วิกฤตการเมืองต้องแก้ด้วยวิถีทางการเมือง


ชัดเจนแล้วว่า นายกรัฐมนตรีแพรทองธาร ไม่ลาออกจากตำแหน่ง ไม่ยุบสภา ยังพยายามรักษาตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป โดยอาศัยตำแหน่งรัฐมนตรีที่ว่าง 8 ตำแหน่ง เป็นขนมล่อพรรคร่วมรัฐบาลให้สนับสนุน.
แน่นอนว่า การพยายามยึดตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้ยาวนานที่สุด ย่อมเผชิญแรงต้าน แรงเรียกร้องให้นายกฯ ลาออกเข้มข้นรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งที่นายกฯแพรทองธารต้องพบ ไล่ตั้งแต่
1. นิติสงคราม โดยอาศัยตุลาการภิวัฒน์ และองค์กรอิสระทั้งหลาย ใช้อำนาจปลดนายกฯ เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ยื่นคณะกรรมการการเลือกตั้งตรวจสอบนายกฯ ด้วยข้อหา “ความไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์”, สมาชิกวุฒิสภายื่นถอดถอนนายกฯ ต่อ ปปช., ศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระอื่น ๆ, นายสมชาย แสวงการ แจ้งความดำเนินคดีนายกฯ ข้อหากระทำผิดต่อความมั่นคงของประเทศ เป็นต้น ซึ่งเป็นไปได้ว่า หากศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องของวุฒิสภาแล้ว จะสั่งให้นายกฯแพทองธารหยุดปฏิบัติหน้าที่.
2. การชุมนุมขับไล่ของกลุ่มการเมืองและนักการเมืองเก่า ๆ ที่มุ่งหวังปลุกระดมมวลชน ก่อกระแสนำสู่ความรุนแรง และเรียกร้องให้ทหารออกมาทำรัฐประหาร โดยหวังได้รับบำเหน็จเกาะอำนาจเผด็จการทหารในตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนฯ หรือ สว. แต่งตั้ง, กรรมการรัฐวิสาหกิจ และตุลาการหรือกรรมการในองค์กรอิสระ ย้อนกลับสู่เหตุการณ์หลังรัฐประหาร 2549 และ 2557.
3. เกมส์การเมืองในสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา เพื่อป่วนการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล เพียงสองวันที่พรรคภูมิใจไทยยื่นใบลาออกจากการร่วมรัฐบาลแพทองธาร ก็เสนอยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ขณะที่วุฒิสภาย่อมจะหาประเด็นขย่มรัฐบาลต่อไปเรื่อย ๆ.
4. มีข่าวว่านักวิชาการ และเหล่าผู้ทรงคุณวุฒิประมาณ 54 คน ได้เตรียมยื่นฎีกาต่อในหลวงรัชกาลที่ 10 เพื่อขอนายกฯพระราชทาน ควบคู่กับการสร้างกระแสเรียกร้องให้พลเอกประยุทธกลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกวาระหนึ่ง.
5. การชุนุมประท้วงของกลุ่มพลังการเมืองฝ่ายอนุรักษ์นิยม และกลุ่มฉวยผลประโยชน์ อาจยืดเยื้อด้วยหวังได้รับการสนับสนุนจากประชาชนเพิ่มขึ้น ก่อกระแสความเดือดร้อนกระหน่ำซ้ำเติมวิกฤตทางเศรษฐกิจ เพื่อให้เห็นว่ารัฐบาลไม่สามารถปกครองประเทศต่อไปได้ จะเป็นตัวเพิ่มกระแสการเรียกร้องทหารให้ออกมาทำรัฐประหารเผด็จอำนาจ โค่นล้มรัฐบาลแพทองธาร และนำประเทศถอยหลังไปอีก 10 ปี เหมือนเช่นที่ผ่านมา.


ในวิถีประชาธิปไตย เมื่อนายกรัฐมนตรีขาด “ความชอบธรรม” ในการบริหารนำพาประเทศต่อไป ประชาชนย่อมแสดงออกได้อีกหลายวิธี โดยไม่ต้องลงสู่ท้องถนน เช่นการกดดันผ่านผู้แทนราษฎรในพื้นที่, การกดดันให้พรรคร่วมรัฐบาลหยุดสนับสนุนรัฐบาล, อาศัยสื่อสังคมทั้งออฟไลน์และออนไลน์เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก ดังเช่นที่เหล่าคนมีชื่อเสียงในสังคม นักร้องนักแสดงได้เริ่มออกมาเรียกร้องให้นายกฯลาออก, การขึ้นป้ายประท้วงแสดงเจตจำนงเรียกร้อง, องค์กรหลัก ๆ ในสังคมเช่นสภาอุตสาหกรรม, หอการค้า, มหาวิทยาลัย ยื่นจดหมายเรียกร้องให้นายกฯลาออก รวมทั้งการเฉื่อยงานของข้าราชการ ฯลฯ เพื่อแสดงว่านายกรัฐมนตรีขาด “ความชอบธรรม” ประชาชน “ไม่ยอมรับ” ฐานะนายกรัฐมนตรีแพทองธารอีกต่อไป.
สภาพการเมืองที่นำสู่วิกฤตเช่นนี้ กดดันให้รัฐบาลแพทองธารไม่อาจยืดเวลาดำรงตำแหน่งได้นาน หากยังดื้อดึงหวังอยู่ในตำแหน่งเพื่อแสวงผลประโยชน์ต่อไป ย่อมต้องนำสู่ความรุนแรงในสังคม และโอกาสที่ทหารจะฉวยโอกาสทำรัฐประหาร ทำลายระบอบประชาธิปไตยย่อมมีมากขึ้น.
ทางออกที่สง่างามของรัฐบาลแพทองธาร และพรรคเพื่อไทย คือการประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยมีหมายกำหนดการที่ชัดเจน เช่น ขอเวลาผ่านร่างงบประมาณแผ่นดินปี 2568 – 2569, แต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่, แต่งตั้งข้าราชการก่อนปีงบประมาณบังคับใช้, ผลักดันคดีฮั้วเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา และ ฯลฯ เป็นต้น.
การขอเวลาพร้อมคำมั่นสัญญาลาออกจากตำแหน่ง อาจจะบรรเทาวิกฤตทางการเมืองไปได้ระยะหนึ่ง ประชาชนที่ไม่ต้องการเห็นประเทศถอยหลังกลับสู่ยุคเผด็จการทหาร อาจจะอดทนรอคอยเวลาที่เหมาะสมได้ แต่แน่นอนว่าต้องไม่นานเกินรอ.
นายกฯแพทองธาร และพรรคเพื่อไทย จะเลือกเดินเส้นทางการเมืองที่สง่างาม รักษาระบอบประชาธิปไตยให้ดำรงคงอยู่ต่อไป โดยตระกูลชินวัตรยังสามารถมีจุดยืนในสังคมและการเมืองไทยต่อไปได้ หรือจะเลือกการช่วงชิงผลประโยชน์ให้ได้มากที่สุดในช่วงเวลาสั้น ๆ โดยเตรียมช่องทางหลบหนีออกนอกประเทศทั้งตระกูล ยอมรับการถูกประณามก่นด่าว่าเป็นตระกูลที่ทำลายระบอบประชาธิปไตยของไทย.
ทางเลือกมีไม่มาก และต้องรีบดำเนินการ.
วิกฤตทางการเมือง ต้องแก้ด้วยวิถีทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย

 

สนใจสมัครสมาชิกผู้มีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท. โปรดคลิ๊ก