จารึกปฏิวัติที่อนุสรณ์สถานวีรชนประชาชน ~ อีสานใต้

ณ บ้านโคกเขา อ.ปะคำ จ.บุรีรัมย์

อนุสรณ์สถานวีรชนประชาชน-อีสานใต้ สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๙ เพื่อบรรจุอัฐินักรบกองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทย และเพื่อรำลึก เทิดทูน วีรภาพของวีรชนที่ได้เสียสละไปในภารกิจต่อสู้กู้ชาติไทย จากนั้นต่อมาจนทุกวันนี้ยังได้จัดงานรำลึกเป็นประจำในวันเสาร์ที่ ๒ ของเดือนมกราคมทุกปี
จนเมื่อ พ.ศ.๒๕๔๙ ได้จัดทำ “จารึกปฏิวัติ (๑)” ขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของอนุสรณ์สถานฯ และ พ.ศ.๒๕๖๗ ได้จัดทำ “จารึกปฏิวัติ (๒)” เพื่อขึ้นอีก โดยมีเนื้อหาดังนี้…

 


จ า รึ ก ป ฏิ วั ติ (๑)

“อนุสรณ์สถานวีรชนประชาชน-อีสานใต้” สร้างขึ้นเพื่อเป็นแกนกลางความรัก ความสามัคคี และการร่วมมือกันสร้างสรรค์สังคมของ กรรมกร ชาวไร่ชาวนา นักเรียนนักศึกษา และนักรบกองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทย เขตอีสานใต้ ซึ่งเคยร่วมกันทำการปฏิวัติสังคมให้ดีงาม และเป็นธรรม ภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
พื้นที่นี้อยู่ใกล้ “ถ้ำฝาละมี” เขตบ้านโคกเขา อำเภอปะคำ จังหวัดบุรีรัมย์ จุดเสียงปืนแตกครั้งแรกของอีสานใต้ เมื่อ พ.ศ.2508 จากนั้นการเคลื่อนไหวจึงขยายไปตลอดแนวเทือกพนมดงเร็ก ตั้งแต่จังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ นครราชสีมา ปราจีนบุรี นครนายก จนถึงชัยภูมิ โดยเฉพาะยุคเผด็จการภายหลังกรณี “ 6 ตุลา 2519” ได้บุกเบิกงานไปยังจังหวัดตราด จันทบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา และชลบุรี แต่ต่อมาขบวนการของพรรคฯลดบทบาทลง จนกระทั่ง พ.ศ.2528 การสู้รบก็ยุติอย่างสิ้นเชิง
การก่อสร้างเริ่ม พ.ศ.2538 ด้วยเงินบริจาคของผู้รักชาติรักประชาธิปไตยทั่วประเทศ พร้อมกับการระดมค้นหาร่างนักรบและมวลชนปฏิวัติที่ฝังไว้ตามไร่นาป่าเขา ใน พ.ศ.2539 จึงจัดพิธีสดุดีวีรกรรม ฌาปนกิจ บรรจุอัฐิธาตุในสถูป และจัดงานเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ สมเกียรติ
จิตใจไม่กลัวยาก กลัวตาย และวีรภาพของผู้เสียสละชีวิตเหล่านี้ จักประทับมั่นในสำนึกของญาติมิตรและสหายร่วมรบทุกคน และจักเป็นแบบอย่างแก่คนรุ่นหลังได้ศึกษา ร่วมมือกันพัฒนาประเทศให้มีความเป็นไท เป็นประชาธิปไตย และพึ่งตนเองสืบไป.

วันเสาร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ.2549


Revolutionary Inscription

“The People’s Memorial of Esan Tai” was built to represent the spirit of unity and harmony among the workers, the peasants, the students and the soldiers of the Thai People’s Liberation Army in Esan Tai (the lower Northeast region), who once fought together for a good and rightful society in the revolution led by the Communist Party of Thailand.

The Site of the Memorial is not far from the Fa-la-mee Cave in the area of Baan Khok Khao , Ampoe Pa Kham, Buriram Province, the very spot where the first gunfire of Esan Tai Region went off in 1965. After that the people’s movements had expanded throughout the Phnom Dong Rek Mountains, from Ubon Ratchathani, Sisaket, Surin, Buriram, Nakhon Ratchasima, Prachinburi, Nakhon Nayok to Chaiyaphum. Especially during the tyrannic regime after the “6 October 1976 massacre”, the expansion progressed into the provinces of Trad, Chanthaburi, Rayong, Chachoengsao and Chonburi. The actions of the Communist Party of Thailand were, however, toned down and the fighting was finally ended in 1985.
The construction of the Memorial began in 1995 with donations from fellow patriots all over the country. Parallel to the building of the Memorial, the extensive search for the bodies of the fallen warriors and revolutionaries, which have been buried across the areas in the mountains as well as in the field, was started. In 1996 the commemorative ceremony was grandly held to glorify their bravery. The cremation was duely organized and the ashes burns was placed onto the shrine inside the Stupa. The great cerebration in honour and in memory of the braves was then joined by the local folks and the former comrades.
The courageous mind that fears no death and the heroism of these man and women, who sacrificed their lives, will be impressed in the heart of all friends and comrades and will set an example for the next generations in attemping towards the independent, democratic, and self-reliant Thailand.

Saturday, 14 January 2006

.
จารึกปฏิวัติ ( ๒ )

แผ่นดินที่ราบสูง - ภาคอีสานประเทศไทย ได้ก่อกำเนิดชีวิตและสั่งสมอารยธรรมมายาวนาน ก่อนที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และก่อนที่ราบต่ำโตนเลสาบ
ภาพเขียนสี จารึก ตามเพิงผาผนังถ้ำบอกเล่าเรื่องราวก่อนประวัติศาสตร์ของบรรพชน เมื่อครั้งเกิดชุมชนตามต้นน้ำ ป่าดงและเชิงเขา จากนั้นเคลื่อนย้ายขยายอาณาจักรเติบใหญ่ตามแหล่งน้ำที่ราบลุ่ม
บนผืนดินในอาณาบริเวณที่ตั้งอนุสรณ์สถานวีรชนประชาชน - อีสานใต้ ณ บ้านโคกเขา อำเภอปะคำ จังหวัดบุรีรัมย์แห่งนี้ คือรอยต่อของอาณาจักรราชวงศ์มหิธร มีศูนย์กลางที่เมืองพิมายและเมืองพนมรุ้ง กับอาณาจักรราชวงศ์จิตรเสน (ถ้ำเป็ดทอง) มีศูนย์กลางอยู่ปราสาทวัดพู ภาคใต้ สปป.ลาว ซึ่งเป็นบ้านเมืองรุ่งเรืองตลอดตีนเทือกพนมดงเร็ก เมื่อกว่าพันปีมาแล้ว ทั้งยังเป็นต้นแบบในการสร้างปราสาทเมืองอโยธยา - อยุธยา และปราสาทบายน เมืองนครธม
ณ บริเวณอนุสรณ์สถานวีรชนประชาชน - อีสานใต้ แห่งนี้ เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๑ เสียงปืนปฏิวัติได้แผดก้องคำรามขึ้น เสียงปืนจากการลุกขึ้นสู้ของชาวบ้านผู้ไม่ยอมจำนนต่ออำนาจรัฐที่กดขี่ข่มเหง เสียงปืนจากชาวบ้านที่มีอุดมการณ์รักชาติรักประชาธิปไตย ต่อต้านคัดค้านชนชั้นปกครอง ที่ใช้อำนาจเผด็จการเบ็ดเสร็จ ผู้สั่งสมุนตามจับกุม คุมขัง เข่นฆ่า ยิงเป้าผู้บริสุทธิ์
เสียงปืนของชาวบ้านที่รวมตัวจัดตั้งกันขึ้นเป็นกองทัพครั้งแรกในประวัติศาสตร์ประเทศไทย โดยนาม “กองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทย” ภายใต้การนำของ “พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
พรรคคอมมิวนิสต์ฯ ก่อตั้งเป็นทางการเมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๘๕ โดยวิเคราะห์สภาพสังคมไทยว่ามีลักษณะสังคมกึ่งเมืองขึ้นกึ่งศักดินา พรรคยึดมั่นในทฤษฎีของมาร์กซ์ - เลนิน มีอุดมการณ์ต่อสู้ปฏิวัติให้เกิดความเท่าเทียม มีความเสมอภาค และประชาชนอยู่ดีมีสุข
พรรคคอมมิวนิสต์ฯ มีแนวทางจัดตั้งให้ “กรรมกรเป็นพลังสำคัญในการปฏิวัติ โดยมีชาวนาเป็นทัพหลวง” มียุทธศาสตร์ “ชนบทล้อมเมือง และยึดเมืองในที่สุด” และเห็นว่าราษฎรภาคอีสานมีความอดอยากยากจน ประกอบกับมีภูมิประเทศเป็นป่าเขาเหมาะสำหรับสร้างสมกำลัง จึงส่งผู้ปฏิบัติงานมุ่งเตรียมการต่อสู้ในชนบทภาคอีสาน และภาค อื่น ๆ ทั่วประเทศ
ภาคอีสานใต้ประกอบด้วยจังหวัดต่าง ๆ จากทิศตะวันออกที่จังหวัดอุบลราชธานี ถึงทิศตะวันตกที่จังหวัดนครราชสีมา ทอดยาวตลอดเทือกพนมดงเร็กที่กั้นพรมแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา มีชนชาติที่สำคัญได้แก่ ไทลาว, ไทโคราช, เขมร, ญัฮกุร (ชาวบน) และกูย ประชากรส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรยากจน ถูกเอารัดเอาเปรียบจากสังคมที่มีการกดขี่ขูดรีด แต่คนอีสานใต้มีเกียรติประวัติการลุกขึ้นสู้กับความไม่เป็นธรรม นับตั้งแต่กบฏผีบุญที่นครราชสีมาและอุบลราชธานี กบฏ เสือยงที่ศรีสะเกษ เป็นต้น แม้ถูกทางการปราบปรามมาตลอด ด้วยจิตใจที่เคียดแค้นชิงชังและไม่ยอมจำนน คนอีสานใต้ได้ลุกขึ้นสู้กับกลไกอำนาจรัฐปฏิกิริยาระลอกแล้วระลอกเล่า
ขบวนการต่อสู้ของคนอีสานใต้ภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์ฯ ถือกำเนิดขึ้นจุดแรกที่บ้านคูซอด อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๐ พรรคและแกนนำชาวบ้านได้นำมวลชนลุกขึ้นแก้ปัญหาความทุกข์ยากเดือดร้อนของตน พากันกั้นฝายกักเก็บน้ำไว้ใช้ตลอดปี ร่วมกันทำนารวมในรูปแบบคล้ายสหกรณ์ แบ่งปันผลผลิตอย่างเป็นธรรม ดอกผลจากน้ำพักน้ำแรงดังกล่าวสร้างความหวาดผวาแก่ชนชั้นปกครองในสมัยนั้น พวกเขายังฉวยโอกาสกวาดล้างจับกุมชาวบ้านบ้านคูซอดและผู้รักความเป็นธรรมในจังหวัดศรีสะเกษเป็นจำนวนมาก ผู้คนรับรู้เหตุการณ์ตามทางราชการว่า “กบฏคูซอด” ซึ่งเกิดขึ้นต่อเนื่องจากเหตุการณ์ “กบฏสันติภาพ”
อีกหนึ่งหมู่บ้านชาวนาปฏิวัติที่สำคัญของอีสานใต้คือ บ้านแพงพวย อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นจุดงานที่ราบ ที่พี่น้องประชาชนได้รับการศึกษา บ่มเพาะ จัดตั้งขึ้นมาในเวลาใกล้เคียงกับพี่น้องบ้านคูซอด และสามารถยืนหยัดต่อสู้ ขยายงานปฏิวัติอย่างต่อเนื่อง เป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กสนับสนุนแนวรบด้วยกำลังอาวุธในทุกด้าน
ภายหลังการปราบปรามใหญ่ที่บ้านคูซอด การลุกขึ้นสู้ของชาวภาคอีสาน ทั้งอีสานเหนือ อีสานกลาง อีสานใต้ ได้ประสานรวมตัวกันดุจประกายไฟไหม้ลามอย่างรวดเร็ว ในพื้นที่อีสานใต้ กองจรยุทธ์หน่วยแรกได้เคลื่อนไหวปลุกระดมมวลชนตามรอยต่ออำเภอปะคำ จังหวัดบุรีรัมย์ กับอำเภอเสิงสาง จังหวัดนครราชสีมา และในที่สุด ปลาย พ.ศ. ๒๕๑๑ เสียงปืนปฏิวัติอีสานใต้ได้แผดเสียงขึ้นที่ถ้ำฝาละมี เขตบ้านหินโคนดง อำเภอปะคำ จังหวัดบุรีรัมย์
เมื่อแตกเสียงปืน งานปลุกระดมมวลชนขยายตัวจนสามารถจัดตั้งกองกำลังอาวุธได้ครบทุกจังหวัด และยิ่งขยายอย่างก้าวกระโดดเมื่อเกิดเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา ๒๕๑๖ และ ๖ ตุลา ๒๕๑๙ การปราบปรามเข่นฆ่านักเรียนนักศึกษาที่รักชาติรักความเป็นธรรมอย่างโหดเหี้ยม ทารุณ ได้ผลักรุนให้เยาวชนเข้าป่าร่วมต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธจำนวนมาก หลังจาก คนหนุ่มสาวได้ฝึกอบรมจาก “โรงเรียนการเมือง - การทหาร” แล้ว ก็ถูกส่งเข้าประจำการในส่วนงานต่าง ๆ
ช่วง พ.ศ.๒๕๒๐ - ๒๕๒๓ เขตงานพัฒนาขยายตัวจากพื้นที่ภาคอีสานใต้ลงไปถึงชายฝั่งตะวันออกของอ่าวไทย เขตงานอีสานใต้จึงครอบคลุมพื้นที่ทั้งสิ้น ๑๓ จังหวัด ได้แก่ อุบลราชธานี [เขต ๑๑], ศรีสะเกษ-สุรินทร์ [เขต ๓๐], บุรีรัมย์-นครราชสีมา-ปราจีนบุรี-สระแก้ว-นครนายก [เขต ๒๐], ตราด-จันทบุรี-ระยอง-ชลบุรี-ฉะเชิงเทรา [เขต บพ.๔๐๔]
กระทั่ง พ.ศ.๒๕๒๗ ด้วยสถานการณ์การเมืองโลกที่เปลี่ยนแปลง ประกอบกับปัญหาอุปสรรคความขัดแย้งภายในขบวนการ พลพรรคเขตงานอีสานใต้จึงยุติบทบาทการต่อสู้ลง
อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ประสานการต่อสู้กับแนวร่วมในรูปแบบต่างๆ ได้ส่งผลสะเทือนให้ชนชั้นปกครองในขณะนั้นต้องยอมคายอำนาจที่หวงแหนมาตลอด ปรับเปลี่ยนการปกครองให้ประชาชนมีสิทธิ มีเสียง และเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น สิทธิ เสรีภาพที่บังเกิดมีในทุกวันนี้เป็นผลจากการต่อสู้ในทุกรูปแบบของประชาชนทุกภาคส่วน
อนุสรณ์สถานวีรชนประชาชน - อีสานใต้ แห่งนี้จึงได้สถาปนาขึ้น เพื่อจารจารึก เชิดชูเกียรติ ศักดิ์ศรี คุณูปการของเหล่านักรบและวีรชนผู้สละชีพ เพื่อเป็นหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์มวลมนุษยชาติ ว่ายุคสมัยหนึ่งมีลูกหลานที่ดีเลิศของสังคมไทยได้มาใช้ชีวิต ชูปืนขึ้นสู้ ในดินแดนแห่งบรรพชนนี้
ลัทธิคอมมิวนิสต์เป็นกระบวนเคลื่อนไหวทางความคิด เป็นอุดมการณ์ เป็นสากล พรรคการเมือง ที่ใช้ชื่อพรรคคอมมิวนิสต์มีอยู่ทั่วทุกมุมโลก สะท้อนส่วนเสี้ยวความเป็นคอมมิวนิสต์มากน้อยแตกต่างกัน หลายพรรคเกิด เติบใหญ่ หลายพรรคหดตัว กระทั่งแตกดับไป ยึดกุมอุดมการณ์มั่นไว้ ที่สำคัญตระหนักถึงทุกข์สุขของคนส่วนใหญ่ ยืนหยัดภารกิจปลดปล่อยประชาชนจากการถูกกดขี่ขูดรีดให้ถึงที่สุด.

วันที่ ๗ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๖๗

 

 

สนใจสมัครสมาชิกผู้มีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท. โปรดคลิ๊ก  

whitebanner