตั้งที่เสรี และเลือกตั้งประธานาธิบดีทางตรง ยกเลิกสมาชิกวุฒิสภา และปฏิรูปรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง กดดันให้ประธานาธิบดีช็อน ดูฮวานและนายโน แทอูต้องออกคำแถลงยอมรับข้อเรียกร้องของประชาชน และพรรคฝ่ายค้าน จัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรง และร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่เป็นประชาธิปไตยขึ้น นับเป็นชัยชนะของการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยครั้งสำคัญ.
อย่างไรก็ดี ด้วยเล่ห์เหลี่ยมทางการเมือง นายโน แทอู ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ เขาได้มอบนโยบายคืนอำนาจให้ประชาชนด้วยการให้สิทธิ์เลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรง ให้อิสระทางการเมืองแก่ประชาชน และบรรดาสื่อต่าง ๆ กำหนดให้ประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งได้ 1 วาระ 5 ปี ปลดปล่อยนักโทษการเมือง สนับสนุนสิทธิพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ นโยบายต่าง ๆ สะท้อนถึงระยะเปลี่ยนผ่านจากระบอบเผด็จการ เข้าสู่ระยะเริ่มแรกของประชาธิปไตยแท้จริง.
วันที่ 18 ธันวาคม 1992 มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรงจากประชาชน และนายคิม ยองซัม (Kim Yong Sam) เป็นพลเรือนคนแรกที่ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ นับเป็นวาระแรกในการเปิดศักราชของประชาธิปไตยใหม่ในเกาหลีใต้.
ปี 1993 มีการเรียกร้องจากประชาชนให้ค้นหาความจริง และชำระประวัติศาสตร์กรณีการลุกขึ้นสู้ที่ควังจู แต่ตอนแรก ประธานาธิบดีคิม ยองซัมไม่ใส่ใจและไม่จริงใจในการดำเนินการ เพราะเขาขึ้นสู่ตำแหน่งได้ด้วยการสนับสนุนจากบรรดานายทหารที่เกี่ยวข้องกับการปราบปรามประชาชน.
ปี 1995 ประชาชนเดินขบวนครั้งใหญ่เรียกร้องให้นำตัวอดีตประธานาธิบดีเผด็จการช็อน ดูฮวาน และอดีตประธานาธิบดีโน แทอู มาดำเนินคดี ประธานาธิบดีคิม ยองซัมถูกกดดันอย่างหนัก จนต้องผ่านกฎหมายพิเศษชื่อ “กฎหมายพิเศษเพื่อพิจารณาเกี่ยวกับเหตุการณ์การเรียกร้องประชาธิปไตย วันที่ 18 พฤษภาคม” (1980 ที่เมืองควังจู) โดยมาตรา 1 และ 2 กำหนดให้ดำเนินคดีกับผู้มีส่วนกระทำผิดฐานละเมิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ ในช่วงการลุกขึ้นสู้ที่ควังจู.
วันที่ 18 กรกฎาคม 1995 ได้จัดตั้ง “คณะกรรมการร่วมควังจู และช็อนนัมเพื่อลงโทษผู้กระทำการสังหารหมู่ระหว่างการลุกขึ้นสู้เพื่อประชาธิปไตยควังจู” มีการจัดตั้งองค์กรภาคประชาชน ร่วมวางแผนและรณรงค์ นำสู่การรื้อฟื้นฟ้องร้องคดี มีผู้ต้องหา 8 คน ถูกฟ้องว่าใช้กำลังเกินขอบเขตกฎหมาย คนที่เคยถูกจับกุมคุมขังและตัดสินโทษในคดีควังจูได้รับการรื้อฟื้นคดี และมีคำพิพากษาใหม่ เป็นการ “ล้มล้างอดีตที่ขมขื่นผ่านกระบวนการที่ชอบธรรม”.
คำตัดสินของศาลถือว่าประชาชนควังจูใช้ “สิทธิ์ปกป้องตนเอง” พวกเขามี “สิทธิ์ที่จะต่อต้าน” มี “สิทธิ์ปกครองตนเอง” อันถือเป็นสิทธิมนุษยชนพื้นฐาน.
มีการชดเชยค่าเสียหาย และเยียวยาแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติหน้าที่เกินขอบเขตของกองกำลังอำนาจรัฐ ทั้งเหยื่อที่เสียชีวิต ครอบครัว รวมทั้งคนที่ถูกจับกุมคุมขังโดยไม่เป็นธรรมได้รับเงินค่าทำขวัญ เงินเยียวยา เงินรักษาพยาบาล ฯลฯ.
ศาลยุติธรรมเกาหลีใต้ตัดสินจำคุกอดีตประธานาธิบดีช็อน ดูฮวานตลอดชีวิต, อดีตประธานาธิบดีโน แทอูถูกตัดสินจำคุก 17 ปี ส่วนนายพลลูกสมุนอีก 14 คนถูกตัดสินจำคุกตั้งแต่สามปีครึ่ง ถึง 8 ปี.
ปี 1997 ได้สร้างสุสานมังวอลดง เป็นสุสานแห่งชาติ บรรจุอัฐิของผู้เสียชีวิตจากการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตย มีการจัดรัฐพิธีรำลึกวีรชนแห่งการลุกขึ้นสู้ทุกปี.
ตึกอาคารที่มีร่องรอยกระสุนปืนที่ยิงจากเฮลิคอปเตอร์ได้รับการอนุรักษ์เป็นพิพิธภัณฑ์สำหรับคนรุ่นใหม่ได้ศึกษาเรียนรู้.
นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งมูลนิธิรำลึกประชาธิปไตยควังจู เรียกว่ามูลนิธิ 18 พฤษภาคม พร้อมจัดตั้งหอจดหมายเหตุ จัดทำรางวัลส่งเสริมจิตวิญญานเพื่อประชาธิปไตย การพัฒนาสิทธิมนุษยชน การรวมชาติ ความสมานฉันท์ และสันติภาพ (Gwangju Prize for Human Rights Special Prize) นายเดย์ ราลา ซานาน กุสเมา, นางอองซาน ซุจี ได้รับรางวัลปี 2004, นางอังคณา นิลไพจิตร ปี 2006, นายจตุรภัทร บุญภัทรรักษา ปี 2017, นายอานนท์ นำภา ปี 2021 และ หมอซินเธียหม่อง ปี 2022 เป็นต้น.
ปี 1997 นายคิม แดจุง (Kim Dae Jung) ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ปี 2000 ประธานาธิบดีคิมได้ออกกฎหมายฟื้นฟูเกียรติและศักดิ์ศรีของผู้ร่วมชุมนุม ที่เรียกกันว่า “กฎหมายประชาธิปไตย” เนื้อหาสำคัญคือ “ให้สิทธิและยกระดับการแสดงออกเพื่อประชาธิปไตยใด ๆ ให้เป็นสิทธิทางรัฐธรรมนูญ และสามารถ กระทำการใด ๆ เพื่อเป็นการขัดขวางอำนาจเผด็จการ นับเป็นการกระทำที่ชอบธรรมตามกฎหมาย” (บันฑิต จันทร์โรจนกิจ, หน้า 8)
วันที่ 12 มกราคม 2001 ประธานาธิบดีคิม แดจุง ได้ออกกฎหมายพิเศษอีก 2 ฉบับ คือ
1. “กฎหมายเพื่อฟื้นฟูเกียรติของผู้เกี่ยวข้องในขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตย และเยียวยาความเสียหายให้กับเขาเหล่านั้น”
2. “กฎหมายพิเศษเพื่อค้นหาความจริงเกี่ยวกับการตายที่น่าสงสัยในเหตุการณ์เรียกร้องประชาธิปไตย”
ปี 2005 สมัยประธานาธิบดีโน มูฮุน ได้ออก “กฎหมายพื้นฐานว่าด้วยการชำระประวัติศาสตร์เพื่อความถูกต้อง และปรองดอง”
สรุปบทเรียนการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยของชาวเกาหลีใต้
1. ชาวเกาหลีใต้เป็นนักต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยที่ยืนหยัด ไม่เคยยอมแพ้แม้ล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า ต้องเสียสละชีวิต ถูกจับกุมคุมขังทรมานทุบตี จนบาดเจ็บทุพพลภาพ แต่ผ่านไประยะหนึ่ง ก็รวมพลังต่อสู้เรียกร้องใหม่ ได้รับชัยชนะบ้าง พ่ายแพ้บ้าง หากรวมตัวเลขผู้สูญเสียชีวิต, ผู้สูญหาย และผู้บาดเจ็บ จากการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยแท้จริง ตั้งแต่สมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นับได้หลายหมื่นคน จนในที่สุดเริ่มได้เห็นผลแห่งชัยชนะตั้งแต่ปี 1995 เป็นต้นมา.
2. การต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยได้ฝังรากลึกลงในความคิดจิตใจของชาวเกาหลีใต้ จนอาจถือได้ว่าเป็นวัฒนธรรมทางการเมืองที่จะต้องปกป้องระบอบประชาธิปไตย การทำรัฐประหารด้วยการประกาศกฎอัยการศึกของประธานาธิบดียุน ซอกยอล พร้อมสั่งกองทัพให้ส่งกำลังทหารติดอาวุธปิดล้อมรัฐสภาและสถานที่สำคัญต่าง ๆ ต้องเผชิญกับการชุมนุมต่อต้านของประชาชนเกือบจะทันทีทันควัน โฆษกหญิงอายุ 35 ปี ของพรรคประชาธิปไตยซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน นางอัน กวียอง (Ahn Gwi Ryeong) ได้ปราดเข้าไปยึดปากกระบอกปืนของทหาร เธอให้สัมภาษณ์ภายหลังว่า “เราจะปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ (หมายถึงการรัฐประหารด้วยการประกาศกฎอัยการศึก) ในเกาหลีใต้ ช่วงศตวรรษที่ 21 ไม่ได้” หญิงอีกคนหนึ่งทอดร่างลงขวางรถหุ้มเกราะทหารไม่ให้เคลื่อนไปข้างหน้า อีกคนหนึ่งให้สัมภาษณ์ว่า “ที่นี่ประชาธิปไตยเข้มแข็ง” “ทหารต้องฟังเรา ประชาชน เคารพรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่เชื่อฟังประธานาธิบดี”
3. การต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตย มักจะเริ่มขึ้นด้วยการเรียกร้องของนักเรียนนักศึกษา แต่ต่อมาเมื่อถูกเผด็จการทหารปราบปรามเข่นฆ่าอย่างโหดเหี้ยม ประชาชน และกรรมกรจึงทนไม่ได้ และเข้าร่วมการต่อสู้กับนักศึกษาอย่างเด็ดเดี่ยว ทั้งบาทหลวงในคริสต์จักร, ครูบาอาจารย์ในมหาวิทยาลัย, ทนาย, พ่อค้ารายย่อย ตลอดจนเกษตรกรจำนวนหนึ่ง.
4. ที่น่าแปลกใจคือคริสต์จักรทั้งคาทอลิก และโปรเตสแตนต์ต่างได้เข้าร่วมสนับสนุนการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยที่เริ่มต้นจากนักศึกษาอย่างแข็งขัน ปกติ คริสต์จักรมักจะมีแนวคิดอนุรักษ์นิยม ไม่ยุ่งเกี่ยวการเมือง และไม่สนับสนุนการประท้วงคัดค้านของนักศึกษา ยกเว้นบาทหลวงและศิษยาภิบาลฝ่ายก้าวหน้าไม่กี่คน แต่เมื่อรัฐบาลเผด็จการทหารส่งกำลังทหารเข้าปราบปรามเข่นฆ่าอย่างอำมหิต คริสตศาสนิกชนฝ่ายอนุรักษ์ยอมรับไม่ได้ จึงเข้าร่วมการต่อสู้อย่างแข็งขัน บาทหลวงแสดงบทบาทร่วมนำการประท้วง และร่วมนำการเจรจายุติความรุนแรงหลายครั้ง.
5. การพัฒนาเศรษฐกิจทำให้เกาหลีใต้มีชนชั้นกลางเพิ่มมากขึ้น ส่วนใหญ่เป็นปัญญาชนที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะด้าน ซึ่งมีทัศนะที่ต้องการอิสระเสรีภาพ ประชาธิปไตย และบุคคลเหล่านี้จำนวนไม่น้อยเป็นคริสต์ศาสนิกชน และมีประวัติร่วมต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยตลอดมา.
6. นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของเกาหลีใต้ไม่เคยทอดทิ้งลืมเลือนเพื่อนนักต่อสู้ที่เสียสละชีวิต สูญหายและบาดเจ็บ เมื่อเกาหลีใต้มีประธานาธิบดีพลเรือนคนแรกเมื่อปี 1992 คือนายคิม ยองซัม ปี 1993 ประชาชนได้กดดันให้มีการ ค้นหาความจริงและชำระประวัติศาสตร์ จนถึงปี 1995 ประธานาธิบดีคิม ยองซัมจึงได้ออกกฎหมายพิจารณาเหตุการณ์เรียกร้องประชาธิปไตยที่ควังจูในวันที่ 18 พฤษภาคม 1980 เรียกร้องให้จับกุมตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมาย เรียกร้องให้คืนเกียรติและศักดิ์ศรีให้แก่นักต่อสู้ พร้อมทั้งจ่ายเงินเยียวยา เงินชดเชย เงินค่าทำขวัญ เงินรักษาพยาบาล ฯ แก่ผู้ร่วมในเหตุการณ์ควังจู 1980.
7. ชาวเกาหลีใต้ไม่ปล่อยให้ผู้กระทำความผิดลอยนวลโดยไม่ต้องรับโทษ คนที่ร่วมปราบปรามเข่นฆ่า ทำร้ายทรมานนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยต้องได้รับโทษตามกฎหมาย สมัยประธานาธิบดีโน แทอู มีการกล่าวโทษและให้นำตัวอดีตประธานาธิบดีช็อน ดูฮวานมาขึ้นศาลตามกระบวนการยุติธรรม ปี 1995 ได้เรียกร้องให้จับกุมอดีตประธานาธิบดีช็อน ดูฮวาน และโน แทอูขึ้นสู่การพิจารณาของศาล มีการลงโทษจำคุกอดีตประธานาธิบดีทั้ง 2 คน รวมทั้งสมุนบริวารที่เป็นหัวโจกการปราบปรามเข่นฆ่านักศึกษาประชาชน แม้ภายหลังจะมีการอภัยโทษก็ตาม.
8. กระบวนการยุติธรรมของเกาหลีใต้มีความเป็นอิสระ ไม่ขึ้นต่ออำนาจเหนือรัฐธรรมนูญ ได้ปฏิบัติหน้าที่พื้นฐานด้วยความสุจริตยุติธรรม จนสามารถลงโทษจำคุกอดีตประธานาธิบดีได้ และกระบวนการยุติธรรมยังสืบเนื่องตลอดมา อัยการได้สั่งฟ้องประธานาธิบดีคนต่อ ๆ มาด้วยข้อหาไม่ว่าจะเป็นการฉ้อฉลอำนาจ รับสินบนคอรัปชั่น และลงโทษอดีตประธานาธิบดีหลายคน เช่น นางพัค กึนฮเย ข้อหารับสินบน, อดีตประธานาธิบดีโร มูยุน ฆ่าตัวตายเพราะถูกสอบสวนว่ารับสินบน แม้แต่ประธานาธิบดียุน ซอกยอลก็กำลังจะถูกพรรคฝ่ายค้านยื่นญัตติสอบสวนภรรยาว่ารับสินบน และยุ่งเกี่ยวกับตลาดหุ้น ตัวประธานาธิบดียุนโดนข้อหารับสินบน เป็นต้น.
9. การชุมนุมประท้วงต่อต้านรัฐบาลเผด็จการของชาวเกาหลีใต้ได้รับความคุ้มครองทางกฎหมาย ปี 2000 ประธานาธิบดีคิม แดจุง ได้ออก “กฎหมายประชาธิปไตย” ให้สิทธิและการแสดงออกใด ๆ เพื่อประชาธิปไตยให้เป็นสิทธิทางรัฐธรรมนูญ และสามารถกระทำการใด ๆ เพื่อขัดขวางการเผด็จอำนาจได้ ถือเป็นการกระทำที่ถูกกฎหมาย ชาวเกาหลีใต้จึงออกมาร่วมชุมนุมต่อต้านคัดค้านการรัฐประหารด้วยการประกาศกฎอัยการศึกของประธานาธิบดียุน ซอกยอลได้ด้วยความเชื่อมั่นว่าเป็นการกระทำที่มีกฎหมายคุ้มครองถูกต้อง.
บทเรียนการต่อสู้เรียกร้องเพื่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงของชาวเกาหลีใต้แลกมาด้วยชีวิตเลือดเนื้อนับหมื่นชีวิต จนได้ระบอบประชาธิปไตยที่มั่นคง ประชาชนเชิดชูพิทักษ์ปกป้องด้วยชีวิต จนมีกฎหมายรับรองการต่อต้านรัฐประหารและเผด็จการว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องถูกกฎหมาย ระบอบประชาธิปไตยของเกาหลีใต้สามารถเป็นแรงส่งในการพัฒนาเศรษฐกิจจนเกาหลีใต้ถือเป็นหนึ่งในประเทศเศรษฐกิจชั้นนำของโลก.
(ข้อมูลส่วนใหญ่ได้จากโครงการวิจัยของ ดร. บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ ผู้ทำวิจัยเรื่อง “กระบวนการสร้างความปรองดองและสถาปนาประชาธิปไตยในเกาหลีใต้ หลังการลุกขึ้นสู้เพื่อประชาธิปไตยที่เมืองควังจู” ขอขอบคุณอาจารย์บัณฑิตมา ณ ที่นี้)
สนใจสมัครสมาชิกผู้มีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท. โปรดคลิ๊ก