บทความใหม่รอบเดือน

 
บันทึกการเสวนา เรื่อง “พลวัตขบวนการแรงงานไทยสู่การเคลื่อนไหวสังคมใหม่

 

การเสวนาในโอกาสวันกรรมกรปี 2568 ในประเด็น “พลวัตขบวนการแรงงานไทยสู่การเคลื่อนไหวสังคมใหม่” ที่จัดโดยกลุ่มวิจัยนวัตกรรมเพื่อสังคมสมานฉันท์และเศรษฐกิจ สถาบันเอเซียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับมูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท ประเทศไทย และกลุ่มศึกษาสำนักข่าวเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย (สปท) เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 ผ่านพ้นไปด้วยความสำเร็จ สร้างความคึกคักทางปัญญา ก่อเกิดความคิดความเข้าใจต่อการเคลื่อนไหวของพลังสังคมสมัยใหม่ โดยมีผู้เข้าร่วมราว 35 คน.

มีประเด็นที่ควรบันทึกไว้ก่อนจะสูญสลายจากความทรงจำ คือ


1. ผู้ใช้แรงงานสมัยใหม่มีการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิผลประโยชน์ของกลุ่มตนเอง ขณะเดียวกันกลไกอำนาจรัฐก็ติดตามอย่างกระชั้นชิด การเคลื่อนไหวจึงต้องคำนึงถึงกลไกอำนาจรัฐเหล่านี้ด้วย.


2. ระบบทุนนิยมมีวิธีการควบคุม หรือครอบงำ ผู้นำกลุ่มผู้ใช้แรงงานผ่านการให้สิทธิผลประโยชน์ และฐานะตำแหน่ง เช่น ในตะวันตก ผู้นำสหภาพแรงงานจะได้รับตำแหน่งรองประธานของวิสาหกิจ เท่ากับมีฐานะเป็นฝ่ายบริหาร มีรายได้สูงกว่าแรงงานทั่วไปมาก ส่วนรัฐไทยใช้วิธีแต่งตั้งเป็นกรรมการ, อนุกรรมการ, กรรมาธิการ, สมาชิกวุฒิสภา หรือ/และสภาแต่งตั้ง ให้สิทธิประโยชน์ด้านเงินเดือนและสวัสดิการ จนสูญเสียสถานะและความคิดอุดมการณ์ของผู้ใช้แรงงาน.


3. ขบวนการแรงงานที่ผ่านมาของไทย หากอยู่ในยุคเผด็จการ ขบวนการแรงงานจะถูกลด หรือห้ามมีบทบาทการเคลื่อนไหวโดยสิ้นเชิง เช่นสมัยสฤษดิ์, ถนอมและประภาส, สมัยประยุทธ์ อำนาจรัฐควบคุมอย่างเข้มงวด ผู้นำถูกเข่นฆ่าจับกุมคุมขังอุ้มหาย.


4. ขบวนการแรงงานมีบทบาทอย่างมากในช่วงหลัง 14 ตุลาคม 2516 มีความตื่นตัวต่อการเรียกร้องสิทธิอันพึงมีพึงได้ของตนเอง เกิดสหภาพแรงงานที่เข้มแข็ง และที่สำคัญคือมีการประสานกับพลังนักศึกษา ที่เข้าไปช่วยการเคลื่อนไหวของขบวนการแรงงานอย่างใกล้ชิด.


5. ขบวนการแรงงานหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เกิดภาวะชะงักงัน ถูกอำนาจรัฐตัดตอนลดบทบาท และควบคุมอย่างเข้มข้น สูญเสียพลังการเคลื่อนไหวเกือบจะสิ้นเชิง.


6. การยื่นข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ใช้แรงงาน หากกลุ่มผู้ใช้แรงงานมีอำนาจต่อรองต่ำ ขาดความเข้มแข็ง การยื่นข้อเรียกร้องที่สูง จะทำให้ยากแก่การเจรจาต่อรองเพื่อความสัมฤทธิ์ผลของข้อเรียกร้อง.


7. การเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิและผลประโยชน์ของผู้ใช้แรงงาน ต้องให้ได้รับชัยชนะ ไม่มากก็น้อย ต้องไม่เสียประโยชน์โดยไม่ได้อะไรเลย.


8. การเคลื่อนไหวของผู้ใช้แรงงาน ปัจจุบันยังไม่อาจเรียกได้ว่าเป็น “ขบวนการ” ในความหมายว่าขบวนการต้องประกอบด้วย 1. มวลชนสมาชิก 2. มีการจัดตั้ง 3. มีผู้นำ 4. มีเป้าหมายร่วมกัน และ 5. มีการเคลื่อนไหว ทำกิจกรรม เรียกร้องเพื่อให้บรรลุเป้าหมายร่วมกัน.


9. ปัจจุบัน ผู้ใช้แรงงานระดับล่างคือคนทำงานในฐานะไร้ฝีมือ หรือกึ่งไร้ฝีมือ อาศัยการขายแรงงานเป็นหลัก ราว 15 – 18 ล้านคน จะอ่อนแอ ขาดอำนาจต่อรอง และราว 4 – 5 ล้านคน เป็นชาวต่างชาติ เช่นพม่า, เขมร และลาว ต้องทำงานหนัก เพราะรายได้ต่อวันในขณะนี้ไม่เพียงพอที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้ ต้องอาศัยการทำงานล่วงเวลา จนแทบจะไม่มีเวลาไปคิดไปทำกิจกรรมอย่างอื่น ๆ.


10. กลุ่มอาชีพอิสระเฉพาะด้าน ซึ่งส่วนใหญ่ทำงานร่วมกับพลังการผลิตสมัยใหม่ เช่นพนักงานโปรแกรมเมอร์, ไอที, วิศวกร และช่างเทคนิค รวมถึงอาชีพบริการ เช่นพนักงานโรงแรม, ธนาคาร, ตลาดหลักทรัพย์, นักวิเคราะห์, ที่ปรึกษา, ผู้เชี่ยวชาญเอไอ ฯลฯ มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่พนักงานที่ใช้แรงงานเป็นหลัก จะมีจำนวนลดน้อยถอยลง เพราะโครงสร้างการผลิตในสังคมเปลี่ยนไป โครงสร้างผู้ใช้แรงงานจึงเปลี่ยนแปลงตามการพัฒนาของพลังการผลิตที่เข้าสู่ยุคอุตสาหกรรมไฮเทค.


11. แรงงานไร้ฝึมือ และกึ่งไร้ฝีมือ จะมีอำนาจต่อรองต่ำ และขาดพลังในการรวมกลุ่มต่อสู้เรียกร้อง เช่นกรณีการขึ้นค่าแรงเป็น 400 บาท เพื่อเป็นของขวัญวันกรรมกรปี 2568 ปรากฎว่าพรรครัฐบาลทั้งพรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทยไม่ได้แสดงพลังขับเคลื่อนอย่างจริงใจและจริงจัง ผู้ใช้แรงงานก็ไม่สามารถรวมตัวเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลทำตามที่สัญญาเมื่อตอนหาเสียงได้.


12. สหภาพแรงงานที่มีอยู่ รวมทั้งผู้ใช้แรงงานกายระดับล่าง ไม่ได้ออกมาใช้สิทธิ์ใช้เสียงคัดค้านการเฉื่อยเนือยของภาครัฐบาล ขณะเดียวกันตัวแทนฝ่ายลูกจ้างในคณะกรรมการค่าจ้าง กลับมีข่าวว่าไปเห็นอกเห็นใจฝ่ายนายจ้าง และโน้มเอียงไปทางความคิดเห็นของภาครัฐ และนายจ้าง.


13. ข้ออ้างของรัฐบาลและฝ่ายนายจ้างยังคงเป็นข้ออ้างเก่าตลอดมา คือเศรษฐกิจไม่อำนวยให้ขึ้นค่าจ้างขณะนี้ เพราะผู้ประกอบการต้องเผชิญวิกฤตความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศ ทั้งผู้ลงทุนชาวต่างชาติมีแนวโน้มจะถอนการลงทุนไปประเทศอื่น ที่มีค่าแรงสวัสดิการถูกกว่า.


14. หากเปรียบเทียบประโยชน์ของการขึ้นค่าจ้างแรงงานจาก 330 + เป็น 400 บาทต่อวัน สำหรับผู้ใช้แรงงานกายจำนวนประมาณ 20 ล้านคน (ประมาณการคร่าว ๆ) จะต้องใช้เงินราว 10,000 ล้านบาทต่อเดือน ปีหนึ่งราว 120,000 ล้านบาท แน่นอนว่านายจ้างระดับเอสเอ็มอี ยากจะแบกรับภาระการเพิ่มขึ้นของค่าจ้างแรงงานได้ คำถามคือภาครัฐได้คิดและหามาตรการช่วยเหลือนายจ้างส่วนนี้หรือไม่ เช่นลดเงินสมทบกองทุนประกันสังคม, ลดสัดส่วนภาษีเงินได้, ภาษีโรงเรือนและที่ดินสำหรับธุรกิจที่มีรายได้ไม่สูง, อุดหนุนสถาบันการเงินปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเหมือนสมัยโควิด – 19 เพื่อปรับโครงสร้าง,เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ใช้เครื่องจักรเครื่องกลที่ทันสมัยอุตสาหกรรม 4.0 ไม่ต้องกลัวแรงงานจะตกงาน รัฐสามารถจัดอบรมยกระดับฝีมือแรงงานให้สามารถใช้งานควบคุมเครื่องจักรกลไอที และเทคโนโลยีเอไอสมัยใหม่ เป็นต้น.
คำถามคือหากเทียบกับการแจกเงินคนละหนึ่งหมื่นบาท โครงการไหนจะให้ประโยชน์กับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศมากกว่ากัน หากท่านเพิ่มค่าจ้างแรงงานให้ผู้ใช้แรงงานเดือนละ 1,500 บาท แน่นอนว่าเงินจำนวนนี้จะเข้าสู่การหมุนเวียนของระบบเศรษฐกิจได้หลายรอบ เพราะผู้ใช้แรงงานจำเป็นต้องใช้เงินทันทีเนื่องจากค่าแรงปัจจุบันไม่พอยังชีพอยู่แล้ว การแจกเงินหมื่นที่ผ่านมาสองรอบได้พิสูจน์ชัดว่าไม่อาจขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้คึกคักสะพัดหมุนได้ตามที่คาดหวังไว้ อีกทั้งโครงสร้างการผลิตของไทยยังจะได้พัฒนายกระดับตามการพัฒนาอุตสาหกรรม 4.0 ด้วย


15. สหภาพแรงงานปัจจุบันมีราว 1,500 – 1,800 แห่ง คิดเป็นสัดส่วนราว 2 – 3 % ของจำนวนโรงงาน 72,000 – 75,000 แห่ง ส่วนใหญ่ไม่มีกิจกรรม ส่วนที่ยังมีบทบาทเคลื่อนไหวราว 400 แห่ง ขณะเดียวกันจำนวนสมาชิกก็มีสัดส่วนเพียง 2 – 3 % ของจำนวนแรงงานทั้งหมดเช่นกัน พลังในส่วนนี้จึงอ่อนด้อย และมีบทบาทน้อย.


16. โครงสร้างการผลิตยุคอุตสาหกรรม 4.0 ก่อเกิดอาชีพใหม่ ๆ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในภาคบริการ เช่นไรเดอร์, แม่บ้านอิสระ, นักการเงิน, นักออกแบบสื่อ, ผู้เชี่ยวชาญไอที, ที่ปรึกษา, โปรแกรมเมอร์ ฯลฯ การจ้างงานเป็นแบบโครงการ หรือชิ้นงาน บุคคลเหล่านี้อยู่และทำงานกันอย่างกระจัดกระจาย การรวมกลุ่มทำได้ยาก เช่นไรเดอร์, แม่บ้าน คนงานนอกระบบการจ้างงานปกติ, งานบริการ, คนขับรถรับจ้าง ฯ บวกกับการขาดผู้นำที่มีบุคลิกภาพ ทำให้การรวมกลุ่มแสดงพลังทำได้ยาก ส่วนใหญ่มีรายได้เกินกว่ารายได้มาตรฐานขั้นต่ำ จึงมิได้สนใจเรื่องค่าจ้าง เพราะมีอำนาจต่อรอง เป็นความต้องการของตลาด แม้จะขาดความมั่นคง และสวัสดิการ ตลอดจนหลักประกันสุขภาพ แต่กลุ่มคนที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านไฮเทคคิดว่าสามารถใช้เงินที่หาได้ ซื้อสิ่งที่ต้องการได้ ความสนใจต่อชั้นชนอาชีพอื่นมีน้อย ขณะเดียวกัน บุคลากรเหล่านี้สามารถเคลื่อนย้ายถิ่นฐานไปทำงานยังประเทศอื่น ๆ ได้ ด้วยการสื่อสารสมัยใหม่ที่สามารถทำงานที่ไหนก็ได้ ความผูกพันในความเป็นชาติ หรือความรู้สึกร่วมกับชั้นชนที่ต่ำกว่าที่ด้อยโอกาสกว่าจึงยิ่งมีน้อยลง


17. ไรเดอร์ เช่นคุณประภาพร ผลอินทร์ จึงได้พลิกแพลงด้วยการใช้สวัสดิภาพความปลอดภัย และสุขภาพมาเป็นแรงจูงใจในการรวมกลุ่มไรเดอร์ ถือเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจและควรแก่การสนับสนุน.


18. สรุปคือแรงงานไทยสมัยใหม่ มีสภาพที่อ่อนแอ กระจัดกระจาย ขาดพลังในการเคลื่อนไหว จะต้องอาศัยพลังจากภายนอกมาช่วยกระตุ้นให้การศึกษาจัดอบรม เช่นดั่งการเคลื่อนไหวหลัง 14 ตุลาที่มีนักเรียนนักศึกษาและนักวิชาการเข้าไปช่วยเหลือร่วมขับเคลื่อน.


19. ประการต่อมา คือขบวนการแรงงานไทยต้องอาศัยพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่เข้าใจและมีนโยบายยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของผู้ใช้แรงงาน เช่นพรรคประชาชน เสนอกฎหมายคุ้มครองแรงงานฉบับใหม่ แต่ถูกพรรครัฐบาลแพทองธารตีตก เป็นต้น.


20. การสื่อสารสมัยใหม่ผ่านทางโซเชียลจะมาแทนที่โรงงานแบบเก่าที่ผู้ใช้แรงงานทำงานอยูู่ในอาคารเดียวกัน การให้การศึกษาการรวมกลุ่มสามารถใช้การสื่อสารออนไลน์ และเรียลไทม์ได้.


21. ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมใหม่ ที่มีพลังชัดเจนในเวลานี้คือ กลุ่ม LGBTQ+ ที่ต่อสู้เรียกร้องจนได้รับการรับรองตามกฎหมาย สามารถจดทะเบียนสมรส จัดงานเฉลิมฉลองที่เรียกว่างานไพร์ดใหญ่โต การเคลื่อนไหวส่วนใหญ่ดำเนินโดยบุคลากร LGBRQ + ที่มีความรู้มีการศึกษามีฐานะการงานดี สร้างความคึกโครมไปทั่วโลกจากการจัดงานไพร์ดประจำปี แต่คำถามคือการเคลื่อนไหวได้ลงถึงบุคลากร LGBTQ + ระดับล่างหรือไม่อย่างไร และหากการเคลื่อนไหวยังจำกัดอยู่ในหมู่คนที่มีเพศสภาพข้างต้น โดยมิได้สนใจปัญหาสังคมอื่นของคนด้อยโอกาส เพศสภาพ LGBTQ + จะได้รับการยอมรับและสนับสนุนจากผู้ใช้แรงงานระดับล่าง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านทั่วไปได้อย่างไร ?


22. อาจารย์อรรคณัฐ วันทนะสมบัติ ได้นำเสนอแนวคิดโซเชียลโซลิดาริตี้อีโคโนมี เป็นทางออกหนึ่ง การทำความเข้าใจรายละเอียดรูปธรรม จะต้องให้อาจารย์อรรคณัฐนำเสนออีกครั้ง แต่ผลงานที่เห็นคืออาจารย์อรรคณัฐได้ออกแบบและจัดทำแพลตฟอร์มการรับส่งอาหาร โดยคิดค่าบริการที่น้อยลง ไม่หวังผลกำไรมากเช่นธุรกิจเอกชน อาศัยไรเดอร์เป็นคนบริหารจัดการกันเอง เป็นต้น.


23. อาจารย์ปกรณ์ เลิศเสถียรชัย นำเสนอแนวคิด “ส่วนรวมและการดูแลร่วม” จุดความสงสัยว่าจะได้ผลเพียงใด เมื่อหลายคนมีประสบการณ์ว่าอะไรที่เป็นทรัพย์สินสิ่งของร่วมกัน มักจะไม่มีใครดูแลจัดการ ปล่อยให้ดำเนินไปตามมีตามเกิด ขาดการดูแลรักษาและพัฒนาร่วมกัน แล้วจะสร้างจิตสำนึกการคำนึงถึงส่วนรวม และการดูแลร่วม ได้อย่างไร ?


24. ขบวนการเคลื่อนไหวสังคมใหม่ยังมีเรื่องราวอีกหลากหลายให้พวกเราได้ศึกษา และทำความเข้าใจ ผู้ร่วมเสวนาหลายท่านฝากความหวังว่าอาจารย์อรรคณัฐและทีมงานจะได้ขับเคลื่อนและจัดเสวนาเรื่องราวใหม่ ๆ ให้เราได้เข้าร่วมอีกต่อ ๆ ไป.

 
 
 

สนใจสมัครสมาชิกผู้มีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท.  โปรดคลิ๊ก  

 

whitebanner