บันทึกเรื่องล้ำในไพรลึก.... ชลธิรา สัตยาวัฒนา ตอนที่ 6 ‘มงกุฎหนาม’ มอบแด่ ‘ต้นแบบ คนวรรณกรรม’: คณะผู้แปล “สรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตุง” (พากย์ภาษาไทย)
ชลธิรา สัตยาวัฒนา
บทบันทึกชุด “เรื่องล้ำในไพรลึก” ตอน “มงกุฎหนาม” นี้ มีเจตนานำเสนอเรื่องราวความเป็นมาของ “คนวรรณกรรม” กลุ่มหนึ่งในยุคสมัยที่ผ่านเลย เป็นกลุ่มคนที่กล้า “คิดการใหญ่” และยังได้ “ทำการใหญ่” ด้วยอุดมการณ์ที่ยึดถือร่วมกัน แม้จะไม่มีการมอบรางวัลใด ๆให้เป็นกิจลักษณะ “คนวรรณกรรม” อันมีลักษณะเป็น “ต้นแบบ” (Prototype) กลุ่มนี้ ได้สร้างสรรค์ผลงานที่ยิ่งใหญ่เพื่อการปฏิวัติสังคมไว้จำนวนหนึ่ง นอกจากงานที่สร้างสรรค์ด้วยหัวใจน้อมรักผองชนคนทุกข์คนยากโดยแต่ละปัจเจกบุคคลแล้ว “คนวรรณกรรม” ผู้เป็นต้นแบบรุ่นนี้ยังได้ร่วมกันสร้างสรรค์ “ผลงานรวมหมู่” ประดับไว้ใน “โลกวรรณกรรม” ได้สำเร็จอย่างเหลือเชื่อ ในสมัยที่ยังไม่มีระบบอินเตอร์เน็ตใช้ ไม่มี AI หรือสมองกลอัจฉริยะเป็นเครื่องช่วย อีกทั้งยังร่วมกันบากบั่นทำงานอย่างมีวินัยจนสำเร็จในระยะเวลาอันจำกัด เพื่อแยกย้ายกันไปปฏิบัติภารกิจที่ “แนวหน้า” ตามคำเรียกร้องต้องการของสถานการณ์ปฏิวัติ
ผลงานชิ้นเอกอันทรงคุณค่านี้ ก็คือ “สรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตุง” โครงการแปลเอกสารที่มีนัยยะสำคัญทางประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นหลักฐานความร่วมมืออย่างใกล้ชิดในช่วงเวลาหนึ่ง ระหว่างรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
หนังสือชุด สรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตุง (พากย์ภาษาไทย) เป็นผลงานแปลจากชุดงานเรียบเรียงข้อเขียน บทความ บทรายงาน บทสัมภาษณ์ คำสอน บทบรรยายและปาฐกถา ฯลฯ ที่เรียบเรียงขึ้นโดยสำนักพิมพ์ประชาชนปักกิ่ง โดยภาพรวมคือ การประมวล “ความคิดเหมาเจ๋อตุง” ที่ประกอบสร้างขึ้นด้วยทฤษฎีการปฏิวัติ ชี้นำโดยลัทธิมาร์กซ ประสานกับการปฏิบัติปฏิวัติในประเทศจีน เป็นผลึกของบทเรียนที่สรุปความจัดเจนของท่านประธานเหมา~ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของการปฏิวัติจีน
แม้จะเป็นบทที่คัดสรรกลั่นกรองมาเป็นทางการ แต่เมื่อเรียบเรียงเข้าด้วยกันแล้วก็ยังมีความยาวหลายพันหน้า คณะผู้แปลชาวไทยซึ่งได้รับการคัดตัวโดยพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เพื่อทำงานโครงการความร่วมมือพิเศษนี้ ได้ใช้เวลาแปล เรียบเรียง และตรวจทานร่วม 3 ปีจึงแล้วเสร็จ และได้รับการจัดพิมพ์เป็นรูปเล่มหนังสือโดยทันที หากพลิกอ่านดูอย่างพินิจจะพบว่าเป็นการจัดพิมพ์หนังสือชุดที่ผ่านการพิสูจน์อักษรอย่างประณีตพิถีพิถัน แยกเป็นเล่ม 1 ถึงเล่ม 4 พิมพ์ครั้งแรกในปีคริสต์ศักราช 1968 (พ.ศ. 2511) โดยสำนักพิมพ์ภาษาต่างประเทศ ปักกิ่ง
(*ส่วนเล่มที่ 5 แปลโดยนักแปลอีกกลุ่มหนึ่งของทางการจีน ใช้เวลาห่างกันถึงหนึ่งทศวรรษต่อมา จึงได้จัดพิมพ์เผยแพร่ในปี 2522 โดยสำนักพิมพ์เดียวกัน, อ่านรายละเอียดในเชิงอรรถ)
สามนักปฏิวัติ โครงการแปล “สรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตุง” (พากย์ภาษาไทย)
หนึ่งใน “สามนักแปล” สรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตุง คือ สหาย ‘เฉินจินเหวิน’
ใครคือ ‘สหายเฉินจินเหวิน’ สมญานามอันมีเกียรติ สะท้อนถึงความสามารถอันเอกอุด้านภาษา?
คำตอบที่ได้มานี้ คัดจากข้อเขียนของ “ดอกไม้ป่า” ซึ่งอ้างถึงการสัมภาษณ์ “สหายหญิง” วัยอาวุโสท่านหนึ่ง นามว่า ‘สหายสุ’ ผู้คร่ำหวอดในขบวนปฏิวัติไทย
“ก็ลุงไฟไง... ‘ลุงไฟ’ มีชื่อภาษาจีนว่า ‘เฉินจินเหวิน’ แปลว่า ภาษาสีทอง”
‘สหายเฉินจินเหวิน’ หรือ ‘ลุงไฟ’ ก็คือ ‘นายผี’ หรือ อัศนี พลจันทร ดังเป็นที่รู้กันในองค์กร สปท. ระยะบุกเบิกทำการที่เวียดนามว่ามี อัศนี พลจันทร ร่วมอยู่ด้วยในฐานะ “สหายนำ” คนหนึ่ง อันเป็นผลสืบเนื่องจากการประชุมสมัชชา 3 ของ พคท. แต่ ‘สหายไฟ’ อยู่ที่เวียดนามได้ไม่นานนัก ก็ต้องอำลาจากการนำ “หน่วยพรรค” ที่นั่น แล้วเดินทางไปทำภารกิจสำคัญที่ปักกิ่ง
‘ป้าสุ’ ได้เก็บงำความลับเรื่องนี้ในขบวนการปฏิวัติไทยมาเนานาน จนกระทั่งสามีนักปฏิวัติของเธอคือ ‘สหายนิล’ หรือ เชาวน์ พงษ์พิชิต อำลาจากโลกไปด้วยวัยชรา
‘ป้าสุ’ ได้เปิดเผยเรื่องราวที่ปิดลับขั้นสูงกันมานานกว่า 60 ปี ผ่านการให้สัมภาษณ์ผู้ใช้นามปากกาว่า “ดอกไม้ป่า” โดยให้ความชัดเจนเพิ่มเติมด้วยว่า ในกระบวนการแปล “สรรนิพนธ์” เป็นพากย์ภาษาไทยนี้ มีนักปฏิวัติผู้แปลร่วมโครงการกับ ‘ลุงไฟ’ อีกสองท่าน:
ท่านหนึ่งคือ ผู้เชี่ยวชาญภาษาจีน-ไทย ที่เรียกกันว่า ‘ลุงโชน’ ใช้สมญานามจีนว่า ‘สหายหลินไห่’
อีกท่านหนึ่งคือ สามีของป้าสุเอง ~ ‘ลุงนิล’ นักปฏิวัติหลายฉายา ขณะที่ร่วมโครงการแปล “สรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตุง” ใช้สมญานามจีนว่า ‘สหายหลิวซื่อ’
‘สามสหายนักปฏิวัติ’ คณะผู้แปล “สรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตง” เป็นผู้เชี่ยวชาญไทยจากพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ได้รับการว่าจ้างจากทางการจีนในฐานะ “ผู้เชี่ยวชาญ” ให้ทำงานแปลสรรนิพนธ์ฯในช่วงระหว่างปี พุทธศักราช 2506-2508
‘ป้าสุ’ ผู้บอกข้อมูล มีชื่อจริงว่า “สุรีย์ พงษ์พิชิต” เป็นคู่ชีวิตของคุณเชาวน์ พงษ์พิชิต มาตั้งแต่เธอยังอยู่ในวัยสาว ‘ป้าสุ’ เสียชีวิตไปแล้วเมื่อปี พ.ศ.2564 ไม่เช่นนั้นเราคงจะได้เรื่องราวดี ๆ ที่เคยเป็นเรื่องปกปิดเป็นความลับของ พคท. อีกจำนวนหนึ่ง
‘ลุงนิล’ ในชื่อจีน ‘สหายหลิวซื่อ’ มีนามปากกาว่า ‘‘ชาญ กรัสนัยปุระ’ เป็นนามแฝงที่ใช้เมื่อครั้งเป็นนักเขียนและบรรณาธิการ นสพ. มหาชน ซึ่งเปิดเผยกันในภายหลังว่าเป็น นสพ.ที่จัดทำโดยมี พคท.อยู่เบื้องหลัง ว่ากันตามจริง พคท.คงจะอยู่เบื้องหลังอะไรอีกหลายอย่างหลายรูปการณ์ในชื่อต่าง ๆ กัน ดังที่ ‘ลุงนิล’ เมื่อยังหนุ่มแน่น ก็เป็นที่รู้จักกันดีในนาม ‘นายช้าง’ ผู้นำสำคัญคนหนึ่งในขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นทางภาคใต้ ที่บางครั้งก็จับพลัดจับผลูไปทำการร่วมกับ “ขบวนการเสรีไทย” ถึงขั้นผ่องถ่ายอาวุธให้แก่กัน และยังใช้ประโยชน์จากพื้นที่ในแดนเคลื่อนไหวแบบปิดลับร่วมกัน ‘นายช้าง’ ผู้มีประสบการณ์ต่อสู้กู้ชาติอันโชกโชน เปิดเผยตนเองในภายหลังว่า ชื่อจริงของตนคือ ‘เชาวน์ พงษ์พิชิต’ เป็นผู้เขียนหนังสือปกขาวเล่มหนาน่าสนใจอีกเล่มหนึ่ง ชื่อว่า ประวัติพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (*ผู้สนใจโปรดย้อนทวนอ่าน “บันทึกเรื่องล้ำในไพรลึก” ตอนที่ 4)
ส่วน ‘ลุงโชน’ หรือ ‘สหายหลินไห่’ นั้น ไม่น่าจะเป็นใครอื่นนอกจาก ‘เริง เมฆไพบูลย์’ ผู้ใช้นามปากกา ‘ส.โชติพันธุ์’ อดีตผู้นำนักศึกษา “มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง” ผู้มีบทบาทเคลื่อนไหวรณรงค์เรื่อง “สันติภาพ” ต่อต้านคัดค้านการร่วมวงไพบูลย์กับญี่ปุ่นโดยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เมื่อระยะปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 จากการสืบค้นและสอบเทียบเอกสารหายากบางฉบับ พบชื่อ ‘นายเริง เมฆไพบูลย์’ ปรากฏในบทบาทที่มีความสำคัญสูง เริ่มจากการเป็น เลขานุการขบวนการ “สันติภาพ” ในระยะต้น ๆ ของการเริ่มเคลื่อนไหว ผู้นำขบวนการนี้ในฐานะประธานกลุ่มฯ คือ นายประสิทธิ์ เอี้ยวฉาย มี กุหลาย สายประดิษฐ์ (ศรีบูรพา) เป็นรองประธานฯ ส่วนนายเริง เมฆไพบูลย์ นั้น เมื่อเคลื่อนไหวไปได้พักหนึ่ง ต่อมาก็เป็น เลขาธิการขบวนการ “สันติภาพ” ทั้งนี้ในรายชื่อบรรดา “กบฏสันติภาพ” กว่าร้อยคนนั้น ก็มีชื่อ ‘นายเริง เมฆไพบูลย์’ ปรากฏอยู่ด้วย และถูกจับกุมคุมขังในฐานะที่เป็นหนึ่งในหัวจักรสำคัญของขบวนการเคลื่อนไหว “สันติภาพ” นี้ หลังได้รับการปล่อยตัว เรื่องราวและบทบาทของ เริง เมฆไพบูลย์ หายไปจากสื่อสิ่งพิมพ์ทั่วไปและของ พคท. ในเวลาใกล้เคียงกับที่ผลงานของ “นายผี” และอีกหลายนามปากกาซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเป็น อัศนี พลจันทร ก็ขาดหายไปจาก “คอลัมน์กวี” ในวงวรรณกรรมไทยที่เผยแพร่ผ่านสื่อต่าง ๆ ในสภาพที่หลายคนถูกจับกุมในข้อหา “กบฏสันติภาพ” อย่างไม่น่าจะมีความผิดอันใด ไม่เว้นแม้ท่านผู้หญิง พูนศุข พนมยงค์ และบุตรชายคนโต กับใครต่อใครอีกหลายคนนั้น อัศนี พลจันทร ซึ่งอยู่ในรายชื่อที่ถูกหมายหัวไว้ กลับสามารถล่องหนหายตัวไปได้อีกคำรบหนึ่ง
“สามสหายนักปฏิวัติ” เป็นผู้เชี่ยวชาญทั้งภาษาจีนและภาษาไทย ผลงานจากปลายปากกาของ อัศนี พลจันทร ก่อนเข้าป่ามีมากมายนับไม่ถ้วน ตีพิมพ์เผยแพร่ใน นสพ.มหาชน ที่ ‘ชาญ กรัสนัยปุระ’ เป็นบรรณาธิการ เอกสารสิ่งพิมพ์หลายฉบับชี้ชัดว่า ทั้งสามสหายต่างก็มีบทบาททางการเมืองและความจัดเจน ที่สั่งสมจากประสบการณ์การต่อสู้ที่เป็นจริง และได้ร่วมต่อสู้กันมาแม้ในบทบาทต่างกัน เป็นผู้ที่มีทั้งความรู้ ความคิดทฤษฎี และยังประสานกับการเคลื่อนไหวลักษณะต่าง ๆ สะท้อนผ่านงานเขียนของตนเองเช่นกรณี “นายผี” และบทรายงานการเคลื่อนไหวการเมืองเพื่อสันติภาพที่มีภาพลักษณ์โดดเด่นเช่นกรณี “เริง เมฆไพบูลย์” ในสื่อสิ่งพิมพ์ที่เผยแพร่กว้างขวางในสมัยนั้น ส่วนกรณี “ชาญ กรัสนัยปุระ” นั้น นอกจากเกียรติประวัติการต่อสู้ที่ห้าวหาญในการต่อต้านญี่ปุ่น และชื่อเสียงด้านนายวงและนักแสดง “ศิลปะการละครสัญจร” ทางภาคใต้แล้ว ความสันทัดจัดเจนเป็นพิเศษคือความรู้ลึกซึ้งทั้งภาษาจีนและเชี่ยวชาญภาษาไทยในระดับเป็นบรรณาธิการมืออาชีพของสิ่งพิมพ์ที่มีระดับ คือ นิตยสารสายธาร และนสพ.มหาชน
จากประวัติความเป็นมาดังกล่าว จึงไม่เป็นที่น่าสงสัยเลยว่าเหตุใด “สามสหายนักปฏิวัติ” จึงจัดว่าเป็น “ดรีมทีม” ชั้น ‘หัวกะทิ’ ที่ได้รับการคัดสรรจากศูนย์กลางการนำของ พคท.ถึงขั้นส่งตัวไปปักกิ่ง เพื่อร่วมกันทำงานโครงการแปล “สรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตุง” จากต้นฉบับภาษาจีนเป็นภาษาไทย ด้วยผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วว่า ทั้งสามสหายเป็นผู้เข้าใจความหมายของทฤษฎีการปฏิวัติที่นำโดยลัทธิมาร์กซและความคิดเหมาเจ๋อตุงอย่างลึกซึ้ง
ในระหว่างการทำงานแปลโครงการ “สรรนิพนธ์ฯ” นี้ คณะผู้เชี่ยวชาญไทยทั้งสามท่าน ทำการในสำนักงานที่ทางการจีนจัดให้ในปักกิ่ง โดยมีภรรยาเดินทางไปสมทบและบ้างก็ร่วมภารกิจนี้ด้วย ในบางช่วงลูก ๆ ก็ได้มีโอกาสไปอยู่ด้วยช่วงสั้น ๆ ดังที่คุณโกลิศ พลจันทร เล่าความว่า
“บ้านพักที่ปักกิ่ง ผมอยู่กับพ่อแม่ พี่ป้อม บ้านนี้อยู่ติดกันกับ (บ้านพักของ) พรรคมลายา พรรคญี่ปุ่น พรรคอินโดนีเซีย พวกลูก ๆ จะมาเล่นด้วยกันตอนเย็น ๆ… คุณแม่ (คือป้าลม) บอกว่า เดือนหนึ่ง ๆ ทางจีนให้เงินใช้ราว 300 เหรียญ ส่วนครอบครัวสหายนิล และครอบครัวสหายโชน ไม่ได้พักอยู่ด้วยกัน”
ทางฝ่าย ‘ป้าสุ’ ได้เล่าเรื่องเสริมความเข้าใจวิถีชีวิตในช่วงเวลาทำโครงการแปลร่วมกันว่า:
“เราอยู่กันคนละที่ ลุงนิลกับป้าและลูกชาย (สองคน) ไปอยู่โรงแรมอู่หมิงปิงกว่าน ลุงไฟกับป้าลมเช่าบ้านอยู่ซีตาน ลุงโชนกับภรรยา (คือสหายรุ้ง) ก็เช่าอยู่อีกแห่ง พวกเขากินอาหารจีนไม่ค่อยได้ ไปเช่าบ้านก็ได้ทำอาหารกินเอง ส่วนป้า ลุงนิล กับลูก เรากินได้ ก็กินอาหารที่โรงแรม ไม่ได้ทำอาหาร ไม่ต้องมีครัว… เราพักแยกกัน แล้วมาทำงานที่สำนักงาน”
สำนักงานโครงการแปล “สรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตุง” ตามคำบอกเล่าของ ‘ป้าสุ’ อยู่ในตัวเมืองปักกิ่ง
“เราทำงานกันที่สำนักงานในปักกิ่ง เรียกว่า ไว่เหวินซูป่านเส้อ 外文出版社 หรือสำนักพิมพ์ภาษาต่างประเทศ เราทำงานด้วยกัน …เจ็ดโมงกว่าก็เริ่มทำงาน
ตอนนั้นทางพรรคเราเรียกร้องให้ทุกคนไปแนวหน้า เราก็รีบทำงาน ใช้เวลาแค่สองปีกว่า 2506 - 2508 ป้าทำงานหนักจนไทรอยด์เป็นพิษ เลยต้องเข้ารับการผ่าตัดที่นั่น”
บรรยากาศการทำงาน “แปลรวมหมู่” โดยคณะผู้เชี่ยวชาญไทยชุดนี้ ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่ามีความจริงจังเข้มข้น ตามประสา “ผู้รู้จริง” ที่เคร่งครัดทั้งด้านการถอดความหมายและการใช้ถ้อยคำเป็นภาษาไทยที่รัดกุม แต่ในบางบทบางตอนก็มีความเป็นวรรณกรรมที่ยกระดับขึ้นสู่วรรณศิลป์เพื่อเป็นการเคารพต้นฉบับของประธานเหมา
‘ป้าสุ’ ในฐานะผู้ช่วยแปล ได้ทำหน้าที่เลขานุการ จดบันทึกการแปล และจัดการพิมพ์ดีดต้นฉบับงานแปล ฟื้นความทรงจำให้เราเห็นบรรยากาศชัดเจนว่า
“เรามักเถียงกันเรื่องคำศัพท์... ทั้งสามคนรู้ทั้งสองภาษา ลุงนิลรู้ภาษาจีนดีที่สุด ลุงโชนก็รู้ ส่วนลุงไฟนั้น รู้ภาษาจีนด้วย แต่ที่สำคัญคือเก่งภาษาไทย ทั้งสามคนยังเคยเรียนที่สถาบันลัทธิมาร์กซมาด้วย ย่อมเข้าใจทฤษฎีการเมืองดี พรรคฯไทยจึงคัดเลือกสามคนนี้ให้ไปทำงานแปล…
ลุงนิลเป็นคนเชี่ยวชาญภาษาจีนกว่าคนอื่น ก็เป็นคนแปลจากจีนเป็นไทย ลุงโชนช่วยขัดเกลา (สำนวนแปล) แล้วลุงไฟก็แก้ภาษาไทย แก้สำนวนให้มันดี ส่วนป้าเป็นคนพิมพ์…
แปลเสร็จส่งงานแล้ว ยังได้รับเหรียญวีรชนจากท่านนายกฯโจวเอินไหล ทั้งสามคน…”
เสร็จจากการทำงานแปลรวมหมู่ครั้งนี้ จากปากคำที่ ‘ป้าสุ’ ให้สัมภาษณ์ “ดอกไม้ป่า” เมื่อปี 2560 ยืนยันซ้ำชัดเจน ว่า “ไม่มีใครอื่นเข้ามาช่วยทำ…”
ต่อจากนั้น ป้าสุบอกว่า “ใน ปี 2508 ลุงไฟกับลุงโชนก็ไปอยู่ A30” ข้อความนี้บ่งชี้ว่า ครอบครัวอัศนี พลจันทร กับครอบครัวเริง เมฆไพบูลย์ ออกเดินทาง “ไปแนวหน้า” ตามคำเรียกร้องของสถานการณ์ขณะนั้นก่อน ตามภารกิจของ “สหายนำ” ส่วนครอบครัวเชาวน์ พงษ์พิชิต ยังอยู่ที่ปักกิ่งอีกระยะหนึ่ง ดังที่ ‘ป้าสุ’ เล่าว่า
“ป้ากับลุงนิลยังอยู่ต่อ (เพื่อปิดงาน ตรวจทานจนเรียบร้อย) จากนั้น ลุงนิลกับป้าก็ไปเวียดนาม ไปดูแลโรงเรียนการเมืองการทหาร ต่อมาลุงนิลก็กลับไป (แนวหน้า) ไปอยู่ A30 เหมือนกัน ที่แนวหน้า มี A30, A31 และ A32 ทั้งหมดมี 3 สำนัก”
เหตุที่ ลุงนิลกับป้าสุ ยังต้องอยู่ต่อไปที่ปักกิ่งอีกพักหนึ่ง ส่วนอีกสองครอบครัวไปอยู่ A30 นั้น เป็นเพราะ “ลุงนิลกับป้า ยังอยู่แก้อีกหลายครั้ง เป็นสิบครั้งได้ ลุงนิลเป็นคนละเอียด ทุกคำต้องตรงความหมาย บางทีเราคำนึงถึงคำที่มันสวย ลุงนิลจะไม่ยอม ต้องแก้จนมีความหมายถูกต้อง…”
“ดอกไม้ป่า” นักเขียนประจำกองบรรณาธิการ สปท. ประเมินค่าว่า:
“สรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตุง ฉบับภาษาไทย… มีสำนวนภาษาที่นับว่าอยู่ใน ‘ระดับวรรณกรรม’ ทั้งยังมี ‘การบัญญัติศัพท์’ ใหม่ ๆ ที่มีความหมายลึกซึ้งไว้มากมายตลอดทั้งชุด ในด้านความคิดทางการเมืองและทฤษฎีลัทธิมาร์กซก็ชัดเจนแจ่มแจ้ง จนหลายคนอาจคิดว่า ‘อ่านแต่สรรนิพนธ์ไม่ต้องศึกษาลัทธิมาร์กซก็พอแล้ว’… ผู้แปลหนังสือที่มีนัยยะทางประวัติศาสตร์ชุดนี้ เชี่ยวชาญทั้งภาษาไทย ภาษาจีน ระดับนายของภาษาทีเดียว…”
“ดอกไม้ป่า” ได้ยกตัวอย่างการแปลบางสำนวนที่รู้จักกันดีในขบวนการปฏิวัติไทย เช่น “ประกายไฟไหม้ลามทุ่ง” หรือการแปลคำขวัญที่ว่า “ร้อยบุปผาบานพร้อมพรัก ร้อยสำนักประชันเสียง” และ “ชนกรรมาชีพทั่วโลก จงรวมกันเข้า”
สำนวนกวีและคำขวัญข้างต้น ล้วนมีบทบาทเชิงวาทกรรมตามแนวทัศนะของ มิเชล ฟูโก้ (Michel Foucault) กวีวจนะเหล่านี้ถูกนำมาใช้เป็นวาทกรรมในการเคลื่อนไหวทางการเมือง มีปฏิบัติการทางวาทกรรมในสังคมไทยเป็นอย่างสูง โดยเฉพาะในระยะหลัง 14 ตุลาคม 2516 เป็นต้นมา โดยที่คำขวัญ “ชนกรรมาชีพทั่วโลก จงรวมกันเข้า” ได้ถูกใช้พาดหัว ‘ปกรอง’ ของหนังสือชุด “สรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตุง” ตั้งแต่การจัดพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2508
หากใช้ดัชนีชี้วัดเชิงปริมาณ เรายังไม่อาจคำนวณตัวเลขได้แน่ชัดว่า “สรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตุง” ได้เข้าถึงผู้อ่าน~ผู้ใช้ประโยชน์ เป็นจำนวนเท่าใด เพราะได้มีการจัดพิมพ์เผยแพร่ทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ และทั้งอย่างปิดลับและแบบเปิดเผย โดยการคัดสรรหรือคัดลอกมาจัดพิมพ์ รวมทั้งถ่ายสำเนาเผยแพร่เฉพาะบางส่วนบางตอน โดยเฉพาะช่วงรอยต่อของเงื่อนเวลาแห่งความตื่นตัวก้าวหน้าของเยาวชน “ขบวนการคนเดือนตุลาคม” ระหว่างปี พ.ศ.2516 ถึงปี 2519 และต่อมาอีกราวห้าหกปีเป็นอย่างน้อยหลังจากนั้น
ถ้าใช้ดัชนีชี้วัดเชิงคุณภาพ กล่าวได้ว่า เฉพาะในสังคมไทยที่มุ่งหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนั้น ผลงานแปลรวมหมู่โครงการ “สรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตุง” ชุดนี้ ได้สร้างคุณูปการที่มิอาจประเมินค่าได้ ให้กับขบวนการเคลื่อนไหวปฏิวัติภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ทั้งในเมืองและในเขตป่าเขา และสืบทอดสานต่อโดยขบวนการปฏิวัติไทยที่ผลักดันขับเคลื่อนโดยเยาวชนนักศึกษา “ขบวนการคนเดือนตุลาฯ” นับแต่หลังเกิดเหตุการณ์ลุกขึ้นสู้ “14 ตุลาคม 2516” จนเกิดเหตุการณ์รัฐประหารนองเลือดสังหารหมู่ “6 ตุลาคม 2519” หลังจากนั้นเป็นที่ประจักษ์ว่า ปฏิบัติการของเยาวชนคนหนุ่มสาวในขบวนการปฏิวัติในเมือง ก็บรรจบกับ “นักรบติดอาวุธ” กรรมกรชาวไร่ชาวนา รวมทั้งชนชาวเขาชาติพันธุ์ม้ง ชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมชาติพันธุ์ลัวะและกะเหรี่ยงในป่าดงพงไพร ที่มีเรื่องราวตำนานเล่าขานลึกล้ำ ส่งผลสะเทือนกลับมาสู่เมืองและขยายผลสะเทือนถึงคนไทยนักเรียนไทยในต่างประเทศด้วย
ผลงานแปล “สรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตุง” ชุดนี้ เป็นประโยชน์ต่อการศึกษาสืบค้น เพื่อทำความเข้าใจประวัติศาสตร์การเมืองในภูมิภาคเอเชีย ที่ส่งผลสะเทือนนานัปการทั้งต่อโลกและต่อการเคลื่อนไหวปฏิวัติในอินโดจีนและนานาประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างต่อเนื่องมาจนถึงในปัจจุบัน สำหรับประเทศไทย บางบทที่มีความเข้มข้นทางทฤษฎีลัทธิมาร์กซยังคงสามารถนำมาปรับใช้ หากรู้จักเลือกใช้อย่างจำแนก ก็อาจใช้เป็นฐานคิด ต่อยอดและพัฒนาแนวคิดทฤษฎีลัทธิมาร์กซไปสู่ทางเลือกใหม่ ๆ อาทิเช่น สำนักมาร์กซิสม์ใหม่ (Neo-Marxism), สำนักคิดหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) และสำนักคิดหลังสมัยใหม่ (Post-Modernism) เพื่อสรุปบทเรียนทั้งจากความสำเร็จและความล้มเหลว แล้วยกระดับขึ้นเป็นแนวคิดทฤษฎีของขบวนการเปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจนำมาประสานกับแนวทางนโยบายการเคลื่อนไหวสังคมการเมืองไทยในระยะต่อไปได้
ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า “สรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตุง” ในพากย์ภาษาไทย (ชุดแรก พิมพ์ครั้งแรกปี 2508, เล่ม 1, 2, 3, 4) คือ “คัมภีร์ปกแดง” ที่ขบวนปฏิวัติไทยใช้ร้อยรัดใจคนในขบวนการฯ เพื่อชี้นำทิศทาง ท่าทีความคิดการเมือง และกำหนดจุดยืนให้มั่นคง เพื่อโน้มนำไปสู่การปฏิบัติที่ปฏิวัติ โดยไม่เหินห่างจากชนชั้นกรรมกรชาวนาและกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ จัดว่าเป็นคัมภีร์ที่มีอิทธิพลสูงสุด ในการติดอาวุธทางความคิดให้เยาวชนหนุ่มสาวไทยในยุคนั้น ใฝ่ใจดัดแปลงตนเองให้มีท่วงทำนองชนชั้นกรรมาชีพ โดยที่ “สรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตุง” บางบทก็ถูกใช้ในการศึกษาภายใน ‘หน่วยพรรค’ และ ‘หน่วยสันนิบาตเยาวชน’ ทั้งในเมือง ในมหาวิทยาลัย ในเขตป่าเขา และแม้แต่ในเขตจรยุทธ์ เพื่อเป็นทฤษฎีชี้นำการฝึกวิธีคิดแบบ “ปรัชญาวัตถุนิยมวิภาษวิธี” เพื่อการดัดแปลงตนเองในทางวิธีคิดให้สอดคล้องกับภววิสัย
บทความทางทฤษฎีที่สำคัญและใช้จัดศึกษากันอย่างแพร่หลาย เช่น
ด้านปรัชญา
บท “ว่าด้วยการปฏิบัติ” (ใน สรรนิพนธ์ฯ เล่ม 1 ตอนปลาย, น.579-612.)
บท “ว่าด้วยความขัดแย้ง” (ใน สรรนิพนธ์ฯ เล่ม 1 ตอนปลาย, น.613-696.);
ด้านศิลปะวรรณคดี
บท “คำปราศรัยในชมรมสัมมนาศิลปะวรรณคดีที่เยนอาน (ใน สรรนิพนธ์ฯ เล่ม ๓ ตอนต้น, น.121-187.)
ด้านการดัดแปลงท่วงทำนอง
บท “รับใช้ประชาชน” (ใน สรรนิพนธ์ฯ เล่ม ๓ ตอนปลาย, น.341-344.)
บท “ลุงโง่ย้ายภูเขา” (ใน สรรนิพนธ์ฯ เล่ม ๓ ตอนปลาย, น.545-551.)
ด้านการวิเคราะห์ชนชั้น
บท “การวิเคราะห์ชนชั้นต่าง ๆในสังคมจีน” (ใน สรรนิพนธ์ฯ เล่ม 1 ตอนต้น, น.3-21)
ด้านการทหาร
บท “การต่อสู้ที่เขาจิ่งกังซาน” (ใน สรรนิพนธ์ฯ เล่ม 1 ตอนต้น, น.117-181.)
ขบวนปฏิวัติไทย มีแต่ความชื่นชมที่จริงใจ และ ‘มงกุฎหนาม’ อันพึงมอบให้แด่นักปฏิวัติอาวุโสผู้มีเกียรติประวัติอันสูงเด่น
“มงกุฎหนาม” อันทรงเกียรตินี้ สมควรมอบให้กับ “สามสหาย” นักคิด~นักเขียน~นักปฏิวัติไทย”:
อัศนี พลจันทร, เริง เมฆไพบูลย์ และ เชาวน์ พงษ์พิชิต ผู้ต้องผันตัวเองเป็น “คณะนักแปล” เอกสารที่มีนัยยะสำคัญทางประวัติศาสตร์ สนอง ‘คำเชิญ’ จากรัฐบาลจีน เพื่อแปลผลงานที่มีความสำคัญระดับโลก “สรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตุง” จนเป็นผลสำเร็จอย่างงดงาม
ทั้งสามสหายอาวุโส เป็น ‘ต้นแบบ คนวรรณกรรม” ผู้ฝากผลงานไว้ในวงวรรณกรรมไทยอันยากจะลบเลือนได้.
________________________
* “สรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตุง” เล่ม 5 (สำนักพิมพ์ภาษาต่างประเทศ ปักกิ่ง, 2522) แปลโดยผู้เชี่ยวชาญจีน 3 ท่าน เป็นลูกหลานจีนที่เกิดในไทยแล้วไปสังกัดพรรคคอมมิวนิสต์จีน ท่านหนึ่ง ชื่อ คุณ Cai Zhihong อดีตบรรณาธิการ นสพ.มหาชน ที่ถูกเนรเทศไปจีน อีกสองท่านที่มีการระบุนามคือ Lin Shanan, Hong Kenan
เสถียร จันทิมาธร วิเคราะห์ว่า “หลิน ซานาน” น่าจะเป็นคนเดียวกับ สนาน วรพฤกษ์ เจ้าของนามปากกา "ส.ว.พ." และ สรง พฤกษ์พร รวมทั้ง ทำนุ นวยุค แต่ครั้งยังทำงานหนังสือพิมพ์และเขียนหนังสืออยู่เมืองไทย
“ดอกไม้ป่า”, สปท. อ้างจาก เชาวน์ พงษ์พิชิต. ลูกจีนรักชาติ, ๒๕๕๓. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน, น. ๔๕๐.
โปรดติดตามและมีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท. โปรดคลิ๊ก