เรื่องสั้น คิดถึงป่า ตอน.....กลัวผีป่า
โดย “วันดี”
ในป่าตอนกลางคืนเมื่อความมืดมาครองนั้นมืดจริง ๆ มืดเหมือนเอาผ้าดำมาปิดไว้ แม้แต่นิ้วมือตัวเองก็ไม่อาจมองเห็นได้ นอกจากมืดมิดสนิทแล้ว ป่ากลางคืนยังสงัดเงียบ มีเสียงแปลก ๆ ชวนขนลุกดังขึ้นทางนู้นทางนี้เป็นครั้งคราว สร้างความประหวั่นพรั่นพรึงให้กับหัวใจของคนกลัวผีได้ดีแท้
ครั้งหนึ่ง ฉันได้รับมอบหมายงานให้ไปประจำอยู่ในค่ายเก่าแห่งหนึ่งที่ถูกทิ้งร้างเพราะเสียลับ เพื่อจัดพิมพ์เอกสารของสำนัก เนื่องจากเครื่องพิมพ์และเครื่องโรเนียวยังไม่ได้ขนย้ายไปที่ใหม่ และฉันเป็นคนเดียวในเวลานั้นที่ใช้อุปกรณ์การพิมพ์สองอย่างนี้เป็น
ฉันถูกส่งไปพร้อมสหายชายโรงเหล็กสี่คน สหายชายที่เป็นเพื่อนนักศึกษาจากในเมืองด้วยกันอีกสองคน สหายนำลืมไปหรืออย่างไรก็ไม่ทราบว่าฉันเป็นสหายหญิง เพราะไม่มีสหายหญิงไปอยู่เป็นเพื่อนกันแม้แต่คนเดียว
ค่ายร้างย่อมวังเวง สถานที่ที่เคยมีคนอยู่มากหน้าหลายตา โรงเรือนหลายหลังที่ยังคงอยู่ดูเหมือนจะซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้ภายในอย่างเงียบเชียบ สหายโรงเหล็กเข้าประจำการในโรงเหล็กซึ่งอยู่สูงขึ้นไปบนควน ห่างไกลพอสมควร สหายชายชาวเมืองสองคนจับจองโรงพลาฯเก่าที่กว้างขวางพอผูกเปลได้หลายเปล ส่วนฉันเลือกลูกหนำน้อยของสหายครอบครัวที่อยู่ใกล้โรงพลาฯมากที่สุด
ตอนกลางวันก็ไม่กระไรนัก แสงแดดส่องลอดแมกไม้สูงลงบนพื้นดินทรายสีขาวอมชมพูที่ถูกปรับไว้ราบเรียบดูงดงามราวภาพเขียน น้ำใสในลำธารไหลระรี้ระริกช่วยแต่งเติมบรรยากาศป่าเขาให้น่าอภิรมย์ แต่พอดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยดวงไปด้านหลังขุนเขา อากาศค่อย ๆ เย็นลง แสงที่เคยสดใสเริ่มมัวหม่น ฉันรีบไปยังลำธารที่ใกล้ที่สุด ชำระล้างร่างกายอย่างรวบรัดเพื่อจะได้มารวมกลุ่มกับสหายส่วนใหญ่กินข้าวมื้อเย็น หลังจากนั้น โอลัลล้า ฉันจะทำอย่างไรดี
ความมืดอย่างที่เล่าคืบคลานเข้ามาในค่ายร้างอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักป่ารอบข้างก็มืดสนิท เงียบสงัด มองไปทางไหนก็อ้างว้างเปล่าเปลี่ยวเดี่ยวโดด ทุกคนหลบเข้าที่ตั้งของตน เห็นแสงตะเกียงวอมแวมมาจากโรงพลาฯ ส่วนตัวฉันนั้นไม่กล้าจุดตะเกียงกลัวว่าอย่างอื่นจะมองเข้ามาเห็น ได้แต่นั่งนิ่งแฝงความมืดอ่านใจตัวเองตั้งแต่หัวค่ำ พอตกดึกน้ำค้างเริ่มตกกระทบหลังคาจากดังเปาะแปะ ๆ ใบไม้บนต้นไม้สูงเริ่มสะบัดลมเกรียวกราว เสียงอะไรบางอย่างแกรกกรากกรากแกรกอยู่ข้างหนำ เสียงกบภูเขาร้องเหมือนกู่ตะโกนอยู่ข้างห้วย มือฉันเริ่มเปียกชื้นด้วยเหงื่อขี้ขลาด สู้สะกดจิตตัวเองอ้างสรรนิพนธ์ประธานเหมา กล้าสู้กล้าเอาชนะมาข่มใจ แต่ในที่สุดก็ไปไม่รอด
ฉันแบกเป้หอบเปลและผ้าห่มถือไฟฉายส่องตรงไปที่โรงพลาฯแล้วพุ่งปราดไปทันที ภายในโรงพลาฯสหายสองคนผูกเปลนอนเอกเขนกคุยกันสบายใจเฉิบ
“ให้ฉันผูกเปลที่นี่ด้วยนะ ฉันไม่กล้านอนคนเดียว” ฉันจำได้ว่าฉันเอ่ยปากขอไปตรง ๆ อย่างนั้น และคงจะด้วยเสียงสั่นเครือเป็นแน่ แต่ไอ้สองคนนั่นใจร้ายใจดำใจอำมหิตหัวใจเถื่อน ปฏิเสธกันเป็นพัลวัน “ไม่ได้ ไม่ได้ สหายหญิงจะมานอนที่เดียวกับสหายชายไม่ได้ ต้องไปนอนในที่ของตัวเอง” ฉันจะชี้แจงอย่างไรอ้อนวอนท่าไหน ไอ้คนใจดำทั้งสองก็ไม่ยอมท่าเดียว
เอาวะ ไม่ให้อาศัยหลังคาเดียวกัน ฉันขึ้นไปนอนกับสหายโรงเหล็กก็ได้ ที่นั่นสหายยังจับกลุ่มคุยกันเบา ๆ “ขอฉันผูกเปลใกล้ ๆ แถวนี้นะสหาย” ฉันยังคงใช้ข้อความเดิมในการสื่อสาร ปรากฏว่าสหายโรงเหล็กมีใจเมตตากว่าเจ้าพวกโรงพลาฯ ยินยอมให้ฉันพักค้างกับพวกเขาด้วยดี
แต่ไม่ทันที่ฉันจะได้สอดเชือกเข้าไปในหัวเปล ไอ้หัวใจเถื่อนสองคนนั้นก็ตามมายื่นคำขาดให้ฉันกลับไปนอนที่ลูกหนำเดิม อ้างนู่นนี่นั่นมากมาย จนสหายโรงเหล็กก็ชักเอนเอียง “จริงแหละคุณวันดี ไปตะ ไปนอนในหนำดีหวาแล้” คืนนั้นฉันหมดหนทางจริง ๆ จำต้องหอบเป้น้อยกลอยใจกลับที่เดิมด้วยมือที่ชุ่มเหงื่อ
ฉันจุดตะเกียงวางไว้บนแคร่นอนในตัวหนำ ยกแคร่ให้ตะเกียงไป ส่วนตัวเองเอาผ้ายางออกมาปูนอนบนพื้นดินติดประตูหนำ คิดว่าอย่างไรเสียให้มันน่ากลัวแค่ด้านที่มองเห็น ส่วนด้านหลังก็ปิดเสียโดยให้หลังติดพื้นเอาไว้ เสร็จแล้วก็พยายามข่มตาหลับ ในขณะที่ใจเสกสรรปั้นแต่งเรื่องราวต่าง ๆ มาหลอกหลอนตัวเองไม่รู้จบไม่รู้สิ้น ฉันไม่รู้ว่าคืนแรกที่นั่นฉันได้นอนหลับไปบ้างหรือเปล่า จำได้แต่ว่าหัวใจฉันเต้นตูม ๆ ยันรุ่ง
คืนต่อมา ฉันปลอบใจตัวเองว่าคงจะผ่านไปได้ง่ายขึ้นเพราะผ่านมาได้คืนหนึ่งแล้ว แต่การณ์กลับเป็นตรงข้าม ความกลัวที่สะสมเอาไว้แต่คืนแรกกลับมาทบต้นเอากับคืนที่สองด้วย คืนนี้แม้ที่นอนข้างประตูก็ทำให้ใจฉันสงบลงไม่ได้ เสียงน้ำค้าง เสียงใบไม้ เสียงกบ เสียงน้ำในลำธาร และอื่น ๆ อีกมากมายที่ฉันไม่รู้จัก ดังระงมยิ่งกว่าเมื่อคืนเสียอีก
และแล้วจู่ ๆ มีเสียงของหนักบางอย่างเคลื่อนผ่านลูกหนำ สักพักมันก็เปลี่ยนเป็นเสียงกระแทกพื้นดังสนั่นหวั่นไหว อย่างน้อยก็ในใจฉัน คราวนี้แม้แต่จะนอนเอาหลังแนบพื้นฉันก็ทำไม่ได้เสียแล้ว จำต้องผุดลุกขึ้นนั่งระวังตัวใจสั่นระริก เสียงเคลื่อนไหวปริศนาเริ่มดังขึ้นอีก ดัง ๆ หยุด ๆ และดูทีท่าว่ามันคงจะเป็นเช่นนั้นไปทั้งคืน
สุดท้ายก่อนหัวใจจะวายไปดื้อ ๆ ด้วยสติที่ยังพอเหลืออยู่ ฉันตัดสินใจสวมวิญญาณบ้าบิ่นบินเดี่ยว เปิดไฟฉายส่องไปตามทิศทางที่มาของเสียงนั้น
ในลำแสงสีเหลืองสว่างจ้าคือใบหน้าบ้องแบ๊วของสัตว์สี่เท้าขนาดเขื่อง ขนฟูสีดำเมื่อม ตาแวววับมองตอบมาด้วยความตระหนก คงตระหนกพอ ๆ กับตาฉัน และเพียงแว่บเดียวที่สบตากัน เราทั้งสองต่างก็เผ่นแน่บคนละทิศละทาง
ฉันไปถึงโรงพลาฯที่เพื่อนใจดำสองคนนอนอยู่ได้อย่างไรตอนนี้ยังนึกไม่ออก แต่ทำเอาสองคนนั้นเห็นใจยินยอมให้ฉันเข้าไปซุกหัวใต้ชายคาเดียวกับพวกเขาในคืนนั้น และในวันรุ่งขึ้น คงจะมีใครสักคนเดินไปที่ค่ายใหม่ รายงานความกลัวผีของฉันให้สหายนำได้รับรู้ ผลก็คือฉันได้สหายหญิงคนหนึ่งมานอนเป็นเพื่อน
ใครอยากรู้ว่าตัวที่ฉันสบตาคืนนั้นคืออะไร ไปหาดูได้ที่ หมีขอ หรือ บินตุรง หรือ หมีกระรอก รูปร่างหน้าตาในรูปน่ารักไม่เบาทีเดียว
สนใจสมัครสมาชิกผู้มีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท. โปรดคลิ๊ก