บันทึกเรื่องล้ำในไพรลึก.... ชลธิรา สัตยาวัฒนา ตอนที่ 10 “แดนจินตนาการอันแสนงาม” ของ อัศนี พลจันทร
ชลธิรา สัตยาวัฒนา
วิถีชีวิตของ อัศนี พลจันทร โลดโผนทว่าลุ่มลึกมาตั้งแต่วัยหนุ่ม
ในปีพุทธศักราช 2480 นายอัศนี พลจันทร มีอายุได้เพียง 19 ปี ขณะที่ศึกษาวิชากฎหมายอยู่ชั้นปีที่ 2 ที่มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง หนุ่มน้อยคนนี้ได้เริ่ม ‘ลองวิชา’ ด้วยการเขียนบทความท้าทายนักเขียนอาวุโส โต้ทัศนะของ ส.ธรรมยศ ผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง ว่าด้วยเรื่อง "นิราศลำน้ำน้อย" (ของพระยาตรัง) โดยใช้นามแฝงว่า "นางสาวอัศนี"
ขณะซุ่มซ้อมมือฝึกปรือตนเองระหว่างเรียนหนังสือที่ธรรมศาสตร์นั้น ในระยะต้น อัศนี พลจันทร ยังไม่พาตัวเองเข้าสู่ ‘กระแสหลัก’ ของการเมืองร่วมสมัย หากได้ใช้เวลาว่างจากการเรียน เดินเข้าไปเสาะหาความรู้เพิ่มเติมในวัดมหาธาตุและหอสมุดแห่งชาติซึ่งอยู่ติด ๆ กันในรัศมีเดินถึง จนได้ความรู้เพิ่มพูน กลายเป็น “ผู้รู้” ที่เชี่ยวชาญด้านภาษา วัฒนธรรม และศิลปะวรรณคดี เฉพาะด้านภาษาก็ได้เรียนรู้ยกระดับตามความสนใจของตนเองถึง 7 ภาษา ได้แก่ ภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส จีน มลายู บาลี สันสกฤต และอูรดู (ภาษาอูรดู เป็นภาษาประจำชาติของปากีสถาน และเป็นภาษาหลักของมุสลิมในประเทศอินเดีย)
ความรู้รักที่จะเรียนภาษาเช่นนี้มีมาแต่วัยเด็ก และดำเนินไปอย่างต่อเนื่องจนตราบถึงบั้นปลายของชีวิต แม้ก่อนหน้าการ “เสียสละสิ้นชีพ” ไปไม่กี่ปี “ป้าลม” ซึ่งอยู่ใกล้ชิดตลอดมา (ยกเว้นช่วงสุดท้ายที่ต้องแยกจากกันไปตามคำสั่งของฝ่ายนำ เพื่อให้ผู้หญิงและเด็กเล็กปลอดภัยจากการล้อมปราบของฝ่ายรัฐบาล) ให้ข้อมูลว่า อัศนี พลจันทร ได้จัดทำ “พจนานุกรมภาษาจีนโบราณ” ไว้ค่อนข้างสมบูรณ์ ขณะที่ใช้ชีวิตในเขตป่าเขา น่าเสียดายที่ “ต้นฉบับงาน” อันทรงคุณค่าชิ้นนี้สูญหายไประหว่างหลบหนีการล้อมปราบของกองกำลังฝ่ายรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม ช่วงปี พ.ศ.2479-2483 ถือว่าเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านของประวัติศาสตร์ จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่ระยะต้นของระบอบประชาธิปไตยไทยที่เริ่มใช้รัฐธรรมนูญ ท่ามกลางการแย่งชิงอำนาจของหลายฝ่ายภายหลังการสละราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (ในหลวงรัฐกาลที่ 7) เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่อุบัติขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว นักศึกษามหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง อย่างอัศนี พลจันทร ย่อมเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องใส่ใจ ขบคิด และเรียนรู้ โดยเฉพาะผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัย ก็คือ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม หรือ ฯพณฯ ดร.ปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเป็นมันสมองของ “คณะราษฎร” มาตั้งแต่เริ่มคิดก่อการ และต่อมาท่านก็ต้องตกอยู่ในเกมการช่วงชิงอำนาจจากหลายฝ่าย บทบาทการกรีดปากกาเป็นบทกวีและการเขียนบทความนำเสนอผ่านสื่อหลายรูปแบบของอัศนี พลจันทร ในนามปากกาต่าง ๆ จึงได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของบันทึกประวัติศาสตร์ช่วงนี้ไปโดยปริยาย
เมื่อสำเร็จการศึกษาขั้นปริญญาตรี วิชากฎหมาย จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง อัศนี พลจันทร เข้ารับราชการทันที ตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ.2484 โดยเริ่มงานราชการในตำแหน่ง ‘อัยการผู้ช่วยชั้นตรี’ (เทียบขั้น ‘อัยการฝึกหัด’ ชั้นจัตวา อันดับ 7) อัตราเงินเดือนที่กองคดี กรมอัยการ 50 บาท
ชีวิตอัยการโดยทั่วไปนั้น มีโอกาสได้รับรู้ความทุกข์ยากเดือดร้อนของประชาชน หากอัยการมิใช่คนใจไม้ใส้ระกำจนเกินไปนัก ก็จะสัมผัสปัญหาที่ผู้เสียหายเผชิญเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายโจทก์หรือจำเลย หรือผู้มาให้การเป็นพยาน ทั้งที่เป็นเพื่อนมิตรหรือญาติพี่น้องใกล้ชิด ต่างก็มี “เรื่องเล่า” จากชีวิตจริงในสภาพที่มีปัญหาต่าง ๆ รุมล้อม เมื่อคนเหล่านี้มาบอกกล่าวกับ ‘อัยการผู้ช่วย’ ที่มีพื้นฐานทางจิตใจเคร่งครัดทางวิชาชีพเช่นอัศนี พลจันทร แม้เป็นเพียงบัณฑิตจบมาใหม่หมาด ก็สามารถซึมซับปัญหาที่รุมเร้าประชาชนคนยากได้อย่างรวดเร็ว
ความตื่นตัวต่อปัญหาชาวบ้านของอัยการผู้ช่วยหนุ่ม อัศนี พลจันทร ไม่ได้มาจากความช่างคิดที่สั่งสมมาแต่วัยเด็กและจากการอ่านหนังสือดี ๆ เท่านั้น หากมีภววิสัยรองรับจากการซึมซับรับรู้ปัญหาความทุกข์ยากเดือดร้อนของประชาชน จนเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน โดยเฉพาะในช่วงเปลี่ยนผ่านจากความสิ้นหวังทางจิตใจ กับความพยายามที่จะฟื้นคืนชีพทางเศรษฐกิจ ด้วยหวังที่จะทุเลาความบอบช้ำจากสงครามโลกครั้งที่ 2
สำหรับประเทศไทยนั้น แม้มิได้เป็นผู้พ่ายแพ้สงคราม และสภาพบ้านเมืองในภาพรวมก็ไม่ได้พังยับเยินเสียหายจากหายนะภัยสงครามโดยตรง แต่พิษร้ายจากสงครามโลกก็แผ่ซ่านส่งผลกระทบต่อผู้คนจำนวนมากทุกครัวเรือน แม้หากไม่ล้มตายหรือบาดเจ็บจากสงคราม ก็ล้วนแต่ต้องเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจหนักหน่วง ชนชั้นล่างแต่ละครัวเรือนต่างต้องขบคิดวางแผนว่าจะอยู่กินกันต่อไปอย่างไรในแต่ละวันแต่ละคืน บางครอบครัวถึงกับอยู่ในสภาพ “บ้านแตกสาแหรกขาด” พ่อแม่ลูกเต้าต้องแยกกันอยู่คนละทิศละทาง ผลกระทบจากสงครามเกิดขึ้นกับชนทุกชั้น แม้แต่ในครอบครัวปัญญาชนและผู้มีอันจะกิน บางคนก็ถึงกับได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจจนล้มป่วยไปชั่วชีวิตก็มี ส่วนผู้คนระดับชาวบ้านร้านตลาดก็จำต้องดิ้นรนต่อสู้แบบ “ปากกัดตีนถีบ” หากไม่ใช่เพื่อความอยู่รอด ก็หวังหาทางตั้งตัว ฟื้นฐานะเพื่อยังชีพให้ “อยู่ดีกินดี” กว่าเดิม ในการนี้คนบางกลุ่มบางพวกจึงแสวงหาความได้เปรียบ ช่วงชิงโอกาสที่จะกอบโกยผลประโยชน์ และตักตวงให้ได้มามากที่สุด ส่วนมากทำการโดยปราศจากคุณธรรม นำมาซึ่งความบอบช้ำของผู้สูญเสียที่ตกเป็นเบี้ยล่าง
บริบทสังคมเศรษฐกิจการเมืองในช่วงรอยต่อระหว่างปี พ.ศ.2484-2485 ระยะหลังสงครามโลกดังกล่าวข้างต้น เป็นช่วงเวลาที่อัศนี พลจันทร เริ่มเข้ารับราชการในฐานะอัยการผู้ช่วยพอดี นักคิดนักเขียนและกวีซึ่งมีความเปรื่องปราชญ์ในตัวเอง จึงมองเห็นปัญหาที่ซุกอยู่ภายในเรื่องราวคดีความต่าง ๆ ได้ทะลุปรุโปร่ง แม้จะเกิดในครอบครัวขุนนางเจ้าที่ดินศักดินา อัศนี พลจันทร ได้ปรับมุมมองและทีทรรศน์ต่อโลกความเป็นจริงอันประจักษ์อยู่ตรงหน้า สามารถพัฒนาตนเป็น ‘อัยการของประชาชน’ ได้อย่างรวดเร็วเป็นพิเศษ
ปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตข้าราชการของ อัศนี พลจันทร เริ่มตั้งแต่ปีแรกของการทำงาน เมื่อมีคดีหนึ่งที่อัยการชั้นเหนือไม่กล้าสั่งฟ้องด้วยตนเอง เพราะจำเลยเป็นน้องชายของผู้เรืองอำนาจทางการเมืองในสมัยนั้น ภาระการดำเนินการฟ้องต้องตกมาอยู่ในความรับผิดชอบของอัยการผู้ช่วย คือ อัศนี พลจันทร คดีนี้อัยการเป็นโจทย์ ดำเนินการฟ้องร้องจนได้รับชัยชนะเหนือความคาดหมาย แต่ความสำเร็จนี้กลับส่งผลให้ถูกสั่งย้ายไปปฏิบัติงานที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน พื้นที่ซึ่งแม้จนขณะนี้ก็ยังถือว่าเป็นดินแดน “ไกลปืนเที่ยง” (นับเป็นคำสั่งย้าย ครั้งที่ 1)
ชีวิต ‘นายผี’ ในฐานะ ‘อัยการแพะ’
ในปีต่อมา อัศนี พลจันทร ด้วยวัยเพียง 24 ปีเศษ ก็ได้ ‘ก่อการดี’ ขึ้นอีกคดีหนึ่ง ด้วยสาเหตุไม่แจ้งชัด (เนื่องจากยังไม่พบรายละเอียดของคดีความ) แต่คงจะ ‘ร้ายแรง’ ไม่เบา ดังนั้นในทัศนะของผู้บังคับบัญชาสายตรง จึงออกคำสั่งย้ายอัยการผู้ช่วยท่านนี้ออกจาก “แดนไกลปืนเที่ยง" เมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2485 โดยให้ไปทำงานในตำแหน่งเป็น ‘อัยการผู้ช่วย จังหวัดปัตตานี’ (นับเป็นคำสั่งย้ายกะทันหัน ครั้งที่ 2)
ในความรู้สึกของ ‘ป้าลม’ (คุณวิมล พลจันทร) คู่ชีวิตร่วมทุกข์ร่วมยากของท่าน ถือว่าคราวนี้เป็นการ “ถูกเนรเทศ” ไปอยู่ท้องถิ่นทุรกันดารและเสี่ยงภัย แม้จะได้อัตราเงินเดือนเพิ่มขึ้นเป็น 80 บาท แต่สำหรับในช่วงปลายสงครามโลกนั้น ข้าวของทุกอย่างแพงมาก การจัดหาจัดซื้อก็เป็นไปด้วยยาก มักถูกชักผลประโยชน์หลายชั้นเชิงกว่าสินค้าที่ต้องการจะมาถึงผู้บริโภค ‘ป้าลม’ บันทึกเล่าชีวิตส่วนตัวของครอบครัวว่า
“การกินอยู่ในครอบครัวที่ปัตตานีเวลานั้น ถึงกับต้องเหวี่ยงแหหาปลามากินกันเอง เมื่อมีส่วนเหลือก็เจือจานเพื่อนบ้าน และซื้อไก่มาเลี้ยงเอาไข่ อีกทั้งยังหาซื้อแพะมาเลี้ยงไว้รีดนมด้วย”
ณ ท้องถิ่นเสี่ยงภัยและทุรกันดารแห่งนี้ เกิดมี “ตำนานอัยการแพะ” เล่าสู่กันฟังในหมู่ชาวบ้านที่ปัตตานีว่า…
วันหนึ่ง ขณะที่ท่านอัยการ อัศนี พลจันทร กำลังนั่งขีดเขียนค้นคว้าหนังสือเพลินอยู่นั้น แพะที่เลี้ยงไว้ย่องเข้ามากินต้นฉบับงานเขียนหมดไปหลายแผ่น ชาวบ้านพบเห็นเข้าจึงเอาไปร่ำลือ แล้วเรียกกันปากต่อปากว่า “อัยการแพะ”
อัศนี พลจันทร จึงมีฉายาว่า "อัยการแพะ" ที่มักใช้เรียกขานกันติดปากชาวบ้านมุสลิมปัตตานี บางแหล่งข้อมูลอ้างว่า ต้นฉบับลายมือเขียนที่ถูกแพะเอาไปกินแทนหญ้านั้น เป็นต้นฉบับงานแปล "ภควัทคีตา" ผลงานแปลจากวรรณคดีภาษาสันสกฤตชิ้นสำคัญที่ สุภา ศิริมานนท์ เห็นคุณค่า ต่อมาจึงได้นำลงตีพิมพ์ใน วารสารอักษรสาส์น ซึ่งท่านเป็นบรรณาธิการ (นับแต่ฉบับเดือนตุลาคม 2493)
บทบาทของ “อัยการแพะ” อาจตีความจากข้อเท็จจริงว่า อัศนี พลจันทร ถูกโยกย้ายไปอยู่แดนทุรกันดาร จึงตกเป็น “แพะรับบาป” คือต้องเป็นฝ่ายรับโทษทัณฑ์จากการ “ก่อการดี” เพื่อคนทุกข์ยาก อย่างไรก็ตาม โทษทัณฑ์นี้กลับเป็นผลดีต่อการหล่อหลอมชีวิตให้เข้มข้นยิ่งกว่าเดิม ทำให้ “อัยการแพะ” ได้มีโอกาสลงไปสัมผัสวิถีชีวิตพื้นบ้าน ใกล้ชิดกับชาวบ้านร้านถิ่นยากจนในจังหวัดปัตตานี โดยการเข้าไปคลุกคลีอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน และด้วยจิตใจรักการเรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรมอย่างจริงใจ ภาพอัศนี พลจันทร บนเวทีละครชีวิตช่วงเวลานี้ ฉายชัดเจนว่า ท่านได้ถือโอกาสศึกษาชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน แสดงความสนใจใคร่รู้วัฒนธรรมชาวมุสลิมปัตตานี ถึงขั้นฝึกอ่าน คัมภีร์อัลกุรอ่าน ตลอดจนปฏิบัติกิจวัตรอิสลามิกชนโดยเคร่งครัด คือ งดการบริโภคเนื้อหมู และยังสวม ‘หมวกกาบีเยาะห์’ เวลาเดินทางไปไหนต่อไหนด้วย นอกจากนี้ “อัยการแพะ” ยังปฏิบัติตนเป็นผู้ให้ทาน เจือจานพี่น้องมุสลิมที่ขาดแคลน รูปธรรมของ “การให้” ที่ชัดเจนจากบันทึกเล่าเรื่องของ “ป้าลม” คือ เมื่อได้รับปันส่วนไม้ขีดไฟมาจากทางการ “อัยการแพะ” จะสั่งการให้ภรรยาของท่านแบ่งไว้ใช้เองเท่าที่จำเป็นเพียงบางส่วน แล้วก็นำส่วนที่กันไว้ ไปแจกจ่ายให้ชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงอย่างเท่าเทียมกัน “สองครัวเรือนต่อหนึ่งกลัก” ท่วงทำนองน่าประทับใจเช่นนี้ สะท้อนให้เห็นอารมณ์รักอันลึกซึ้งที่ “อัยการแพะ” ได้มอบให้พี่น้องมุสลิมชาวปัตตานี “โดยไม่มีกำแพงชาติพันธุ์ ศาสนา และวัฒนธรรม มากั้นกลาง”
ในด้านคดีความ บริบททางการเมืองที่เข้มข้นระยะปลายสงครามโลกครั้งที่สอง อึงอลโกลาหลด้วยกระแสโฆษณาชวนเชื่อ ให้ “เชื่อผู้นำ ชาติพ้นภัย” นำโดยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม วาทกรรมการเมืองของผู้มีอำนาจได้สร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านอย่างแสนสาหัส จนเกิดมีกรณีตำรวจไล่จับชาวบ้านปัตตานีจำนวนมากที่ไม่รู้เรื่องราวและไม่อาจเข้าใจ “คำสั่ง” เบื้องบนที่บัญชาการลงมาเช่นนี้ได้ จากการนี้ชาวบ้านจึงถูกจับ รีดไถ เรียกค่าปรับ ในข้อหา “ฝ่าฝืนนโยบายรัฐนิยม” ของรัฐบาล โดยเฉพาะกรณี “การกินหมาก ไม่สวมหมวก และนุ่งโสร่ง” เมื่อพนักงานสอบสวนส่ง “สำนวนคดีเปรียบเทียบปรับ” มาขอความเห็นชอบจากพนักงานอัยการ ตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา ปรากฏว่า “อัยการแพะ” อัศนี พลจันทร ได้ใช้ความกล้าหาญทางจริยธรรม ชี้มูลเหตุแห่งคดีความว่า “การเปรียบเทียบปรับไม่ชอบ” ซึ่งมีผลเท่ากับ “สั่งไม่ฟ้อง ต้องคืนค่าปรับให้กับผู้ต้องหาทุกราย” โดยให้เหตุผลว่า
“ผู้ต้องหาไม่รู้ภาษาไทย ไม่เข้าใจกฎหมายไทย. รัฐนิยมขัดต่อเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน และขัดต่อหลักความยุติธรรม,ใช้บังคับไม่ได้.”
ผลจากการที่ อัศนี พลจันทร เลือกยืนเคียงข้างผู้ถูกกดขี่ และยื้อคืนความเป็นธรรมให้ประชาชน ทำให้กิตติศัพท์ของ “อัยการแพะ” ลือเลื่องไปทั่วทั้งจังหวัดปัตตานี และแม้แต่ภายในกรมอัยการเอง ทว่าโดยเหตุที่อัยการในท้องที่อื่น ล้วนให้ความเห็นชอบกับ “การเปรียบเทียบปรับ” ดังกล่าวทั้งสิ้น “อัยการแพะ” จึงไม่เพียงเป็น ‘แพะรับบาป’ แทนผู้อื่น อัศนี พลจันทร ยังได้กลายเป็น “แกะดำ” ในกองบังคับคดี กรมอัยการ ไปแล้วอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ตลอดช่วงเวลาสองปีที่ “อัยการแพะ” ทำงานไป เรียนรู้ไป และสัมผัสซึมซับวิถีวัฒนธรรมชาวมุสลิมปัตตานีนั้น ท่านยังได้ทำให้ราชการปั่นป่วน ด้วยการพลิกมุมมองทางกฎหมายอย่างครึกโครมไว้หลายคดี โดยเฉพาะการ “กลับดำให้เป็นขาว” สั่งไม่ฟ้องชาวบ้านมุสลิมปัตตานีกว่า 50 คนที่โดนจับด้วยข้อหา “ไม่สวมหมวก” ตามนโยบายของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ผลจึงตามมาด้วยการกล่าวหาว่าร้ายเป็นการภายในว่า อัยการผู้ช่วย อัศนี พลจันทร “ให้การสนับสนุนชนชาวมลายู ต่อต้านรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม”
อัศนี พลจันทร จึงตกเป็น ‘แพะรับบาป’ ถูกสั่งย้ายอีกคำรบหนึ่ง คราวนี้ให้ไปประจำการที่จังหวัดสระบุรี (นับเป็นคำสั่งย้ายกะทันหัน ครั้งที่ 3)
“อัยการแพะ” จึงจำต้องอำลาชาวมุสลิมปัตตานีไปตามคำสั่งย้าย เมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2487 ด้วยหยาดน้ำตาของประชาชนที่อาลัยรักท่าน อย่างไรก็ตาม “อัยการแพะ” จากไปแต่เพียงรูปกายเท่านั้น งานเขียนที่พรั่งพรูออกมาในระยะหลัง แม้อยู่ห่างไกลกัน สะท้อนให้เห็นว่า “อัยการแพะ” ไม่เคยลืมประชาชนชาวปัตตานีที่ท่านรักและห่วงใย และได้เขียนถึงผู้คนพี่น้องชาวมุสลิมเสมอมาในงานเขียนที่มีนัยยะสำคัญหลายชิ้น ดังจะได้กล่าวถึงต่อไป
‘นายผี’ ยังคงเป็น ‘แกะดำ’ ที่สระบุรี
การมาเป็นอัยการผู้ช่วยที่สระบุรีครั้งนี้ อัศนี พลจันทร ไม่เคยเข็ดหลาบที่ถูกสั่งสอนด้วยการโยกย้ายที่ทำงานและถิ่นฐาน ในบันทึกของ ‘ป้าลม’ ด้วยนามแฝง ‘ฟองจันทร ทะเลหญ้า’ ปรากฏข้อความช่วงใช้ชีวิตที่สระบุรี ดังนี้ :
“ท่านปฏิเสธไม่รับเลี้ยงจากพ่อค้า โดยอ้างว่าเป็น ‘มุสลิม’ ต้องเคร่งครัดเรื่องอาหารการกิน เพื่อปิดประตูที่พ่อค้าจะเข้าถึงตัวอัยการได้ตามธรรมเนียมที่ปฏิบัติกันมาจนถึงปัจจุบัน คือการเลี้ยงอาหาร แม้พ่อค้าบางคนไม่มีธุรกิจผิดกฎหมาย แต่การมีสัมพันธ์ที่ดีกับอัยการหรือผู้พิพากษา (สำหรับพ่อค้า) ถือว่าได้มากกว่าเสีย ถ้ามีธุรกิจผิดกฎหมายด้วย ก็ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง. ท่านได้ใช้ชีวิตร่วมกับ วิมล พลจันทร ที่บ้านพักหลังเก่าของราชการ ซึ่งไม่มีใครกล้ามาอยู่ ด้วยเพราะต้นมะขามใหญ่หลังบ้านเคยมีคนผูกคอตาย.”
“ฟองจันทร ทะเลหญ้า” (ป้าลม) ยังเล่าวิถีชีวิตครอบครัวพลจันทร ใน ‘บ้านผีสิง’ ของทางราชการ ไว้ถี่ถ้วนว่า
“ในปี พ.ศ.2488, ครอบครัวพลจันทรก็มีสมาชิกเพิ่มเป็นลูกสาวอีกหนึ่งชีวิต ทำให้ปกติแล้วเงินเดือนที่ได้รับก็ชักหน้าไม่ถึงหลังอยู่แล้ว ยิ่งทำให้อัตคัตไปอีก ทั้งงานเขียนก็ยากที่จะลงพิมพ์เพื่อหวังเป็นรายได้มาจุนเจือ... ผู้เป็นภรรยาก็ต้องออกตระเวนซื้อกล้วย ถั่ว หรือข้าวโพดจากไร่มาขาย บางครั้งบางคราวก็ต้องไปไกลถึงเขาพุทธบาทซึ่งอยู่ห่างจาก (ตัวจังหวัด) สระบุรีราว 20 กิโลเมตร.”
ต่อมาในปี พ.ศ.2491 ร้อยเอกประเสริฐ สุดบรรทัด ซึ่งได้คบหากับ อัศนี พลจันทร สนิทสนมกันฉันท์เพื่อน ได้ลงสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสระบุรี แต่ถูกข้าหลวงตัดสิทธิ์ จึงได้ร้องเรียนไปยังกรมอัยการ อัศนี พลจันทร ได้พยายามช่วยคลี่คลายปัญหาให้ แต่แล้วในวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2491 ท่านก็ถูกคำสั่งย้ายอีก (นับเป็นคำสั่งย้ายกะทันหัน ครั้งที่ 4)
ครั้งนี้ให้ไปประจำการที่จังหวัดอยุธยา ด้วยเหตุผลภายในกองอัยการว่า
“คุณอาญาติผู้ใหญ่ของท่าน เป็นหัวหน้าอัยการอยู่ที่นั่น จะได้ช่วยควบคุมดูแลมิให้ก่อเรื่องได้.”
แม้เป็นอัยการชั้นโทที่อยุธยา ก็ไม่วายถูกสั่งย้าย
ในปีถัดมา วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2492 อัศนี พลจันทร ก็ได้เลื่อนขึ้นเป็นข้าราชการชั้นโท
ถึงกระนั้นก็ตาม บทบาททางการเมืองของอัศนี พลจันทร ที่จังหวัดอยุธยา กลับมีมากยิ่งขึ้นเป็นลำดับ ทั้งโดยทางลับและเปิดเผย ในช่วงเวลานี้ ชื่อเสียงในฐานะกวี ในนามปากกา ‘นายผี’ ฝีปากคมกล้า เริ่มเป็นที่ประจักษ์ในหมู่นักอ่านและนักคิดนักเขียนแล้ว มีบุคคลในวงการนี้ รวมทั้งศิลปินและกวี ไปมาหาสู่กันเปิดเผย จนนำมาซึ่งปัญหาใหญ่ในชีวิตของท่านอีกครั้งหนึ่ง สาเหตุมาจากการที่ ‘เปลื้อง วรรณศรี’ จะมาปราศรัยช่วยหาเสียงให้เพื่อนที่ลงสมัครรับเลือกตั้ง สส.ที่อยุธยา ในการนี้จำเป็นต้องดำเนินการขออนุญาตล่วงหน้า อัศนี พลจันทร ก็ได้เป็นธุระขออนุญาตจาก “ข้าหลวง“ คือ “เจ้าเมืองพระนครศรีอยุธยา” (ตำแหน่ง ‘ผู้ว่าราชการจังหวัด’ ในปัจจุบัน) ให้ด้วยตัวเอง แต่เมื่อถึงกำหนดวันนัดหมาย ปรากฏว่านายอำเภอไม่ยอมให้ขึ้นปราศรัย โดยอ้างว่า “ท่านข้าหลวงไม่อนุญาตแล้ว”
เหตุการณ์อันคาดไม่ถึงโดยฉับพลันทันทีนั้น ทำให้เกิดการโต้เถียงกันขึ้น บันทึก ‘ป้าลม’ เล่าว่า
“มีจังหวะหนึ่ง ท่านเอื้อมมือไปจะเกาหลัง (บ้างก็ว่าเกาสะเอว). นายอำเภอเข้าใจผิด คิดว่าท่านจะชักปืนออกมายิง, นายอำเภอได้รีบปั่นจักรยานออกไป การปราศรัยจึงมีขึ้นได้.”
แต่ในที่สุดก็มีเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่เดินทางมาสอบสวนถึงที่ ผลการสอบสวนคือ นายอำเภอถูกย้ายก่อน แต่ก็ตามมาด้วยคำสั่งย้าย อัศนี พลจันทร ด้วยในเดือนกรกฎาคม 2495 คราวนี้ถือว่ารุนแรงเป็นพิเศษ คือ เป็นคำสั่งให้ย้ายกลับเข้าประจำกองคดี กรมอัยการ กระทรวงมหาดไทย (นับเป็นคำสั่งย้าย ครั้งที่ 5)
เกิดเหตุ “กบฏสันติภาพ” อัศนี พลจันทร ถึงคราวจำต้องล่องหน
ครั้นถึงวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ.2495 ก็เกิดเหตุใหญ่ในบ้านเมือง รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ตั้งข้อหาร้ายแรงถึงขั้นอ้างว่ามีบุคคลจำนวนหนึ่ง “กระทำการเป็นกบฏ” ในราชอาณาจักร จึงดำเนินการกวาดล้าง เข้าจับกุม ศิลปิน กวี นักเขียน นักหนังสือพิมพ์ และนักการเมือง รวมทั้งนักศึกษาในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ โดยเฉพาะที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ฯ
การกวาดล้างจับกุม "กบฏสันติภาพ" ครั้งใหญ่นี้ อัศนี พลจันทร ประเมินสถานการณ์ได้ทันต่อเหตุการณ์ เมื่อรู้ตัวว่ามีตำรวจไปคอยดักจับที่บ้าน จึงร่อนเร่อยู่นอกบ้าน หาที่พักหลบซ่อนตัวในที่ปลอดภัย ทางเลือกของท่านก็คือ ลี้ภัยไปซุ่มซ่อนอยู่ในบ้านเพื่อนกรรมกร ใช้เวลาช่วงว่างนั้น ทุ่มเทให้กับการเขียนหนังสือ ร่ายกวีด้วยปลายปากกา คงมิใช่เพียงตามประสา “นักเลงกลอนนอนเปล่าก็เศร้าใจ” แต่เจตนาใช้งานกวีสร้างสรรค์เป็นอาวุธ ทั้งเพื่อปลุกปลอบใจตนเองและห้ำหั่นศัตรูของประชาชน วิกฤตแห่งชีวิตครั้งนี้สาหัสสากรรจ์กว่าครั้งใดที่ผ่านมา “ป้าลม” เล่าว่า
“ในเย็นวันหนึ่ง ท่านได้แอบเข้าไปเก็บเสื้อผ้า…เอาลูกเล็กสองคนมากอด สั่งภรรยาให้ซื้อผ้าห่มกันหนาวให้ลูก แล้วก็หายตัวไปนับแต่บัดนั้น.”
มีหลักฐานเอกสารชัดเจนว่า ในช่วงเกิดเหตุการณ์กวาดล้าง “กบฏสันติภาพ” นี้ อัศนี พลจันทร ยื่นหนังสือลาป่วย “ติดต่อกันสามเดือน” คือตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป ต่อหน่วยงานต้นสังกัด แต่ยังไม่ทันครบกำหนดระยะการลา ท่านก็ได้ตัดสินใจยื่น “หนังสือลาออก” จากราชการ ในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2495 ในสมัยที่หลวงอรรถปรีชาชนูปการ เป็นอธิบดีกรมอัยการ (คนที่ 9) เป็นการยุติบทบาทชีวิตการเป็นอัยการได้เพียง 11 ปีเศษ
‘นายผี’ นักคิดนักเขียนและกวีของประชาชน ต้องหลบลี้หนีภัยคุกคามจากรัฐบาลเผด็จการ ด้วยวัยเพียง 35 ปี คือตั้งแต่ปี พ.ศ.2495 เป็นต้นมา มีความเป็นไปได้ว่า ท่านมีโอกาสสัมผัสกับบุคคลในพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยมาแล้วระดับหนึ่ง คงได้พบพานจากการส่งงานเขียนงานกวีให้ลงพิมพ์ตามหน้าหนังสือพิมพ์และนิตยสารฉบับต่าง ๆ โดยเฉพาะ นิตยสารสายธาร และ นสพ.มหาชน อันเป็นที่รู้กันภายในวงการนักคิดนักเขียนว่า มี พคท.อยู่เบื้องหลัง ส่วนบรรณาธิการก่อตั้งและเป็นผู้บริหารงานโดยตรง ก็คือ นายเชาวน์ พงษ์พิชิต ผู้ใช้นามแฝงในวงการหนังสือพิมพ์ว่า ‘ชาญ กรัสนัยปุระ’ หรือ ‘นายช้าง’ นายหัวคณะศิลปินพเนจรแห่งภาคใต้นั่นเอง
พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ก่อตั้งเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พุทธศักราช 2485 บันทึกของ “ฟองจันทร ทะเลหญ้า” ‘ป้าลม’ ระบุว่า “อัศนี พลจันทร ได้เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ซึ่งเพิ่งก่อตั้งได้สิบปี…ถือว่าท่านเป็นสมาชิกพรรคฯ ในยุคแรก ๆ.”
สรุปความจากมรสุมชีวิตช่วงนี้และจากพยานบุคคลผู้เป็นคู่ชีวิต เป็นที่ชัดเจนว่า อัศนี พลจันทร ได้รับเกียรติให้เข้าเป็น “สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย” เมื่อปีพุทธศักราช 2495 (โดยไม่ทันได้ผ่านขั้นตอนการคัดกรองเป็น “สมาชิกสันนิบาตเยาวชนแห่งประเทศไทย” ขั้นตอนนี้แตกต่างจากกรณีของ จิตร ภูมิศักดิ์ ที่เข้าสู่กระบวนการเป็น “สมาชิก สยท.” (แบบพิเศษ) รับเข้าโดย “ชาญ กรัสนัยปุระ” คงมีความจำเป็นที่จะต้องรับเข้าในช่วงวิกฤตทางการเมือง โดยไม่ทันได้รายงานองค์การนำและได้รับอนุมัติจากหน่วยพรรค “ชั้นเหนือ” ของ พคท. เพราะสมาชิกพรรคต่างอยู่ในสภาพต้องหลบหนีซ่อนตัวลี้ภัย หรือบ้างก็เดินทางล่วงหน้าเข้าเขตป่าเขาชายแดนประเทศพี่น้องเพื่อนบ้านไปแล้ว แม้ในเวลานั้นยังไม่ทันได้ “แตกเสียงปืน” ก็ตาม)
ความรุ่งโรจน์ของ ‘นายผี’ ก่อนเดินทางไกล
กล่าวได้ว่าในระหว่างปี พ.ศ.2492 - 2495 ถือเป็นช่วงรุ่งโรจน์ของมหากวี ‘นายผี’ ก่อนเกิดเหตุการณ์กวาดล้างจับกุมผู้ต้องสงสัยใน “คดีกบฏสันติภาพ” อัศนี พลจันทร ดูมีความสุขยวดยิ่งกับการเขียนหนังสืออันเป็นงานที่ท่านรัก สังเกตจากชิ้นงานระดับคุณภาพที่พรั่งพรูออกมาประดุจสายฟ้าแลบ ซึ่งได้รับพิจารณาลงพิมพ์อย่างกว้างขวาง โดยท่านได้ใช้เวลาส่วนหนึ่งช่วยทำนิตยสาร อักษรสาส์นรายเดือน ที่ คุณสุภา ศิริมานนท์ อดีตบรรณาธิการ นิกรวันอาทิจ เปิดขึ้น เพื่อเป็นเวทีแสดงทัศนะในด้านศิลปวรรณคดีและการเมือง ระหว่างนั้น ‘นายผี’ ก็ยังคงเขียนให้กับ สยามนิกร และ สยามสมัย ควบคู่กันไป บทกวีและเรื่องสั้นของ อัศนี พลจันทร หลั่งไหลออกมาในหลายนามปากกา ดังกล่าวมาแล้ว ในช่วงเวลาแห่งจุดรุ่งโรจน์สูงสุดในชีวิตการเขียนหนังสือของ อัศนี พลจันทร ท่านได้ขยายขอบเขตเนื้อหาการเขียนบทความ จากการวิพากษ์วิจารณ์การเมืองและรัฐบาล ไปในทิศทางที่ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยใช้ปรัชญาลัทธิมาร์กซชี้นำ ให้ความสำคัญกับแนวคิดความแตกต่างระหว่างชนชั้น การกดขี่ขูดรีดพลังการผลิตคือกรรมกรและชาวนาผู้ยากไร้ และเปิดโปงความอยุติธรรมในระบบสังคมอย่างชัดเจน ที่น่าสนใจก็คือ ท่านได้เพิ่มมิติงานเขียนของท่านหลายชิ้นด้วยมุมมองแบบ “Marxist Feminism” ให้พื้นที่กับการวิพากษ์วิจารณ์เพื่อปลดปล่อยสตรี โดยกระตุ้นให้ตระหนักถึงบทบาทและคุณค่าที่แท้จริงของตัวเอง และยังได้เสนอแนวทัศนะว่าด้วย ‘ความรัก’ ในรูปแบบใหม่ คือ “ความรักระหว่างชนชั้นและความรักในมวลชน” บทกวีเรื่องยาวของ ‘นายผี’ ในช่วงกระแสสูง เช่น “เราชะนะแล้ว แม่จ๋า” เสนอแนวคิดเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างชัดแจ้ง โดยใช้กวีวจนะที่ทรงพลัง ปลุกเร้าประชาชนผู้ยากไร้ และกล่าวถึง ‘ชนชั้นกรรมาชีพ’ ให้ตระหนักถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของตน
การก้าวข้ามเส้นแบ่งทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรม ของ อัศนี พลจันทร
ในนิตยสารการเมือง ลงวันที่ 16 ธ.ค. 2493 ปรากฏข้อความเป็น “บทบันทึก” ว่า
“มวลชนมุสลิม ซึ่งเปนชนกลุ่มน้อยในประเทศไทยทั้งหลาย จะต้องเห็นอกเห็นใจกับ นาดฺราและสามีของเธอ จะต้องคัดค้านจักรวรรดินิยมในการกระทำอันนี้ แน่นอน และประชาชนชาวไทยทั้งหลาย ก็จะต้องเห็นอกเห็นใจและสนับสนุน
—“อัลละหุ อักบฺร! มฺรเดกะห มุสลีมีน! ตันหยงมลายู เฮาะฆ โอรังมลายู!”
Allahu Akbar! Merdeka Muslimin tanjung Melayu hok orang Melayu
บันทึกนี้เขียนโดยผู้ใช้ชื่อ ‘กุลิศ อินทุศักติ’ บรรยายเหตุการณ์การประท้วง ‘ศาลจักรวรรดินิยมอังกฤษ’ โดยชาวมุสลิมในสิงคโปร์ ที่มีชนวนมาจากเหตุภายในครอบครัว อำนาจรัฐสิงคโปร์ได้พรากสามีภรรยามุสลิมคู่หนึ่งอย่างไม่เป็นธรรม นำมาซึ่งการขยายผลเป็นการประท้วงและจลาจลครั้งใหญ่ในสิงคโปร์จนเป็นข่าวโจษจันกันทั่วโลก (เหตุการณ์นี้ รู้จักกันในภาษาอังกฤษว่า Maria Hertogh riots) “บันทึก” ที่ว่านี้เขียนโดย “กุลิศ อินทุศักติ” ซึ่งเป็นนามแฝงของ อัศนี พลจันทร ที่มักใช้กับการเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาอิสลามและชาวมลายูมุสลิม เนื้อหาท่าทีกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกผู้อ่านให้เห็นความชั่วร้ายของระบอบจักรวรรดินิยมอังกฤษอย่างถึงที่สุด
อ่านความคิด อัศนี พลจันทร ในตัวตนสมมุติ “กุลิศ อินทุศักดิ์”
อัศนี พลจันทร คือ ความซับซ้อนที่ซ่อนตัวตน ชอบที่จะซ่อนเงื่อนซ่อนปม เพื่อป้องกันการติดตามของทางการ ด้วยความจำเป็นของสถานการณ์การเมือง และด้วย “ความสนุกนึก” ส่วนตัว ด้วยชอบที่จะทำตัวให้ลึกลับอยู่เสมอ อัศนี พลจันทร จึงนิยมใช้สไตล์การเขียนแบบ “แฝงร่าง อำพรางตน” ชวนให้นักอ่านที่ทันกัน และ “รู้ทางนายผี” พอจะแกะรอยตามได้ แม้จะไม่ง่ายนัก แต่ก็ไม่ยากเกินหากใช้ความพยายาม
ความนับถือและร่วมมือร่วมใจที่อัศนี พลจันทร มีต่อชนมุสลิมมลายู ได้รับการจดจำในตำนานเล่าขานของคนในพื้นที่ปัตตานี แสดงออกมาอย่างชัดแจ้งในข้อเขียนหลากหลายประเภท ดังเช่นบทความ “บริเวณ ๗ หัวเมือง”, นิทานการเมือง “ฟาตีมะห์แห่งเกามอีบู” และรายงานข่าว เรื่อง “อัลละหุ อักบฺร! มฺรเดกะห มุสลีมีน! ตันหยงมลายู เฮาะฆ โอรังมลายู!” ดังได้คัดมาข้างต้น ผลงานทางความคิดและการสื่อสารอย่างตั้งอกตั้งใจของท่าน แสดงให้เห็นว่า ศรัทธาต่อเพื่อนร่วมโลกที่มีต่อกัน ความร่วมแรงร่วมใจกัน ไม่มีขีดจำกัดทางการนับถือศาสนา หรือความแตกต่างทางชาติพันธุ์ หรือแม้กระทั่งพรมแดนรัฐ
อัศนี พลจันทร เมื่อลาออกจากราชการแล้ว ยังคงมีงานเขียนและบทกวี ออกมาสู่โลกวรรณกรรมอย่างต่อเนื่อง ในอีกหนึ่งนามปากกา คือ ‘อินทรายุธ’ เราจะสามารถอ่านความคิดของท่านได้ว่า ท่านได้ก้าวข้าม “กำแพงชนชั้น ชาติพันธุ์ ศาสนาและวัฒนธรรม” สู่ความมุ่งหวังเชิงอุดมการณ์อันสูงส่ง ท่านวาดหวังสิ่งที่อาจเรียกได้ว่าเป็น “ยูโตเพีย” (Utopia) อันเป็น “แดนจินตนาการอันแสนงาม” บนฐานคิดของท่านเอง ที่สั่งสมจากการอ่าน ผนวกกับการขบคิด ไตร่ตรอง และจินตนาการ ถึง “สังคมไร้รัฐ” ไร้ชนชั้น และไร้ความแตกต่างใด ๆ อย่างจำหลักมั่นคงในใจท่าน ตั้งแต่ช่วงกลางปีพุทธศักราช 2491 ในข้อเขียนที่ควรค่าแก่การศึกษาตีความ โดยเฉพาะนัยความหมายระหว่างบรรทัด ดังที่คัดมานี้ :
“… เราต่างมีหน้าที่ของเรา เราต่างมีความรับผิดชอบของเรา ขอเราจงไปพบกันใหม่ในโลกหน้าเถิด แลขอโลกหน้าของเรานี้จงปราศจากอุปสรรค แต่โลกหน้าจะปราศจากอุปสรรคได้ก็ด้วยเราช่วยกันสร้างแต่ในโลกนี้ในเวลานี้ ขอให้โลกหน้าจงเปนแผ่นดินอันราบเสมอกัน ขอน้ำจงไหลขึ้นลงแต่ทางเดียว ขอจงมีต้นกัลปพฤกษ์ขึ้นอยู่ ณ สี่มุมเมือง ขอคนจงอิ่มอยู่เสมอแลไร้กิเลศ ขอจงปราศจากชาติแลศาสนาซึ่งต่างกัน ขอชาติทั้งหลายจงเปนชาติเดียว ขอศาสนาทั้งปวงจงเปลี่ยนเปนศาสนาเดียว ขอมนุษย์ชาติจงตั้งขึ้น แลดำเนินไปตามกฎหมายเดียวคือมนุษย์ธรรม ขอสัจจศาสนาจงตั้งขึ้น แลดำเนินไปตามวินัย คือสัจจธรรม.”
(*คัดจาก “บทสนทนาสุดท้ายระหว่างฟาตีมะห์กับกุลิศ อินทุศักดิ์” ในนิทานการเมืองเรื่อง “ฟาตีมะห์แห่งเกามอีบู” โดย ‘อินทรายุธ’ ตีพิมพ์ครั้งแรกใน น.ส.พ.มหาชนรายสัปดาห์ ฉบับวันที่ 27 มิถุนายน 2491.)
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
โปรดติดตามและมีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท. โปรดคลิ๊ก