ทางแยก - ไหมลี (๘)
แรกเริ่มคบหากับสหายกลุ่มนี้ ...
ไหมเคยถามพ่อว่า ไม่กลัวทหารจับได้หรือว่าติดต่อกับพวกป่า
พ่อว่า กลัวเหมือนกันแต่ ...
“เราต้องหากินบนภู สหายมาหาเราเอง เราไม่ได้ไปหาเขา”
“อ้าว ... แล้วถ้าทหารเขาว่า เจอคอมมิวนิสต์แล้วทำไมไม่แจ้ง พ่อจะบอกยังไง” ไหมซัก
“ก็บอกไป ว่ากลัวถูกสหายฆ่า”
ไหมได้แต่ส่ายหัวกับข้อแก้ตัวที่ทั้งเธอและพ่อรู้ดีว่า ทหารไม่มีทางเชื่อ
ตอนนั้น เธอพยายามทักท้วง เกลี้ยกล่อมพ่อให้เลิกยุ่งเกี่ยวกับสหาย
แต่พ่อก็มีข้ออ้างต่างๆนานา โดยเฉพาะเรื่องที่สำหรับทำไร่
“ที่ใกล้ๆคนอื่นเขาเอาไปหมดแล้ว บนภูลึกน่ะดีนะ ดินไม่จืด ทำได้หลายปี”
“พวกสหายก็ไม่ได้มาบ่อยอะไรนี่ นานๆมาที”
ไหมพอเดาได้จากน้ำเสียงของพ่อว่า ...
พ่อมีความรู้สึกที่ดีกับพวกเขามาก
ตอนนั้นเธอได้แต่แอบบ่นกับแม่ว่า
“ไม่เข้าใจ ... ทำไมพ่อถึงชอบสหายนัก”
เธอเก็บความไม่เข้าใจนี้ไว้ตลอดมา
บางครั้งเวลาสหายกลุ่มนี้มาที่ไร่ จะมีสหายหญิงมาด้วยคนสองคน
ถึงไหมจะตื่นเต้นที่ได้เห็นคอมมิวนิสต์ผู้หญิง แต่เธอก็ไม่เคยแสดงออก
เธอไม่แสดงความสนิทสนมใดๆ เวลาสหายมาชวนพูดคุย
ตรงข้ามกับน้องสาว เพราะรายนั้นเป็นคนช่างพูดช่างคุยอยู่แล้ว
ยามที่ต้องนั่งคุยกับพวกสหายหญิง ไหมจึงเลือกนั่งฟังเงียบๆมากกว่า
กระทั่งวันที่น้องชายคนเล็กเป็นไข้บนไร่
เป็นครั้งแรกที่ไหมเริ่มเข้าใจความรู้สึกของพ่อต่อสหาย
โดยเฉพาะสหายที่พ่อกับแม่เรียกเขาว่า “สหายมุ่ง”
เธอได้เห็นความกระตือรือร้น เอาใจใส่อย่างจริงใจ
ไม่ทิ้งขว้างเมินเฉย ยามเธอและครอบครัวกำลังลำบาก
ได้เห็นความคล่องแคล่วในการรักษาไข้ ยืนยันสิ่งที่พ่อพูดกับแม่ว่า ...
“มุ่งน่ะ เก่งนะ มีความรู้หลายเรื่องหลายราว”
ที่พ่อชอบและพูดบ่อยมากคือ
ถึงจะรู้อะไรหลายอย่างแต่ไม่มีสักครั้งที่เขา จะพูดจาโอ้อวดหรือดูถูกคนอื่น
คงมีแต่ความสุภาพอ่อนน้อม และน้ำจิตน้ำใจที่มีให้เห็น เสมอต้นเสมอปลาย
พ่อคงเอาไปเปรียบเทียบกับพวกทหาร ที่เข้าออกหมู่บ้านบ่อยๆ
“ทหารพวกนั้น ชอบรังแกชาวบ้าน” พ่อเคยพูด
ไหมเริ่มมีความรู้สึกที่ดีต่อมุ่งมากขึ้น
เธอไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะ เขาเป็นคนม้งเหมือนเธอ
หรือเพราะความสุภาพ มีน้ำใจ ที่เขามีต่อเธอและครอบครัว
แต่ที่แน่ๆ ความรู้สึกนี้ ต่างกับที่เธอรู้สึกกับหนุ่มๆในหมู่บ้าน
โดยเฉพาะ “เหล่าวือ” ลูกชายคนเล็กของผู้ใหญ่บ้าน
ที่คอยตามตื้อเธอ ตั้งแต่วันน่อเป๊โจว (วันปีใหม่ม้ง) ที่ผ่านมา
เพียงเพราะเธอยอมป๋อค้อนั้ง (โยนลูกช่วง) ด้วย
จนเธอต้องหนีมาเฝ้าไร่กับพ่อ นานนับเดือนแล้ว
ก่อนตะวันตกดินไม่กี่วัน หลังบ่นถึง ...
มุ่งกับสหายอีก 2 คนก็โผล่มาที่ไร่
ทั้งพ่อและแม่ ดีใจมาก ...
แม่เปลี่ยนแผนทันที
“คืนนี้ฉันนอนไร่กับเธอดีกว่า ...” แม่บอกไหม
ก่อนจะลุนหลังน้องๆให้รีบไปช่วยกันเก็บพริก เก็บมะเขือ ข้างตุ๊บ
“ไหม ... ก้อไปเก็บยอดฟักทองในไร่มาเยอะๆนะ เจอลูกอ่อนเก็บมาด้วย” แม่บัญชาการ
ข้าวปลาอาหารมื้อค่ำวันนั้น แม่ปรุงสุดฝีมือ
แม้มุ่งและสหายจะออกตัวว่า พวกเขามีเสบียงติดมาแล้วก็ตาม
กินข้าวเสร็จ ไหมเลี่ยงออกมานั่งดูน้องๆเล่นกันที่ลานข้างตุ๊บ
เธอเห็นสหายคนหนึ่งแยกตัวจากกลุ่ม เดินขึ้นไปนั่งคนเดียวมืดๆ บนสันภู
ในตุ๊บเหลือพ่อกับแม่ ที่พากันรุมซักถามสหายมุ่งกับสหายอีกคน
หลังรู้ว่าที่ปะทะกับทหารตามข่าวนั้น เป็นคนละหน่วยกับกลุ่มของมุ่ง
เสียงพ่อถอนใจเฮือก ...
“โล่งใจจริงๆ พวกเราเป็นห่วงพวกคุณมาก” พ่อว่า
แล้วเลยเล่าถึงทหารในค่ายที่หมู่บ้าน
“ตอนนี้ที่ค่ายเปลี่ยนผู้พันคนใหม่ เห็นว่าชื่อ ผู้พันจักร”
“ฉันยังไม่เคยเจอ แต่เขาว่าแกพูดจาดี พวกทหารในค่ายเลยทำดีกับชาวบ้านขึ้นมาหน่อย”
พ่อบอกสหายว่า อีกสามวันผู้ใหญ่บ้านนัดประชุมลูกบ้าน
“ไม่รู้จะพูดเรื่องอะไร ข่าวว่าผู้พันคนใหม่จะมาคุยกะชาวบ้านด้วย”
ไหมได้ยินพ่อรับปากสหายว่า เจอกันคราวหน้าจะเล่าให้ฟังว่าประชุมเรื่องอะไร
เสียงคุยกันต่อเรื่องนั้นเรื่องนี้ดังพอได้ยิน
พักหนึ่งน้องๆก็พากันเข้านอน เหลือเพียงไหมที่ยังนั่งนอกตุ๊บ
กว่าพ่อกับแม่จะออกมาส่งพวกสหายที่เตรียมตัวกลับ ก็ดึกโข
“เป๊มู ... อ๊อ”
(พวกเรากลับละนะ)
เป็นครั้งแรกตั้งแต่รู้จักกันมา ที่มุ่งเอ่ยปากร่ำลาไหม
เธอสบตาที่กำลังจ้องมองมา อะไรไม่รู้จากตาคู่นั้นทำเอาไหมใจเต้นแรง ต้องแข็งใจตอบ ...
“อ่อ ... มูยง ...อ๊อ”
(จ้า ... กลับดีๆนะ)
จันทร์เต็มดวงทอแสงนวล ...
มุ่งเดินรั้งท้ายสหายขณะลงจากไร่
ก่อนลับสายตา ไหมเห็นเขาหันมองขึ้นมาตรงที่เธอยืนอยู่
เธอรีบหลบวูบ จนเกือบชนแม่ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ปากก็พลั้งพูดออกไปว่า ...
“เขามองไร่ ไม่ได้มองฉัน”
“ใครมองอะไร ...” แม่ถาม
ก่อนจะมองตามไหม ที่หันหลังเดินลิ่วเข้าตุ๊บแบบงงๆ
สนใจสมัครสมาชิกผู้มีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท. โปรดคลิ๊ก