ปรัชญากันเอง (3)........กระบวนทัศน์

โดย “เสรี พพ"

คำนี้มาจากภาษาอังกฤษว่า paradigm แปลว่า “วิธีคิด วิธีปฏิบัติ วิธีให้คุณค่า ซึ่งตั้งอยู่บนฐานการมองโลกความเป็นจริงแบบหนึ่ง”
ในสังคม ผู้คนมีการมองโลกมองชีวิตแตกต่างกัน จึงมีวิธีคิด วิธีปฏิบัติและการให้คุณค่าไม่เหมือนกัน เช่น คนต่างรุ่นต่างวัยมักพูดกันไม่รู้เรื่อง เพราะมีกระบวนทัศน์ต่างกัน
เมื่อพูดคำนี้ ในแวดวงวิชาการก็จะคิดถึง “การเปลี่ยนกระบวนทัศน์” (paradigm shift) ที่ Thomas Kuhn นักปรัชญาประวัติศาสตร์ชาวอเมริกันเขียนไว้ในหนังสือ The Structure of Scientific Revolution (1962) ว่า “เมื่อมีการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ ก็เกิดการปฏิวัติวิทยาศาสตร์”
ย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ ที่เห็นชัด ๆ น่าจะมีสัก 3 ครั้งที่มีการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ที่สำคัญ ในตะวันตกครั้งแรกเมื่อ 2,500 ปีก่อน เมื่อกำเนิดปรัชญา ที่คนเริ่มตั้งคำถามว่า ถ้าไม่เอาคำตอบจากเทพเจ้า เราจะอธิบายโลกว่าเป็นมาเป็นอยู่ได้อย่างไร นั่นคือกำเนิด “วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ” ครั้งแรก จัดระบบโดยอริสโตเติล
ครั้งที่สองเกิดขึ้นเมื่อ 500 ปีก่อน เมื่อโคเปอร์นิคัสบอกว่า โลกไม่ได้เป็นศูนย์กลางจักรวาล และดวงอาทิตย์ไม่ได้หมุนรอบโลก แต่โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ที่เป็นศูนย์กลาง ซึ่งผู้ที่ยืนยันเรื่องนี้โดยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ คือ กาลิเลโอ ที่ถูกเบียดเบียนจากศาสนจักร ที่มีกระบวนทัศน์แบบอนุรักษ์ มีฐานคิดจากพระคัมภีร์ไบเบิล
ความจริง การเปลี่ยนกระบวนทัศน์ที่นำไปสู่การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ ได้เริ่มตั้งแต่ยุคกลางมาสู่ยุคเรืองปัญญา โดยการเกิดมหาวิทยาลัยในศตวรรษที่ 11-12 เกิดแนวคิดใหม่ที่เป็นเชื้อเพลิงที่ค่อย ๆ สุมรวมกันเป็นไฟกองใหญ่ ที่หลังจากกาลิเลโอก็มีนิวตัน และการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและอุตสาหกรรม
ครั้งที่สาม คือ เมื่อร้อยปีเศษมานี้ที่ทฤษฎีสัมพัทธภาพ และควันตั้ม ทำให้เกิดการปฏิวัติวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มาจนถึงยุคไอที ยุคเอไอวันนี้
แต่การเปลี่ยน “กระบวนทัศน์” ไม่ได้ทำให้เกิดการปฏิวัติวิทยาศาสตร์เท่านั้น เกิดปฏิวัติทางสังคม การเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรมไปด้วย
ทางสังคมการเมือง ตะวันตกเปลี่ยนไปตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 เมื่อปรับจาก “เทวสิทธิ์” มาเป็น “สิทธิมนุษยชน” จาก “ระบบศักดินา” มาเป็น “สาธารณรัฐ” จาก “สมบูรณาญาสิทธิราชย์” มาเป็น “ประชาธิปไตย” เพราะฐานคิดเปลี่ยนจาก “เทวนิยม” มาเป็น “มนุษยนิยม”
ยุคฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม คนเปลี่ยนวิธีคิดเรื่อง “คน” “ร่างกายมนุษย์” เห็นความงามตามธรรมชาติ ไม่ใช่เรื่อง “อุจาด” “ขาดศีลธรรม” ศิลปกรรมต่าง ๆ จึงมีภาพเปลือย ไม่มีใบไม้ปิด เดวิดสูง 5 เมตรของมิเกลันเจโล จึงยืนตระหง่านเปลือยเปล่าอยู่ที่ฟลอเรนซ์
อำนาจที่เปลี่ยนไปจึงนำไปสู่การปฏวัติในอังกฤษ ฝรั่งเศส และการเปลี่ยนแปลงการเมืองการปกครอง การรวมเป็นรัฐชาติต่าง ๆ ในยุโรปและทั่วโลกต่อมา
# กระบวนทัศน์วันนี้ที่แตกต่าง
การปฏิวัติวิทยาศาสต์และเทคโนโลยีเมื่อสามสี่ร้อยปีที่ผ่านมา ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างที่เรารู้เห็นกัน แต่ก็มีผลเสียหลายอย่างทำให้เกิดวิธีคิด 2 อย่างที่แตกต่างกัน
อย่างหนึ่ง คือ วิธีคิดแบบ “แยกส่วน-กลไก-ลดทอน” สามคำที่ขยายความได้ดี อีกอย่างหนึ่ง คือ วิธีคิดแบบองค์รวม ที่เป็นแนวคิดแบบดั้งเดิมของทั้งตะวันตกและตะวันออก ที่ยังคงเหลืออยู่บ้างวันนี้ ที่ได้ฟื้นคืนมาเมื่อเห็นหายนะของความคิดแบบกลไก ที่ทำลายสิ่งแวดล้อม ทำลายชีวิตทางสังคม
หลายปีก่อน ตอนที่มีปัญหาเรื่องการเปิดปิดเขื่อนปากมูล นายทุนใหญ่คนหนึ่งบอกว่า ควรอธิบายให้พวกเอ็นจีโอเข้าใจ ถ้าปิดแล้วไม่มีปลาก็เพาะพันธุ์ปลาเยอะ ๆ ไปปล่อย
ผมเขียนบทความลงมติชนโต้ว่า เอ็นจีโอไม่ใช่ไม่เข้าใจ แต่เขามี “กระบวนทัศน์” อีกแบบหนึ่ง แล้วผมก็อธิบายว่า คิดและทำแบบองค์รวมเป็นอย่างไร และคิดและทำแบบแยกส่วนเป็นอย่างไร
คิดแบบแยกส่วน กลไก ลดทอนแม่น้ำมูลเป็นเพียง “น้ำ” ที่ต้องการไปทำไฟฟ้า ไฟทำการเกษตร แต่ไม่ได้มองเห็น “สรรพสิ่ง” ที่มีชีวิตที่สัมพันธ์กันในลำน้ำสายนี้ ไม่ได้คิดถึงผู้คนที่อาศัยอยู่มาร้อยพันปี ที่พึ่งพาอาศัยแม่น้ำ ข้าวปลาอาหาร วิถีวัฒนธรรม
คิดแบบแยกส่วนจะไม่มีทางเข้าใจว่า “เด็ดดอกไม้ดอกเดียวกระเทือนถึงดวงดาว” แปลว่าอะไร
# กระบวนทัศน์กับการเมืองไทย
ความขัดแย้งทางการเมืองไทยเป็นผลของความแตกต่างระหว่างสองกระบวนทัศน์ ที่มีฐานคิด การมองโลก มองชีวิตที่ไม่เหมือนกัน
ไม่ง่ายที่จะ “แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง” ดูแต่เพียงเรื่องความแตกต่างระหว่างคนรวยกับคนจน ช่องว่างที่ห่างกันอันดับต้น ๆ ของโลก เขาจะยอมปรับโครงสร้างการผูกขาดได้หรือ
นักการเมืองโบราณมักจะเสนอให้ “ชวนคนรวยมาช่วยคนจน” ให้พวกเขาทำ “CSR” (ความรับผิดชอบทางสังคมของบรรษัท ซึ่งผู้นำทางธุรกิจใหญ่คนหนึ่งวิพากษ์เองว่า เป็น “ลิเกโรงใหญ่” )
การให้เศษเนื้อข้างเขียงคงไม่ใช่ “ความยุติธรรม” ที่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของพลเมืองทุกคน โอกาสที่แต่ละคนควรได้เพื่อการพัฒนาตนเองให้อยู่ “อย่างพอเพียงและมีความสุข” อันเป็นหัวใจของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ปรัชญาที่รัฐไทยบอกว่าเป็นฐานคิดในแผนพัฒนาเศรษฐกิจสังคมแห่งชาติ ความย้อนแย้งที่แสดงถึงความไม่จริงใจ เพราะถ้าเชื่อจริงและทำจริง สังคมไทยไม่น่าจะปล่อยให้มีการผูกขาด-กินรวบกันอย่างวันนี้
27 ส.ค. 2567

 

โปรดติดตามและมีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท.  โปรดคลิ๊ก  

whitebanner