บันทึกเรื่องล้ำในไพรลึก.... ชลธิรา สัตยาวัฒนา ตอนที่ 12 "นายผี วีรชนปฏิวัติ ผู้ลิขิตวีรภาพโศกนาฏกรรม”
โดย ชลธิรา สัตยาวัฒนา
( ๑ )
เราได้เคยสืบสาวราวเรื่อง ปะติดปะต่อจากชิ้นส่วนข้อมูลที่กระจัดกระจายของวิถีชีวิตอันไม่ปรกติสุขของ อัศนี พลจันทร จนพอจะเข้าใจเรื่องและเห็นภาพชัดเจนว่า…
หลังจากกบดานซ่อนตัว ทำงานจรยุทธ์ในเมืองด้วยปลายปากกาอันทรงพลังอยู่ราวห้าหกปีช่วงหลังจากการกวาดล้างจับกุมผู้คนแบบเหวี่ยงแหในกรณี “กบฏสันติภาพ” และก่อนหน้าถูกเรียกตัวให้เดินทางไปภารกิจสำคัญที่กรุงปักกิ่งเพื่อร่วมแปลงาน “สรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตุง” นั้น, อัศนี พลจันทร ในฐานะสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (รับเข้าพรรคฯ ปี 2495, ข้อมูลจากบันทึก ‘ฟองจันทร์ ทะเลหญ้า’, อ้างแล้ว) ตกที่นั่ง “ชีพจรลงเท้า” ต้องเดินทางด้วยเท้ารอนแรม “เข้าป่า” ฝ่าดง มุ่งหน้าสู่พงไพรลึก ด้วยเส้นทางไม่ปรกติ ฝ่าตะเข็บชายแดนลาวอย่างปิดลับขั้นสูงสุด โดยการคุ้มกันอย่างเข้มงวดทว่าด้วยมิตรไมตรีฉันท์สหายโดย “อ้ายน้องลาว” เพื่อรักษาทั้งความลับและความปลอดภัย ไปสู่ดินแดนแห่งใหม่ที่พอจะเคลื่อนไหวทำภารกิจสำคัญที่เวียดนามได้ (สืบค้นสอบเทียบเส้นทางลับนี้ จากบันทึกของ “สหายป้าจัน” ศิริลักษณ์ จันทรวงศ์. ขึ้นสู้บนภูพยัคฆ์. กรุงเทพฯ: สนพ.สุขภาพใจ, 2549.)
ภารกิจที่ว่านี้ คือการจัดตั้ง “สถานีวิทยุเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย” (สปท.) มีจุดเริ่มต้นที่กรุงฮานอย เวียดนามเหนือ ซึ่งศูนย์กลางการนำ พคท. รับข้อเสนอให้ใช้พื้นที่นี้ ตามที่ท่านประธานโฮจิมินห์เอื้อเฟื้อให้กับ พคท.ในฐานะพรรคพี่น้องใกล้ชิดที่ดำเนินการปฏิวัติด้วยกันมา
ช่วงแรก หน่วยพรรคที่นำงาน สปท. คงจะยังอยู่ในเขตเมือง ในสถานที่ปิดลับมากแห่งหนึ่ง ต่อมาสถานการณ์เข้มข้นขึ้น สงครามเวียดนามได้ขยับจากเวียดนามใต้ มาเข้าประชิดกรุงฮานอย ถึงกับมีฝูงบินโจมตีของสหรัฐอเมริกาบินข้ามน่านฟ้ามาทิ้งระเบิดปูพรมที่กลางกรุงฮานอย เพื่อความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงานและความต่อเนื่องของการดำเนินงาน สปท.โดยเฉพาะด้านการกระจายเสียง คณะผู้ปฏิบัติงาน สปท.ชุดบุกเบิก ต้องโยกย้ายไปทำการในถ้ำลึกแห่งหนึ่งแถบชานเมือง การติดตามข่าวสาร การจัดทำต้นฉบับ การบันทึกเสียง ก็ต้องดำเนินการในถ้ำลึกแห่งนี้เพื่อความต่อเนื่อง รวมทั้งการกินอยู่หลับนอนของทีมงาน สปท.บางส่วนด้วย
ที่หน่วยงาน สปท. ภาระหน้าที่ของ อัศนี พลจันทร ในชื่อจัดตั้ง “สหายไฟ” ก็คือ เป็น “หัวหน้าหน่วยพรรค” จัดประชุมสมาชิกพรรค รับสมาชิกพรรคเข้าหน่วย บ่มเพาะผู้ปฏิบัติงาน เพื่อเตรียมความพร้อมและดำเนินภารกิจ สปท.ให้เริ่มทำการได้ ซึ่งท่านก็สามารถนำพางานนี้ได้ลุล่วง ร่วมกับสมาชิกพรรคในหน่วยนำ และสหายเยาวชนอื่น ๆ ที่เดินทางมาสมทบและร่วมงานนี้ หลักฐานพยานบุคคลที่มีโอกาสทันได้พบเห็น ‘สหายไฟ’ และได้รับการอบรมบ่มเพาะอย่างใกล้ชิดจากท่าน มีทั้งสหายหญิงและสหายชาย
เช่นกรณี ‘สหายลิน’ คนไทยเชื้อสายจีน ผู้เคยทำหน้าที่เป็นสันติบาลของทางการจีน ตรวจจับจ้องพฤติกรรมของ “ซีไอเอ” ในกรุงปักกิ่งมาก่อน และยังเคยร่วมงานกับฝ่ายนำของ พคท. ณ สถาบันลัทธิมาร์กซมาก่อนหน้าแล้ว จัดว่าเป็น “ผู้เชี่ยวชาญระดับสูง” เมื่อเดินทางมาถึง สปท. ก็ได้รับการทดสอบเสียงการอ่านข่าวและบทความ จากบันทึกของ ‘สหายลิน’ เอง ปรากฏว่าไม่ผ่าน เพราะออกเสียงบางคำบางพยัญชนะไม่ชัด ‘สหายลิน’ จึงถูกโยกไปทำหน้าที่พิมพ์ดีดงานต้นฉบับเพื่อการบันทึกเสียงออกวิทยุ สปท. เป็นหลัก และหลังจากนั้นก็ได้รับการชี้แนะและบ่มเพาะโดย ‘สหายไฟ’ ให้ฝึกงานด้านการเขียนข่าวและบทความ ซึ่งท่านก็ได้มีโอกาสทำเป็นครั้งคราว
อีกกรณีหนึ่ง เป็นสหายหญิงชื่อ ‘สหายเมย’ เดิมเป็นเด็กวัยรุ่น นักเรียนจากเมืองไทย พ่อแม่ส่งไปเรียนภาษาจีนที่กรุงปักกิ่ง ด้วยความตื่นตัวจากกระแสการปฏิวัติที่ทำการสำเร็จแล้วในประเทศจีน นักเรียนหญิงคนนี้จึงตื่นตัวก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ผ่านจากการเป็นสมาชิกสันนิบาตเยาวชนแล้ว เธอจึงยื่นใบสมัครขอเป็น “สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีน” ระหว่างที่ลุ้นรอผลนั้นเอง เธอก็ได้รับการทาบทามและถูกดึงตัวให้ไปฝึกงานที่สถานีวิทยุปักกิ่งภาคภาษาไทย ที่นั่นเธอได้รับการฝึกฝนให้ฟื้นระดับภาษาไทย โดยการนำพาของสหายนิตย์ พงษ์ดาบเพชร ให้อ่านข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ภาษาไทยทุกวัน จากนั้นเธอก็ถูกส่งตัวให้เดินทางจากกรุงปักกิ่งไปยังกรุงฮานอย เพื่อช่วยประสานงานภารกิจ สปท.ในระยะก่อตั้ง ทำหน้าที่งานธุรการ ประสานงานบุคคลกับทางการฝ่ายเวียดนาม เพื่ออำนวยความสะดวกด้านวิถีชีวิตในเวียดนามให้กับบรรดาผู้ปฏิบัติงาน สปท. ที่ทยอยมาร่วมทีมงานบุกเบิก สปท. จากทุกทิศทุกทาง โดยการเดินทางทั้งด้วยทางเท้า ทางเรือ และทางรถไฟ ที่กรุงฮานอยนี้เอง อัศนี พลจันทร ‘สหายไฟ’ ในฐานะหัวหน้าหน่วยพรรคนำงาน สปท. เป็นผู้รับ ‘สหายเมย’ เข้าเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
[เก็บความจากหนังสือ ที่นี่ สปท. เอกสารจัดทำโดยกลุ่ม “เพื่อน สปท.”, ใน “บทบันทึก” โดย สหายลิน และ สหายเมย (ยังมีชีวิตทั้งสองท่าน), 2566.]
( ๒ )
เมื่อถูกกำหนดตัวและเรียกตัวอย่างกะทันหันให้ไปกรุงปักกิ่งนั้น แม้ในหนังสือปกแดง ชุดงาน สรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตุง ที่จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์ภาษาต่างประเทศ, ปักกิ่ง มิได้มีข้อความใด ๆ ระบุไว้ว่าผู้ใดเป็นหัวหน้านำหน่วยงานแปลเป็นทีมเวิร์ค แต่แล้วในที่สุด เราก็เพิ่งมารับทราบกันภายหลัง (ไม่นานมานี้เอง) เมื่อทายาทของ เชาวน์ พงษ์พิชิต หรือ ‘สหายนิล’ ยินยอมให้ “กลุ่มเพื่อน สปท.” เปิดเผยเอกสารบันทึกในระยะบั้นปลายชีวิตของ ‘สหายนิล’ ซึ่งเขียนถึงวีรภาพของ ‘ป้าสุ’ คู่ชีวิตของท่าน ที่บากบั่นต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ท่านมาโดยตลอดในฐานะที่เป็นนักปฏิวัติสมาชิกพรรคทั้งคู่ ในบทบันทึกนี้ เชาวน์ พงษ์พิชิต ระบุไว้ชัดเจนว่า
“หน่วยแปลนิพนธ์เหมาเจ๋อตุง ของ พคท. มี คุณอัศนี พลจันทร เป็นหัวหน้า ผมเป็นเลขาธิการหน่วยพรรค (พคท.) หน่วยงานนี้ยังมีสมาชิกอีก 3 คน คือ คุณนิตย์ พงษ์ดาบเพชร คุณเริง เมฆไพบูลย์ และภรรยา (คุณสุก็ร่วมงานอยู่ในทีมนี้ด้วย ทั้งช่วยแปลและช่วยงานพิมพ์ต้นฉบับทุกบทจนล้มป่วย)”
[เอกสารบันทึกนี้เผยแพร่ทาง สถานีข่าว สปท. เป็นครั้งแรก เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2567.]
ข้อความที่ระบุว่า “คุณอัศนี เป็นหัวหน้าหน่วยแปล” สรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตุง หมายความว่า ‘สหายไฟ’ หรือ ‘นายผี’ มีบทบาทอย่างสูงและโดยแท้จริง ในฐานะนักวิชาการปฏิวัติ ผู้เชี่ยวชาญรอบรู้หลายภาษา ประกอบกับมีทักษะการใช้ภาษาไทยอย่างดีเยี่ยม จึงได้รับเกียรติและความไว้วางใจจากศูนย์กลางฯนำของ พคท. ให้ทำหน้าที่ “นำหน่วยแปลงานนิพนธ์” ของบุคคลที่มีความสำคัญยิ่งในทางสากล การมีองค์ประกอบของผู้เชี่ยวชาญทั้งภาษาจีนและภาษาไทย อีกทั้งทุกคนในหน่วยยังช่ำชองทางทฤษฎีลัทธิมาร์กซและมีประสบการณ์เคลื่อนไหวปฏิวัติมาอย่างโชกโชนตามรายชื่อที่ระบุไว้ข้างต้น ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย แต่คนอย่าง ‘นายผี’ ก็ทำได้และทำเป็น โดยสามารถบรรลุภารกิจหนักหน่วงที่ได้รับมอบหมายจาก พคท.ได้อย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุประสิทธิผลยาวไกล ภายในกรอบเวลาสามปีที่กำหนด ในบรรยากาศและบริบททางประวัติศาสตร์ที่มีข้อจำกัดหลายประการ โดยไม่มีเครื่องมือสืบค้นเพื่อช่วยการแปล เรียบเรียงและจัดพิมพ์ต้นฉบับด้วยเทคโนโลยีทันสมัยล้ำยุคเช่นในปัจจุบัน
นี่ก็คือตัวอย่างความสำเร็จอันงดงามของ ‘นายผี’ ในฐานะหัวหน้าหน่วย~ทีมงานแปลสรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตุง ที่สะท้อนศักยภาพ “ภาวะผู้นำที่เข้มแข็ง” (Potential Leadership) อย่างไม่อาจมองข้ามได้
ในปี พ.ศ.2518 ประเทศลาวได้เปลี่ยนแปลงการปกครองโดยขบวนการคอมมิวนิสต์ในการปลดปล่อยประเทศ พรรคประชาชนปฏิวัติลาวได้รับการหนุนช่วยจากพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม ดังนั้นพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยจึงตกอยู่ใน ภาวะว่าควรตัดสินใจอย่างไรดี จึงจะเป็นผลดีต่อการปฏิวัติและประชาชนมากที่สุด หากว่าจะใช้กองกำลังอาวุธต่างชาติเข้าสนับสนุนการปฏิวัติ ยึดอำนาจ เปลี่ยนแปลงการปกครอง ก็อาจทำให้ประเทศชาติตกอยู่ใต้อำนาจของต่างชาติ ไม่เป็นไทแก่ตัว จึงเห็นว่าควรเน้นการปลุกจิตสำนึกของประชาชน รอคอยเวลาและโอกาส จนกว่าจะเกิดความสุกงอมทางความคิดในหมู่ประชาชน
ต่อแนวทางนี้ สหายผู้ใกล้ชิด ‘สหายไฟ’ ที่สุดท่านหนึ่ง บันทึกความทรงจำไว้ว่า
“ในฐานะระดับนำคนหนึ่ง, สหายไฟได้คัดค้านการใช้กองกำลัง ยืนยันการเปลี่ยนแปลง ปฏิวัติประเทศ ต้องเกิดจากเงื่อนไขของสังคมไทย และโดยคนไทยด้วยกันเอง. จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้สหายไฟ ต้องถูกจำกัดการเคลื่อนไหวตลอดเวลาของการอยู่ในลาว กระทั่งสถานการณ์ขัดแย้งระหว่างจีนและเวียดนามถึงขั้นแตกหัก. พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ซึ่งถูกระบุว่าเป็นคอมมิวนิสต์สายจีน จึงต้องเคลื่อนย้ายผู้คนออกจากลาว และสหายไฟได้กลับเข้ามาที่ฝั่งไทยในปี พ.ศ.2522.”
“ปี พ.ศ.2526 หลังวันครบรอบวันเกิดสหายไฟไม่นาน ได้เกิด ‘ศึกภูเมี่ยง’ ขึ้นในเขตน่านเหนือ ด้วยความเสียหายอย่างหนัก ทำให้สหายไฟต้องเดินทางข้ามลำน้ำโขงเพื่อไปเจรจาขอซื้อข้าวกับ ‘กรรมการกลางเขตหงสาของลาว’.”
“ขณะนั้นเกิดการแตกพ่ายของฐานที่มั่นเขต 4 ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (ที่ภูพยัคฆ์) จังหวัดน่าน ในยุทธการล้อมปราบของรัฐบาลไทยพอดี… นับตั้งแต่การแตกหนีเข้าสู่ฝั่งลาวในครั้งนั้น, สหายไฟและพลพรรคสหายที่หนีเข้าสู่ลาว ถูกปลดอาวุธและจำกัดบริเวณ ขณะที่ป้าลม (วิมล พลจันทร - ภรรยา) ติดตามขบวนใหญ่ซึ่งเคลื่อนลงเขตน่านใต้ เป็นจุดเริ่มต้นของความพลัดพรากตลอดกาล และป้าลมจึงได้คืนกลับสู่นาครในเวลาต่อมา.”
การกลับสู่เมืองไทยของ ‘ป้าลม’ นั้น เป็นผลพวงโดยตรงจากคำสั่งของนายกรัฐมนตรี ที่ 66/2523 ลงวันที่ 23 เมษายน 2523 ในสมัยรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี ผู้ใช้นโยบาย “การเมืองนำการทหาร” อย่างเป็นรูปธรรมที่สุด…
“สหายไฟ กลับไม่ประสงค์จะเดินทางออกจากประเทศลาว ทั้ง ๆ ที่สหายนำหลายคน (เดินทาง) กลับประเทศแล้ว อาจเป็นเพราะเขายังต้องอยู่ต่อสู้ทางความคิดภายใน พคท.ต่อไป เพื่อปกป้องประเทศไทยจากการรุกรานของต่างชาติ และเป็นภาระหน้าที่สุดท้ายที่เขาแบกเอาไว้ด้วยบ่าทั้งสองข้างอย่างเข้มแข็งเช่นทุกครั้ง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ร้ายแรง.”
ก่อนหน้าการพลัดพรากจากกัน… ‘สหายไฟ’ ขณะพำนักอยู่ ณ “สำนักที่มั่น” (หน่วย 20) ตรงรอยตะเข็บชายแดน อาณาบริเวณติดกับ “หลวงน้ำทา” นั้น มีบรรดาเยาวกวี ปัญญาชนหนุ่มสาว แวะเวียนมาปรับทุกข์ ในท่ามกลางกระแสความขัดแย้งที่คุกรุ่น สถานการณ์ปฏิวัติของ พคท. ทั่วทุกภาคตึงเครียด ใกล้จะถึงจุดวิกฤต ‘สหายไฟผู้เฒ่า’ จะตรวจงานเขียนของเยาวกวี นักเขียน นักแต่งเพลง ในยามค่ำคืนจนดึกดื่น พร้อมกับให้คำวิจารณ์ติชม และให้กำลังใจ
ระหว่างนั้น ‘สหายไฟ’ ดำเนินชีวิตอยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง มี “เสียงลือเสียงเล่าอ้าง” ที่ไม่ได้ออกมาจากปากคำของท่านเองว่า “สหายไฟ มักโดนตำหนิและวิจารณ์จากสหายนำด้านทฤษฎีว่าเป็น ‘ศักดินาปฏิวัติ’ บ้างก็ว่าเป็น ‘ปัญญาชนนายทุนน้อย’ หรือไม่ก็ว่าเป็น ‘วีรชนเอกชน’ ด้วยลักษณะเฉพาะตัวของสหายไฟ”
ในห้วงเวลาที่ภายในศูนย์การนำพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเริ่มส่อเค้าความขัดแย้งทางความคิด รัฐบาลเปรม ติณสูลานนท์ ก็ได้ช่วงชิงโอกาสเสนอทางเลือกด้วย “นโยบาย 66/2523” จึงทำให้สหายอดีตผู้นำศึกษาบางส่วนในบางเขตงานเกิดความรู้สึกว่า การปฏิวัติดูเหมือนจะถึง “ทางตัน” เสียแล้ว จึงตัดสินใจอำลาจากการร่วมขบวนปฏิวัติ “คืนสู่นาคร” โดยบางส่วนยอมรับการใช้นโยบาย 66/2523
เหตุการณ์ที่เรียกว่า “ป่าแตก” จึงเกิดขึ้นทีละส่วน ๆ จนกระทบส่วนทั้งหมด เหลือเพียงส่วนน้อยมากที่ยังคงยืนหยัดสู้ต่อไป โดยหลบซ่อนตัวกระจายกำลังในพื้นที่ปิดลับส่วนลึกบริเวณตะเข็บชายแดน
(๓)
นิยามความเป็น ‘นายผี’ ในช่วงเบื้องปลายของชีวิต คงมาจากบุคลิกส่วนตัวของ อัศนี พลจันทร ใกล้เคียงกับที่ สุรชัย จันทิมาธร หรือ ‘สหายพันตา’ บันทึกไว้ว่า
"เขาเป็นคนหัวแข็งดื้อรั้น สิ่งใดไม่ถูก เขาจะสู้หัวชนฝา"
ในขณะที่บรรดาสหายนักศึกษาปัญญาชนบางส่วนยังคงยืนหยัดอยู่ในฐานที่มั่น เขต 4 ภูพยัคฆ์ ต้องเผชิญกับภัยสงครามใน “ยุทธการสุริยะพงศ์ 4” โดนทั้งระเบิดปูพรมจากเฮลิคอปเตอร์ และ “กับระเบิด” ที่วางดักไว้รอบเขตฐานที่มั่น รวมทั้งยังมี “หน่วยซุ่มจู่โจมประชิดตัว-ประชิดค่าย” สหายนำส่วนใหญ่มีวัยอาวุโส จึงจำเป็นต้องพาขบวนที่ช่วยตัวเองได้ยาก ถอยไปในเส้นทางสู่ “แนวหลัง” ที่คาดว่ายังพอจะพึ่งพิงได้ คือเขตแดนจีน ทางมณฑลยูนนาน สหายนำอีกส่วนหนึ่งที่ยังพอเดินทางด้วยเท้าได้คล่องก็นำพานักศึกษาปัญญาชนที่แข็งแรงพอ สุขภาพยังไหว และต้องการยืนหยัดสู้ต่อ เดินทางรอนแรมข้ามเขา โละห้วยและธารน้ำป่าไหลหลาก เดินเท้าจากฐานที่มั่นปฏิวัติ (ชนชาติลัวะ) เขตน่านเหนือ ลงไปรอพักดูสถานการณ์ทางเขตน่านใต้ ปรากฏว่า ‘สหายไฟ’ ในฐานะสหายนำคนหนึ่งของ พคท. ไม่ยินยอมที่จะเดินทางไปจีนด้วยเส้นทางขึ้นเหนือสู่เมืองคุณหมิง และก็ไม่ยอมเดินทางล่องลงไปทางใต้ด้วย คงประเมินสถานการณ์ได้ว่าในที่สุดก็ต้องคืนกลับสู่เมือง ซึ่งมิใช่ความประสงค์ของท่าน ท่านจึงยังคงปักหลักอยู่ ณ ที่เดิม การโอนอ่อนผ่อนตามการชี้นำของฝ่ายทหาร ให้ ‘ป้าลม’ แยกจากท่าน เดินทางลงน่านใต้ ย่อมมีนัยยะสำคัญที่เราพอจะประเมินได้ว่า ท่านเตรียมการยืนหยัดสู้อย่างถึงที่สุด ถึงขั้น “สู้ตาย”
แต่เมื่อเหตุการณ์เข้าสู่ภาวะคับขัน กองกำลังฝ่ายรัฐบาลบุกเข้าใกล้จนประชิดชายฐานที่มั่น ภูพยัคฆ์ เขต 4 ถึงขั้นเข้าปิดล้อมบางหมู่บ้านของชนชาติลัวะ จนเกือบจะเข้ายึดเขตอำนาจรัฐส่วนกลางของชนชาติลัวะภายใต้การนำของ พคท.ได้แล้ว ทหารพิทักษ์ที่คุ้มกันท่านพร้อมด้วยสหายจำนวนหนึ่งที่แวดล้อมท่าน กับกองกำลัง ทปท.ส่วนหนึ่งระดับกองร้อย ก็จำเป็นต้องพา ‘สหายไฟ’ และสหายเหล่านั้น ถอยร่นหลบหนีไปทางชายแดนลาว และล้ำเข้าไปในเขตแดนพรรคพี่น้องลาว ด้วยหวังว่าจะยังคงพึ่งพิงกันได้ แต่ด้วยความสลับซับซ้อนของสถานการณ์สากลที่ส่งผลกระทบต่อระบบความสัมพันธ์ระหว่างพรรคพี่น้องในภาวะสงครามปฏิวัติเพื่อเอาบ้านเอาเมือง เหตุการณ์จึงกลับปรากฏว่า “สหายไฟ” ถูกควบคุมตัวทันที โดยทหารทัองถิ่นของทางการลาวบริเวณชายแดน คณะลี้ภัย ‘หน่วยพะรุงพะรัง’ ของ ‘สหายไฟ’ ซึ่ง “หนีเสือปะจระเข้” ถูกกักกันตัวอยู่ใน “คุกลาว” ในฐานะ “นักโทษ” รวมทั้ง ‘สหายไฟ’ ก็ถูกกักบริเวณอย่างเคร่งครัดพร้อมกับสหายอีกจำนวนหนึ่ง มีทั้งคนชรา แม่และเด็กน้อย ต้องประสบความยากลำบากแสนสาหัสใน “คุกลาว” กว่าสิบปี บางคนจึงสามารถหาทางหนีออกมากลับเข้าเมืองไทยได้ โดยที่ผู้บังคับกองร้อยของ ทปท.เขตน่านเหนือ ‘สหายทัศน์’ ซึ่งทำหน้าที่เป็นทหารพิทักษ์หน่วยพะรุงพะรังของ ‘สหายไฟ’ ถูกฆ่าตาย พร้อมกับกองกำลังส่วนหนึ่งของท่าน ที่ได้ร่วมต่อสู้ปกป้องฐานที่มั่นและชีวิตเหล่าสหายนักปฏิวัติที่ยืนหยัดอยู่ที่ฐานที่มั่นเขต 4 จนนาทีสุดท้าย
สำหรับ ‘สหายไฟ’ นั้น มีคำบอกเล่าจากสหายที่อยู่ร่วมเป็นร่วมตายกับท่าน ติดคุกลาวอยู่สิบกว่าปี แล้วหลบหนีกลับเมืองไทยได้ เล่าความว่า
“สหายไฟ…ได้รับความเจ็บปวดจากโรครูมาตอยด์ (Rheumatoid) ช่วงที่มีอากาศหนาวมักจะล้มหมอนนอนเสื่อ กระดุกกระดิกตัวไม่ได้ ด้วยปวดตามกระดูกข้อต่อ และเจ็บป่วยด้วยโรคกระเพาะเรื้อรัง ซึ่งได้กลายมาเป็นมะเร็งในลำไส้.” …
จนกระทั่ง…. เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ.2530 ‘สหายไฟ’ หนึ่งในสหายนำของพรรคปฏิวัติไทย พคท. (ตามข่าวที่ได้รับแจ้ง) ได้เสียชีวิตลงที่แขวงอุดมไชย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
อีกหลายปีต่อมา เมื่อ ‘ป้าลม’ ซึ่งกลับเข้ามาใช้ชีวิตในเมืองอย่างปรกติแล้ว และได้ข่าวเป็นที่แน่ชัดว่า ‘สหายไฟ’ หรือ ‘นายผี’ มหากวีของประชาชน ได้จากโลกไปแล้วจริง ‘ป้าลม’ ได้แสดงความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะนำกระดูกของ ‘ท่านอัศนี’ กลับมาประกอบพิธีทางศาสนา แต่ก็เป็นสิ่งที่ยากยิ่งในเวลานั้น ด้วยสถานภาพของ ‘สหายไฟ’ ในพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เป็นระดับ “กรรมการบริหารกลางพรรค” นั้น ยังคงมีนัยยะสำคัญทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเชิงความคิดกระบวนทัศน์ (Paradigm) ก็จัดว่าท่านอยู่ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางทั่วไปของศูนย์กลางพรรค ที่ยังเห็นดีงามกับ “พันธมิตรยุทธศาสตร์ดั้งเดิม” อย่างไม่เสื่อมคลาย แม้พันธมิตรจะปรับเปลี่ยนนโยบายที่มีต่อพรรคพี่น้องเช่น พคท. ไปแล้ว ดังเช่นกรณีที่ปิดชายแดน ตัดความช่วยเหลือทั้งข้าวปลาอาหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ จนแม้ สปท.ที่ตั้งทำการอยู่ที่เมืองคุนหมิง ก็ต้องมีอันเป็นไป ผนวกกับการเมืองของภูมิภาคอินโดจีนก็สลับซับซ้อน ชิงไหวชิงพริบ ปรับเปลี่ยนท่าทีและกลยุทธ์จนทั่วทั้งขบวนสับสน จับต้นชนปลายไม่ติดสืบเนื่องมาจนปัจจุบัน การคิดจะนำท่านกลับมา แม้ว่า ‘สหายไฟ’ จะละร่างไปแล้ว มีเพียงแต่กระดูกเท่านั้นที่ยังเหลืออยู่ อาจมีการประเมินจากหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องว่ายังไม่เหมาะกับสถานการณ์ เพราะ “พลังทิพรูป” ของ ‘นายผี’ เป็นสิ่งที่คาดการณ์ล่วงหน้าได้ยาก
จวบจนสิบปีต่อมา หลังข่าวการเสียสละของ ‘สหายไฟ’ คือในปีพุทธศักราช 2540 ด้วยแรงใจอันมุ่งมั่นของ ‘ป้าลม’ ร่วมกับกลุ่มมิตรสหายจำนวนมากซึ่งมีศรัทธาต่อ ‘นายผี’ ประกอบด้วย กลุ่มเครือข่ายเดือนตุลาฯ, กลุ่มศิลปินเพลงเพื่อชีวิต, กลุ่มนักคิดนักเขียนและกวีเพื่อชีวิต ฯลฯ ได้ตัดสินใจติดต่อประสานงานกับทางการลาว ในที่สุดก็สามารถนำ “กระดูกนายผี” กลับบ้านได้ ด้วยการติดต่อผ่านสถานทูตไทยในลาว และโดยการประสานงานกับสมาคมมิตรภาพไทย-ลาว” จนดำเนินภารกิจอันเหลือเชื่อได้สำเร็จ
ในวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ.2540 ‘ป้าลม’ พร้อมด้วย ‘น้าหงา’ (สหายพันตา) สุรชัย จันทิมาธร และ อาจารย์แสวง รัตนมงคลมาศ เดินทางข้ามฝั่งลำน้ำโขง เข้าสู่นครหลวงเวียงจันทน์ ไปนำเอา “ภาพถ่าย” ช่วงชีวิตระยะสุดท้ายของท่านอัศนี พลจันทร พร้อมกับโถ “กระดูกนายผี” กลับมา “ซบอกแม่” ได้ในที่สุด
‘นายผี’ ที่ปรากฏในภาพถ่าย เป็นภาพชายชรา อ่อนโรยด้วยอายุขัยและเชื้อพิษไข้ ผมสีดอกอ้อเพิ่มมากกว่าเดิมที่ใคร ๆ เคยเห็นมา ทว่า ‘แววตา’ ยังเปล่งประกายบริสุทธิ์เยี่ยงเดียวกับคืนวันแต่เก่าก่อน ณ “กระท่อมไฟสุมขอน” กลางไพรลึกเขตหลวงน้ำทา นี่คือภาพถ่ายในระยะสุดท้ายของชีวิต ‘นายผี’ ที่ทางการเวียดนามเก็บภาพไว้ให้ เมื่อท่านถูกส่งตัวเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลฮานอย ก่อนหน้าการเสียชีวิตของท่านไม่ถึงหนึ่งเดือน
(๔)
‘นายผี’ มหากวีของประชาชน เดินทางกลับถึงถิ่น “แผ่นดินแม่” ก้าวแรก ณ จุดกึ่งกลางสะพานมิตรภาพไทย-ลาว เมื่อเวลา 11:15 น. ของวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ.2540
นักคิดนักเขียนของประชาชน ผู้ประพันธ์เพลง “คิดถึงบ้าน” (หรือ “เดือนเพ็ญ”) ได้มีโอกาสสัมผัส “แผ่นดินแม่” เมื่อ ‘แอ๊ด คาราบาว’ (ยืนยง โอภากุล) บรรจงวางอัฐิของ ‘นายผี’ ลงบนขอบสะพานมิตรภาพไทย-ลาว
‘สหายไฟ’ นักปฏิวัติผู้องอาจอหังการ เดินทางด้วยอำนาจแห่งวีรภาพของท่าน ข้ามสะพานฯ จากฝั่งลาวมาฝั่งไทย ถึงแผ่นดินไทย บ้านเกิดเมืองนอนของท่าน ด้วยรถตู้สีเทา โถกระดูกของท่านบรรจุอยู่ในกระเป๋าสีเขียว นำทางโดยพระภิกษุสามรูป ถือสายสิญจน์ผูกโยงเข้ากับกระเป๋า แล้วเดินย่างก้าวด้วยสมาธิจิต สวดนำทางสู่สุคติ ส่งท่านจากสะพานมิตรภาพไทย-ลาว มุ่งสู่ “วัดศรีสุมังค์”
ระหว่างการเดินทางเที่ยวสุดท้ายของ ‘นายผี’ แว่วเสียงเพลงในท่วงทำนองคึกคัก เร่งเร้า เนื้อเพลงใช้สัญรูป “ปืน” สื่อความหมายของความเป็น “นักสู้” แทนการใช้ “ดาบ” ที่ ‘ทิพรูปลำยอง’ เคยใช้เป็น “ดาบคู่ใจ” ในกาพย์กวี ความเปลี่ยนแปลง เนื้อหาของเพลงนี้ มีความประหลาดพิสดาร ตามแบบฉบับของ ‘นายผี’ ลีลาของเพลงสร้างอารมณ์สะเทือนใจจนบางคนถึงกับหลั่งน้ำตา ด้วยความรู้สึกเศร้ารันทดระคนกับความคับแค้นใจ…
"อายุหกสิบห้า ไม่มีอาก้าจะสะพาย มีแลก็แต่คาร์ไบน์ ถึงปืนไม่ร้ายแต่ใจยังจำ
จับปืนขี้เมี่ยง มองเมียงมือคลา ปังคะมำลงมา นัดหนึ่งคนหนึ่ง นิ้วตึงอกแตก เลือดทะลักชักแหลก แลกกับเลือดหกตุลา..คม
ห้าขวบหย็อย ๆ อยู่ข้างหน้า หกสิบห้าเหย่า ๆ ตามหลัง ทางภูดูยาวเหยียดหยัด ต้องการสมรรถพลัง สองขาพาไป จะปะอะไรก็ช่าง ถึงปู่ล้มหลานยัง เสียงปืนยิงปังก้องพนา... เอ๋ย พนม ปัง ปัง ปัง…ก้อง…พนม”
(“คนล่าสัตว์” โดย กินนร เพลินไพร)
“พลานุภาพทางภาษา” เป็นสิ่งสากล (Universal) เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติของภาษา ไม่ว่าภาษาใดล้วนมีปฏิบัติการกับกลไกทางจิตวิทยา ทั้งในระดับก่อนสำนึก ในห้วงสำนึก และทั้งในจิตใต้สำนึกและจิตไร้สำนึก
หากคลื่นแห่งความ 'สำนึก' เหล่านี้ จับจิต-จับใจฝูงชน ผนวกกับภาษาที่ผจงถ้อยร้อยเรียงด้วยประกายความคิดที่บรรเจิด ก็จะมีพลานุภาพต่อสังคมทบเท่าทวีคูณ หรือมากยิ่งกว่าจนประมาณค่ามิได้
และหากมีคนนำเอาองค์ประกอบที่มีสัดส่วนลงตัวนี้ ไปใช้อย่างถูกวิธี ถูกกาลเทศะ ในสถานการณ์ที่สอดคล้องต้องกัน เมื่อมีสิ่งเร้าในบริบททางสังคมที่เอื้อให้ปลดเปลื้องได้ 'จิตรู้สำนึก' ของแต่ละปัจเจกบุคคล จะได้รับการปลดปล่อยผ่าน “วาทกรรมสำนึก” ของผู้คนที่ตื่นตัว มีความสำเหนียกต่อภารกิจอันพึงทำ ด้วยอุดมการณ์อันล้ำเลิศ อย่างไม่มีอะไรหยุดยั้งไว้ได้…
หลังพิธีสวดบังสกุล, ‘ป้าลม’ ได้นำกระดูกซึ่งอาบน้ำยาไว้เกือบสมบูรณ์ทุกชิ้นส่วน ออกจากกระเป๋า เมื่อการจัดวางบนผ้าขาวงดงามสมบูรณ์แล้ว ผู้เข้าร่วมพิธีก็น้อมจิตคารวะรดน้ำ ‘นายผี’~ ศรีอินทรายุธ
เมื่อ “กระดูกนายผี” อัศนี พลจันทร ทอดตัวลงนอนแนบโลงไม้แล้ว ‘ป้าลม’ บรรจงคลี่ผ้าแพรสีแดงเลือดนกผืนใหญ่ ประดับด้วย “ดาวแดง-เหลือง” ห่มคลุม "สหายไฟ" อย่างทะนุถนอม ด้วยท่าทีเคารพรักยิ่ง
“สหายนำ” ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ผู้ยืนหยัดปฏิวัติตราบชั่วชีวิต ใน “โลงไม้สีขาว” ประดับผืนธงดาวแดงงามสง่า ได้รับการประคับประคองให้ขึ้นรถตู้คันเดิม รถเคลื่อนตัวช้า ๆ ผ่านขบวนต้อนรับ พานายผีคืนถิ่น “ไปซบอกแม่” ละจากฝั่งโขง มุ่งหน้าสู่นครราชสีมา โดยมีรถนำขบวนจากกองปราบปรามพิเศษ อำนวยความสะดวกให้
พิธีการตลอดทั้งกระบวนการ จากฝั่งลาวถึงฝั่งไทย “แผ่นดินแม่” ของ อัศนี พลจันทร เป็นประจักษ์พยานยืนยันถึงห้วงเวลาอันสงบสันติ ที่นักปฏิวัติไทย ‘มหากวีแห่งสยาม’ ได้รับทั้งเกียรติและจิตคารวะอย่างสูงส่ง
คืนวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ.2540 ณ สนามฟุตบอล สถาบันราชภัฏนครราชสีมา บทเพลง "คิดถึงบ้าน" ได้รับการขับขานร่วมกันด้วยน้ำเสียงของ “คนรักนายผี” กว่าสามหมื่นคน เป็นการขับขานบทเพลง “คิดถึงบ้าน” ที่กระหึ่มก้อง กังวานในหัวใจผู้คนมากที่สุด ในจำนวนนับแสนนับล้านเที่ยวที่บทเพลงอมตะนี้ ได้ขับขานกล่อมคนมา นับแต่ วง “คาราวาน” นำมาบันทึกเสียงไว้ในอัลบั้มชุด "บ้านนาสะเทือน" เมื่อปี 2526
ปีเดียวกับที่เจ้าของบทเพลง จำต้องพรากจาก “แผ่นดินแม่” ไปสู่ฝั่งลาว อาจจะด้วยประมาณการณ์ผิดพลาด และประเมินสถานการณ์ที่พลิกผันต่ำกว่าความเป็นจริง ซึ่งโหดร้ายเกินคาดคิด
หรือว่า ‘นายผี’ ได้เลือกที่จะลิขิตชีวิต “ทิพรูปลำยอง” ของท่าน ให้เป็น “วีรชนปฏิวัติ” ผู้มี “วีรภาพโศกนาฏกรรม” อันเหลือเชื่อ ก็สุดจะคาดเดา…?
“แสงไฟไหม้ดับ ไม่ลับมอดเลย สายลมเจ้าเอยช่วยฝัน
โหมไฟให้เปล่งปานแสงตะวัน หัวใจไม่หวั่นผวาหวาดเลย
คิดถึงคนยากคนทุกข์อย่างเคย ห่วงเอย... ห่วงใยห่วงหา”
(“ตอบเดือนเพ็ญ” โดย สุรชัย จันทิมาธร)
****************
บันทึกเรื่องล้ำในไพรลึก ภาคแรก (๑๒ ตอน) เป็นผลงานที่บรรจงเขียนและเรียบเรียงขึ้นเพื่อสดุดีเทิดเกียรติ ‘นายผี’ วีรชนปฏิวัติเรืองนาม ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
ผู้เขียนขอน้อมคารวะ เจ้าของข้อเขียน บทความ บทบันทึก บทเพลง บทกวี และผู้ร่วมสร้างฐานข้อมูลเกี่ยวกับ อัศนี พลจันทร ของทุกท่านและทุกแหล่งข้อมูล ซึ่งมีคุณูปการอย่างยิ่ง ผู้เขียนได้ใช้ประโยชน์ ศึกษา สืบค้น และคัดกรองนำมาเรียบเรียงไว้เป็นบทบันทึกแนว “ชีวประวัติบุคคลสำคัญ” เพื่อร่วมรำลึกและเทิดเกียรติ “นายผี” นักปฏิวัติ~มหากวีของประชาชน ในโอกาสวันที่ท่านเดินทางกลับสู่บ้านเกิด ได้มา “ซบอกแม” สมดังความปรารถนาของท่าน ที่ตั้งไว้ในบทเพลง “คิดถึงบ้าน” (เดือนเพ็ญ) ในวันที่ 22 พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๐ โดยการเดินทางข้าม “สะพานมิตรภาพไทย-ลาว”
ชลธิรา สัตยาวัฒนา 22 พฤศจิกายน 2567 วันรำลึก “นายผีกลับบ้าน”
[*ผู้เขียนจะพยายามติดตามสืบค้นรายละเอียดเกี่ยวกับ “ฐานที่มั่นปฏิวัติ ชนชาติลัวะ ภูพยัคฆ์” ต่อไป เมื่อเงื่อนไขอำนวยและมีหลักฐานข้อมูลเพียงพอที่จะสามารถตรวจสอบย้อนทวนได้ กับความทรงจำของผู้เขียนเอง ซึ่งเคยใช้ชีวิตอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับสหายนักปฏิวัติและพี่น้องชาวลัวะ (ไปร๊) ที่นี่ร่วม 7 ปี ระหว่าง พ.ศ.2519-2526 โดยจะเผยแพร่เป็น “งานวรรณกรรม” (ชุดใหม่) ในระยะต่อไป หากไม่มีเหตุสุดวิสัยใด ๆ.]
——
แหล่งข้อมูลที่สืบค้นและใช้อ้างอิง (ข่วงเวลาสืบค้น ระหว่าง เดือนกรกฎาคม-พฤศจิกายน 2567)
Facebook เพจ "ตำนานบรรดาเรา” และ เพจต่าง ๆ ใน Facebook ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราว ‘นายผี’, อัศนี พลจันทร, “สหายไฟ” และนามปากกาอื่น ๆ ของ อัศนี พลจันทร.
สยามสมัย, ปีที่ 5, ฉ.256, 7 เมษายน 2495.
เว็บไซต์มูลนิธิอัศนี พลจันทร (นายผี), assaneepollajan.com
อภิรักษ์ กาญจนคงคา This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
อัศนี พลจันทร th.wikipedia.org/wiki/
web.archive.org/web/20020204020423/www.geocities.com/thaifreeman/pe/pe.html
www.baanjomyout.com
โปรดติดตามและมีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท. โปรดคลิ๊ก