บันทึกเรื่องล้ำในไพรลึก.... ชลธิรา สัตยาวัฒนา ตอนที่ 4 “จันทร์เอย ช่วยบอกให้ลมช่วยเป่า”
ชลธิรา สัตยาวัฒนา
“กองไฟ…สุมควายตามคอก คงยังไม่มอดดับดอก จันทร์เอย...ช่วยบอกให้ลมช่วยเป่า”
ประเด็นปัญหาที่ว่า อัศนี พลจันทร ในฐานะ ‘สหายนำ’ คนหนึ่ง ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ผู้มีบทบาทร่วมก่อตั้งสถานีวิทยุเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย (หรือที่เรียกคำย่อว่า สปท.) แต่งเพลง “คิดถึงบ้าน” ขึ้นที่ไหนนั้น... ยังอาจจะไม่ใช่ปัญหาสลักสำคัญ เท่ากับการแกะรอยให้ได้ความว่า ‘นายผี’ หรือ สหายไฟ ได้ทำอะไรบ้าง เมื่อไปปฏิบัติการบุกเบิกงาน สปท.ที่เวียดนาม
จากการสืบค้นข้อเขียนและเรื่องเล่าสู่กันฟังหลายชิ้นงาน พบว่าการก่อตั้ง สปท. ไม่ใช่เป็นเรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นตามสถานการณ์สู้รบ องค์การนำของ พคท. มีแนวความคิดริเริ่มด้านการประชาสัมพันธ์ในวงกว้าง เรียกเป็นศัพท์ภายในพรรคว่า “งานโฆษณา” ฝ่ายนำของ พคท. มีระบบการกระจายอำนาจและความรับผิดชอบงานต่าง ๆ อย่างทั่วด้าน ในบริบทที่กล่าวถึงก็ได้จัดให้มีกรรมการกลางพรรค นำ “งานโฆษณา” อย่างเป็นกิจลักษณะ ด้วยว่างานด้านวิทยุกระจายเสียงจัดเป็นความก้าวหน้าแห่งยุคสมัยทั้งในระยะก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ทั้งฝ่ายอักษะและฝ่ายสัมพันธมิตรได้ใช้งานวิทยุรหัสมอสติดต่อสื่อสารงานลับข้ามประเทศ และใช้ระบบวิทยุคลื่นสั้นกระจายเสียงจากทางไกล เช่น BBC และ VOA ให้ได้ยินได้ฟังกันทั่วทั้งอินโดจีน ในทุกประเทศ และตลอดแนวชายแดน ไม่ว่าจะเป็นบนยอดเขาสูง หรือในป่าดงพงลึกและหุบห้วย
การเตรียมการจัดตั้ง “สถานีวิทยุเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย” จึงสะท้อนให้เห็นศักยภาพและทัศนวิสัยคาดการณ์ไกลขององค์การนำ พคท. ที่มีแผนงาน เสาะหาและเตรียมสถานที่อย่างสุขุมรอบคอบ อีกทั้งมีแนวทางการ “จัดหา” ผู้คนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับลักษณะงานอย่าง ‘มีสายตา’ ดำเนินการ “จัดตั้ง” ทีมงานอย่างเป็นระบบ โดยระดมพลกันมาหลายทิศทาง
แม้จะยังสืบค้นไม่ได้ชัดเจนว่า อัศนี พลจันทร อัยการหนุ่มฝีปากกล้า ผู้มีคารมกวีเปี่ยมด้วยพลัง แรก “เข้าป่า” เมื่อใด ที่เขตไหน หลักฐานเอกสารงานเขียนบ่งชี้ว่า ตั้งแต่ระยะก่อน พ.ศ.2500 อัศนี พลจันทร มีผลงานเขียนจำนวนมาก ทั้งที่เป็นบทกวี บทความ บทวิจารณ์วรรณคดี ตีพิมพ์อย่างต่อเนื่องใน นสพ.สยามสมัย สยามนิกร และปิตุภูมิ รวมทั้งในวารสารมหาชน ที่ ‘ชาญ กรัสนัยปุระ’ เป็นบรรณาธิการ
‘ชาญ กรัสนัยปุระ’ เป็นนามแฝงที่ประหลาด มีนัยยะชวนให้คิดว่า คนตั้งนามแฝงให้กับผู้ใช้ชื่อจริงว่า “เชาวน์ พงษ์พิชิต” น่าจะมีความรู้ด้านอักษรศาสตร์ ที่เชี่ยวชาญด้านภาษาสันสกฤต แม้แต่ชื่อ “เชาวน์ พงษ์พิชิต” ก็เช่นกัน อาจเป็นชื่อที่จดทะเบียนในชั้นหลัง สืบค้นได้ว่าบรรณาธิการและนักเขียนชื่อ ‘เชาวน์’ หรือ ‘ชาญ’ นั้น มีชื่อที่ใคร ๆ ในขบวนการต่อสู้กู้ชาติสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เรียกกันว่า ‘นายช้าง’
‘นายช้าง’ คือใคร?
ชื่อนี้ใช้เรียกกันในยุคสมัยที่ ‘นายช้าง’ ยังเป็นหนุ่มรูปงาม ร่างกายสูงสง่า เป็นหนึ่งในดาราดวงเด่นที่จัดตั้ง “คณะละครเร่” นำพาหนุ่มสาวทางภาคใต้ให้เข้าร่วมการเคลื่อนไหว “ขบวนการรักชาติ” เพื่อต่อต้านการรุกคืบของญี่ปุ่นที่เข้ามาจัดตั้งกองกำลัง ยึดพื้นที่บางส่วนที่มีความหมายเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศไทย “นายช้าง” จัดตั้งหน่วยวัฒนธรรมทำนองละครร้อง ละครเร่ และงิ้ว เคลื่อนไหวปลุกระดมจิตใจผู้คนให้หาญสู้ตลอดแดนดินถิ่นทางใต้ พื้นที่ต่าง ๆ ในจังหวัดสงขลา พัทลุง พังงา ยะลา สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช เป็นเขตเคลื่อนไหวที่ ‘นายช้าง’ ใช้รูปการศิลปะการแสดงนำหน้า แต่โดยทางลับ ‘นายช้าง’ นำพาการจัดตั้งกองกำลังอาวุธแบบ “กองโจร” ปล้นเอาอาวุธของกองทหารฝ่ายญี่ปุ่นมาใช้งานในกองกำลังต่อสู้กู้ชาติยามวิกฤต อันสืบเนื่องจากกรณีจอมพล ป.พิบูลสงคราม ประกาศเข้าร่วมสงครามเป็นพันธมิตรกับฝ่ายญี่ปุ่น ในสภาวะวิกฤตเช่นนี้ อาจารย์ปรีดี พนมยงค์ ก็ได้เคลื่อนไหวเป็นการลับ เตรียมการแก้ปัญหาโดยจัดตั้ง “กลุ่มเสรีไทย” ทั้งในประเทศและนอกประเทศ ‘นายช้าง’ ได้ติดต่อสัมพันธ์กับเสรีไทยสายนอกประเทศ (จากอังกฤษและอเมริกา) บางส่วนที่โดดร่มลงมาเตรียมการเคลื่อนไหวต่อสู้ด้วยอาวุธในเขตป่าเขาทางภาคใต้ด้วย
ชื่อจัดตั้งของ ‘นายช้าง’ (‘ชาญ กรัสนัยปุระ’ หรือ ‘เชาวน์ พงษ์พิชิต’) เป็นที่รู้จักกันในชั้นหลังในหมู่สหายนักศึกษาปัญญาชนคนเข้าป่าว่าคือ ‘สหายนิล’ ผู้ร่วมเคลื่อนไหวกับขบวนการต่อสู้แนวรักชาติกู้ชาติมา ตั้งแต่ครั้ง พคท.ยังใช้ชื่อแรกตั้งว่า “พรรคคอมมิวนิสต์สยาม” พรรคนี้มีบทบาทเคลื่อนไหวตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งในกรุงเทพฯ ภาคกลาง ภาคอีสาน และโดยเฉพาะในพื้นที่ทางใต้ของประเทศไทย แนวทางการเคลื่อนไหวหลักคือ คัดค้านสงครามและต่อต้านกองทหารญี่ปุ่นที่ยาตราทัพเข้ามายึดครองพื้นที่บางส่วนของประเทศสยาม ขบวนการนี้แม้มีจุดกำเนิดมาจากการเคลื่อนไหวปฏิวัติทางสากลนอกประเทศ แต่ก็มีรูปการเคลื่อนไหวอย่างอิสระเป็นของตนเอง กล้าคิดกล้าทำ กล้าปฏิบัติการอย่างห้าวหาญ
หากวิเคราะห์อย่างเคารพประวัติศาสตร์ ยึดถือจากหลักฐานความเป็นจริง พบว่าแนวทางการเคลื่อนไหวของขบวนการอันมีที่มาจากพรรคคอมมิวนิสต์สยาม ก็เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับขบวนการเสรีไทยทั้งสายอังกฤษ ฝรั่งเศส และอเมริกา ต่างกันตรงที่สายพรรคคอมมิวนิสต์มิได้นำอาวุธและกองกำลังอาวุธของฝ่ายสัมพันธมิตรเข้ามาในเขตแดนไทย แต่ในบางขณะและบางวาระโอกาส สองขบวนการนี้ก็ได้พบปะกันโดยบังเอิญ เพราะเคลื่อนไหวทับซ้อนกันในพื้นที่เขตป่าเขา แม้ต่างฝ่ายก็ปิดลับ มิได้รับรู้นัดหมายกันมาก่อน ครั้นเมื่อได้พบปะกันบังเอิญบ่อยเข้า ด้วยมีอุดมการณ์รักชาติ ต้องการกู้ชาติ มีเป้าหมายศัตรูกลุ่มเดียวกัน ในระยะท้ายใกล้สิ้นสุดภาวะสงคราม จึงมีบางสายงานจับมือกัน ร่วมมือทำการก่อกวนกองกำลังทหารญี่ปุ่นบ้าง มีประจักษ์พยานว่าเสรีไทยบางหน่วย ได้สามัคคีสู้รบร่วมกับกองกำลังปิดลับของขบวนการกองโจรที่นำพาทางการจัดตั้งและวางแผนโดยสายงาน พคท.โดยอาจไม่รู้ว่าเป็นพรรคคอมมิวนิสต์ นอกจากนี้ยังมีเสรีไทยในบางพื้นที่ ซึ่งฝึกการรบแบบกองโจรในเขตป่าเขา ผ่องถ่ายอาวุธที่เคยใช้กันมา หรือไม่ทันได้ใช้ ให้กับฝ่ายขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นที่นำโดย พคท. เนื่องจากมีประกาศชี้แจงการสิ้นสุดสงครามเสียก่อน บางหน่วยถึงกับฉลองชัยร่วมกันเช่นในเขตพื้นที่ทางใต้ของประเทศไทยหลายจังหวัด (เชาวน์ พงษ์พิชิต. ประวัติพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย, 2565.)
ภายหลังสงคราม เชาวน์ พงษ์พิชิต หรือ ‘สหายนิล’ ได้ใช้เวลาไปกับงานโฆษณาของ พคท.อย่างเต็มตัว ในฐานะบรรณาธิการวารสาร “มหาชน” หนึ่งในจำนวนนักเขียนประจำที่ส่งงานกวีให้ตีพิมพ์ใน “มหาชน” คือ ‘นายผี’ โดยมีผลงานลักษณะอื่นตีพิมพ์ในนามปากกาอื่น ๆ ด้วย
เหตุการณ์ตามความเป็นมาทั้งสิ้นตลอดกระบวนการ สะท้อนให้เห็นว่า อัศนี พลจันทร ติดต่อสัมพันธ์กับบุคคลและเครือข่ายงานโฆษณาของ พคท. อย่างใกล้ชิดทางงานเขียนตั้งแต่ก่อนเข้าป่า
จึงไม่แปลกอะไรที่ในช่วงปีพุทธศักราช 2504 – 2505 อัศนี พลจันทร ได้ก้าวขึ้นมาเป็นนักการเมืองฝ่ายปฏิวัติเต็มตัว จากการเป็น “ปัญญาชนไทย” ที่รู้จักในฐานะกวี นักเขียน นักวิจารณ์วรรณคดีปากคม ในวารสาร หนังสือ สิ่งพิมพ์ ของขบวนการประชาธิปไตยฝ่ายก้าวหน้า เช่น สายธาร ปิตุภูมิ มหาชน และอักษรสาส์น อัศนี พลจันทร ถูกกำหนดตัวและได้รับเลือกโดย “สมัชชา 3” ของ พคท. ให้ขึ้นมามีบทบาทสำคัญยิ่งในฐานะ “สหายนำ” คนหนึ่งของ พคท. ในจำนวนรายชื่อกรรมการกลาง 24 คน อัศนี พลจันทร เป็นทั้งกรรมการกลางบริหารพรรค และ “กรมการเมือง” (สำรอง)
ผลการประชุม “สมัชชา 3” ยังมีรายชื่อ นิตย์ พงษ์ดาบเพชร สหายหญิงผู้สำเร็จวิชาการหนังสือพิมพ์จากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ประจำการอยู่ที่สถานีวิทยุปักกิ่งในฐานะผู้เชี่ยวชาญภาษาไทย และ ศักดิ์ สุภาเกษม นักเขียนและนักหนังสือพิมพ์มืออาชีพ ที่มีชื่อเสียงและผลงานเป็นที่ประจักษ์ ซึ่งมีภารกิจงานแปลประจำการอยู่ที่ปักกิ่งแล้วเช่นกัน
ทั้งสหายนิตย์ พงษ์ดาบเพชร และสหายศักดิ์ สุภาเกษม มีสถานภาพเป็นสมาชิกพรรคระดับนำ คือ “กรรมการกลาง” (สมัชชา 3) เช่นเดียวกับ อัศนี พลจันทร ทั้งสามท่านมีประวัติเคยทำงานหนังสือพิมพ์มาแล้วอย่างโชกโชน แต่ละท่านมีทักษะการใช้ภาษาไทยในระดับสูง และมีความสามารถพิเศษด้านการขีดเขียนแนวต่าง ๆ กันไป การที่ พคท.เลือกทั้งสามท่านให้เป็นกรรมการพรรค นำงาน สปท. จึงถูกหลักการวางคนให้สอดคล้องกับความสามารถ และเป็นการประกอบส่วนต่าง ส่งเสริมให้สหายที่มีความสามารถระดับสูง ร่วมกันบุกเบิกสร้างสรรค์งาน สปท.อันมีลักษณะพิเศษเฉพาะแห่งยุคสมัยนั้น
มีข้อมูลระบุด้วยว่า ในสภาพที่องค์การนำ พคท.ได้มอบหมายให้ทั้งสามท่านประกอบส่วนเป็น “กรรมการพรรค” ที่นำการบุกเบิกและดำเนินงานของ สปท.นั้น ทางพรรคได้วางบทบาทให้ อัศนี พลจันทร เป็นหัวหน้ากองบรรณาธิการ. (“ธง แจ่มศรี ใต้ธงปฏิวัติ”, อ้างโดย สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ, หน้า 385.)
อย่างไรก็ตาม “กลุ่มเพื่อน สปท.” รายงานว่า อัศนี พลจันทร นำงาน สปท.ในฐานะหัวหน้ากองบรรณาธิการได้เพียงปีเศษ ราวเดือนตุลาคม ปี 2506 ฝ่ายนำของ พคท. ก็มีคำสั่งย้าย อัศนี พลจันทร ไปช่วยงานด้านการแปลสรรนิพนธ์ของเหมาเจ๋อตง จากนั้นก็มอบหมายให้ ศักดิ์ สุภาเกษม เป็นผู้อำนวยการหน่วยพรรคประจำกองงาน สปท. และยังได้จัดส่ง สุจินต์ อัครสมิต จากเมืองไทย ให้ไปทำหน้าที่เป็นบรรณาธิการ สปท. เป็นที่เข้าใจได้ว่า การสั่งการนี้อาศัยอำนาจตามสายงานจัดตั้งภายในของ พคท. ไม่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายการเมืองอื่นและบุคคลภายนอกพรรค เช่น ท่านปรีดี พนมยงค์ หรือ สหายโฮจิมินห์ แต่ประการใด
อาจจะเป็นช่วงระยะบุกเบิกนี้เอง ที่มีเรื่องเล่าขานกันต่อมาปากต่อปากว่า เพลง “คิดถึงบ้าน” ที่อัศนี พลจันทร แต่งขึ้นขณะทำงาน สปท. ได้ถูกตราว่าเป็นเพลงสะท้อนอารมณ์ ‘นายทุนน้อย’ โดย ‘จัดตั้ง’ คือ องค์การนำชั้นเหนือที่กำกับดูแล “งานโฆษณา” ได้ระงับมิให้นำออกอากาศทาง สปท. เหตุการณ์นี้มีแต่เสียงอ้างว่า…หรือร่ำลือกัน ยังไม่พบหลักฐานเอกสารรองรับชัดเจน
ในระยะต่อมา เพลงนี้ได้กลายเป็น ‘เพลงเพื่อชีวิต’ ที่อ่อนหวาน ติดอันดับ ครองใจผู้คนที่รับฟังจำนวนล้นหลาม ดัชนีชี้วัดความสำเร็จของเพลงนี้ คือ จำนวนครั้งของการจัดทำอัลบั้มเพลงบันทึกเสียงของนักร้องหลายคนจากหลายค่ายเพลง เป็นที่ประจักษ์ว่าแม้บุคคลสำคัญระดับชาติสถานภาพสูงก็ยังนิยมชื่นชอบเพลงนี้
‘สหายหญิง’ ที่นิยมร้องเพลงนี้ในยาม “คิดถึงบ้าน” ขณะ สปท.ยังตั้งอยู่ในเวียดนาม น่าจะเป็นพยานบุคคลรายสำคัญที่อาจสืบสาว แกะรอย หาข้อเท็จจริงได้บ้าง แม้ว่าประวัติ สปท.ช่วงนี้จะสืบค้นได้ค่อนข้างยากเย็น ดังที่กองบรรณาธิการ “กลุ่มเพื่อน สปท.” ผู้เรียบเรียงหนังสือปกขาวเล่มหนาชื่อว่า “ที่นี่ สถานีวิทยุเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย” (สนพ.แสงดาว, 2565; 520 หน้า) ก็ยอมรับว่า ประวัติส่วนนี้เขียนได้ยากเนื่องจาก “สหายนำร่วมรุ่น ผู้บุกเบิก สปท. ล้วนล้มหายตายจากกันไปสิ้นแล้ว”
บันทึกเล่าเรื่องย้อนความทรงจำของสหายรุ่นบุกเบิกในหนังสือปกขาว (กลุ่มเพื่อน สปท. 2565) มีเรื่องราวกล่าวถึง ‘สหายไฟ’ หรือ อัศนี พลจันทร ไว้น้อยมาก แต่เมื่อใช้ความพยายาม “ร่อนทรายหาทอง” ก็ไม่ถึงกับไม่พบเสียเลย
การสืบค้น สหายร่วมรุ่นบุกเบิก สปท. ฝ่ายปฏิบัติการ พบว่ามี “สามสหาย” ที่เอ่ยชื่อ “สหายไฟ” โดยระบุว่าเคยพบและร่วมงานกับท่าน ในบทบาท ภาระหน้าที่ และการงาน ต่าง ๆ กันไป
“สามสหาย” อาวุโส ผู้ร่วม “จุดไฟ” ใน สปท.ระยะบุกเบิกที่เวียดนาม เป็นใครบ้าง? จะได้นำเสนอต่อไป
***โปรดติดตาม ตอนที่ 5
“โหมไฟ…ให้พี่น้องเราอุ่นสบาย”
_____
เอกสารอ้างอิง
กลุ่มเพื่อน สปท., สหายฟืน. (บรรณาธิการต้นฉบับ) ที่นี่...สถานีวิทยุเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แสงดาว, 2565. (520 หน้า)
เชาวน์ พงษ์พิชิต.ประวัติพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แสงดาว, 2565. (592 หน้า)
สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ.ธง แจ่มศรี ใต้ธงปฏิวัติ. กรุงเทพฯ: พิมพ์ในงานฌาปนกิจ ธง แจ่มศรี, สิงหาคม 2562.
คำรายงานการเมืองของมิตร สมานันท์. 29 กันยายน 2504. (เอกสารถ่ายสำเนา)
“ฉลองวันครบรอบหนึ่งปี กับภาระหน้าที่ของเรา” โดย สหายวิญ (เอิบ). 1 มีนาคม พ.ศ. 2506. (เอกสารโรเนียว)
บทสัมภาษณ์คุณสุมิตร (เอกสารถ่ายสำเนา) อ้างโดย “กลุ่มเพื่อน สปท.” คุณสุมิตรเล่าว่า ปี 2507 คนของคุณปรีดี ได้ไปปลุกระดมและเรียกร้องให้มาร่วมปฏิวัติไทยโดยเข้าใจว่า กลุ่มคุณปรีดี กับ พคท. เป็นแนวร่วมกัน โดย พคท.เป็นแนวหลัก เดินทางไปอบรมการทหารที่เวียดนามปี 2508 จนปลายปี 2508 จึงเดินทางเข้าไทยทางเขต 8 (เชียงราย).
มติกรมการเมืองเดือนสิงหาคม 2506.การประชุมกรมการเมือง ครั้งที่ 2 ชุดที่ 3 (8-18 สิงหาคม 2506) หัวข้อที่ 4.
สรุปงานในระยะ 20 ปี (โดยสังเขป) จากสมัชชาผู้แทนพรรคทั่วประเทศครั้งที่ 3 จนถึงสมัชชา 4. (เอกสารถ่ายสำเนา)
Somsak Jeamteerasakul. “The Communist Movement in Thailand,”, A thesis submitted for the degree of Doctor of Philosophy, Department of Politics, Monash University, 31 July 1991.
โปรดติดตามและมีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท. โปรดคลิ๊ก