บันทึกเรื่องล้ำในไพรลึก.... ชลธิรา สัตยาวัฒนา  ตอนที่ 11   “ความเปลี่ยนแปลง” ที่อลังการ ของ อัศนี พลจันทร

 

โดย ชลธิรา สัตยาวัฒนา

( ๑ )
หลังจากที่ยื่นใบลาออกจากราชการเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2495 อัศนี พลจันทร ยังคงกบดานซ่อนตัวอยู่ในเมือง ใช้เวลาช่วงว่างสร้างสรรค์ผลงานยิ่งใหญ่ คือ วรรณคดีคำฉันท์เรื่อง "เราชะนะแล้ว, แม่จ๋า" ได้สำเร็จ ตามมาด้วยงานสืบสานประวัติชีวิตการต่อสู้ของต้นด้ำบรรพชนสายตระกูล “พลจันทร” กับ “พลกุล” ซึ่งเกี่ยวดองกันใกล้ชิด ในรูปแบบคำประพันธ์ “กาพย์” เล่าเรื่องขนาดยาว ร้อยโยงเรื่องราวภายในสายตระกูลที่เชื่อกันว่าเป็นเรื่องจริง จดจำสืบทอดกันมาปากต่อปาก จากรุ่นปู่ย่าตายายมาจนถึงลูกหลานเหลนของทั้งสองฝั่งมาหลายชั่วรุ่น ในทางอารมณ์ความรู้สึก จึงเป็นงานที่มีความสำคัญทางจิตใจสำหรับสมาชิกทั้งในสาย “พลจันทร” และสาย “พลกุล”
ชื่อเรื่องที่ อัศนี พลจันทร มอบให้กับงานนิพนธ์ที่ตั้งใจมุ่งมั่นเขียน คือ "ความเปลี่ยนแปลง" เพื่อสะท้อนความมี “ตัวตน” จริงของบรรพชนต้นด้ำ แม้ไม่มีบทบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรในเอกสารประวัติศาสตร์ชิ้นใด ๆ ในช่วงปลายกรุงศรีอยุธยาต่อด้วยสมัยต้นรัตนโกสินทร์ แต่ก็สามารถสืบสาวราวเรื่องได้อย่างน่าเชื่อถือ ผ่านชื่อบรรพชนต้นด้ำ คือ นายจันทร (อ่านว่า จัน-ทอน) ผู้มีวีรภาพ ทำสงครามแบบ “กองโจร” ขับไล่ “ม่าน” หรือ พม่า-ข้าศึกอย่างห้าวหาญ จนพระยาตาก (สิน) อวยยศให้เป็น “พระยาพล” แต่แล้วก็ถูกถอดยศให้คืนกลับสู่สามัญเมื่อไปสร้างวีรกรรมนอกคำสั่ง คือรวมไพร่พลขับไล่ ‘พวกม่าน’ ที่เข้ามายึดครอง “เหมืองปิล็อก” ที่รอยต่อเมืองสุพรรณบุรีและกาญจนบุรี ทางฟากตะวันตกของกรุงเก่า เหตุเพราะได้ทำการละเมิดอำนาจของพระยาจักรี ผู้ถือ ‘ดาบอาญาสิทธิ์’ อยู่ในเวลานั้น
“ความเปลี่ยนแปลง” อันผกผันเช่นนี้ จึงกลายเป็น “ตำนาน” ของวงศ์ตระกูลที่เล่าขานกันต่อมา โดยไม่มีการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร แต่สามารถระบุพิกัดพื้นภูมิบ้านเกิด คือ ที่บ้านท่าเสา เมืองราชบุรี ได้ ส่วนสถานที่เกิดเหตุอันทำให้วิถีชีวิต ‘พระยาพล’ ต้องผกผันไป คือเหมืองปิล็อก ก็มีอยู่จริง
เมื่ออัศนี พลจันทร ตัดสินใจล่องหนหายตัวไปไกลแสนไกลแล้ว ”ป้าลม” ได้เปิดเผยเนื้อความในจดหมายฉบับหนึ่ง ที่ ‘นายผี’ เขียนถึงกวีรุ่นหนุ่มคนหนึ่งในเมือง เล่าความเป็นมาของงานนิพนธ์ทั้งสองเรื่อง:
“เราชะนะแล้ว, แม่จ๋า”… ก็แต่งปี 95 นั้นเอง, มิใช่ปี 90, คือแต่งพร้อมกับ “ความเปลี่ยนแปลง” ที่บ้านมิตรกรรมกรผู้หนึ่ง. เราสดุดีชนชั้นกรรมกร, สะท้อนภาพการต่อสู้นัดหยุดงานโดยเอาภาพกรรมกรหญิง (ชื่อเล็ก) แห่งอีสต์เอเซียติคเป็นหลัก, ภาพชีวิตกรรมกรส่วนตัวทั้งหมด คือภาพครอบครัวบ้านกรรมกรที่ผมไปอยู่ด้วย. เซ็ตติ้งและแบ็คกราวนด์ก็ที่นั่นทั้งนั้น, ต้นแก้วออกดอกหอมกรุ่นอยู่ริมบันไดเรือน, กาเหว่าก็ร้องวิเวกอยู่บนยอดหลังคาเรือน. ความรักระหว่างครอบครัวพ่อแม่พี่น้องของเขาก็เป็นเช่นนั้นทั้งหมด, แต่อาจไม่ตรงกับครอบครัวนางสาวเล็กก็ได้. เรารวบรวมเอาขึ้นมาเป็นแก่นและเป็นแบบอย่างเท่านั้น. แต่งเสร็จแล้วผมก็ไปตามเรื่องของผม …เขาก็…”
ตอนนั้นผมทิ้งลูกชายและลูกสาวน้อย ๆ ไว้กับภรรยาข้างหลัง, ไม่รู้เป็นตายร้ายดี, ฉะนั้น อารมณ์ในกลอนก็อาจมีสิ่งนั้นผนวกอยู่ด้วยก็เป็นได้.”
ในจดหมายฉบับเดียวกันนี้ ท่านได้กล่าวถึง “ความเปลี่ยนแปลง” ไว้ด้วย:
“… ก็มิใช่ประวัติบ้านช่องอะไรหนักหนา, เอาภาพบ้านและครอบครัวที่เป็นตัวอย่างมาทำใหม่เท่านั้น. การล้มละลายของศักดินาและการเกิดขึ้นของทุน, เป็นภาพอันจรัสในนั้น. ประวัติศาสตร์ไกลออกไปก็เป็นเพียงจะให้เห็นความเป็นมาของชนชาติไทยว่าผ่านสมัยพเนจรเลี้ยงสัตว์มาสู่สมัยใหม่กว่านั้นเป็นพิเศษอะไรบ้าง, ทำให้ได้ภาพหนึ่งว่าภาษาไทยปัจจุบันมาจากไหนกันถึงได้สลับซับซ้อนอย่างนี้.
ลัทธิคัมภีร์เข้าใจสิ่งนี้ไม่ได้, มองเห็นสังคมตะวันออกเป็นอย่างสังคมตะวันตกเผง. การเปลี่ยนแปลงของคนเราต้องผ่านการต่อสู้ที่เป็นจริง. ภาพในเรื่องนั้นมิใช่ภาพผู้ใดผู้หนึ่ง, หากเป็นภาพทั่วไปของปัญญาชน ซึ่งหลัง 14 ตุลาคมเรามีภาพเช่นนี้มากและชัดเจน. จิตร ภูมิศักดิ์ เป็นแบบอย่างที่ดีเลิศ.”
นับจากปี พ.ศ.2503 อัศนี พลจันทร ทำตัวหายไปจากวงการหนังสือพิมพ์ไปยาวนานมาก จนกระทั่งในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2518 ท่านก็ได้โฉบบินกลับมาสู่วงการนักอ่านนักเขียน คราวนี้ในนามปากกา “อุทิศ ประสานสภา” ในหนังสือชื่อ โต้ลัทธิแก้ไทย ตีโต้ข้อเสนอให้ พคท.สู้ด้วยแนวทางรัฐสภา ของ “ผิน บัวอ่อน” สหายนำทางส่วนงานภาคกลางของ พคท.ที่ค่อนข้างมีบทบาทสำคัญในเวลานั้น งานชิ้นนี้ส่งผลสะเทือนต่อขบวนการเคลื่อนไหวการเมืองในเมืองไม่น้อย แม้จะมิได้ใช้ชื่อจริงและเป็นนามปากกาที่ตั้งขึ้นใหม่ ไม่เคยใช้ที่ไหนมาก่อนเลย คนรู้ทาง ‘นายผี’ ย่อมคาดเดาได้ไม่ยากว่าเป็นใคร นามปากกา “อุทิศ ประสานสภา” นี้ ภายหลังยังได้รับการยืนยันจาก “ป้าลม” ในข้อเขียนแนวบันทึกที่ใช้นามแฝง “ฟองจันทร ทะเลหญ้า” ซึ่งระบุอย่างชัดเจนว่า
“อุทิศ ประสานสภา เป็นนามปากกาของคุณอัศนี (ท่าน) ได้เขียนบทความ “วิจารณ์แห่งวิจารณ์: ‘วรรณคดีของปวงชน’ ของ ชลธิรา กลัดอยู่” ตีพิมพ์ครั้งแรกใน นิตยสาร ประชาชน โดยมีข้อความตอนหนึ่งพูดถึงการปฏิเสธผลงานของตนเองบางส่วนเนื่องจากเห็นว่า
“ไม่มีคุณประโยชน์แก่การเคลื่อนไหวศิลปะวรรณคดีใหม่แต่อย่างใด”
คุณอัศนีกล่าวถึงกรณีของ ‘กาพย์กลอน ความเปลี่ยนแปลง’ ว่า... “เป็นกวีนิพนธ์เกี่ยวกับประวัติบ้านเกิดของท่านเอง (ซึ่งได้เขียนขึ้นปลุกใจ “ญาติคนหนึ่ง” ให้ยืนหยัดต่อสู้กับการปราบปรามอันเหี้ยมโหดของพิบูล-เผ่า)”
‘ญาติคนหนึ่ง’ ในที่นี้คือ คุณอุทธรณ์ พลกุล นักหนังสือพิมพ์ผู้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดี เขียนคอลัมน์ประจำอยู่ที่ นสพ.ไทยรัฐ


( ๒ )
ข้อความเกี่ยวกับ “ญาติคนหนึ่ง” ของ อัศนี พลจันทร ยิ่งกระจ่างขึ้น เมื่อมีการจัดพิมพ์ “ความเปลี่ยนแปลง” เป็นหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊กเล่มเล็กในระยะต่อมา เมื่อปี 2533 มี “บทนำเสนอ” โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ, ในชื่อยาวเหยียดว่า “เมืองราชบุรี-และ-พระยาพล ในกาพย์กวีเรื่อง “ความเปลี่ยนแปลง” ของ ‘นายผี’” สุจิตต์ วงษ์เทศ ได้เปิดประเด็นเล่าความจนสิ้นข้อสงสัยไว้ดังนี้:
“‘นายผี’ แต่งกาพย์กวีเรื่อง “ความเปลี่ยนแปลง” อันเป็นบทกวีวิเศษสุดเรื่องหนึ่งที่เต็มไปด้วยอลังการทางภาษาประดุจมณีมาลัยสวรรค์ โดยสอดแทรกเรื่องเมืองราชบุรีกับประวัติพระยาพลหรือนายจันทรภาคพิสดารไว้ด้วย
แต่ก่อนนานมาแล้ว ผมมักได้ยินชื่อ ‘นายผี’ ว่าเป็นกวีและเป็นนักเขียนผู้ใหญ่ แต่ผมไม่เคยอ่านงานของ ‘นายผี’ ทั้งไม่รู้จักเรื่องราวเกี่ยวกับนายผีเลย
ต่อมาผมจึงได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับ ‘นายผี’ จาก ‘อุทธรณ์ พลกุล’ ที่ผมเรียกท่านด้วยความเคารพเสมอญาติผู้ใหญ่ว่า ‘น้าทอน’
ขณะนั้นสำนักงานหนังสือพิมพ์ไทยรัฐยังอยู่ที่ซอยวรพงษ์ย่านบางลำภู และ ‘น้าทอน’ มีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษา แล้วเขียนคอลัมน์หลายคอลัมน์ เช่นคอลัมน์การเมืองที่ใช้นามปากกาว่า ‘งาแซง’ ฯลฯ หลายครั้งที่ผมไปส่งต้นฉบับพร้อมกับขรรค์ชัย บุนปาน แล้ว ‘น้าทอน’ มีเวลาว่างก็มักเล่าเรื่องราวต่าง ๆให้ฟัง เช่นเรื่องพระยาพลหรือนายจันทรเรื่องพระยาวินัยสุนทร แต่ที่ขาดไม่ได้ก็คือเรื่องของ ‘นายผี’
เหตุที่ ‘น้าทอน’ ชอบคุยให้ฟังก็เพราะตัวท่านเองเป็นเชื้อสายพระยาพล พระยาวินัยสุนทร แล้วเกี่ยวดองกับ ‘นายผี’ นอกจากนั้นขรรค์ชัยก็มีเชื้อสายชาวราชบุรี ผมจึงพลอยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับ ‘นายผี’ ไปด้วยโดยไม่ได้ตั้งใจ
ครั้น ‘น้าทอน’ ถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ. 2519 แล้วมีงานพระราชทานเพลิงศพเมื่อ พ.ศ. 2520 มีหนังสืออนุสรณ์พิมพ์ประวัติพระยาพล หรือนายจันทร ผู้เป็นบรรพบุรุษของสกุล ‘พลกุล’ ‘พลจันทร’ ‘วงศาโรจน์’ ตรงกับเรื่องที่ ‘น้าทอน’ เคยเล่าให้ฟังเสมอมา…” (น.7-8)
สุจิตต์ วงษ์เทศ ผู้สนใจประวัติศาสตร์ เป็นทั้งกวีและนักโบราณคดี มีประสบการณ์อ่านเอกสารและวรรณคดีโบราณของไทยมาอย่างช่ำชอง ได้ลงท้ายบทนำเสนอค่อนข้างยาวของเขา ด้วยการประเมินคุณค่างานนิพนธ์ที่เขาเรียกว่า “กาพย์กวี” ไว้เป็นอย่างสูงว่า
“เรื่อง ความเปลี่ยนแปลง ของ ‘นายผี’ ไม่ใช่ตำราประวัติศาสตร์เมืองราชบุรี และไม่ใช่หนังสือประวัติบุคคลสำคัญ แต่เป็นกาพย์กวีอย่าง ‘ฉันท์ชาวบ้าน’ อันมีพลังภาษาล้ำลึกยิ่ง โดยเฉพาะกวีโวหารที่มีร่องรอยศิลาจารึก สมุทรโฆษ กำศรวล ยวนพ่าย ขุนช้างขุนแผน กากี และอื่น ๆ ยิ่งชวนให้ศิโรราบกราบไหว้ท่านผู้รจนายิ่งนัก
ผมจึงอ่านเรื่อง ความเปลี่ยนแปลง ของ ‘นายผี’ อย่างเอารสกวี ที่มี ‘เสียง’ และ ‘จังหวะ’ คึกคักแต่อ่อนหวาน แล้วเสาะหาความหมายร่วมสมัยที่กวีพยายามสื่อให้รู้เท่านั้น โดยไม่พะวักพะวงกับสาระสำคัญทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีเลย” (น.25)
(อัศนี พลจันทร. ความเปลี่ยนแปลง, โดย ‘นายผี’. กรุงเทพฯ: สนพ.เกี้ยว-เกล้า พิมพการ, 2533. พิมพ์ครั้งที่ 5, จำนวน 4,000 เล่ม)
ไม่เพียงแต่สุจิตต์ วงษ์เทศ, กวี ศิลปินแห่งชาติ อีกท่านหนึ่งก็ได้เขียนเทิดคุณค่าของงานประพันธ์ของ ‘นายผี’ ไว้อย่างสูงส่งถึงระดับเป็น ‘มหากาพย์’ ในบทวิจารณ์ชื่อว่า “อหังการ์แห่งทิพยรูป” เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ คัดบางบทใน ความเปลี่ยนแปลง มาชี้ให้เห็นแนวนิพนธ์งานชิ้นนี้อย่าง “ฝากฝีมือ” ไว้ในวงวรรณ ดังนี้
“กลอกแสงบริสุทธิ์ฉานฉาย แกร่งเนื้อเหลือหลาย สำหรับประดับแดนสยาม”
นี้คือ “เพชรรูปสำเริง” อัน ‘นายผี’ ผจงเจียระไนไว้แล้วในมหากาพย์ที่ชื่อ “ความเปลี่ยนแปลง”
ถ้า “เราชะนะแล้ว, แม่จ๋า” เป็นมหากาพย์แห่งยุคสมัย, “ความเปลี่ยนแปลง” เรื่องนี้ย่อมเป็นมหากาพย์ของ ‘นายผี’ โดยเฉพาะ
มหากาพย์ที่จดจารประวัติแห่งวงศ์ตระกูลอันมีเกียรติยศยิ่ง ณ ฝั่งน้ำแม่กลอง จากต้นน้ำถึงปลายน้ำ…
พระยาพล หรือนายจันทร คนนี้ก็คือต้นตระกูลพลจันทร และเป็นปู่ของคุณอัศนี พลจันทร หรือ ‘นายผี’ นี่เอง
‘นายผี’ จึงถอดหัวใจเขียนมหากาพย์แห่งชีวิตเรื่องนี้อย่างสุดไม้สุดมือ ชนิดที่ผมจับอ่านแล้วก็ต้องอ่านลุยจนวางไม่ลง อ่านครั้งใดก็ดังได้นั่งขัดสมาธิ สองมือคว่ำ ท้าวเข่ากางศอก ออกอหังการ์ไปกับลีลากวีโวหาร อิ่มอกอิ่มใจเสียจริง ๆ…
ดังเคยว่าไว้ในเรื่อง “เราชนะแล้ว, แม่จ๋า” นั้น ถึงความเป็นนายแห่งภาษา เรียกคำใช้ได้ดังใจ ทั้งคำสร้างและคำสม คือ สร้างคำขึ้นเองและเลือกคำใช้ให้เหมาะความกับสำแดงลีลาโวหาร ดังการร่ายรำของภาษาอย่างทรนงองอาจ…เช่น
“เบื้องนั้นแลนายจันทร มาเป็นศิษย์ของหลวงชี เชื้อราชพรี พี ริยภาพเหลือหลาย
น้ำใจนั้นห้าวหาญ แลหายากเป็นยอดชาย เด็กน้อย บ มีนาย ก็พำนัก ณ อาราม
รู้พูดภาษาขอม พะม่ามอญและจีนจาม แขกลาวกะเหรี่ยงขาม ขยาดยั่น บ อยู่ดูฯ”
ลีลาโวหารที่ว่า “ดังการร่ายรำของภาษา” นั้น ได้แสดงไว้ในเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนบทสุดท้าย โดยที่ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ถึงกับนับจำนวนบทประพันธ์ไว้ ดังนี้:
“‘นายผี’ แต่งมหากาพย์ “ความเปลี่ยนแปลง” ไว้เป็นคำประพันธ์ประเภทกาพย์จำนวน 312 บท โดยแบ่งเรื่องออกเป็นสามตอน ตอนที่หนึ่งแต่งเป็นกาพย์ฉบัง 62 บท ตอนที่สองเป็นกาพย์ยานี 145 บท เฉพาะตอนนี้ต้นบทแต่งเป็นกาพย์พิเศษเชื่อมไว้หนึ่งบทว่า “อะไรที่ไหน ทำไม ฟังซินั่นใคร…ดี ฤา ร้าย” แล้วจึงขึ้นกาพย์ยานี และตอนที่สามเป็นกาพย์ฉบังอีก 105 บท รวม 312 บท ไม่นับบทแทรกนั้น”
ในที่นี้ จะขอยกตัวอย่าง “การร่ายรำของภาษา” ตามลีลา “สดุดีโวหาร” ของ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ อาทิเช่น
“รื่นร่มชมพู่คู่เพรา เงื้อมง้ำงามเงา ผงาดอยู่กลางธรณี”
(เล่นเสียงสัมผัสพยัญชนะ ง ภายในวรรค และรับส่งระหว่างวรรค)
ลมรำเพยพานพอดี ลำแสงสุรีย์ศรี อันทอทะลุลงมา
(เล่นเสียงสัมผัสพยัญชนะ ล, พ ในวรรคต้น ทอดส่งวรรคต่อ ๆ ไป แล้วเล่นเสียง ส, ท )
คือข่ายเพชรพร่างพรายตา อุ่นเอื้อนักหนา ประหนึ่งจะนึกการุณ”
(เล่นเสียงสัมผัสพยัญชนะ ค-ข, พ-พ| อ, น ในวรรคกลาง| ซ้ำซัดเสียง น ในวรรคท้าย)
บทที่คัดต่อจากนี้ ไม่เพียงงดงามยิ่งนักเมื่อมองเห็น “ภาษาร่ายรำ” หากยังงามลึกล้ำทางความหมาย โดยการใช้ภาพพจน์อุปลักษณ์ ‘ช้าง~ดาบ’ แทนใจคนไทยที่ต่อสู้กู้ชาติ (หมายถึง กลุ่มกองโจรนำโดยนายจันทร ต่อมาได้เป็น ‘พระยาพล’) ว่า พวกเขาเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวดัง ‘ช้างงา’ และ ‘ดาบงาม’ ไม่เคยยอมทอดใจให้ฝ่าย ‘ม่าน’ คือ พม่าข้าศึกที่มาตีกรุงศรีอยุธยาจนเสียกรุงไป ร้อนถึงชาวไทยที่มี ‘ใจโทน’ มีน้ำหนึ่งใจเดียว ไม่ยอมให้ใครเดินทัพผ่านเส้นทางสายนี้:
“ ช้างงาแลดาบงาม บ่ แปรปรามให้อ่อนโอน
ใจไทยคือใจโทน บ่ ทอดให้ผู้ใดเดิน”


( ๓ )
นักวิชาการร่วมสมัยท่านหนึ่ง คือ รองศาสตราจารย์ ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ อาจารย์ประจำภาควิชาภาษาอังกฤษและวรรณคดีอังกฤษ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เคยตั้งข้อสังเกตว่า ลีลาการเขียนบทกวีและเรื่องสั้นจำนวนหนึ่งของ อัศนี พลจันทร มีลักษณะ “ล้ำยุค” กว่ากวีนักเขียนร่วมสมัยของท่าน กล่าวคือ มีการสร้างตัวละครแนวจินตนาการ เข้าลักษณะวรรณกรรมตะวันตกที่เรียกกันว่า “แฟนตาซี” อยู่ในตัวเอง เมื่อลองนำข้อสังเกตน่าสนใจนี้มาพินิจอ่าน “ความเปลี่ยนแปลง” ของ ‘นายผี’ โดยละเอียด ด้วยแนวคิดโพสต์โมเดิร์น (หลังสมัยใหม่) ก็พบว่าในวรรณกรรมที่อลังการนี้ มีความเป็น “แฟนตาซี” อยู่จริง
‘นายผี’ ใช้วิธีการนำเสนอ ‘ตัวตน’ ของท่านเองโดยซ่อนรูปเร้นกายผ่าน ‘ตัวละคร’ ที่มีกายเป็นทิพย์ เป็นตัวนำเรื่องและเดินเรื่องในบทบาทสำคัญตั้งแต่ต้นชนปลาย ตัวละครแฟนตาซีนี้มี รูปสัญญะว่า ‘ทิพรูป’ หมายถึง ‘ผู้มีกายเป็นทิพย์’ คือ ลอยตัว จับต้องไม่ได้ ลื่นไหล เรืองแสง กลิ่นหอม แต่มีชีวิตจิตใจและมีความศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัวเอง รูปสัญญะนี้ก็มีแนวเทียบใกล้เคียงกับ ‘สัญฉายา’ ที่ อัศนี พลจันทร แต่งตั้งตนเองอย่างอหังการว่าเป็น ‘นาย(ของ)ผี’ นั่นเอง
โปรดพินิจ อ่าน “บทแฟนตาซี” (Fantasy Text) ใน ความเปลี่ยนแปลง ดังต่อไปนี้ :
“พราวพราวโพรงพรายพิศดู เพียงแพรแปรปู เป็นม่านนิมิตมายา
ไหวพยาบอยู่หว่างเวหา โสรจเสาวคนธา สำลักทลักอารมณ์
ทิพรูปลำยองนิยม ย่อมหญิงชายชม ชำแรกมาเล่นดำรู
บริวารแวดวงเวียนดู อ้ายอีเอ็งกู ประกาศก้องเกนเกน
เขางูง่วยโงนโอนเอน ขุนนางพระเณร อนาถประนมนิ้วกลัว
ยินเอ่ยรั้วใหญ่ย่อมหัว หดคอทุกตัว บอาจจะต่อสายตา
เกรงหวายเกรงไม้มีดผา เกรงยิงปืนยา แลเกรงเพราะเกรงใจกันฯ”
(บทท้ายสุดเล่นคำ ‘เกรง’ ทุกวรรค โดยเล่นความ ‘เกรง’ ไปพร้อมกันภายในตัวบทด้วย)
ครั้นเมื่ออ่านพินิจบทบาท ‘ทิพรูป’ อีกบางบท เราจะรู้สึกได้ถึงส่วนลึกในจิตวิญญาณของ ‘ทิพรูปลำยอง’ ท่านนี้ ว่ามีความรันทด เจ็บปวดรวดร้าว ของ ‘ผู้ยิ่งยง’ ที่จำต้องแฝงตัวอยู่ใน ‘กายทิพย์’ โดยลำพัง อย่างอ้างว้างเดียวดาย ทว่ายังคงดื่มด่ำในสิ่งมีค่าสูงสุดและเก่าแก่ขรึมขลังที่สุด คือ ‘เง่าเพชร’ บท “ทิพรูปกำสรด” ปรากฏเป็นคำกาพย์ยานี ๑๑ ดังที่คัดสรรมานี้ :
“จึงทิพรูปแสน จะระทดระทมตรม
เตร็จในพนมงม ดูเง่าเพชรอยู่งึมงำ”
คำกาพย์ซึ่งอ่านด้วยท่วงทำนอง ‘อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑’ ได้อย่างไพเราะบทนี้ อาจแปลเอาความได้ว่า
“(ด้วยเหตุนี้) ทิพรูป จึงสุดแสนจะรันทด ตรมตรอมใจ ได้แต่เที่ยวเตร็ดเตร่อยู่ในป่า เฝ้างมดู ‘โคตรเหง้าเพชร’ พลางพร่ำบ่นสาธยายมนตร์อยู่อย่างงึมงำ”
อารมณ์ความรู้สึกเช่นนี้ ในเชิงลีลากวีโบราณถือว่าเป็น “บทเห่ครวญ” ที่งดงามไพเราะพันลึกยิ่งนัก เพราะว่าเพียงภายในสี่วรรค-หนึ่งบท กวีอย่าง ‘นายผี’ สามารถแต่งตาม ‘ขนบวรรณคดี’ (โบราณ) โดยหยิบยกเอาถ้อยภาษาเพียงไม่กี่คำมารำร่าย กลายเป็นภาพตัวละคร ‘ทิพรูป’ ที่ลอยล่องเคลื่อนไหวอยู่ใน ‘ป่า’ แสดงบทบาทสำคัญ ใช้ลีลาการเล่นคำอย่างรุ่มรวย และเล่นความอย่างลุ่มลึก สะท้อนอารมณ์ความรู้สึกที่ทับถมอยู่ในก้นบึ้งของจิตวิญญาณ ที่เราสัมผัสได้ด้วยใจ จนระริกสั่นไหวรันทดเศร้าไปตามบทกวี
“บทเห่ครวญ” แสนกำสรดเช่นนี้ ยังมีปรากฏอีก เช่นในตอนที่ว่า:
“นกน้อยมีรวงรัง จึงเริงร้องได้สำราญ (เล่นเสียง น, ร)
โพยภัยมิพ้องพาน สำหรับลูกแลเมียมัน (เล่นเสียง พ, ล, ม)
ตัวเราสิไร้เรือน จะรองร่างทุเรศครัน (เล่นเสียง ร)
ลูกเมียไม่มีวัน มารวมร่วมสำเริงรมย์ (เล่นเสียง ม, ร)
แม้ตายแต่เพียงหลุม จะใส่ร่างอันรันทม (เล่นเสียง ต, ร)
ทั้งโลกอันสวยสม ดูเสร็จแล้วไม่เห็นมีฯ” (เล่นเสียง ล, ส, ม)
(คัดจาก อัศนี พลจันทร, ความเปลี่ยนแปลง, 2533: น.26-37)
บทที่คัดสรรมา ให้ชื่นชมความงดงามที่ถึงพร้อมด้วยสุนทรียภาพถึงปานนี้ ใจคนเราควรสัมผัสได้ด้วยใจ อันเป็น ‘ผัสสะ’ ที่ลึกซึ้งที่สุดของจิตวิญญาณไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า คงจะมีใครบางคนไม่เห็นค่าของสิ่งที่สัมผัสได้ด้วยใจนี้ ไม่ว่าจะมีอะไรมาบดบังก็ตาม ดังที่ ‘นายผี’ เคยมีจดหมายถึงกวีหนุ่มรุ่นหลังคนหนึ่ง เล่าความนัย ปรารภถึงกรณีที่ท่านจำต้อง ‘ปฏิเสธ’ งานชิ้นนี้ เพราะว่า:
“…มีผู้เห็นว่าเป็นเรื่องส่วนตัว, เขียนเรื่องส่วนตัวให้ญาติอ่านเป็นการส่วนตัว. ด้วยเหตุนี้จึงไม่ควรเผยแพร่ต่อไป, ผมจึงได้ปฏิเสธเสีย. ส่วนคนอื่นจะเข้าใจอย่างไรเป็นอีกเรื่องหนึ่ง. ทว่าวรรณกรรมที่ได้เสนอต่อมหาชนหรือสาธารณชนแล้วนั้น, ผู้เขียนย่อมหมดสิทธิ์เป็นเจ้าของ, ต้องตกเป็นสมบัติของสาธารณชน, สุดแต่ใครจะวิพากษ์วิจารณ์หรือเอาไปทำอะไร. ผมไม่มีสิทธิ์อะไรเหลืออยู่อีกแล้วในเรื่องที่เขียนนั้นๆ. ที่ปฏิเสธเป็นเรื่องฉะเพาะตัวผมเพื่อกันเข้าใจผิดไปยึดถือแนวที่ไม่เหมาะสมแล้วเท่านั้นเอง. ผมไม่มีสิทธิ์แม้กระทั่งไปแก้ไขเปลี่ยนแปลงใดๆในข้อเขียนนั้นๆ”
แนวคิดที่ว่า เมื่อได้สร้างสรรค์ผลงานออกไปแล้ว “นักเขียนหมดสิทธิ์เป็นเจ้าของ” มีทั้งความถ่อมตนอยูในตัว แต่ก็ท้าทายอยู่ในที นักเขียนอย่าง ‘นายผี’ ผู้มี ‘ทิพรูปลำยอง’ ได้ถือสิทธิที่จะอ้างว่าตน ‘ไม่มีสิทธิ์’ แม้แต่จะไปแก้ไขเปลี่ยนแปลงใด ๆ
เมื่อความข้างต้นในจดหมายส่วนตัว เป็นที่ปรากฏต่อสาธารณะแล้ว นักวิชาการร่วมสมัยอย่าง รศ.ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ ก็ได้แสดงทัศนะชื่นชม ‘นายผี’ อย่างจริงใจว่า
“ความเห็นที่เปิดกว้างให้สาธารณชนวิพากษ์วิจารณ์ผลงานได้ โดยไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงผู้แต่งเช่นนี้ กล่าวได้ว่าล้ำสมัยอย่างยิ่ง”
อาจพิจารณาได้ว่า ช่วงเวลาที่นายผีเขียนงานนิพนธ์ทั้งสองเรื่องนี้ คือ “เราชะนะแล้ว, แม่จ๋า” และ “ความเปลี่ยนแปลง” เสร็จสิ้นสมบูรณ์ในปีพุทธศักราช 2495 แล้วนั้น ควรถือได้ว่าเป็นปีสำคัญที่สุดแห่งความสำเร็จในชีวิตการสร้างสรรค์ผลงานกาพย์กลอนที่เข้าขนบถึงขั้นเป็น “วรรณคดีแบบแผน” เป็นงานเจียระไนเพชรระดับคลาสสิก ที่มีวรรณศิลป์แนวจารีตนิยมในทางรูปแบบและวิธีการนำเสนอ แต่ในส่วนของเนื้อหา ได้ฉีกกรอบไปจากวรรณคดีจารีตนิยมดั้งเดิมโดยสิ้นเชิง เพราะสอดใส่เนื้อหาที่เป็น “ปรัชญาวัตถุนิยมประวัติศาสตร์” เข้าไปแทนความเชื่อในลัทธิพราหมณ์และพุทธศาสนา เป็นการบรรยายฉาก “ความเปลี่ยนแปลง” ในวิถีวิวัฒน์ของชมรมโคตรวงศ์ โดยใช้ประวัติสายตระกูลของท่านเองเป็นตัวแบบ ตามวิถีวิวัฒนาการสังคมแบบนักลัทธิมาร์กซ การผสมผสานสิ่งที่ดูเหมือนขัดแย้งกัน ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ก็เป็นไปได้ (paradox) และบรรลุผลอย่างสมบูรณ์แบบดังที่ตั้งใจไว้ ย่อมไม่ใช่ความบังเอิญ และก็มิใช่เป็นแบบ “กลอนพาไป” หาก ‘นายผี’ จงใจที่จะทำเช่นนี้ ด้วยเจตนารมณ์อันมี “อุดมการณ์” เป็นรหัสนัยของความคิดสร้างสรรค์ของท่าน
นี่ก็คืออีกหนึ่งตัวอย่างของ “ความย้อนแย้ง” ในความเป็นตัวตนแบบ อัศนี พลจันทร ที่ไม่มีใครทาบได้
แนวการเขียนใหม่ ด้วยความคิดและวิธีการ “รื้อสร้าง” (Deconstruction) อย่างสัมฤทธิผลเช่นนี้ ย่อมเป็นที่ประจักษ์แก่ใจคนถ้าใช้ “ใจสัมผัส” มิใช่ใช้ “ลัทธิคัมภีร์” กำกับใจ และยิ่งหากเป็นผู้มีประสบการณ์ด้านการอ่านวรรณคดีแบบแผนแนวจารีตนิยมของไทยมาแล้วอย่างช่ำชอง ดังเช่นนักวิจารณ์บางท่านที่ได้เอ่ยอ้างนามและนำเสนอทัศนะไปข้างต้น ก็จะพบความลึกซึ้งของ “ความเปลี่ยนแปลง” ทั้งในแง่ความอลังการของกวีศาสตร์ และความอหังการของกวี “จินตนิยมปฏิวัติ” ผู้เป็น ‘นาย’ ของภาษา ความสำเร็จนี้เป็นสิ่งที่ยิ่งกว่า “ความล้ำหน้า” ยุคสมัยของกวี หากเป็น “ความล้ำเลิศ” กว่ากวีใดในกรุงสยาม สมดังที่ท่านได้ประกาศศักดาในนาม “กวีสยามคนที่สอง” ไว้อย่างทรนง
ดังนั้น หากจะบันทึกไว้เป็นสถานภาพองค์ความรู้ เรื่อง “นายผีศึกษา” ก็จะได้ภาพชัดเจนว่า
ในปี พ.ศ.2501 จิตร ภูมิศักดิ์ ได้เขียนงานด้าน “ศิลปะเพื่อชีวิต ศิลปะเพื่อประชาชน” ไว้ จิตรได้กล่าวอ้างถึงงานนิพนธ์ทั้งสองเรื่องนี้ โดยยกย่อง ‘นายผี’ ~ อัศนี พลจันทร ว่าท่านเป็น “มหากวีของประชาชน;
และอีก 17 ปีต่อมา ในปี พ.ศ.2518 ชลธิรา กลัดอยู่ (สัตยาวัฒนา) ก็ได้เขียนบทวิจารณ์ใน วรรณคดีปวงชนยกย่องเชิดชูงานนิพนธ์ “เราชะนะแล้ว, แม่จ๋า” กับ “ความเปลี่ยนแปลง” ว่าเป็น ‘วรรณคดีคำฉันท์’ และ ‘กาพย์กลอน’ ที่สมควรได้รับการยกย่องว่าเป็น “วรรณคดีของประชาชน”


( ๔ )
การสำรวจสถานภาพองค์ความรู้และการประเมินคุณค่างานนิพนธ์ของ อัศนี พลจันทร มาเป็นลำดับข้างต้น ในที่นี้ควรแสดงความชื่นชมยินดีว่า ในระยะต่อมา “สำนักพิมพ์อ่าน” ได้ประมวลผลงานและจัดพิมพ์งานนิพนธ์ของ อัศนี พลจันทร อย่างเป็นระบบ และอย่าง “มืออาชีพ” เช่นที่ได้เห็นควรร่วมมือกับ ‘ป้าลม’ และทายาทของ ‘นายผี’ จัดทำบรรณาธิการกิจและจัดพิมพ์ “เราชะนะแล้ว, แม่จ๋า” กับ “ความเปลี่ยนแปลง” ไว้ในเล่มเดียวกันอีกคำรบหนึ่ง โดยพยายามรักษาคุณค่าของ “งานต้นฉบับ” ไว้อย่างเคร่งครัด ตามคำแนะนำของ “ป้าลม” (คุณวิมล พลจันทร) และคุณวิมลมาลี พลจันทร (ทายาทสายสกุล พลจันทร) ให้ยึดฉบับพิมพ์ครั้งแรกไว้เป็นฉบับที่สมบูรณ์ถูกต้องที่สุด โดยสืบค้นและสอบทานกับฉบับพิมพ์ครั้งต่าง ๆ จนถึงฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5 ด้วย ทั้งนี้ได้คงอักขรวิธีตามต้นฉบับเดิมไว้ ไม่ปรับแก้วิธีสะกดคำตามพจนานุกรมฉบับปัจจุบัน เพื่อให้เป็นไปตามความตั้งใจของ ‘ป้าลม’ และทายาท ที่ต้องการรักษารูปแบบภาษาของงานไว้ตามยุคสมัย และตามที่อัศนี พลจันทร ได้บรรจงขีดเขียนไว้โดยเจตนา ตามความเชี่ยวชาญพันลึกของท่าน
ในอีกหลายปีต่อมา อัศนี พลจันทร น่าจะยังไม่ได้หนีหายไปไหนไกลนัก จึงยังส่งผลงานสร้างสรรค์ไปตามสำนักพิมพ์ต่าง ๆ ได้บ้าง แม้จะไม่ต่อเนื่องเช่นที่ผ่านมา อาทิเช่น วรรณกรรมประเภท “เรื่องสั้น” จำนวน 4 เรื่อง ลงพิมพ์ใน นิตยสารสยามสมัย รายสัปดาห์ ระหว่างเดือนมีนาคม 2496 - พฤษภาคม 2497
ต่อมาในปี พ.ศ.2501 อัศนี พลจันทร ส่งงานประเภท “บทความ” ให้ นิตยสารสายธาร และ “บทกวี” ลงพิมพ์ใน นิตยสารปิยมิตร (วันจันทร์) ค่อนข้างต่อเนื่องได้จนกระทั่งถึงเดือนมีนาคม พ.ศ.2502 แต่แล้วก็ขาดหายไปพักหนึ่ง แล้วก็หวนกลับมาใหม่ด้วยงานเขียนประเภท “เรื่องสั้น” ส่งมาตีพิมพ์ต่อเนื่องในช่วงปี พ.ศ.2503 หลังจากนั้นก็ขาดหายไปอีก คราวนี้ยาวนานมาก
การส่งผลงานตีพิมพ์ไม่ต่อเนื่อง สะดุดเป็นระยะ ๆ สะท้อนให้เห็นว่าตลอดระยะเวลาแปดเก้าปีที่ผ่านมา นับแต่เกิดกรณีกวาดล้าง “กบฏสันติภาพ” ที่ส่งผลกระทบรุนแรงจนถึงขั้นต้องหลบซ่อนตัวหนีการจับกุม จนในที่สุดก็ตัดสินใจลาออกจากราชการนั้น อัศนี พลจันทร คงใช้ชีวิตลุ่ม ๆ ดอน ๆ อย่างไม่ปรกติสุขนัก แต่ก็เห็นชัดว่าได้มีความพยายามทำงานขีดเขียนด้วยใจรัก การส่งงานแต่ละครั้งใช้วิธีอำพรางตนด้วยนามปากกาหลากหลาย
“เสมือนนกกาเหว่ากางปีกโผผินออกจากรังน้อยในสลัม บินโฉบเฉี่ยวมาเกาะ “เสาชิงช้า” ร้องก้องกังวานกรุง แล้วทอดเสียงแว่ววิเวกหวานอย่างไพเราะ จากนั้นก็ร่อนบินหายไปเป็นพัก ๆ”
ความเปรียบเปรยนี้เป็นของผู้เขียน (ชลธิรา สัตยาวัฒนา) ที่ได้แรงบันดาลใจจาก “บทบันทึก” ความเป็นมาของกาพย์กวี “ความเปลี่ยนแปลง” ของ ‘นายผี’
ในวิถีไทย ถือกันว่า ‘นกกาเหว่า’ เป็นนกที่ส่งเสียงร้องไพเราะอย่างยิ่ง “ดุเหว่าแว่ว เสียงหวาน” (เป็นสำนวนเจ้าฟ้ากุ้ง ในกาพย์เห่เรือ สมัยอยุธยา) นกกาเหว่ามักมีบทบาทพิเศษในขนบวรรณกรรมชาวไททุกกลุ่ม ถูกอ้างกันว่าเป็นแรงบันดาลใจให้สาวชาวลาวนางหนึ่ง เมื่อราวสองพันกว่าปีก่อน คิดค้นประดิษฐ์สร้างสรรค์ “แคน” มาเป่าเลียนเสียงนกกาเหว่า ในวรรณกรรมพื้นบ้านเรื่อง "โอ้เปี่ยม สามลอ” ของพี่น้องชาวไตในรัฐฉาน ก็มีเรื่องราวความรักของหนุ่มสาวที่บูชาความรักตามวิถีธรรมชาติ โดยใช้ลีลา "ธรรมชาตินิยม-สตรีนิยมเชิงนิเวศ” แนว “วิหกพรรณนา" โดยใช้ “นกกาเหว่า” เป็นตัวแทนประกาศความรักที่ไม่อาจมีใครมาพรากได้จนตัดสินใจ “ลาตาย” ไปตามกันเมื่อไม่อาจสมหวังในความรัก
กวีปฏิวัติอย่าง ‘นายผี’ ก็หลงใหลเสน่ห์ ‘ดุเหว่าแว่ว เสียงหวาน’ เช่นกัน ดังที่ท่านได้เขียนถึงความเป็นมาของกาพย์กวี "ความเปลี่ยนแปลง" ไว้ โดยระบุฉากและสถานที่สร้างสรรค์งานนี้เป็น “เรือนน้อย” ที่มีกาเหว่าแว่ววิเวกอยู่บนยอดหลังคาเรือน กล่าวอีกนัยหนึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งของอัตชีวประวัติ ‘นายผี’ ในช่วงลี้ภัย “กบฏสันติภาพ” หลบซ่อนตัว เมื่อปี พ.ศ.2495
เสน่ห์ของงานวรรณกรรมนี้ คือเนื้อหาที่เข้มข้น สอดร้อยด้วยความกระชับของคำกาพย์ ที่มีจังหวะจะโคนลงตัว ดังบทที่ ‘นายผี’ ใช้แนะนำชื่อเรื่องว่า
"แว่วแว่วกาเหว่าเกลากลอน"
ทั้งนี้ ‘นายผี’ เล่าเกริ่นนำฉากที่มาของเรื่องราวว่า
"...ต้นแก้วออกดอกหอมกรุ่นอยู่ริมบันไดเรือน กาเหว่าก็ร้องวิเวกอยู่บนยอดหลังคาเรือน..."
เรือนที่ว่านี้ นายผีบอกกล่าวชัดเจนว่า
"...คือครอบครัวกรรมกรที่ผมไปอยู่ด้วย...เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๕"
เสน่ห์ของ “กาพย์ฉบัง ๑๖” อยู่ตรงที่ใช้ฉันทลักษณ์กำกับน้อยที่สุด คือบังคับสัมผัสวรรครับ-วรรคส่ง ภายในแต่ละบท โดยกำหนดจำนวนคำจำเพาะบทไว้ เป็นจังหวะจะโคน คือ |๖~๔~ ๔ ~ ๖| เท่านั้น ดังตัวอย่างนี้
กาพย์ฉบัง ๑๖
"แว่วแว่วกาเหว่าเกลากลอน กาพย์โคลงโยนยอน กังวาฬวิเวกวังเวง"
[คัดจาก ที่มา "ความเปลี่ยนแปลง" โดย 'นายผี' ใน ชลธิรา สัตยาวัฒนา 2566. มหากาพย์ชนชาติไท (เล่มสอง), บทที่ 30, ตอน “บทชาติพันธุ์วรรณนา: กาเหว่า”. กรุงเทพฯ: สนพ.ทางอีศาน, น.218-219.]
ลุถึงปีพุทธศักราช 2504 จากข่าวที่ปิดไม่มิดและแพร่สะพัดในหมู่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งส่วนงานในป่าและส่วนงานในเมือง อัศนี พลจันทร ได้ปรากฏตนอย่างสง่างามในฐานะ “สหายไฟ” โดยท่านได้รับเลือกเป็น ‘หนึ่งในยี่สิบคน’ ของ “คณะกรรมการกลาง พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย” (พคท.) และเป็น “กรมการเมือง” (สำรอง) ด้วย
ในปีเดียวกันนั้น นายครอง จันดาวงศ์ และ นายทองพันธ์ สุทธิมาศ ถูกจับกุมในข้อหาคอมมิวนิสต์ และจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี อาศัยอำนาจตามมาตรา 17 แห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ.2502 สั่งประหารชีวิตทั้งสองท่าน เหตุการณ์รุนแรงนี้ เป็นผลให้ศูนย์กลางการนำของ พคท.ต้องตัดสินใจเคลื่อนตัวออกจากสภาพการนำทางการเมืองอย่างคึกคักที่เป็นมาในตัวเมืองและเมืองหลวง แล้วโยกย้ายกระจายกำลังไปสู่ชัยภูมิที่ปลอดภัยกว่าในชนบทและเขตป่าเขาทั่วประเทศ
เหตุการณ์พลิกผันนี้ทำให้ อัศนี พลจันทร (สหายไฟ) กับ วิมล พลจันทร คู่ชีวิตของท่าน (สหายลม) ต้องจำใจฝากลูกทั้งสี่ไว้กับญาติ แล้วเดินทางไปสู่ชัยภูมิที่มีแนวคิดใหม่ ถือกันว่าเป็น “แนวหลัง” ที่พึ่งพิงและไว้ใจได้ เป้าหมายแรก คือเดินทางไปยังกรุงฮานอย (เวียดนามเหนือ) เพื่อไปจัดตั้ง “สถานีวิทยุเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย” (สปท.) ที่ สปท. ดูเหมือนว่า ‘สหายไฟ’ เริ่มงานไปได้เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น แล้วก็ต้องเดินทางรอนแรมไปไกลเพื่อภารกิจสำคัญ จุดหมายปลายทางคือ กรุงปักกิ่ง การเดินทางครั้งนี้ท่านต้องแบกเป้สัมภาระขึ้นหลัง เดินเท้าจากชายแดนเวียดนาม ผ่านแดนลาวไปเข้าสู่เขตแดนจีนทางเมืองคุนหมิง มณฑลยูนนาน แล้วเดินทางด้วยรถต่อไปยังกรุงปักกิ่ง นครหลวงของสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งปลดปล่อยประเทศได้สำเร็จแล้วอย่างมีชัย
นับแต่นั้นก็เป็นที่ชัดเจนว่า อัศนี พลจันทร ได้ผันตัวเองจากความเป็น “ทิพรูป” ที่จรัสแสงดัง “เหง้าเพชรรัตน์” อวตารกลายร่างเป็น “ชาวพรรคคอมมิวนิสต์” อย่างสมบูรณ์แบบ โดยมีตัวตนชัดเจนในฐานะ “สหายนำ” คนหนึ่งของศูนย์กลางการนำพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นพรรคที่มีจุดยืนดำเนินการปฏิวัติเพื่อสร้างสรรค์สังคมที่ดีขึ้นเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนส่วนข้างมาก ในเวลานั้น พคท.เป็นคู่ความขัดแย้งหลักกับรัฐบาลไทย
ในโอกาสที่ พคท.ส่งตัวท่านไปกรุงปักกิ่งเพื่อร่วมแปล “สรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตุง” เป็นภาษาไทยร่วมสามปี ในนาม "สหายเฉินจิ้นเหวิน" นั้น อัศนี พลจันทร ได้มีโอกาสศึกษาทฤษฎีลัทธิมาร์กซและความคิดเหมาเจ๋อตุงอย่างจริงจังจนแตกฉาน ท่านได้ร่วมทำงานแปล “สรรนิพนธ์” รวมหมู่อย่างรับผิดชอบหามรุ่งหามค่ำ ทำเร่งวันเร่งคืนจนสำเร็จอย่างงดงามตามกรอบเวลาที่กำหนดไว้ ด้วยความหวังที่จะเดินทางกลับสู่ “แนวหน้า” ตามภารกิจทางยุทธศาสตร์ที่พรรคเตรียมการไว้ คือดำเนินการปฏิวัติ ปลดปล่อยบางพื้นที่ให้เป็นอิสระจากอำนาจรัฐของรัฐบาลเผด็จการที่ใช้อำนาจโดยมิชอบ แล้วสร้างฐานที่มั่นปฏิวัติของ พคท.ในพื้นที่ตะเข็บชายแดนทางภาคเหนือของประเทศไทย ซึ่งสหายผู้ปฏิบัติงานที่นั่นกำลังเตรียมการปลดปล่อยประชาชนกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆในเขตป่าเขาจังหวัดน่าน บริเวณภูแวและภูพยัคฆ์ เพื่อสร้างอำนาจรัฐที่เป็นของประชาชน

การถอยทางยุทธศาสตร์
ข้อความส่งท้ายนี้ เป็นตัวอย่างการแปลสรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตุง เป็น “ข้อความยาว” ด้วยถ้อยคำกระชับ ลำดับเรียงร้อยเป็นประโยคต่อเนื่องจนบรรลุความ เนื้อความยาวเต็มหนึ่งย่อหน้า ยากที่จะตัดคำใดออกไปได้ นี่คือส่วนหนึ่งของผลงานแปล “สรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตุง” งานแปลระดับคุณภาพที่ ‘สหายไฟ’ (อัศนี พลจันทร) มีส่วนร่วมคิดค้น แปล และเกลาภาษา ร่วมกับ ‘สหายนิล’ (เชาวน์ พงษ์พิชิต) และ ‘สหายโชน’ (เริง เมฆไพบูลย์) โดยทั้งสามสหายนักปฏิวัติได้ล่องหนหายตัวไปจากวงการสื่อสิ่งพิมพ์ในเมืองไทยในยามเผด็จการครองเมือง :
“การถอยทางยุทธศาสตร์เป็นจังหวะก้าวทางยุทธศาสตร์ที่มีแผนการจังหวะหนึ่งซึ่งกองทหารที่มีกำลังด้อยกว่าใช้เพื่อรักษากำลังทหารของตนและรอคอยโอกาสทำลายข้าศึก เพราะคำนึงถึงข้อที่ว่าตนไม่สามารถจะตีการรุกของข้าศึกให้แตกไปได้อย่างรวดเร็วเมื่อเผชิญกับการรุกของกองทหารที่มีกำลังเหนือกว่า”
และอีกหนึ่งย่อหน้าที่เป็นความเปรียบ คัดจาก “สรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตุง” เช่นกัน:
“ใครบ้างไม่รู้ว่า เวลาที่นักมวยสองคนสู้กัน นักมวยที่ฉลาด มักจะหย่อนมือให้ก่อน แต่คนโง่กลับฮึกเหิม ปล่อยฝีมือเท่าที่มีอยู่ออกมาเสียหมดตั้งแต่เริ่มแรก ผลสุดท้ายมักกลับถูกผู้หย่อนมือให้ชกคว่ำไป”
คารมคมกริบข้างต้นอาจจะบาดใจคนพลาดพลั้ง แต่มันก็คือผลึกของความเจนจัดในการต่อสู้ ที่สั่งสมจากประสบการณ์ของนักสู้ ทั้งจากการสังเกตการณ์และจากการปฏิบัติการสู้รบ เป็นคำสอนที่พึงใส่ใจ นำมาใช้ในการบัญชาการรบเพื่อสะสมชัยชนะในแต่ละขั้นเพื่อเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็น “การรบ” รูปแบบใด ในลักษณะอย่างไรก็ตาม
“ระดับชัยชนะในการต่อสู้ต้าน ‘การล้อมปราบ’ นั้น สัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้นกับระดับการบรรลุภาระหน้าที่ในขั้นตระเตรียม การเพลามือในการตระเตรียมซึ่งเกิดจากการประมาทข้าศึกและการตื่นตระหนกตกใจจนทำอะไรไม่ถูกซึ่งเกิดจากการถูกการรุกของข้าศึกข่มขวัญลงไปนั้น ล้วนเป็นความโน้มเอียงที่ไม่ดี อันควรจะคัดค้านอย่างเด็ดเดี่ยวทั้งสิ้น สิ่งที่เราต้องการนั้นคือ จิตใจที่กระตือรือร้นแต่เยือกเย็น การทำงานที่เคร่งครัดแต่มีระเบียบ”
แง่คิดอันเป็นแง่งามเหล่านี้ ล้วนเป็นคำสอนที่มีคุณค่า ไม่ว่าจะเป็นการยุทธ์ที่ใช้อาวุธจริงหรือใช้ปลายปากกา หรือในการยุทธ์ที่ใช้อาวุธชนิดอื่นใด หัวใจสำคัญของการยุทธ์คือ การตระเตรียมล่วงหน้า โดยไม่ประมาทดูเบาฝ่ายตรงข้าม เมื่อถูกข่มขวัญโดยการรุกต้องไม่ตระหนก แต่เยือกเย็น แล้วทำงานต่อไปอย่างมีระบบระเบียบ ด้วย “จิตใจสุขนิยมปฏิวัติ”.


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

 

โปรดติดตามและมีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท.  โปรดคลิ๊ก  

whitebanner