ระบอบประชาธิปไตยแบบ “ปรึกษาหารือ” ในจีน

โดย…พิรุณ ฉัตรวนิชกุล


ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาพรรคคอมมิวนิสต์จีนและวงการรัฐศาสตร์จีนได้พยายามเสนอแนวคิดเกี่ยวกับการเมืองแบบประชาธิปไตยว่า สามารถแบ่งออกได้เป็นสองประเภท คือ"ประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือ"กับ"ประชาธิปไตยแบบเลือกตั้ง"
เฉพาะช่วงการพัฒนาอุตสาหกรรมและสร้างประเทศจีนให้ทันสมัยนี้ จีนตัดสินใจใช้ระบบประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือเป็นจุดเน้นและทิศทางหลัก ขณะเดียวกันก็นำร่องทดลองใช้ประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งที่เปิดโอกาสให้มีผู้สมัครแข่งขันกันได้ในหลายระดับ เช่นการเลือกตั้งคณะกรรมการหมู่บ้านระดับรากหญ้าในพื้นที่ปกครองตนเอง การเลือกตั้งผู้แทนประชาชนระดับมณฑลและเมืองในพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจชายฝั่งทะเลตะวันออกเฉียงใต้
แม้แต่ตำแหน่งภายในพรรคคอมมิวนิสต์จีนบางระดับ ก็จะใช้การผสมผสานคือ มีทั้งการปรึกษาหารือ และการเสนอชื่อให้สมาชิกพรรคเลือกตั้ง แทนที่การแต่งตั้งจากชั้นเหนือถ่ายเดียว
จากเพจยูทูปของ"สะใภ้ไชน่า"ที่ไปอาศัยอยู่กับครอบครัวของสามีที่ประเทศจีน เธอสะท้อนว่า ชั่วไม่กี่เดือนที่ไปอยู่ในจีน มีโอกาสได้เห็นการเลือกตั้งในหมู่บ้าน แบบเปิดเผยทั่วไป 3ครั้ง ครั้งแรกเป็นการเลือกตั้งของบรรดาสมาชิกพรรค(ซึ่งก็ไม่ได้ปิดลับ) ครั้งที่สอง เลือกตั้งหัวหน้ากลุ่มย่อยในหมู่บ้าน เนื่องจากหมู่บ้านของจีนมีประชากรมาก หมู่บ้านที่เธออยู่ต้องแบ่งผู้มีสิทธิเลือกตั้งออกเป็น 8กลุ่ม หลังจากนั้นค่อยเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านเป็นการทั่วไปอีกครั้ง นับว่าเป็นการเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านที่จริงจังทีเดียว
"สะใภ้ไชน่า"ย้ำหนักให้แฟนคลับชาวไทยแน่ใจว่า ประเทศจีนมีการเลือกตั้ง เพราะรู้ว่าคนส่วนใหญ่ยังเข้าใจว่าคอมมิวนิสต์ไม่มีการเลือกตั้ง
ประสบการณ์การสังเกตการณ์การเลือกตั้งในหมู่บ้านของ"สะใภ้ไชน่า"ดูจะดำเนินไปด้วยดี ราบรื่น แต่การเลือกตั้งหลายแห่งหลายระดับของจีนที่ผ่านมามีปัญหาไม่น้อย
สถาบันวิจัยรัฐศาสตร์ของสถาบันสังคมศาสตร์แห่งประเทศจีน ได้จัดโครงการสังเกตการณ์การเลือกตั้งขึ้นในปี 2011 พบว่า การเลือกตั้งระดับรากหญ้าส่วนใหญ่ซึ่งเป็นการเลือกตั้งคณะกรรมการหมู่บ้านและผู้แทนสภาประชาชนของเมืองและอำเภอ มีปรากฏการณ์ทั่วไปที่ผู้ร่ำรวย มีอำนาจเศรษฐกิจแข็งแกร่ง เป็นผู้ได้เปรียบและได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้ง
การวิจัยยังพบว่า มีการใช้จ่ายในการหาเสียงจำนวนมาก และใช้วิธีการในการรณรงค์อย่างน้อย 4 ประการคือ หนึ่ง จัดเลี้ยงชาวบ้านทั่วไปในห้องอาหาร ห้องคาราโอเกะทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้ง สอง ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ร่ำรวยสร้างเสริมบารมีด้วยการบริจาคเงินเพื่อการกุศลและสนับสนุนการสร้างสาธารณูปโภค สาม มีงบทุ่มทุนจ้างทีมหาเสียงอย่างเอิกเกริก สี่ ถึงขั้นจ้างหน้าม้ามาสมัครแข่ง หรือให้คู่แข่งล้มมวยแล้วจ่ายค่าชดเชยให้หลังการเลือกตั้ง ผู้บริหารที่ได้จากการเลือกตั้งสกปรกนี้ ก่อให้เกิดความเสียหายจากการทุจริตประพฤติมิชอบในการปฏิบัติหน้าที่ตามมาจำนวนหนึ่ง
ประสบการณ์เหล่านี้ ทำให้จีนเห็นว่า ประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งยังเป็นเรื่องแปลกใหม่ ยังต้องหาบทเรียนและทดลองหากระบวนการจัดการที่เหมาะสมต่อไป แต่ก็ไม่ปฏิเสธประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งอย่างสิ้นเชิง

ส่วนประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือนั้น จีนได้พัฒนากระบวนการไปอย่างกว้างขวาง และประมวลผลด้านดีมีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง และเห็นโอกาสจากความเจริญด้านเทคโนโลยี่การสื่อสารที่รวดเร็ว ทั่วถึง ทำให้การรับฟังความคิดเห็นและการปรึกษาหารือได้ผลลัพธ์อย่างน่ามหัศจรรย์
ในการประชุมสภาประชาชนครั้งหนึ่ง ทางการจีนได้เปิดโอกาสให้มีการถ่ายทอดสด และให้ประชาชนที่เข้าถึงอินเทอร์เนตไม่ต่ำกว่าสามร้อยล้านคนเข้าร่วมแสดงความคิดเห็นในประเด็นที่สภากำลังพิจารณาไปพร้อมกัน
ความก้าวหน้าทางเท็คโนโลยี่นี้ อาจทำให้การเมืองระบบประชาธิปไตยยกระดับสู่มิติใหม่ได้ในอนาคต
ประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือมีรายละเอียดทึ่ควรค่าแก่การแลกเปลี่ยนอีกมาก เท่าที่ผมนำเสนออย่างย่นย่อนี้ก็เป็นเพียงบางประเด็นจากการอ่านหนังสือ "ประสบการณ์ประชาธิปไตยจีน"ที่เขียนโดยศาสตราจารย์ฝางหนิง นักวิชาการ นักคิดและนักปรัชญาการเมืองที่สำคัญท่านหนึ่งในแวดวงนักวิชาการของจีน ปัจจุบันเป็นเลขาธิการคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำสถาบันวิจัยรัฐศาสตร์ภายใต้สถาบันสังคมศาสตร์แห่งประเทศจีน
หนังสือได้รับการแปลเป็นไทยด้วยทีมงานทั้งจากชาวจีนและไทย มีคุณยุวดี คาดการณ์ไกลเป็นบรรณาธิการ มูลนิธิสถาบันสร้างสรรค์ปัญญาสาธารณะเป็นผู้จัดพิมพ์ ท่านที่สนใจสามารถหามาอ่านได้จากร้านหนังสือหรือห้องสมุดที่ท่านคุ้นเคย จะได้มีเรื่องราวให้ขบคิดใคร่ครวญกันต่อไป

 

โปรดติดตามและมีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท.  โปรดคลิ๊ก  

whitebanner