บันทึกเรื่องล้ำในไพรลึก   ตอนที่ 2...“ไม่ไกลเกินไป ที่จะเข้าถึงลุงไฟ”

โดย ชลธิรา สัตยาวัฒนา

“ไม่ไกลเกินไป ที่จะเข้าถึงลุงไฟ”

การต่อภาพปริศนา ว่า “จิตร ภูมิศักดิ์ เป็นใคร? ทำอะไรไว้บ้าง? ทำไมถึงต้องถูก “โยนบก” ?
“การโยนบก” คืออะไรในรั้วจามจุรีอันโอ่อ่า? จิตรใช้นามปากกาอะไรบ้างในช่วงถูกพักการเรียน? ตอนถูกจับขังติดคุกลาดยาวอยู่กับใคร? จิตรทำอะไรและเขียนอะไรไว้บ้าง ช่วงไร้อิสรภาพ? ออกจากคุกแล้วจิตรเข้าป่าไปอยู่ที่เขตไหน? และจิตรถูกใครยิงตาย…ที่ไหน?
ทั้งหมดนี้...กว่าจะต่อปริศนา “ตัวตน” ของ “จิตร” จนได้ภาพรวมที่กระจ่างชัด นักคิด กวีนักเขียน นักวิชาการ นักทำหนังสือ สำนักพิมพ์ต่าง ๆ ต้องใช้เวลานานหลายปี เพราะใน ‘เทวาลัย’ ยุคก่อน “6 ตุลาฯ 2519” ยังไม่มีใครกล้าปริปากเล่าเรื่อง หรือท้าวความหลังว่าเคยรู้จักจิตร ภูมิศักดิ์ หลังเกิดเหตุนองเลือดสังหารหมู่นักศึกษากลางสนามหลวงยิ่งแล้วเข้าไปใหญ่ เพราะบรรดาหนังสือที่สืบค้นกันออกมา ล้วนถูกริบถูกรวบถูกเผาจนแทบว่าจะสิ้นซาก กว่าจะฟื้นคืนชื่อคืนร่าง จิตร ภูมิศักดิ์ ขึ้นมาผงาดได้อีกครั้งก็ใช้เวลานานโข...

 

แต่นั่นก็ไม่ยากเท่า การเสก “นายผี” ให้ฟื้นคืนร่าง ปรากฏให้ชัดเจนต่อหน้าต่อตาเรา
เพราะ “นายผี” ก็คือ นายของ ‘ผี’ โดยจริงแท้ ผู้ฝึกฝนตัวเองมาที่จะเคลื่อนไหวไร้รูปรอย
เขามักจะปรากฏตนเป็นพัก ๆ เหมือนนกโฉบเข้ามาเพื่ออะไรบางอย่าง แล้วก็บินหายไปพักใหญ่ ไปไหนหรืออยู่แห่งหนใดไม่มีใครรู้ได้ จากนั้นก็ดูเหมือนจะเป็นเช่นเขา ผู้มาอย่างอำพรางตนในรูปนามใหม่ให้ผู้คนฮือฮาแต่ก็สับสนกันไป เช่นกรณีที่ “เขา” ใช้นามปากกา “ประไพ วิเศษธานี” ซึ่งต่อมาไม่นานนัก ก็ดูเหมือนว่าจะเป็น “เขา” อีกกระมังที่บินร่อนเข้ามาในนาม “อุทิศ ประสานสภา” แต่จะใช่เป็นเขาหรือไม่ ผู้คนก็โจษขานเล่าลือกันไปอีกยกใหญ่

 


การต่อภาพร่างของ “จิตร” นั้น ร่องรอยส่วนใหญ่อยู่ในเมือง ในรั้วเทวาลัย ในหนังสือมหาวิทยาลัย ในสื่อสิ่งพิมพ์ที่พอจะแกะรอยได้อย่างเป็นรูปธรรม เพราะมีคนจดจำรำลึกหรือเป็นสักขีพยานให้ได้ และแม้ในคุกที่เรียกกันว่า ‘มหาวิทยาลัยลาดยาว’ ก็มีพยานบุคคลร่วมแดนตารางให้ปากคำจนสืบทราบกันได้หลายเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นบทเพลง บทละครและงานเขียนชิ้นสำคัญ ๆ…รวมถึง “แดนสังหาร” จิตร ภูมิศักดิ์ ที่สกลนคร ก็สืบสาวได้ถึง ‘จุดปลิดชีพ’ จิตร ภูมิศักดิ์ และแม้กระทั่งใครเป็นมือปืน

 


แต่ทว่าการฟื้นคืนร่าง “นายผี” นั้น เป็นการ ‘แกะรอย’ ผ่านผืนป่ากว้างใหญ่อันเป็นแดนปิดลับในท่ามพงไพรลึก แถมยังเป็นที่เข้าใจกันว่า “นายผี” เป็นบุคคลระดับ ‘สหายนำ’ ของ พคท. (พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย) ที่เคลื่อนไหวอย่างผิดกฎหมายในช่วงมืดมนของสังคมการเมืองไทย การเดินทางของ “นายผี” จึงล้วนวูบไหวไร้ร่องรอย เพราะวิถีคอมมิวนิสต์ไทยแต่เดิมมาจำต้องสงวนชื่อเสียงเรียงนาม ทั้งนามจริงและนามปากกา แม้แต่ชื่อจัดตั้งก็มักจะเปลี่ยนเมื่อย้ายถิ่นย้ายเขตงานหรือย้ายสังกัดหน่วยงาน

 


ข้อเขียนชุด “บันทึกเรื่องล้ำในไพรลึก” มุ่งคลี่ ‘มายารูป’ ของผู้ที่ได้ชื่อว่า เป็นทั้ง ‘ผี’ และ ‘ไฟ’ ตามด้วย ‘สหายบ่ไร’ ชื่อจัดตั้งท้ายสุดก่อนที่เขาจะหายเข้ากลีบเมฆเหนือสันปันน้ำสู่แดนลาว
การแกะรอยเพื่อฟื้นคืน ‘ร่างทรง’ ของ “นายผี” ผู้อยู่ในเงามืดมิดของสังคมทมิฬมารมาชั่วชีวิต ผู้เขียนคนนี้ก็ต้องทุ่มเทใช้เวลาเกือบชั่วชีวิตเช่นกัน

 


จากการสืบสาวประวัติจากพยานบุคคลที่เคยร่วมงานกับ ‘นายผี’ มา เช่นคุณสุภา ศิริมานนท์ ปัญญาชนผู้บุกเบิกการศึกษาเผยแพร่ลัทธิมาร์กซ์ในสังคมไทย และกวีนักคิดนักเขียนนักประวัติศาสตร์เช่นคุณทวีป วรดิลก ในระยะเริ่มแรกของการสืบสาวนั้น เรารับรู้กันแต่เพียงภาพ ‘ตัวตน’ อันเป็นอัตลักษณ์เข้มคมของ ‘อัยการกวี’ ผู้มีอหังการว่า
“อัศนี พลจันทร ไม่ใช่คนสิ้นไร้ไม้ตอก
ไม่ได้สิ้นทางไปในระบบราชการ
หากด้วยจิตใจที่รักความเป็นธรรม
ได้เลือกหนทางเข้าป่าไปพร้อมกับคู่ชีวิต”

 


“นายผี” เดินทางไกลไปจากระบบราชการไทยนานแสนนานกว่าห้าสิบหกสิบปี สู่แนวรบที่ปฏิวัติของเขตงานต่าง ๆ ที่ล้วน ‘ปิดลับ’ ขั้นสูงสุดในหลายประเทศ จนในที่สุด ‘เถ้าอังคาร’ ของท่านก็ได้มีโอกาสกลับบ้านเกิดมาซบ “อกแม่” ตามที่ได้ตั้งจิตปรารถนาไว้ในบทเพลง “คิดถึงบ้าน”
คุณโกลิศ พลจันทร บุตรชายของอัศนี พลจันทร เปิดเผยว่า ได้ติดตามคุณพ่อไปอยู่ที่ “ปักกิ่ง” ด้วยแต่เยาว์วัย และเล่าถึงที่มาของ ‘เพลงคิดถึงบ้าน’ (หรือ ‘เดือนเพ็ญ’) ที่ชนะใจคนจำนวนมากจากหลากหลายชนชั้นอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ ไว้ดังนี้ :
​“คุณพ่อคิดถึงเมืองไทย และขวนขวายเสนอฝ่ายนำ (ศูนย์กลางนำ พคท.) ว่า อยากขอกลับมาอยู่ในเขตพื้นที่ประเทศไทยจะดีกว่า แต่ไม่เป็นผล ท่านจึงแต่งเพลง “คิดถึงบ้าน” ขึ้นมา โดยใช้ท่อนแรกของทำนองเพลง “พม่าเห่ สองชั้น”
คำบอกเล่านี้ชี้ช่องว่า “นายผี” แต่งเพลง “คิดถึงบ้าน” ที่ ‘ปักกิ่ง นครแห่งความหลัง’ ของ สด กูรมะโรหิต และใครต่อใครอีกหลายคน
[จากป่าดงพงลึก “นายผี” ไปทำอะไรที่สร้างสรรค์ไว้ที่ ‘ปักกิ่ง’…เราจะได้แกะรอยสืบสาวราวเรื่องลงรายละเอียดในขั้นตอนต่อไป]

 


เมื่อมีคำถามเชิงวิจารณ์ว่า
“เพลงนี้มีเนื้อหาลีลาโรแมนติก เสมือนเป็นอารมณ์นายทุนน้อยที่คิดถึงบ้าน ‘อยากกลับเข้ามาอยู่ในเมือง’ ถึงขนาดกล่าวหาว่าเป็นการแสดงท่าทียอมจำนน ความจริงในช่วงเวลานั้นเป็นอย่างไร”

 


คุณโกลิศ พลจันทร ให้คำตอบว่า
“มันเป็นการให้ร้ายคุณพ่อ เหมือนว่าพ่อยอมจำนน เลิกสู้ เลิกปฏิวัติเสียแล้ว เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง
ความจริงคุณพ่อยืนหยัด เดินหน้าอยู่ในขบวนปฏิวัติ…ไม่เคยคิดจะมอบตัวใด ๆ เลย
ที่บอกว่า ‘คิดถึงบ้าน’ นั้น หมายถึง อยากกลับไปสู่แนวหน้าในเขตป่าเขา เพื่อสู้รบปลดปล่อยประเทศไทยตามความตั้งใจ
จะเห็นได้ว่า คุณพ่อไม่ยอมจำนน จนวาระสุดท้ายของชีวิตก็ยังสิ้นใจอยู่ที่ สปป.ลาว”

จากปากคำนี้ เราได้เค้าเงื่อนภาพร่างเป็นเงาเลือนรางว่า “นายผี” ร่อนเร่กลับมาสู่ ‘แนวหน้าในเขตป่าเขา’ ชายแดนไทย แล้วก็ไปสิ้นใจในแดนลาว
[เราจะสืบค้นแกะรอย “นายผี” ในฟากฝั่งแดนลาวกันต่อไป]

 


มีคำถามตามมาว่า
“เนื้อหาของเพลง ‘คิดถึงบ้าน’ มีอะไรที่ควรรู้ หรือควรเข้าใจให้ถูกต้อง”
ได้คำตอบจากคุณโกลิศว่า
“มีการร้องผิด โดยเฉพาะวรรคแรกที่ไปร้องกันว่า
“เดือนเพ็ญ สวยเย็นเห็นอร่าม...”
ที่ถูกต้องใช้คำว่า ‘แสง’ ไม่ใช่ ‘สวย’
“เดือนเพ็ญ แสงเย็นเห็นอร่าม...”

 


เท่าที่ติดตามดูระยะหลัง กวีวจนะที่งดงามคือ “แสงเย็น” ได้คืนกลับมา บัดนี้นักร้องส่วนใหญ่จากค่ายเพลงต่าง ๆ ร้องได้ถูกต้องตามต้นฉบับแล้ว

 


คุณโกลิศ พลจันทร ยังให้ข้อมูลที่น่าสนใจเพิ่มว่า
“สังเกตว่าในเนื้อเพลง มีคำว่า ‘ลม’ กับ ‘ ไฟ’ ตรงนี้มีนัยยะครับ
‘ลม’ ในเนื้อเพลง มีถึง 4 คำ ‘ลม’ เป็นชื่อจัดตั้งของคุณแม่ผม
‘ไฟ’ ก็คือชื่อจัดตั้งของคุณพ่อผมเอง”

 


มาถึงวันนี้ เริ่มเป็นที่รู้กันแพร่หลายแล้วว่า เพลง “เดือนเพ็ญ” หรือ “คิดถึงบ้าน” นั้น ทั้งเนื้อร้องและทำนอง ประพันธ์โดย อัศนี พลจันทร (นามจริง) คือผู้ที่รู้จักกันในนามปากกาที่ใช้แต่งบทกวีว่า ‘นายผี’ และอีกหลายนามปากกา ท่านเป็นผู้มี ‘ชื่อจัดตั้ง’ ที่ใช้กันใน พคท.ว่า ‘สหายไฟ’ หนุ่มสาวนักศึกษาที่เข้าป่าไปหลัง “6 ตุลาฯ” เรียกขานท่านในเขตป่าเขาแนวรบปฏิวัติว่า “ลุงไฟ”

 


“คิดถึงบ้าน” จัดเป็นเพลงเพื่อชีวิตที่สมควรได้รับยกย่องว่าเป็น ‘หนึ่งในสุดยอดเพลงเพื่อชีวิต’ ก็ว่าได้ เป็นเพลงที่ขับขานและบันทึกเสียงในวาระต่าง ๆ มากที่สุดเพลงหนึ่งในรอบสามทศวรรษที่ผ่านมา น้อยคนที่ฟังเพลงนี้แล้วจะไม่รู้สึกรู้สมกับอารมณ์เพลงสื่อความหมายกินใจ เข้าถึงแทนใจผู้คนที่จำต้องพลัดพราก เดินทางไกลจากบ้านเกิดเมืองนอน ความลึกซึ้งของอารมณ์เพลงสื่อผ่านถ้อยคำเรียบง่าย เป็นคำใสซื่อที่ชาวบ้านเข้าใจ เป็นคำกวีที่ชาวเมืองผู้มีการศึกษาเข้าถึงรสทางวรรณศิลป์ ด้วยท่วงทำนองเพลงที่ไพเราะกลมกลืนกับเนื้อหา ทำให้ชื่อ ‘นายผี’ หรือ อัศนี พลจันทร เป็นที่รู้จักจดจำรำลึกในวงกว้าง กลายเป็นเพลงร่วมสมัยจวบจนปัจจุบัน

 


เนื้อเพลงต้นฉบับ
ผู้คนทั่วไปมักเข้าใจกันว่า เริ่มแรกเพลง "คิดถึงบ้าน" คงได้รับการถ่ายทอดกันแบบปากต่อปาก หรือที่คนพื้นบ้านเรียกกันว่า “ต่อเพลง” จึงเป็นเหตุให้จดจำเนื้อร้องเพี้ยนกันไปบ้าง โดยเฉพาะคำบางคำดังกล่าว แต่ก็มีบางข้อมูลบ่งชี้ว่าหาเป็นเช่นนั้นไม่
เนื้อร้องสำนวนนี้ ได้รับการตรวจทานจาก "ป้าลม" หรือ คุณวิมล พลจันทร ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากของ ‘ลุงไฟ’ หรือ ‘นายผี’ คัดจากหนังสือ "รำลึกถึงนายผี จากป้าลม"
(จัดพิมพ์ในวาระ ‘ป้าลม’ อายุครบ 72 ปี)

 


“เดือนเพ็ญ…แสงเย็นเห็นอร่าม
นภาแจ่มนวลดูงาม
เย็นยิ่งหนอยามเมื่อลมพัดมา
แสงจันทร์นวลชวนใจข้า
คิดถึงถิ่นที่จากมา
คิดถึงท้องนาบ้านเรือนที่เคยเนา

 


กองไฟ…สุมควายตามคอก
คงยังไม่มอดดับดอก
จันทร์เอยช่วยบอกให้ลมช่วยเป่า
โหมไฟให้แรงเข้า
พัดไล่ความเยือกเย็นหนาว
ให้พี่น้องเรานอนหลับอุ่นสบาย

 


เรไร…ร้องฟังดังว่า
เสียงเจ้าที่เฝ้าคอยหา
ลมเอ๋ยช่วยมากระซิบข้างกาย
ข้ายังคอยอยู่มิหน่าย
มิเลือนเคลื่อนคลาย
คิดถึงมิวายที่เราจากมา

 


ลมเอย…จงเป็นสื่อให้
น้ำรักจากห้วงดวงใจ
ของข้านี้ไปบอกเขานะนา
ให้คนไทยรู้ว่า
ไม่นานลูกที่จากมา
จะไปซบหน้าในอกแม่เอย”
ไม่แปลกอะไร ถ้าจะยืนยันว่า ความหมายลึกล้ำของคำในเพลงนี้ คือ คำว่า ‘ลม’ นัยแรกหมายถึงลมที่พัดทั่วไป อีกนัยที่ลึกลงไปคือ ชื่อคู่ทุกข์คู่ยากของผู้แต่งเพลง ซึ่งก็คือ คุณวิมล พลจันทร ผู้มีชื่อจัดตั้งในป่าว่า ‘สหายลม’
“ดิน น้ำ ลม ไฟ” คือ สี่ธาตุหลักที่ปรากฏในบทเพลงนี้
‘ดิน’ ถูกแทนที่ด้วยคำรวมว่า ‘ถิ่น’ และเสริมด้วยอีกหลายคำ เช่น ท้องนา บ้านเรือน คอกควาย
คำอุปลักษณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ ‘อกแม่’ ซึ่งเป็นภาพแทนทั้งอารมณ์รักต่อคนรักและอุดมการณ์สูงส่งที่มีต่อบ้านเกิดเมืองนอน
‘แม่พระธรณี’ ในความหมายสากล คือ ‘Mother Earth’ หมายรวมอยู่ในคำ ‘อกแม่’ ที่อบอวลด้วย ‘น้ำรัก’
“ลมเอยจงเป็นสื่อให้
น้ำรักจากห้วงดวงใจ
ของข้านี้ไปบอกเขานะนา”
ข้อความในสามวรรคนี้ ควรยกให้เป็นโวหารกวี ที่ใช้ “กวิตานุมัติ’ หรือที่ในวงการวรรณคดีวิจารณ์เรียกว่า Poetic license ที่เล็ดลอดออกมาด้วยอารมณ์รักต่อผู้อันเป็นที่รักอย่างเหลือล้น ขณะเดียวกันนั้นก็ให้มีความหมายอีกนัยหนึ่ง คือ การทดเทิด หรือ ‘ยกขึ้นสูง’ (Sublimation) ถึงอุดมการณ์อันสูงส่ง นั่นคือ ‘ความรู้สึกรักชาติ’ (ที่ไม่ใช่ ‘ความคิดชาตินิยม’ ตามนิยามความหมายของนักประวัติศาสตร์; และก็มิใช่ความรักหลงจน ‘คลั่งชาติ’ เช่นที่พบเห็นได้ทั่วไปในหมู่ผู้มีความคิดอนุรักษ์นิยมแบบสุดโต่ง) หากเป็นความรักแบบอาวรณ์โหยหาถึง ‘อกแม่’ ในความหมายของ ‘แผ่นดินแม่’ อันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนที่นิยมใช้ทับศัพท์บาลีว่า ‘มาตุภูมิ’ ผู้ประพันธ์บทเพลงได้แสดงออกถึงความหมายนัยยะหลังสุดโดยการตวัดกลับอย่างมีชั้นเชิง ด้วยสามวรรคสุดท้ายของบทเพลงคือ
“ให้คนไทยรู้ว่า
ไม่นานลูกที่จากมา
จะไปซบหน้าในอกแม่เอย”

 


อัศนี พลจันทร หรือ ‘ลุงไฟ’ แต่งเพลงนี้ขึ้นด้วยอารมณ์ความรู้สึก “คิดถึง” อย่างลึกซึ้ง ทั้งของตัวท่านเองที่มีต่อคู่ชีวิต คือ ‘ป้าลม’ และด้วยความจริงใจอันเปี่ยมท้นต่อบ้านเกิดเมืองนอน~แผ่นดินแม่~มาตุภูมิ ในความหมายกว้างที่สุดไม่จำกัดพื้นที่ เหตุการณ์ทางสังคมการเมืองในสมัยนั้น ทำให้ท่านตัดสินใจอำลาจาก “อกแม่” ~ มาตุภูมิ ไปเป็นเวลายาวนานมาก ในการนี่ท่านได้ดำเนินภารกิจสำคัญที่ควรถือได้ว่าเป็นคุณูปการอัน ‘ล้ำเลิศ’ เท่าที่นักคิดนักเขียนและกวีนักแต่งเพลงคนหนึ่งจะสามารถอุทิศให้กับการปฏิวัติไทยได้อย่างไม่น่าเชื่อ ดังจะได้ลงรายละเอียดต่อไป

 


พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ นักร้องนักแต่งเพลงเพื่อชีวิตเพื่อประชาชน ดูเหมือนจะเป็นคนแรก ๆ ที่นำเอาเพลง "คิดถึงบ้าน" นี้ออกจาก ‘ไฟสุมขอน’ กลางกระท่อมไม้ไผ่หลังเล็ก ในราวป่า ณ ห้วงไพรลึกแห่งหนึ่งบริเวณตะเข็บชายแดนไทย-ลาว ไม่ใกล้ไม่ไกลนักจากอาณาบริเวณ ‘ฐานที่มั่นปฏิวัติ เขตน่านเหนือ’ แถบภูแวภูพยัคฆ์ นักศึกษาปัญญาชนที่เข้าป่าไปรู้จักกันในนาม ‘เขต 4’ อันเป็นที่ตั้งของสองหมู่บ้านใหญ่ของชาวลัวะ (ไปร๊ ) คือ บ้านสว่าง กับ บ้านกู้ชาติ

 


เหตุใดจึงเริ่มต้นจาก พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ ? ไม่เป็นใครอื่น ?

 


“บันทึกการเดินทางไกล” ของ ‘สิริอุสา พลจันท์’ ให้เบาะแสว่า เป็นเพราะ ‘ในบรรดานักร้องนักแต่งเพลงเพื่อชีวิตที่ได้เข้าป่าไปทางภาคเหนือ ในเขตฐานที่มั่นปฏิวัติชนชาติลัวะจังหวัดน่านนั้น พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ ในชื่อจัดตั้ง ‘สหายแคน’ เป็น ‘สหายนักศึกษา’ ใน “หน่วยศิลป์น่านเหนือ” ที่ ‘นายผี’ หรือ ‘ลุงไฟ’ ชื่นชอบและชื่นชมว่ามีความสามารถด้านพลังเพลงอย่างเอกอุ ด้วยมีลีลาการร้องแบบชาวบ้านและใช้ท่วงทำนองเพลงแนวพื้นบ้านพื้นเมือง แนวเพลงและ ‘ทางเฉพาะ’ ของพงศ์เทพ กระโดนชำนาญ สอดคล้องกับฐานรากและ ‘ทางมวลชน’ ส่วนใหญ่ที่เป็นชาวไร่ชาวนา ซึ่งเป็นพลังสำคัญของการปฏิวัติ
คงเป็นเพราะเหตุนี้เองที่ ‘สหายแคน’ พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ จากหน่วยศิลป์ ได้รับโอกาสให้ได้พบกับ ‘สหายนำ’ (ยากที่คนทั่วไปจะได้พบ) เช่น ‘ลุงไฟ’ ผู้สังกัด “หน่วย 20” อันเป็นหน่วยงานที่ทำงานด้านทฤษฎี มีลักษณะปิดลับระดับสูงอีกหน่วยงานหนึ่งที่ซุกซ่อนตัวอยู่ที่ตะเข็บชายแดนไทย-ลาว

 


หลังจากนั้นก็มีมิตรสหายปัญญาชน กวี นักเขียนอีกบางคน ได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษให้เดินเข้า ๆ ออก ๆ ไปยังกระท่อมน้อยในราวป่าทึบทึมหลังนั้นด้วย จนทำให้เกิดมีบรรยากาศล้อมวง ‘ไฟสุมขอน’ ศึกษาแลกเปลี่ยนเรื่องกลกลอนกานท์กวีกันอย่างมีรสชาติยามค่ำคืน ในจำนวนนี้มี สหายจันทากับสหายป่อง (ต้นกล้า) สหายทองกรานกับสหายพันตา (คาราวาน) เป็นต้น
พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ เคยเขียนว่า ก่อนจากกันที่ชายแดนน่าน ‘นายผี’ ส่งกระดาษให้แผ่นหนึ่ง เมื่อกลับสำนัก คลี่ดูปรากฏเป็นเนื้อเพลง ข้อมูลนี้ได้มาจาก ‘สหายจันทา’ สหายนักศึกษาในหน่วยศิลป์น่านเหนือ หนึ่งในสมาชิกร่วมวง ‘ไฟสุมขอน’ ในกระท่อมลับของลุงไฟ (ไม่มีใครยืนยันหรือโต้แย้งเพราะเป็นเหตุการณ์เฉพาะตัว แต่ก็ไม่มีหลักฐานเอกสารหลงเหลือยาม ‘ป่าแตก’ ให้สืบค้นได้)

 


อาจถือได้ว่า ‘สหายแคน’ พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ เป็นผู้ได้รับมอบมรดกตกทอดชิ้นงามนี้จาก ‘ลุงไฟ’ โดยตรง ที่วอนฝาก ‘ลม’ ให้ช่วยพัดพาความคิดถึงห่วงหาอาวรณ์มามอบให้กับ ‘แผ่นดินแม่’ ในระยะเวลาต่อมา ด้วยเป็นที่ชัดเจนว่า ‘สหายพันตา’ หรือ ‘หงา คาราวาน’ (สุรชัย จันทิมาธร) แม้จะมีโอกาสสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ ‘ลุงไฟ’ ได้ร่วมล้อมวง ‘ไฟสุมขอน’ ระยะหนึ่งด้วยเช่นกัน แต่ ‘หงา’ รับรู้และฟังเพลง “คิดถึงบ้าน” นี้ ไม่ใช่โดยทางตรงจาก ‘ลุงไฟ’ หากได้ผ่านทางญาติผู้หลานของ ‘ลุงไฟ’ ดังปรากฏหลักฐานในบันทึกของ ‘หงา’ เองถึงที่มาของเพลง “คิดถึงบ้าน” ว่า :
“...ที่สนามรบก่อนเกิดศึกใหญ่ (หมายถึงยุทธการล้อมปราบในเขตน่านเหนือ) ผมได้พบญาติพี่น้องซึ่งเป็นสายทางเขา (นายผี) เพลง 'คิดถึงบ้าน' ถูกร้องให้ผมฟังโดย ‘หมอตุ๋ย’ สหายหญิงผิวคล้ำคนภาคกลางแถบราชบุรี ซึ่งเป็นญาติของเขา และบอกว่าเป็นเพลงที่นายผีแต่งขึ้น ตั้งแต่พลัดบ้านพลัดเมืองไปอยู่ที่กรุงปักกิ่ง เป็นเวลาเกือบ 30 ปีมาแล้ว” — หงา คาราวาน

 


อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลที่ได้จาก ‘สหายจันทา’ อีกกระแสหนึ่งว่า ‘ป่อง ต้นกล้า’ เล่าว่าเคยนั่งคุยกับ ‘นายผี’ คืนหนึ่งที่น่านเหนือ (น่าจะเป็นกระท่อมไฟสุมขอน ที่หน่วย 20 ~ ผู้เขียน) แล้ว ‘นายผี’ ก็พูดถึงเพลงนี้ และยังร้องให้ฟังด้วย
‘ป่อง ต้นกล้า’ ขอจดเนื้อแล้วเอามาร้องให้สหายหน่วยศิลป์น่านเหนือฟัง ด้วยทำนองอิงกับเพลงไทยเดิม "พม่าเห่ ๒ ชั้น" ป่องจึงคุ้นเคยและจับ ‘ทางเพลง’ ได้อย่างรวดเร็วแม่นยำ

 


หลังจากนั้นหลายปี เมื่อเพลงนี้ "ฮิต" แล้ว เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ กวี~ศิลปินแห่งชาติ ได้แต่งเพลง "ตอบเดือนเพ็ญ" ล้อกับเพลง "คิดถึงบ้าน" โดยใช้ทำนอง "พม่าเห่ ๒ ชั้นทางเปลี่ยน" มอบให้ สุรชัย จันทิมาธร ขับร้อง ผลงานชิ้นนี้บันทึกเทปเรียบร้อยแล้ว
(คำว่า "ทางเปลี่ยน" หมายถึงเพลงเดิม ที่ศิลปินเอาทำนองหลักมาปรับ แต่ง ขยาย ให้มีทำนองแตกต่างออกไป แต่โครงสร้างเพลงเหมือนเดิม ~ สหายจันทา)

 


ดังความเป็นมาที่กระท่อนกระแท่น สืบค้นจากหลายทิศทาง จึงเกิดมี “ข้อถกเถียง” ที่น่าสนใจในเรื่อง “การต่อเพลง” แต่ละคำแต่ละวรรคแต่ละท่อน ที่ไม่อาจยืนยันด้วยต้นฉบับลายมือตัวเขียนของ ‘นายผี’ เองได้ เนื่องจากท่านล่วงลับไปแล้ว สำหรับนักวรรณคดีวิจารณ์เช่นผู้เขียนบันทึกนี้ เห็นว่ามีความสำคัญยวดยิ่งต่อการประกอบสร้าง ‘อหังการกวี’ อย่าง ‘นายผี’ ให้สมจริง เพื่อชนรุ่นหลังจะได้ร่วมกันวิจักษ์วิจารณ์ ซึมซับรับรู้รสวรรณศิลป์ชั้นครูกันอย่างลึกซึ้ง :
เนื้อเพลงท่อนสุดท้ายที่ว่า
“ลมเอยจงเป็นสื่อให้
น้ำรักจากห้วงดวงใจ
ของข้านี้ไปบอกเขา นะนา
ให้คนไทยรู้ว่า
ไม่นานลูกที่จากมา
จะไปซบหน้าในอกแม่เอย”

 


‘สหายจันทา’ นักดนตรีจากวงต้นกล้าเดิม แล้วไปหล่อหลอมตนเองในแนวหน้า และได้รับการบ่มเพาะทางการดนตรีชั้นสูงที่แนวหลัง สังกัดหน่วยศิลป์เขตน่านเหนือช่วงหนึ่ง (ก่อนเดินทางลงมาน่านใต้) เล่าสู่กันฟังว่า ในวงการนักเพลงมีความเห็นต่าง ๆ กัน และเอาเพลงท่อนนี้มาขับร้องเป็นสามแนว คือ
แนวที่ 1. "บอกเขา นะนา"
ผู้ร้องเนื้อนี้ อ้างข้อเขียน ~ บทสัมภาษณ์ป้าลม ที่ยืนยันว่า "บอกเขานะนา" ถูกต้อง (เป็นสำนวนพูด)
แนวที่ 2. "บอกเขา นั้นนา"
นักร้องบางคน บางวง ใช้เนื้อร้องนี้ในช่วงแรก ๆ ในการแสดงสด (โดยถือเป็นสำนวนเขียน)
แนวที่ 3. "บอก เขาน้ำนา" หมายถึง ภูเขา แม่น้ำ ทุ่งนา (เป็นโวหารกวี)

สหายจันทาชี้ช่องให้คิดว่า “ส่วนตัวผม เห็นว่าที่ถูกต้องน่าจะเป็น ‘บอกเขา น้ำ นา’ ผมคิดว่า นี่เป็นภาษาสไตล์นายผี รวบคำ คำน้อย ความมากฯ”

 


ผู้เขียนเห็นคล้อยตามว่า การตีความของ ‘สหายจันทา’ อดีตสมาชิกผู้เคยร่วมล้อมวง “ไฟสุมขอน” คุยเรื่องสัพเพเหระมากับ ‘ลุงไฟ’ รวมทั้งแนวกวีแนวเพลงของท่าน น่าจะเป็นไปได้ ด้วยเหตุผลที่ว่า ฝีปากกวีชั้นครูอย่าง ‘นายผี’ ไม่น่าจะใช้ “สำนวนพูด~ นะนา” ในบทเพลงที่ท่านบรรจงเรียบเรียงขึ้นโดยใช้เวลานานสั่งสมความนุ่มและเนียน ถึงแม้คนรุ่นหลังจะทำเพลงท่อนนี้ให้เป็น “สำนวนเขียน~นั้นนา” ก็ยังไม่น่าจะใช่สำนวนกวีระดับ ‘มหากวี อัศนี พลจันทร’ ผู้เคร่งครัดในการเลือกเฟ้นถ้อยคำให้เป็นโวหารกวีวจนะทุกบททุกวรรคทุกตอน ในวรรณคดีคำฉันท์ชิ้นเอกของท่าน คือ “เราชะนะแล้ว แม่จ๋า”
ดังนั้น เนื้อเพลงท่อนสุดท้ายที่สมบูรณ์ จึงน่าจะเป็น
“ลมเอยจงเป็นสื่อให้
น้ำรักจากห้วงดวงใจ
ของข้านี้ไปบอก เขา น้ำ นา
ให้คนไทยรู้ว่า
ไม่นานลูกที่จากมา
จะไปซบหน้าในอกแม่เอย”

 


“เขา น้ำ นา” คือ ภาพพจน์แบบ “อธิพจน์” เป็นกวีโวหารที่มีมิติทั้งกว้างและลึก มีสีสัน ให้ทั้งความสูงสง่า ความใส ความลึก และความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดินแม่ ภาพฉากทัศน์นี้ยิ่งใหญ่ควรค่าที่กวีอหังการอย่าง อัศนี พลจันทร “จะไปซบหน้าในอกแม่เอย”

 


พลวัตรเพลง “คิดถึงบ้าน”
พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ บันทึกเสียง ‘เพลงคิดถึงบ้าน’ ครั้งแรกในนาม “วงคาราวาน” ด้วยอัลบั้มเพลงชุด "บ้านนาสะเทือน" เมื่อปี 2526
ต่อมาในปี 2527 แอ๊ด คาราบาว ได้นำมาบันทึกเสียงอีกครั้ง ในอัลบั้มเพลงชุด "กัมพูชา" โดยเปลี่ยนชื่อเพลงนี้เป็น "เดือนเพ็ญ" พร้อมทั้งสลับท่อนเนื้อร้องจากเดิมเล็กน้อย

 


หลังจากนั้นก็มีผู้นำเพลงนี้ไปบันทึกเสียงอีกนับครั้งไม่ถ้วน ทั้งในชุดอัลบั้มเพลงปกติ และในการแสดงคอนเสิร์ตสด อาทิ พงษ์สิทธิ์ คำภีร์, คนด่านเกวียน, อัสนี-วสันต์ โชติกุล, โฮป, คีตาญชลี, คาราวาน, สายัณห์ สัญญา, ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี, ยอดรัก สลักใจ, โจ้ วงพอส, ฟอร์ด สบชัย, หนู มิเตอร์, นิค นิรนาม, มนต์สิทธิ์ คำสร้อย ทั้งนี้ในมหกรรมคอนเสิร์ต “ถูกใจคนไทย” เบิร์ด - ธงไชย แมคอินไตย์ ก็ได้นำมาร้องร่วมกับแอ๊ด คาราบาว ด้วย

 


นอกจากนี้ เพลงนี้ยังได้รับการบรรเลงและนำมาขับร้องซ้ำหลายครั้งโดยศิลปินทั้งชาวไทยและต่างประเทศ อาทิ ในคอนเสิร์ตของ “เอ็กซ์ เจแปน” ที่จัดแสดงในประเทศไทย เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 ‘โยชิกิ’ หัวหน้าวงได้นำเพลงนี้มาบรรเลงด้วยเปียโนในช่วงอังกอร์ เป็นต้น

 


ล่าสุด เพลง "คิดถึงบ้าน" ได้รับใช้ “แผ่นดินแม่” ผ่านสื่อภาพยนตร์ เป็นเพลงประกอบเรื่องและเพลงปิดท้ายภาพยนตร์เรื่อง “ตาคลีเจเนซิส” ของ ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล (กันยายน 2567) โดย เอกภพ พานสิทธิ์ แห่ง “วงเสือโคร่ง” เป็นผู้ขับร้อง

 


———
* โปรดติดตามตอนต่อไป
“สหายไฟ ผู้ร่วมจุดไฟในถ้ำ”

  

สนใจสมัครสมาชิกผู้มีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท. โปรดคลิ๊ก  

whitebanner