ทางแยก - ไหมลี (๒๑)
“พวกคุณสองหน่วยต้องทำงานประสานกัน ลองไปคุยกันนะครับว่าจะทำแบบไหนยังไง”
สหายสิทธิ์กำชับมุ่ง สหายไฟและสหายเดี่ยว ก่อนจับมือร่ำลา
ทั้งหมดกลับมาหารือกันที่สำนัก ๔๐๒
“การส่งข่าวสาร การรับส่งคนขึ้น-ลงทั้งที่ราบและระหว่างเขต เป็นภารกิจของพวกคุณ”
คือภารกิจที่สหายสิทธิ์มอบหมาย ...
“ดูจากงาน เราคงต้องพบกันถี่หน่อยครับ ...” สหายเดี่ยวว่า
มุ่งคำนวนระยะเวลากับงานที่ได้รับมอบหมาย
รวมทั้งการประสานกับสหายคำ ซึ่งต้องจัดเวลาใหม่ให้ใกล้เคียงกัน
“เอาเป็นเดือนละครั้งดีไหม” มุ่งหันไปหารือกับสหายไฟ
“น่าจะได้นะ ทางสหายเดี่ยวละครับ” สหายไฟถาม
“พวกผมไม่มีปัญหา เราอยู่ไม่ไกล พวกสหายซิครับจะไหวไหม” สหายเดี่ยวเป็นห่วง
มุ่งและสหายไฟพยักหน้ายืนยัน
“งั้นเดือนหน้าเราเจอกันอีกครั้งนะครับ ...”
สหายเดี่ยวสรุป ก่อนตกลงรายละเอียดนัดหมาย ทั้งวันเวลา จุดนัด สัญญานสื่อสารกัน
ช่วงพักยาวบนฐานที่มั่นพี่น้องในฐานะแขก เหมือนได้ชาร์ตพลังงานเต็มที่ ...
หลังแยกกับสหายกอง ๔๐๒ ตรงชายฐานที่มั่น
ทั้งหมดลัดเลาะตามเส้นทางเดิมอย่างกระฉับกระเฉง เพื่อคืนสู่ที่มั่นจรยุทธ์
“อยากกลับไปฐานจรยุทธ์เร็วๆ คิดถึง ...” บ่ใจกระซิบกับสหายดง
ใช้เวลาแค่ ๒ วัน ต่างก็พากันมานอนฟังเสียงเรไรกรีดปีกบนไหล่ภู ในชายป่าที่คุ้นเคย
ตั้งหลักพัก รอเวลานัดหมายกับสหายคำ
ทั้งหน่วยตกลงกันว่า ...
“ก่อนเจอสหายคำ เราแวะไร่พ่อไหมก่อนดีกว่า ... เผื่อมีข่าวใหม่ๆ”
“อย่ารับมานะครับ ... ถ้ารับเท่ากับเข้าทางเขาเลยล่ะ”
มุ่งบอก ทันทีที่พ่อไหมเล่าว่า ...
“ผู้พันสงสารพวกนักศึกษาที่เข้าป่า เขาอยากฝากพวกมาม่าโอวัลตินของแห้งไว้ เผื่อฉันได้เจอ”
“ฉันก็บอกเขานะว่าไม่เคยเจอพวกสหาย แต่เขาก็เหมือนลองใจ คอยพูดโน่นพูดนี่อยู่เรื่อย”
พ่อไหมกึ่งเล่ากึ่งบ่นสีหน้ายุ่งยากใจ สหายไฟรีบปลอบ ...
“บอกไม่เคยเจอพวกเราน่ะดีแล้วครับ บอกเมียกับลูกๆด้วย อย่าเผลอพูด”
“ฉันบอกพวกเขาอยู่ เฮ้อ ... เมื่อไหร่ผู้พันจะเลิกตามฉันไปคุยด้วยซะที”
พ่อไหมถอนใจด้วยความอัดอั้น
มุ่งกับสหายไฟทำได้เพียง ขอให้พ่อไหมยืนกระต่ายขาเดียวว่า ... ไม่เคยเจอสหาย
เสียงเก็บข้าวของกุกกักข้างตุ๊บ เย็นมากแล้วไหมกับแม่เตรียมตัวกลับ
พ่อไหมบอกว่า ปกติช่วงนี้จะพาลูกๆมานอนไร่กัน
“ตอนนี้เอาพวกเล็กๆมาด้วยไม่ได้ กลัวไปเล่าว่าเจอพวกสหาย แต่ช่วงเกี่ยวข้าวคงต้องพามา”
มุ่งมองพ่อไหมด้วยความเห็นใจ
“ปีนี้พวกสหายมากินข้าวใหม่กันอีกนะ วันนี้พวกเราเกี่ยวลงไปเตรียมคั่วแล้วล่ะ”
“ขอบคุณมาก ... ยังไงค่อยนัดกันอีกทีนะครับ” สหายไฟบอก
สายตาหมองๆที่มองมา รอยยิ้มเจื่อนจางบนใบหน้า
สื่อให้คนเห็นรับรู้ได้ว่า เจ้าของรอยยิ้มคงมีเรื่องราวหนักอึ้งอยู่ในใจ
“ดูสีหน้าไหมกับแม่แล้ว ... คงกำลังคิดมากทั้งคู่”
สหายไฟกระซิบหลังเดินลงมาจากไร่ มุ่งได้แต่พยักหน้า
นึกถึงภาพแม่ลูกที่เคยแจ่มใสเบิกบาน มาวันนี้กลับดูวิตกกังวล
ไม่มีจังหวะเวลาใดๆ ให้เข้าไปถามไถ่ปลอบโยน
คงทำได้เพียงส่งสายตาที่บอกถึงความเข้าใจเห็นใจ เท่านั้น
“ผมว่า การพบครอบครัวไหม จากนี้อาจต้องห่างลงและระมัดระวังมากขึ้น”
มุ่งตัดสินใจพูดสิ่งที่เขาคิดไคร่ครวญแล้วว่า ดีที่สุดกับทุกฝ่าย
แม้ลึกๆจะรู้สึก ... ใจหาย
“ผมเห็นด้วยนะ ผมว่าผู้พันเชื่อว่าพ่อไหมเจอพวกเราแล้ว แกรอพ่อไหมหลุดปากเท่านั้นแหละ”
สหายไฟสนับสนุนก่อนต่อว่า ...
“อีกอย่าง ... ผมเสนอเลยนะครับ คือเส้นทางที่เราใช้เชื่อมเขตน่ะสักพักก็อาจเสียลับ”
“เราคงต้องหาเส้นทางหรือตัดทางใหม่ๆเผื่อไว้สัก ๒-๓ เส้น เอาที่สะดวกเดินกลางวันได้ด้วยก็ดี”
ทุกคนเห็นด้วย สหายธงตั้งคำถาม
“เส้นทางใหม่อาจจะอ้อมไกลหน่อย ไม่จำเป็นต้องผ่านไร่ไหมเวลาเรานัดกับสหายคำ ก็ได้ใช่มั้ย”
“ได้ ... ขอให้สะดวก ปลอดภัยเวลามีขบวนใหญ่ๆ” มุ่งให้ความเห็น
“ผมเห็นใจครอบครัวไหม เจอแรงกดดันแบบนี้ นานเข้าไม่รู้จะทนไหวไหม” สหายดงเปรยเบาๆ
“ใช่ครับ ...ผมถึงเสนอว่าเราค่อยๆห่างการติดต่อ ก็จะช่วยให้พวกเขาปลอดภัยขึ้นครับ” มุ่งย้ำ
เช่นที่ย้ำกับตัวเองว่า ...
ชีวิตของไหมและครอบครัวอยู่บนเส้นทาง ...
“มวลชนในกำมือ” ที่ทหารจะบีบก็ตาย จะคลายก็รอด
พวกเขาถูกสกัดกั้น กดดัน ให้แยกห่างจากเส้นทางการปฏิวัติ
แม้บางครั้งบางช่วง ทางอาจเฉียดไขว้เข้าใกล้กัน ดังที่ผ่านมา
แต่ ... ยาก ที่จะบรรจบทบเป็นหนึ่งเดียว
สนใจสมัครสมาชิกผู้มีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท. โปรดคลิ๊ก