การเซาะกร่อนบ่อนทำลายประชาธิปไตย

โดย “แสงอรุณ”


สองสัปดาห์แรกของเดือนตุลาคม 2567 มีเหตุการณ์ทางการเมืองสำคัญที่พึงสนใจติดตาม 3 เรื่องราว คือ
หนึ่ง การกลับมาจับมือเป็นพันธมิตรกันระหว่างนายทักษิณ ชินวัตร ผู้ทรงอำนาจในพรรคเพื่อไทย กับนายเนวิน ชิดชอบ ผู้ทรงอำนาจในพรรคภูมิใจไทย.
จากตำนาน “มันจบแล้วครับนาย” ซึ่งสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้แก่นายทักษิณ ชินวัตร จนคิดว่าจะไม่เหยียบเงา ไม่เผาผีกับนายเนวิน ชิดชอบ.
แต่ด้วยอำนาจทางการเมืองของนายเนวินที่เพิ่มทวีขึ้น สามารถกุมคะแนนเสียงในวุฒิสภาได้ราว 160 – 170 เสียง ประกอบกับเสียงในสภาผู้แทนราษฎรของพรรคภูมิใจไทยอีกราว 70 – 80 เสียง ทำให้นายทักษิณต้องกลืนเลือดตัวเอง กลับมาคืนดีเป็นพันธมิตรกับนายเนวิน.
ขณะเดียวกัน นายเนวินย่อมมองออกถึงอำนาจของนายทักษิณและพรรคเพื่อไทย ในฐานะพรรคอันดับหนึ่งของการจัดตั้งรัฐบาลสลายขั้ว อำนาจฝ่ายบริหารอยู่ในมือของพรรคเพื่อไทย.
การกลับมาเป็นพันธมิตรระหว่างทั้งสองท่าน ทำให้อำนาจต่อรองทางการเมืองสูงติดปรอท.
ผู้กุมอำนาจฝ่ายอนุรักษ์ศักดินานิยม ต้องจับตาดูบทบาทการต่อรองทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทยอย่างใกล้ชิด สถานะเดิมที่ฝ่ายอนุรักษ์ศักดินานิยมเคยเป็นต่อ เพราะมีอำนาจตุลาการเป็นเสมือนบ่วงเชือกรัดคอทั้งสองพรรค มิให้ประพฤติผิดแนวทาง ต้องคลายออก และเล่นละคอนยอมรับการต่อรองมากขึ้น การจะกระตุกบ่วงยุบเลิกพรรคการเมืองทั้งสองต้องรอบคอบและคำนึงถึงอนาคตของทั้งสองสภา มิอาจสั่งการตามอำเภอใจดุจดั่งการยุบพรรคอนาคตใหม่ และพรรคก้าวไกล.
พรรคประชาชนกลายเป็นขั้วที่ 4 ถูกโดดเดี่ยว ถูกรุมกินโต๊ะจากทั้งขั้วพรรคเพื่อไทย, พรรคภูมิใจไทย และฝ่ายอนุรักษ์ศักดินานิยม ซึ่งประจักษ์ชัดจากร่างกฎหมายของพรรคประชาชนทุกฉบับ ถูกเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรตีตกหมด แล้วผ่านร่างกฎหมายของตนเองที่เสนอประกบ ไม่ให้พรรคประชาชนมีผลงานเข้าตาประชาชน พร้อมกันไปกับการพิทักษ์ผลประโยชน์ของกลุ่มชนชั้นนำทางเศรษฐกิจและการเมือง.
สอง การประกาศปลุกม็อบต่อต้านขับไล่รัฐบาลแพทองธารของนายสนธิ ลิ้มทองกุล และนายจตุพร พรหมพันธุ์ ในเวลาไล่เรี่ยกัน.
นายสนธิยื่นข้อเสนอแปลกประหลาดต่อรัฐบาลแพทองธาร 3 ประการ คือหนึ่งต้องรื้อฟื้นดำเนินคดีที่นายสนธิเคยถูกยิงจนเกือบเสียชีวิต ทั้งที่เหตุการณ์ผ่านมามากกว่า 20 ปี สองต้องไม่ให้แรงงานพม่ามีค่าแรงเท่าแรงงานไทย และไม่ต้อนรับแรงงานพม่า สามต้องไม่มีการทุจริตคอรัปชั่นในรัฐบาล.
ข้อเสนอทั้ง 3 ข้อเริ่มจากผลประโยชน์ส่วนตัวของนายสนธิเอง กรณีฟื้นคดีที่ถูกลอบยิงในอดีต ถามว่าประชาชนจะได้ประโยชน์อะไร นายสนธิทราบดีว่ารัฐบาลที่ผ่าน ๆ มาไม่มีใครกล้าทำคดีสาวถึงตัวการสั่งสังหาร รัฐบาลแพทองธารย่อมไม่ยินดี ไม่ใส่ใจและไม่สามารถรื้อฟื้นคดีนี้ได้ นายสนธิวางยาเช่นนี้ทำไม ?.
ข้อเสนอกีดกันแรงงานพม่ามิให้มีค่าแรงเทียบเสมอแรงงานไทย นายสนธิคาดหวังสร้างความปั่นป่วนให้กับอุตสาหกรรมไทย ที่ทุกวันนี้ใช้แรงงานพม่าราวหนึ่งในสามของแรงงานทั่วประเทศ ทำไปทำไม ?
ข้อเสนอที่ 3 มุ่งหวังการสนับสนุนจากประชาชน เพราะทุกคนปฏิเสธการคอรัปชั่นอยู่แล้ว จึงเหมือนเป็นการกลบเกลื่อนผลประโยชน์ตนเองในข้อ 1 และ 2.
ส่วนนายจตุพร พรหมพันธุ์ ร่วมกับทนายนกเขา นายนิติธร ล้ำเหลือ จุดพลุหยั่งเสียงสนับสนุนจากแฟนคลับของตนเองว่าจะร่วมม็อบขับไล่รัฐบาลแพทองธารมากน้อยเพียงใด อ้างการจัดงานเลี้ยงวันเกิดตนเอง เป็นต้น.
คำถามคือ นายจตุพรมีเจตนาขับไล่รัฐบาลแพทองธารเพื่อผลประโยชน์ของใคร รับงานใครมา การออกมาขับไล่รัฐบาลตั้งแต่รัฐบาลยังทำงานยังไม่ครบเดือน มุ่งหมายจะโค่นล้มระบอบประชาธิปไตย แผ้วถางทางแด่เผด็จการทหารเหมือนอดีตที่ผ่านมาหรือไม่ เป็นก้าวแรกในการกัดกร่อนบ่อนเซาะระบอบประชาธิปไตยที่มีการเลือกตั้งหรือไม่ ?
สาม การที่นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ด้วยความใกล้ชิดสนิทสนมกับนายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ยื่นศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคเพื่อไทย เพราะให้นายทักษิณครอบงำพรรคเพื่อไทย และดำเนินการเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบัน และระบอบประชาธิปไตย.
แน่นอนว่า ชาวประชาอดสงสัยไม่ได้ว่า นายธีรยุทธมีจุดประสงค์อันใดในการยื่นยุบพรรคเพื่อไทย เป็นการแก้แค้นแทนพรรคพลังประชารัฐและหัวหน้าพรรค ที่ถูกพรรคเพื่อไทยเขี่ยพ้นจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ ?
เป็นก้าวแรกในการเขย่าเสถียรภาพของรัฐบาลแพทองธาร เพื่อเปิดทางสู่รัฐบาลเผด็จการที่ยึดอำนาจด้วยวิถีทางผิดรัฐธรรมนูญและระบอบประชาธิปไตยหรือไม่ เนื้อแท้เป็นการแสวงผลประโยชน์ส่วนตนใช่ไหม.
ทั้งสามประเด็นที่กล่าวมา มีผลต่อโฉมหน้าทางการเมืองของไทยในขณะนี้จนถึงปีหน้า การเมืองไทยจะมีเสถียรภาพ หรือง่อนแง่นไม่สมประกอบจากพฤติกรรมเซาะกร่อนบ่อนทำลายประชาธิปไตยของกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ ล้วนเป็นเรื่องที่เราชาวประชาต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป.

 

 

สนใจสมัครสมาชิกผู้มีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท.  โปรดคลิ๊ก