บันทึกเรื่องล้ำในไพรลึก ตอนที่ ๑ “ประไพ วิเศษธานี” มหากวีนักเดินทาง
โดย ชลธิรา สัตยาวัฒนา
“ประไพ วิเศษธานี” มหากวีนักเดินทาง ได้เดินทางไกลจากเราไปแล้ว ๑๐๖ ปีเต็มด้วยวิถีพิเศษเฉพาะ เป็นการเดินทางที่เหลือเชื่อหากลงลึกในเรื่องราว ด้วยท่านมักคิดและทำอะไรที่ “ขวางโลก สวนกระแส” อยู่เป็นนิตย์ ตราบสิ้นลมหายใจ
“ประไพ วิเศษธานี” เป็นชื่อที่ปรากฏว่า เป็นผู้แต่ง~แปล~เรียบเรียง~ทำคำอธิบาย หนังสือชื่อสำคัญ กาพย์กลอนเหมาเจ๋อตุง
ช่วงปีพุทธศักราช ๒๕๑๘ ในท่ามกลางกระแสการเมืองขึ้นระดับสูงถึง ‘ขีดแดงแก่ก่ำ’ กาพย์กลอนเหมาเจ๋อตุง ฉบับแปลเป็นกาพย์กลอนภาษาไทย โดยผู้ใช้นามปากกา “ประไพ วิเศษธานี” ก็เผยโฉมในบรรณพิภพ ถึงวันนี้เมื่อเวลาล่วงเลยมาร่วม ๔๙ ปีแล้ว สมควรที่จะยกย่ององค์กรเยาวชนนักศึกษาที่หาญกล้า จัดพิมพ์หนังสือนี้เป็นครั้งแรกโดย “ทัพหน้าราม”, ปีที่พิมพ์ ๒๕๑๘.
หนังสือพิเศษล้ำวางแผงงดงามด้วย ‘ปกสีรุ้งฟ้า’ เผยแพร่กว้างขวางในตลาดหนังสือในช่วงรำลึก “เหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖” จะขายดีหรือขายหมดเกลี้ยง หรือหมดสิ้นไปเพราะหนังสือรุ่น “๖ ตุลาฯ ๒๕๑๙” ถูกเผาวายวอดไปจำนวนมาก ยังไม่อาจสืบทราบได้
ผู้เรียบเรียงกาพย์กลอนเหมาในภาษาจีน ให้เป็น ‘สยามพากย์’ เจ้าของนามปากกา “ประไพ วิเศษธานี” เขียนอุทิศหนังสือเล่มนี้ให้แด่ “มิตรสัมพันธ์ ไทย-จีน”
ชลธิรา สัตยาวัฒนา นักวิจารณ์วรรณกรรมในยุคสมัยที่มี “หนังสือก้าวหน้า” วางพรึบพรับบนแผงหนังสือแถวหน้ามหาวิทยาลัยต่างๆ ในโอกาสเทศกาลการเมือง เขียนแนะนำหนังสือเล่มนี้ไว้ในวารสารธรรมศาสตร์ ที่มี อาจารย์รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ เป็นบรรณาธิการ เมื่อปี ๒๕๑๙ ว่า
“นักเลงหนังสือที่ยังไม่ได้เล่มนี้มาครอบครอง ควรรีบตามตะครุบมาให้ได้”
คุณค่าของ “กาพย์กลอนเหมาเจ๋อตุง-สยามพากย์” ว่าตามการประเมินค่าวรรณกรรมตามแนวของ ชลธิรา สัตยาวัฒนา แห่งสำนักคิดเทวาลัย (คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ) เป็นคุณค่าที่สัมผัสได้ โดยการอ่านช้า ๆ อย่างเพ่งพินิจขบคิดใคร่ครวญ ถ้ามีความรู้ทางวรรณคดีไทยตามแบบแผนจารีตนิยมในระดับสูง คุณค่าในลักษณะ “อ่านยาก เพราะใช้ศัพท์แสงพราวพรายเช่นนี้” เป็นสิ่งที่ไม่อาจถือเป็นข้อตำหนิกวีผู้แปล~รจนาให้เป็นกานท์กวีไทยได้ เพราะเป็นเจตนารมณ์ของผู้แปลและรจนาเป็นกาพย์กลอนโดยตรง
ความพิเศษเฉพาะที่ว่า “ล้ำ” ของ “กาพย์กลอนกวีเหมาเจ๋อตุง” เล่มนี้ ตามแนวการประเมินค่าข้างต้น มีสองประการคือ
ประการแรก เป็นการแปลเรียบเรียงบทกวีของเหมาเจ๋อตุง เป็นภาษาไทย ด้วยสำนวนภาษาและลีลา รวมถึงฉันทลักษณ์แบบแผนไทยดั้งเดิมรวมทั้งสิ้น ๓๗ บท
ประการที่สอง หนังสือเล่มนี้ไม่เหมือน “หนังสือปลุกระดมมวลชน” อย่างที่เราเห็นกันดาษดื่น หากมีลักษณะค่อนไปในทางวิชาการที่ลึกซึ้งมาก จึงอาจถือได้ว่าเป็น “การปลุกระดมทางความคิดชั้นคลาสสิก” ก็ว่าได้ เพราะส่วนที่เป็น ‘กาพย์กลอน’ แท้ๆ มีเพียงประมาณ ๕๐ หน้า ที่เหลือในเล่มอีกประมาณ ๒๐๐ หน้านั้น ‘ประไพ วิเศษธานี’ เขียนเรียบเรียงไว้เป็นภาคผนวก รวมทั้งสิ้น ๕ บทผนวก
อรรถาธิบาย “กาพย์กลอนเหมาเจ๋อตุง” ในภาคผนวก
บทผนวกบทแรก เป็นอรรถาธิบายกาพย์กลอนแต่ละบทอย่างละเอียดในด้านฉันทลักษณ์ ความเป็นมา สถานที่ เรื่องราว และความคิดของกวีผู้เป็นเจ้าของบทประพันธ์ ผู้เขียนบทอรรถาธิบายชื่อว่า “ประไพ วิเศษธานี” นั้น ชลธิรา สัตยาวัฒนา (๒๕๑๙) ได้วิเคราะห์ว่า
“น่าจะเป็นคนเดียวกันกับผู้ใช้นามปากกา ‘นายผี’”
แม้ลีลาภาษาสำนวนจะแตกต่างกันโดยเกือบจะสิ้นเชิง
‘ประไพ วิเศษธานี’ ให้ชื่อบทผนวกแรกอย่างขรึมขลัง ว่า “ฎีกาของผู้ฎีกา” ซึ่งบ่งชี้ชัดว่า ผู้เขียนอรรถาธิบายเป็น ‘ผู้รู้กฎหมาย’ และน่าจะใช้ชีวิตอยู่กับศาสตร์แห่งนิติธรรม อันเป็นคุณค่าของยุคสมัยที่ผ่านเลย
การนี้เป็นที่เปิดเผยในกาลต่อมาว่า ‘นายผี’ เป็นนามปากกาของ อัศนี พลจันทร นักคิดนักเขียนและกวีฝ่ายก้าวหน้า ผู้เคยมีวิชาชีพเป็น ‘ผู้ช่วยอัยการ’ จังหวัดทางภาคใต้ (จังหวัดปัตตานี) และต่อมาได้ย้ายมาทางภาคกลาง (จังหวัดสระบุรี)
บทผนวกที่สอง เป็นบทเทียบเสียงพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ จีน-ไทย การให้ความสำคัญในส่วนนี้ แสดงว่า ‘ประไพ วิเศษธานี’ เป็นผู้รู้ภาษาจีนดีมาก ถึงขั้นมีความสนใจด้านการเทียบเสียงและคำ นั่นคือการใช้หลักวิชาทางสัทศาสตร์และนิรุกติศาสตร์มาใช้อธิบายกลกลอนการกวี วิธีเข้าถึงความลึกซึ้งของคำกวีในภาษาจีนเช่นนี้ ต่างจากผู้รู้ภาษาจีนท่านอื่นๆ ในขบวนการปฏิวัติไทย
บทผนวกที่สาม คือ นามานุกรม (Index) “ประไพ วิเศษธานี” ให้ชื่อว่า “สูจิ” จัดว่าเป็นศัพท์แหวกแนววงการหนังสือค่อนข้างมาก
ส่วนบทผนวกที่สี่ มีชื่อว่า “แทงเกษียนในกาพย์กลอนที่แต่ง” เป็นการคิดชื่อบทที่แหวกล้ำกว่าใคร ความในบทนี้เป็น “คำแปลอรรถาธิบายกาพย์กลอนบางบท” ที่เขียนอธิบายโดยเหมาเจ๋อตุงเอง
บทผนวกสุดท้าย เป็นจดหมายของผู้แปลถึง ‘เพื่อนผู้หนึ่ง’ เห็นชัดเจนว่าเจตนาไม่ระบุชื่อเสียงเรียงนาม ผู้เขียนตั้งใจทำการนี้ให้ดู “ลึกลับ” และขรึมขลังอยู่ในที ซึ่งก็เป็นความจำเป็นแห่งยุคสมัย ที่จะทำการใดๆ ล้วนแต่ต้อง “ปิดลับ” พาให้คนรุ่นใหม่แห่งยุคสมัยนั้นชวนฉงน แล้วแกะรอยกันจ้าละหวั่น
“กาพย์กลอนเหมาเจ๋อตุง” ~สยามพากย์ ฉบับงามล้ำนี้ พิเคราะห์ดูวันเวลาที่ผู้แปลบันทึกไว้บ้างบางตอน พบว่าแปลเรียบเรียงและทำอรรถาธิบายไว้ในระหว่างปี ค.ศ. ๑๙๖๘-๑๙๗๕ (พ.ศ.๒๕๑๑-๒๕๑๘) เป็นโครงการแปลงานวรรณกรรมที่ใช้เวลานานถึงราว ๘ ปี เหตุที่เป็นเช่นนี้มีข้อความยืนยันของผู้จัดทำโครงการฯ ว่าได้ทำการอย่างวิริยะอุตสาหะในช่วงชีวิตแห่ง “การเดินทางไกลอันระหกระเหิน” ดังปรากฏใน “จดหมายถึงเพื่อนผู้หนึ่ง” ว่า
“ในการแปลหนังสือเรื่องนี้ ผู้แปลได้สนใจถ้อยคำทุกคำและหนังสือทุกตัว,
ทั้งในภาษาจีนและในภาษาไทย, ถ้อยคำทุกคำและหนังสือทุกตัวในบทแปลมีหลักฐานรองรับ
และมีเหตุผลของมันเองโดยตลอด....ทั้งในด้านทฤษฎีลัทธิมาร์กซ ในด้านประวัติศาสตร์,
ภูมิศาสตร์และโบราณคดี, ทั้งในด้านวรรณคดีและกวีนิพนธ์, ตลอดจนทั้งในด้าน
ภาษาศาสตร์และนิรุกติศาสตร์, รวมทั้งด้านความเป็นจริงและความเรียกร้องต้องการทั้ง
เฉพาะหน้าทั้งยาวไกลของการปฏิวัติไทย-จีน.
โปรดทราบว่า มาตรฐานของเราคือ แปลกาพย์กลอนเหมาเจ๋อตุง ที่เป็นกาพย์กลอนจีนให้เป็น
กาพย์กลอนเหมาเจ๋อตุงที่เป็นกาพย์กลอนไทย; ไม่ใช่การถอดความหรือการทำให้ง่าย,
และก็ไม่ใช่การทำให้กลายเป็นของดาษ ๆ หรือให้กลายเป็นสามานย์ไป....”
(จดหมายของผู้แปลถึงเพื่อนผู้หนึ่ง, หน้า ๒๔๔)
* แบ่งวรรคตอนและคงเครื่องหมายวรรคตอนข้างต้นและบทคัดต่อจากนี้ โดยเคารพต้นฉบับ
ผู้ที่คุ้นเคยกับหลักการของ “วรรณคดีประชาชน” ถ้าหวังจะอ่านพบความเรียบง่าย แจ่มชัด ตรงไปตรงมาในกาพย์กลอนเหมาเจ๋อตุง จะต้องผิดหวังเอามาก ๆ
ประการที่หนึ่งนั้น เป็นเพราะกาพย์กลอนของเหมาเจ๋อตุงเอง ในต้นฉบับเดิมแท้ๆ ก็เป็นที่กล่าวขวัญกันว่ามีความยากอยู่แล้ว มีปราชญ์ตีความไปต่างๆ นานา แต่ก็ลงเอยว่า “ผู้ที่จะอธิบายได้ถูกต้องตรงกับความเป็นจริงมีอยู่คนเดียว คือ เหมาเจ๋อตุงเอง”
ส่วนกวีผู้เป็นเจ้าของบทกวีนั้นเล่า ก็ได้มีหลักฐานปรากฏในจดหมายบางฉบับ เขียนโดย ท่านประธานเหมาเจ๋อตุงเอง เช่น ฉบับลงวันที่ ๑๒ มกราคม ๑๙๕๗ ว่า
“สิ่งเหล่านี้ (คือกาพย์กลอน) ตลอดมาข้าพเจ้ามิได้ยินดีที่จะให้เอาออกโฆษณาเป็นทางการ
เพราะเป็นโคลงแบบเก่า, เกรงว่าจะเป็นการแพร่ตัวอย่างที่ไม่เหมาะให้โทษแก่เยาวชน,
อนึ่งรสกลอนก็ไม่มาก, ไม่มีอะไรเด่น”
(คัดจาก “จดหมายบางฉบับของเหมาเจ๋อตุง”, หน้า ๒๓๘)
คำชี้แจงดังว่าของกวีท่านนี้ น่าจะเป็นการถ่อมตัวติดดิน ตามท่วงทำนองที่ชาวพรรคคอมมิวนิสต์จีนใช้สืบกันมาจนถึงปัจจุบัน
การแปลเป็นกาพย์กลอนครั้งนี้ ‘ประไพ วิเศษธานี’ ได้เปรียบเทียบสำนวนกวีกับฉบับแปลเป็นภาษาอังกฤษบางบทด้วย พบว่าแต่ละบทมีรสกวีนิพนธ์ลึกซึ้ง แต่งแนวสัญลักษณ์นิยมเกือบจะทั้งหมด นอกจากบทอุปมาอุปมัยและอุปลักษณ์จำนวนไม่น้อยแล้ว ท่านกวีเหมาเจ๋อตุงยังใช้นิทานปรัมปรา นิยายพื้นบ้าน และเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ รวมถึงความเชื่อดั้งเดิมต่างๆ สอดแทรกอยู่มากมาย เหตุนี้เอง ‘ประไพ วิเศษธานี’ จึงทำอรรถาธิบายประกอบยาวเหยียด เพื่อให้คนที่ไม่มีภูมิหลังอ่านรู้เรื่องและเข้าใจ
สาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่ง ที่ทำให้ “กาพย์กลอนเหมาเจ๋อตุง” (สยามพากย์) ขาดความเรียบง่ายแจ่มชัด ในทัศนะของผู้เขียนบทวิจารณ์ก็คือ
“เพราะผู้แปลเรียบเรียง คือ ‘ประไพ วิเศษธานี’ เป็นมือชั้นครู เป็นนักอักษรศาสตร์
ผู้เชี่ยวชาญลึกซึ้งในภาษาฮินดีอูรดู บาลีสันสกฤต และเจนจบในวรรณคดีโบราณของไทย
ประสบการณ์ที่สั่งสมมาหลากหลายเช่นนี้ จึงเป็นผลให้กาพย์กลอนจีนในสยามพากย์ มีลีลา
เป็นแบบฉบับ เทียบเคียงวรรณคดีไทยสมัยอยุธยาตอนต้น พิจารณาเพียงบทลงท้ายก็เห็น
ฝีมือชัดเจน :
“กวีพจน์จีนพากย์เพี้ยง เพชรรัตน์,
กลอกประกายพรายอรรถ- รสรุ้ง;
สยามพากย์ฝากกวีวัจน์ วรวาทย์,
เรือนกนกผกเพชรฟุ้ง เฟื่องฟ้ามหาสยามฯ”
(อัษฎาทศสถาน : ๑ กรกฎาคม ๑๙๖๘)
ในบางบท ผู้แปลเรียบเรียงบทกวีใช้ศัพท์สำนวนโบราณ นิยมใช้ในวรรณคดีสมัยอยุธยาตอนต้น เช่นสำนวน ไทยดั้งเดิม “แต่งแง่” (อาจจะหมายความว่า ‘แต่งจริต มีแง่งอน’ ปัจจุบันไม่มีที่ใช้แล้ว พบสำนวนนี้ได้ใน ลิลิตพระลอ )
“สระสว่างทางท่าห้าคืบปืน, อุษาส่องต้องพื้นประลองผ่อง;
ทวยธิดาจีนใจเด็ดไผ่ปอง ไป่รักของ แต่งแง่, รักแต่ปืน…”
(“ทหารบ้านหญิง” : หน้า ๓๗)
เชิงกลอนบางตอน ก็เร้าอารมณ์ได้คึกคักมาก แสดงว่าผู้แปลเรียบเรียง สามารถถอดหัวใจของกาพย์กลอนเดิมออกมาได้ครบถ้วนกระบวนความ เช่น
“ตีนภูดูลงเป็นธงศึก, ยอดภูคึกกลองเร้าเป่าเขาขาน;
อริล้อมแน่นอะไรก็ไป่ปาน, ฝ่ายเราหาญตั้งมั่นยันทมิฬ;
อันป้อมคูขันแข็งแต่งไว้แล้ว, ทวยหาญแก้วขวัญดั่งผนังหิน;
บินห์วางหยางเจี้ยลั่นสนั่นดิน, ศัตรูผินเผ่นไปในกลางคืน.”
(“จิ่งกังทราน” : หน้า ๔)
นอกจากบทโคลงบทกลอนข้างต้น ‘ประไพ วิเศษธานี’ ได้ฝากชั้นเชิงกวีไว้เป็น กาพย์ฉบัง ๑๖ ด้วย บางบทที่คัดสรรมานี้พิสูจน์ให้เห็นฝีมือชั้นครูอย่างแท้จริง เด่นทั้งในด้านการใช้คำ การสรรเสียงและความหมายให้ได้ภาพพจน์เด่นชัด ให้ “อารมณ์ลึกล้ำแบบไทย ๆ” ทั้งที่เป็นการแปลคำต่อคำบทต่อบทจากภาษาจีน มีข้อบังคับทั้งด้านหลักการ อุดมการณ์ เหตุการณ์ ฉาก สถานที่ และตัวละครในบท เช่น
“น้ำค้างแข็งขาวพราวพนา แดงใบไพรดา ระดาษพิลาสแลไสว
หลากสวรรค์แสนยากรรไกร เกรี้ยวเคี้ยวฟันไฟ พิโรธทลึ่งถึงพรหม
ฝนฟุ้งหลุงกังถั่งถม หมอกอ้อยอิ่งอม ก็อับไปทั้งพันผา
บัดทหารโห่ร้องก้องมา ว่าที่แนวหน้า จับต์รางฮุยจ์ร้านได้ตัว
ข้าศึกสองแสนแน่นนัว เนียเคลื่อนเกลื่อนครัว ยกซ้ำเข้าสู่กังไส
ดุจลมหลุนหลุนหมุนไป ดุจคว้างควันไฟ ฟะฟ้องอยู่กึ่งกลางนภา
แสนล้านกรรมกรชาวนา ประกาศก้องว่า ร่วมกันกำจัดศัตรู”
(“ต่อสู้การล้อมปราบใหญ่ครั้งที่หนึ่ง” : หน้า ๑๐)
เมื่อพินิจคำ ลีลากวี ฉันทลักษณ์ที่ใช้แล้ว ผู้วิจารณ์ได้คาดเดาความงำที่ “ปิดลับ” ไว้แต่ครั้งนั้นว่า
“ไม่ต้องสงสัยว่า ‘ประไพ วิเศษธานี’ คือผู้แปล “ภควัทคีตา” และ “จิตรา”
เป็นคนเดียวกับผู้แต่งคู่มือการแต่งกาพย์กลอนของไทยชื่อ “ศิลปาการแห่งกาพย์กลอน”
เป็นคนเดียวกับผู้บุกเบิกแนววิจารณ์วรรณคดีเชิงสังคมนิยมใน วารสารอักษรสาส์น เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน”
นอกจากนี้ ผู้วิจารณ์ยังได้ชี้ชัดอย่างไม่ลังเลว่า ‘ประไพ วิเศษธานี’ เป็นเจ้าของบทกวีอันลือชื่อ
“อีศานนับแสนแสน สิจะพ่ายผู้ใดหนอ”
ซึ่งก็เป็นคนเดียวกับกวีผู้รจนาวรรณคดีคำฉันท์ยุคใหม่ “เราชะนะแล้วแม่จ๋า”
ท่านผู้นี้จะเป็นใครอื่นไปมิได้ หากเป็นคนเดียวกับผู้ที่ จิตร ภูมิศักดิ์ ยกย่องไว้เมื่อสิบปีก่อนว่า เป็น “มหากวีของประชาชน”
จากคำบอกเล่าของ ‘ประไพ วิเศษธานี’ ตามที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้ ที่จงใจปิดลับชื่อจริงและไม่ใช้นามปากกาที่เคยใช้มา ท่านชี้แจงว่าในเวลานั้น ท่านกำลัง “ซัดเซพเนจรอยู่”.....กาพย์กลอนเหมาเจ๋อตุง - สยามพากย์ ก็ทำขึ้น “ระหว่างเดินทาง....ไม่มีหนังสือและอุปกรณ์ที่ใกล้มือเพียงพอ, จึงทำได้แต่เพียงอาศัยความทรงจำส่วนหนึ่ง; และเนื่องจากเวลาก็นัอย จึงทำได้แต่เพียงอ่านหนังสืออย่างกระจัดกระจายไม่กี่เล่ม... เท่าที่จะหาได้ในยามยาก ต้องพลัดที่นาคาที่อยู่เช่นนี้อีกส่วนหนึ่ง....”
(“จดหมายของผู้แปล ถึงเพื่อนผู้หนึ่ง” : หน้า ๒๕๔)
ในบทวิจารณ์ที่เขียนไว้ในปีพ.ศ.๒๕๑๘ ชลธิรา สัตยาวัฒนา ซึ่งไม่เคยพบปะหรือรู้จักมักคุ้นกับ “นายผี” เลย ประเมินว่า ‘ประไพ วิเศษธานี’ พิสูจน์ความเป็น “มหากวีของประขาชน” ด้วยผลงานชิ้นนี้ ที่แต่งเรียบเรียงไว้อย่างวิจิตรบรรจงทุกถ้อยกระทงความ
“เราอาจจินตนาการได้ว่า ขณะที่มือซ้ายของเขาถือปากกาและหนังสือ รจนากาพย์กลอนอยู่นั้น มือขวาของเขาก็กำลังจับปืนอยู่ในดินแดนไม่ใกล้ ไม่ไกลจากเรา
อาจจะอยู่บนเทือกเขาสูง หรือบางครั้งก็อาจจะลงหุบห้วยลุ่มลึก
ทั้ง ๆ ที่เขาอาจจะนั่งอยู่ในศาล เป็นผู้รักษากฎหมายอย่างเป็นทางการได้อย่างสบาย ๆ...
ทำไมเขาจึงเลือกทางเดินเช่นนี้....คำตอบหาได้ไม่ยากนัก
ถ้าเพียงแต่เรามีจิตใจรักความเป็นธรรมและมุ่งต่อสู้เพื่อมนุษยธรรม”
อย่างไรก็ตาม ผู้วิจารณ์ได้ทิ้งท้ายว่า
“แต่ก็น่าจะหวังว่า ควรจะมีกาพย์กลอนเหมาเจ๋อตุง ฉบับภาษาไทยอีกสักสำนวนหนึ่ง
ที่ใช้ภาษาสื่อความเข้าใจได้ง่าย ๆ ดังที่ ‘ประไพ วิเศษธานี’ ก็ได้ชี้แจงไว้ด้วยตนเองว่า
...ด้วยเหตุนี้ บทแปลและบทอธิบายที่ทำผนวกนี้ไว้ จึงถือได้แต่เพียงเป็นกระดานหก สำหรับผู้รู้ที่เรืองวิชา จะมาใช้ในการจัดทำให้ดีและสมบูรณ์ขึ้นในกาลต่อไปเท่านั้น”.
เมื่อเกิดเหตุการณ์สังหารหมู่ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ข่มขืนผู้หญิง และเข่นฆ่าประชาชนที่ท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ชลธิรา สัตยาวัฒนา สรุปผลการวิจักษ์วิจารณ์งานกาพย์กลอนชั้นครูชิ้นนี้ ว่า
“ประไพ วิเศษธานี เป็นคนเดียวกับ ‘นายผี’ ที่ จิตร ภูมิศักดิ์ ยกย่องว่าเป็น
‘มหากวีผู้ล้ำเลิศของฝ่ายประชาชน’
คุณสุภา ศิริมานนท์ บรรณาธิการวารสารอักษรสาส์น บอกกับเราว่า
เจ้าของทั้งสองนามปากกานี้ และยังอีกหลายนามปากกา คือ คุณอัศนี พลจันทร อัยการผู้ผันตัวเองเป็นนักปฏิวัติชนชั้นกรรมาชีพ และเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยด้วย
งานชิ้นนี้แสดงว่า คุณอัศนี พลจันทร ยังมีชีวิตอยู่ คงอยู่ในที่ไม่ใกล้ ไม่ไกลจากเรานัก …”
ปัจจุบัน เริ่มเป็นที่ทราบกันแล้วว่า ช่วงเกิดเหตุสังหารหมู่นักเรียนนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และที่สนามหลวง ทั้งตรงหน้าศาลหลักเมือง และหน้าศาลแม่พระธรณีบิดมวยผมนั้น ‘นายผี’ หรือ ‘ประไพ วิเศษธานี’ เป็น “สหายนำ” คนหนึ่งของพคท. เป็นผู้มีส่วนร่วมอย่างมีนัยยะสำคัญในช่วงบุกเบิกก่อตั้ง สปท. “สถานีวิทยุเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย”
อัศนี พลจันทร เรียนจบนิติศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง เป็นอัยการผู้ช่วยที่จังหวัดปัตตานี ก่อนย้ายไปประจำการที่สระบุรี มหากวีของประชาชนท่านนี้เขียนวรรณกรรมไว้หลายเรื่องที่สะท้อนความทุกข์ยากของชนชั้นล่าง เชิดชูคุณค่าของคนยากจนค่นแค้น ที่รู้จักกันดีเช่น บทกวี “ความเปลี่ยนแปลง” และ วรรณคดีคำฉันท์เรื่อง “เราชนะแล้วแม่จ๋า”
อัศนี พลจันทร ไม่ใช่คนสิ้นไร้ไม้ตอก ไม่ได้สิ้นทางไปในระบบราชการ หากด้วยจิตใจที่รักความเป็นธรรม ได้เลือกหนทางเข้าป่าไปพร้อมกับคู่ชีวิต
อัคนี พลจันทร แม้มีความเป็นตัวของตัวเอง และเป็นผู้มี “อหังการกวี” แต่อ่อนน้อมถ่อมตนมากพอที่จะน้อมรับการนำขององค์กร มีเจตนารมณ์แน่วแน่ต่อการเข้าสังกัดพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นกลุ่มพลังก้าวหน้าที่ทางการไทยถือว่าผิดกฎหมายในยุคนั้น
ในปีพุทธศักราช ๒๕๐๕ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ยังไม่มีกองกำลังติดอาวุธ ชัดเจน และยังไม่ได้ “แตกเสียงปืน” เป็นกิจลักษณะ อัศนี พลจันทร ซึ่งอยู่เขตเคลื่อนไหวปฏิวัติ ได้รับมอบหมายจากองค์การนำของพคท.ให้เดินทางไปก่อตั้ง “สถานีวิทยุเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย (สปท.) ที่กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม ซึ่งในช่วงเวลานั้นสหรัฐอเมริกาได้ยึดครองเวียดนามใต้แล้ว สหายโฮจิมินห์ ผู้นำเวียดนามที่มีอิทธิพลในเขตเวียดนามเหนือ ได้อนุญาตให้ พคท.ซึ่งเป็นพรรคพี่น้อง จัดตั้งสถานีวิทยุ สปท. ที่กรุงฮานอย เพื่อให้เป็นวิทยุคลื่นสั้นที่กระจายเสียงทางไกลมาถึงเมืองไทยได้ทั่วทุกเขตงานทั่วประเทศ สปท. กระจายเสียงอยู่ที่กรุงฮานอยได้ราวปีเศษ ในสภาพที่กองกำลังอาวุธฝ่ายประชาชนของเวียดนามเหนือต้องสู้รบอย่างหนักหน่วงกับ ‘จักรพรรดินิยมอเมริกา’ ในยุคนั้น ทำให้จำต้องย้ายสถานีไปตั้งมั่นทำการอยู่ที่เมืองคุณหมิง มณฑลยูนนาน ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อนั้นเอง บุคคลที่มีความสามารถพิเศษล้ำด้านภาษาและอักษรศาสตร์ท่านนี้ ก็ได้รับคัดสรรและมอบหมายจากองค์การนำของ พคท.ให้ละจากงานสปท. แล้วเดินทางไปทำงานโครงการพิเศษเฉพาะร่วมกับสหายผู้เชี่ยวชาญภาษาจีนอีกบางท่าน ณ กรุงปักกิ่ง นั่นคือ โครงการแปล “สรรนิพนธ์ เหมาเจ๋อตง” ฉบับสำนักพิมพ์ภาษาต่างประเทศ ปักกิ่ง
สำนวนงานแปลรวมหมู่นี้ นักเรียนนิสิตนักศึกษาและประชาชนไทย ทั้งในเมืองและในป่า ได้ใช้เป็นบทศึกษาร่วมกันมาในสงครามปฏิวัติจนกระทั่งเกิดภาวการณ์ “ป่าแตก”
***โปรดติดตามตอนต่อไป
“ไม่ไกลเกินไป ที่จะเข้าถึงลุงไฟ”
___________
บรรณานุกรม
ชลธิรา สัตยาวัฒนา,
“กาพย์กลอนเหมาเจ๋อตุง ในสยามพากย์”,
วารสารธรรมศาสตร์, ปีที่ ๕, ฉบับที่ ๓, กพ-พค. ๒๕๑๙.
ประไพ วิเศษธานี (นามปากกา)
กาพย์กลอนเหมาเจ๋อตุง.
กรุงเทพฯ: ทัพหน้าราม, ๒๕๑๘. (๒๕๘ หน้า, ๑๕ บาท)
สนใจสมัครสมาชิกผู้มีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท. โปรดคลิ๊ก