เรื่องสั้น  :-    พรุ่งนี้… ฉันจะแต่งงาน

โดย ละไม หวานนราฯ

 

 

เมื่อสัปดาห์ก่อน ฉันเพิ่งไปงานแต่งงานลูกสาวเพื่อนร่วมงาน แขกเหรื่อที่มาร่วมแสดงความยินดีกับคู่บ่าวสาวเต็มห้องจัดเลี้ยง ห้องจัดเลี้ยงในโรงแรมหรูประดับตกแต่งด้วยดอกไม้สดโทนสีชมพู ตามที่เจ้าของงานระบุ เสียงบรรเลงเปียโนคลอมาเบา ๆ สร้างบรรยากาศชวนฝัน

 

 

มางานแต่งงานแบบนี้ ทำให้อดนึกถึงการเตรียมจัดงานแต่งงานของตัวเองในป่าบนฐานที่มั่นทางภาคเหนือไม่ได้ ในห้วงเพลานั้น เป็นการจัดงานแต่งงานในบรรยากาศของการปฏิวัติ “ขาลง”

 

 

บนฐานที่มั่นไม่ปลอดภัยเหมือนที่ผ่านมา เริ่มมีสปายสายลับเข้ามาเคลื่อนไหวในพื้นที่ มีผู้ลงไปมอบตัวแล้วกลับขึ้นมาลักลอบขนอาวุธที่ซ่อนไว้ แต่ขนไปไม่ได้เพราะถูกทุ่นระเบิดบาดเจ็บต้องล่าถอยลงจากภูไป

 

 

ประชาชนม้งส่วนหนึ่ง เริ่มทยอยออกไปมอบตัว บางส่วนไปกันทั้งครอบครัวเป็นระลอก ๆ ในหลาย ๆ หมู่บ้าน ซึ่งเคยเป็นหมู่บ้านชาวม้งที่มีอุดมการณ์ และร่วมต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธกับพรรคคอมมิสนิสต์แห่งประเทศไทยมาเป็นเวลานาน อีกทั้งยังมีเฮลิคอปเตอร์บินวนกระจายเสียงลงมาเป็นภาษาม้ง พูดชักชวนให้ลงไปมอบตัว ซึ่งผู้พูดก็คือคนม้งที่ออกไปมอบตัวแล้วกลับมาชักชวนพี่น้องตามหมู่บ้านต่าง ๆ

 

 

พวกเขาพร้อมใจกันทิ้งไร่ข้าวบนภู ที่ได้ลงแรงทำการผลิตเมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา ต้นข้าวเขียวขจีกอใหญ่ ใบและรวงข้าวไหวพลิ้ว หยอกเย้ากับสายลมเย็นยะเยือกบนสันภูที่พัดเฉื่อยฉิวอาบผิวกายฉันจนสะท้าน และสะท้อนเข้าไปในหัวใจที่กำลังสับสนกับสถานการณ์ในขณะนี้

 

 

เมล็ดข้าวกำลังเป็นน้ำนม อีกไม่นานจะถึงเวลาเกี่ยวข้าว ตีข้าว และขนข้าวเข้ายุ้งแล้ว ชวนให้นึกถึงบรรยากาศการกินข้าวใหม่ม้งและน้ำข้าวข้าวใหม่ที่หอมละมุน

 

 

งานแต่งงานที่จัดขึ้น ทุกอย่างต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อแรงงานของสหายและของเจ้าของงานทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเรือนหอในป่า เริ่มจากการหักร้างถางพื้นที่ วัดขนาดกว้างยาวของบ้านตามที่ต้องการ ซึ่งเป็นเพียงห้องนอนเล็ก ๆ 1 ห้อง และพื้นที่ด้านนอกตรงกลางสำหรับก่อกองไฟผิงกันหนาว มีขอนไม้ตั้งอยู่บนหลักเตี้ย ๆ ไว้นั่งรอบกองไฟ และแน่นอนว่าไม่มีห้องครัวที่แม่บ้านหลาย ๆ คนฝันถึง เพราะ “ในป่า” เรากินอาหารกันที่ครัวรวม

 

 

เรือนหอหลังนี้ปลูกห่างจากกอไผ่ใหญ่เล็กน้อย และห่างจากโรงครัวและบ้านพักสหายอื่น ๆ ออกมาไม่มาก ทุกพื้นที่ของฐานที่มั่นอยู่ภายใต้ไม้สูงยูงยาง เป็นป่าดงที่เครื่องบินสอดแนมไม่สามารถมองเห็นได้ ยกเว้นควันไฟเท่านั้นที่จะล่อให้เครื่องบินมาทิ้งระเบิด

 

 

วัสดุที่ใช้สร้างบ้านทำด้วยไม้ไผ่ทั้งหลัง ต้องไปตัดไม้ไผ่เป็นลำยาวจากดงไผ่ที่อยู่ไม่ไกล ตัดแล้วมัดแบกออกมาถึงที่ที่จะสร้างบ้าน ลำไผ่ขนาดใหญ่นำมาทำเป็นเสาบ้าน เป็นขื่อคา และเสารองแคร่ที่ทำเป็นที่นอน ลำไผ่ขนาดเล็กนำมาตีเป็นฝ้ามุงรอบบ้าน ทำแคร่ไม้ไผ่ และทำประตูบ้าน ส่วนหลังคาต้องไปตัดใบค้อมามุง

 

 

ต้นค้อไม่มีในละแวกนี้ต้องเดินไปอีกหลายสันภู สหายม้งช่วยปีนขึ้นไปตัดใบค้อลงมาให้ ใบค้อมีลักษณะคล้ายใบตาล เราจะตัดก้านยาว ๆ ออก เหลือแต่ตัวใบ จากนั้นเอาใบค้อสองสามใบซ้อนกันมัดเป็นหนึ่งมัด เอาเชือกคล้องทำสายเป้ เป้ใบค้อใส่หลัง เชือกเป้เส้นเล็กจะรัดบ่าเพื่อไม่ให้เจ็บ เอาผ้าขาวม้ามาสอดใต้เชือกเป้บริเวณบ่า

 

 

การเป้ใบค้อสดไม่เหมือนกับเป้ถุงข้าวหรือการเป้ “เก่อ” (ตะกร้าแบบม้ง) ซึ่งกะทัดรัดกว่า แต่การเป้ใบค้อสดมันทั้งหนักและถ่วงหลัง เพราะส่วนของโคนใบที่ม้วนไว้อยู่ช่วงเอว ส่วนปลายใบจะอยู่เหนือศีรษะไปอีก เวลาต้องผ่านเถาวัลย์หรือมุดลอดกิ่งไม้ ใบค้อยาวเหนือศีรษะจะทั้งดึงทั้งรั้ง ลอดผ่านไปได้ยาก ระยะทางไกลจากที่พัก ตลอดทางขึ้นลงภูอยู่หลายช่วง เส้นทางเฉอะแฉะเพราะเป็นช่วงหน้าฝน

 

 

ฉันไปเป้ใบค้อกับ “ว่าที่เจ้าบ่าว” ต้องเรียกว่าเป็น “หลังคาบ้านแห่งความรักที่แสนจะทุลักทุเล” เพราะระหว่างทางเราทั้งสอง ลื่น ล้ม หัวคะมำไม่เป็นท่าอยู่หลายครั้ง

 

 

แน่นอนว่าในงานแต่งงานจะขาดการเลี้ยงอาหารไม่ได้ การเลี้ยงคนจำนวนหนึ่ง เช่น ทหารกองพัน 121 เฉพาะกลุ่มไม่กี่คนที่แวะเวียนมาที่สำนักบ่อย ๆ สหายร่วมสำนักและสหายที่คุ้นเคยที่อยู่สำนักใกล้เคียง

ต้องตำข้าวเพิ่มให้พอเลี้ยงแขกและยังต้องโม่แป้งเพื่อนำมาทำขนม ไม่รู้จะเรียกว่าขนมอะไรดี แค่นำเอาแป้งข้าวเหนียวมานวดกับน้ำตาลอ้อย ปั้นเป็นก้อนกลม ๆ จากนั้นเอาไปทอด ขนมนี้อุปโลกน์เป็นตัวแทน “เค้กแต่งงาน” ของฉันก็แล้วกัน

 

 

เครื่องดื่มนอกจากน้ำ “เป-ล่า” จากลำห้วยที่ใสสะอาดและเย็นชื่นใจตามธรรมชาติแล้ว ยังมีการเตรียม “เหล้าข้าวโพด” ที่หมักกันเอง มาสร้างบรรยากาศให้งานเลี้ยง ส่วนอาหารคาวเก็บเอาผักสมุนไพรม้งบนภู เป็นเมนู “ไก่ต้มสมุนไพร” ส่วนอีกหนึ่งเมนูคือ “ลาบหมู”

 

 

แม้งานจะมากขึ้นคนก็ยังเท่าเดิม มีเสียงใครคนหนึ่งพูดขึ้นว่า “ยังขาดคนไปจูงหมู” หมายถึงการไปซื้อหมูที่หมู่บ้านประชาชนม้ง

 

 

ฉันคิดเองอยู่ในใจว่างาน “หมู ๆ“ อย่างนี้ไม่เห็นจะน่ายากเลย แค่ไปจ่ายเงินแล้วให้เจ้าของเอาเชือกคล้องคอหมูแล้วก็จูงกลับมา

 

 

อีก 2 วันจะเป็นวันงาน ฉันบอกกับสหายว่า “ฉันไปเอง…” หารู้ไม่ว่าตัวเองคิดผิดถนัด การไป “จูงหมู“ มันไม่ “หมู” เหมือนชื่อ แต่ฉันก็เคยได้ยินว่ามีคนม้งจูงหมูได้ทีละ 3 ตัว

 

 

รุ่งเช้าฉันกับ “เพื่อนเจ้าสาว” คนหนึ่ง ออกเดินทางจากสำนักโรงพยาบาล พร้อมปืนอาก้าคู่กาย ส่วนเธอคนนี้ถือปืนคาร์ไบน์

 

 

หมู่บ้านประชาชนม้งที่อยู่ห่างออกไปจากสำนักฯ ประมาณ 2- 3 ชั่วโมง ระยะเดินแค่นี้ดูไม่น่าจะไกล แต่เนื่องจากอยู่ในเขตป่าเขาต้องขึ้นลงภู ไต่ขอนไม้ข้ามลำห้วย

 

 

สหายที่ร่วมทางคนนี้เป็นสาวจากแดนอีสานโดยกำเนิด พื้นฐานมาจากชาวนา ไว้ผมยาวรวบมัดเป็นกระจุกอยู่ข้างหลัง รูปร่างกลมตุ้ยนุ้ย หน้ากลมแป้น ผิวขาว อายุมากกว่าฉัน 3 - 4 ปี

 

 

พอเดินได้ซักระยะหนึ่ง ฉันเกิดความสงสัยว่าทำไมเจ้าหล่อนเดินทิ้งช่วงห่างออกไป ขณะที่ฉันเดินนำหน้า มารู้เอาว่าอาการปวดกระเพาะกำเริบ แต่เจ้าตัวก็ยังยืนยันเสียงแข็งว่า “ฉันทนได้ ๆ“ ไม่ยอมกลับสำนักฯ ท่าเดี๋ยว ทั้งที่ยังมีเวลาพรุ่งนี้อีก 1 วัน

 

 

เป็นน้ำใจของเธอที่ฉันไม่เคยลืมเลย รวมถึงน้ำใจของสหายอื่นอีกหลายคนที่ช่วยสร้างบ้านและจัดเตรียมอาหารสำหรับงานเลี้ยง

 

 

หลังเที่ยงเรามาถึงหมู่บ้านประชาชนม้ง เที่ยวเดินถามตามบ้านด้วยภาษาม้งปนภาษาไทย แม้จะอยู่มาหลายปีก็ยังสอบภาษาม้งไม่ผ่านซักที เดินหาดูว่าบ้านไหนมีหมูจะขายบ้าง ในที่สุดมีบ้านหนึ่งมีหมูจะขายให้ ตกลงราคากันเรียบร้อย

 

 

เจ้าของหมูจัดแจงเอาเมล็ดข้าวโพดแห้งเทที่กระบะไม้สำหรับใส่อาหารเลี้ยงหมู พลางส่งเสียง “อ่อ...อี้…อ่อ…อี้…ๆ ๆ“ บรรดาหมูใหญ่น้อยที่กระจัดกระจายอยู่ในลานหมู่บ้าน พากันวิ่งกรูกันมา มันเอาทั้งจมูกทั้งปากรุนลงไปในกระบะข้าวโพด

 

 

เจ้าของจัดการเอาเชือกเตรียมคล้องคอหมูที่หมายตาไว้ หมูดิ้นหลุดไปได้ เจ้าของวิ่งไล่จับปรากฏว่า “หมูตื่นคน”

 

 

บรรดาเมียและลูก ๆ ตัวเล็กตัวน้อยของเจ้าของหมูทุกคนในบ้าน ต่างออกมาวิ่งไล่ต้อนหมูกันอย่างชุลมุน นับตัวฉันด้วยเป็น 7 คน วิ่งดักหน้าดักหลัง พื้นดินตามบ้านระยะนี้เฉอะแฉะเพราะเป็นหน้าฝน บรรดาหมูที่เลี้ยงแบบปล่อยต่างพากันถ่ายมูลเป็นกอง ๆ ไปทั่วบริเวณ พื้นที่ลื่นเป็นโคลนคละเคล้ากับมูลของหมูที่ปล่อยออกมา ฉันยั้งตัวไม่อยู่ลื่นไถลลงพื้นไปหนึ่งป๊าบ !

 

 

ผลปรากฏว่า ปฏิบัติการ “จับหมูมือเปล่า” ไม่สำเร็จ เราตัดสินใจจะมาใหม่ตอนเช้า ฉันกับสหายหญิงไปพักที่บ้านว่างหลังหนึ่งไม่ห่างจากบ้านเจ้าของหมูเท่าใดนัก ได้อาหารจากบ้านประชาชนม้งมารองท้อง น้ำท่าไม่ได้อาบ นอนกันบนแคร่ไม้ไผ่ ในบ้านไม่มีแม้แต่เครื่องนอนใด ๆ สักชิ้น เพราะผิดแผน กะว่าไปเช้า เย็นกลับ

สหายหญิงที่มาเป็นเพื่อนยังมีอาการปวดกระเพาะอยู่ ฉันรู้สึกไม่สบายใจเลย

 

 

วันรุ่งขึ้นฟ้าแจ้งแล้ว เรากลับไปบ้านหลังเดิม คราวนี้เจ้าของหมูจับหมูคล้องเชือกได้อย่างง่ายดาย เป็นหมูสีขาวตัวอ้วนใหญ่ ขนาดประมาณ 5 กำ (กำ เป็นหน่วยวัดขนาดของหมูบนภู) ด้วยราคา 400 บาท เป็นเงินที่จัดตั้งมอบให้

 

 

เจ้าของหมูยื่นปลายเชือกจูงหมูให้หลังจากรับเงินจากฉันไปเรียบร้อย ฉันมองตาเจ้าของหมูดูมีแววกังวล เหมือนมีคำถามอยู่ในใจว่า “สหายจะจูงหมูไปถึงสำนักฯ ไหมหนอ”

 

 

เพื่อให้การจูงหมู “เต็มรูปแบบ” ฉันหักกิ่งไม้แห้งข้างทางมาถือไว้สำหรับกำกับการเดินเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาของหมู ต้อนให้หมูเดินนำหน้า แบบที่เคยเห็นประชาชนม้งจูงหมูผ่านหน้าไปบ่อย ๆ ท่าทางไปได้ดีทีเดียว

 


ที่ไหนได้… พอพ้นสายตาเจ้าของหมูที่ยืนส่งอยู่หน้าลานบ้าน กำลังจะออกนอกหมู่บ้าน หมูลงไปนอนไม่ยอมเดินต่อเสียดื้อ ๆ

 


เรื่องอย่างนี้ไม่เคยเห็นหรือได้ยินใครพูดถึง เคยเห็นแต่เขาจูงหมูผ่านหน้าไปบ่อย ๆ ดูไม่ยุ่งยากอะไร

 

 

 


ฉันคิดไม่ออก มองหาใครช่วยก็ไม่มี ต้องฉุดกระชากกันพัลวัน หมูถึงจะยอมลุกเดินต่อ ไปได้ระยะหนึ่งหมูลงไปนอนไม่ยอมเดินอีก ในที่สุดจับกฎเกณฑ์ได้ว่า ต้องไปทีละระยะ สั้น ๆ แล้วพักบ่อย ๆ

 


เดินไปซักระยะเริ่มมีขอนไม้กีดขวางเส้นทาง ถ้าเป็นคนเพียงก้าวข้ามหรือเหยียบข้ามไปแต่หมูทำไม่ได้เพราะขาสั้น ถ้าขอนไม้ไม่สูงมาก ฉันกับสหายหญิงก็ช่วยกันดันก้นหมูให้ข้ามไป แต่พอเจอขอนไม้ใหญ่ หมดปัญญา ต้องพาอ้อมทำให้เสียเวลา

 

 

ยิ่งเสียเวลาไปอีกเมื่อต้องข้ามลำห้วย มีลำต้นของไม้ใหญ่ที่ถูกตัดล้มพาดสองฝั่งลำห้วยสำหรับเป็นทางข้าม เวลาเดินข้ามต้องทรงตัวให้ดีเพื่อไม่ให้เสียหลักตกลงไป ไม่มีราวเกาะ เป็นโจทย์ที่ยากสำหรับฉันมาก ๆ ที่เมื่อไรต้องเดินเลี้ยงตัวบนขอนไม้ข้ามลำน้ำที่ไหลรินอยู่เบื้องล่าง

 

 

แน่นอน ฉันสุดปัญญาที่จะต้อนหมูข้ามขอนไม้ไปได้

 


แต่มานึกได้ว่า… “หมูว่ายน้ำเป็นนี่หว่า!”

 


จัดแจงต้อนหมูลงน้ำ ให้สหายที่มาด้วยยืนไล่หมูอยู่ด้านหลัง ส่วนฉันเดินไต่ไปตามขอนไม้ ไปดักหน้าอีกฟากของลำห้วย หมูว่ายนำ้ข้ามห้วยมาได้ ความที่ตลิ่งชันหมูขึ้นไม่ได้อีก ฉันต้องปีนไต่ลงจากตลิ่ง ควานหาปลายเชือกที่ล่ามคอหมูได้แล้ว ลัดเลาะหาจุดที่ตลิ่งไม่ชันมาก ดันหลังให้มันขึ้นไป กว่าจะผ่านลำห้วยใช้เวลานับชั่วโมง

 


หมูเดินบ้างหยุดบ้างเป็นระยะ ๆ จนถึงทางขึ้นภูสุดท้ายที่เป็นที่ตั้งสำนักโรงพยาบาล

 

 

เพลานี้ภายใต้ดงไม้ความมืดเริ่มโรยตัว ความหนาวเย็นของอากาศบนภูสูงเริ่มแผ่ปกคลุม ฉันตัดสินใจผูกหมูไว้กับต้นไม้ จากนั้นก็พาตัวเองพร้อมเสื้อกางเกงที่สกปรกไปด้วยดินโคลนเหม็นกลิ่นเหงื่อคละเคล้ากลิ่นขี้หมู กลับขึ้นที่พักบนสันภูเบื้องหน้า

 

 

ฉันคงจะไม่ลงมาจูงหมูไปเองแล้ว รอให้สหายที่สำนักฯ มาจัดการแทน

 

 

เพราะ …พรุ่งนี้ฉันจะแต่งงาน

 


เราทั้งสองไม่มีชุดเจ้าบ่าว เจ้าสาว สวมใส่ในงาน ไม่มีสถานที่จัดเลี้ยงที่เลิศหรู ไม่ได้โอกาสที่จะกล่าวขอบคุณญาติผู้ใหญ่

 

 

แต่ ...สองเราจะเป็นเพื่อนชีวิตที่จะเดินทางไกลไปด้วยกันบนความใฝ่ฝันและอุดมการณ์ พร้อมที่จะเป็นแรงใจต่อกันในการมีส่วนร่วมสร้างสรรค์ให้เกิดสิ่งดีงามยังประโยชน์ต่อสังคมตลอดไป

 

 

 


“อดีตคือความเข้มแข็งแกร่งกล้า

อนาคตทายท้าอย่าไหวหวั่น

 


เราร่วมทุกข์สุขความผูกพัน

 


ขอจารึกถึงวันแปดกันยา”

 

 

…กลอนบทนี้ เจ้าบ่าวรจนาขึ้นในวันแต่งงานของสองเรา…

 

 

โปรดติดตามและมีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท.  โปรดคลิ๊ก  

whitebanner