คาร์ล มาร์กซ : ชีวิตกับความใฝ่ฝัน 141 ปีผ่านไป (พ.ศ. 2426-2567) ตอน 1
โดย ธเนศวร์ เจริญเมือง
“นักปรัชญาทั้งหลายอธิบายเรื่องโลกไปต่างๆนานา ประเด็นสำคัญอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงโลกต่างหาก...”
“การพูดเช่นนี้มักมีคนนำไปตีความว่า ปรัชญานั้นไม่สลักสำคัญ เหมือนหมิ่นแคลนนักปรัชญาว่าไร้ฝีมือ เราไม่ควรที่จะตีความเช่นนั้น เพราะมาร์กซเพียงต้องการจะบอกเราว่า วิชาปรัชญาที่อธิบายโลก และปรากฏการณ์ต่างๆนั้นสำคัญ แต่จะสำคัญยิ่งขึ้นก็ต่อเมื่อมีการลงมือปฏิบัติ นั่นคือ การเปลี่ยนแปลงโลก.”
.. บรรทัดแรกมาจาก Karl Marx, Theses on Feuerbach, (ค.ศ. 1845) บรรทัดต่อๆมา โปรดดู เกษียร เตชะพีระ “มาร์กซ” แปล (2565) น. 95-96 ..
(ตอนที่ ๑)
คาร์ล มาร์กซ: ชีวิตและบริบททางสังคม
ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 และอีกเกินครึ่งของศตวรรษถัดมา ไม่มีนักคิดคนใดที่มีอิทธิพลโดยตรงและเข้มข้นต่อประเทศต่างๆมากเทียบเท่ากับคาร์ล มาร์กซ ถึงแม้ว่าเขามิใช่ผู้นำที่มีคนรู้จักมากมายหรือได้รับความนิยมล้นหลาม เขามิใช่นักเขียนหรือนักพูดของมหาชน เขาเขียนบทความและหนังสือมากก็จริง แต่คนอ่านใน ช่วงต้นๆก็ยังเป็นวงแคบ เขามิใช่ผู้นำทางการเมือง เช่น วอชิงตัน, ลิงคอล์น, เชอร์ชิล, คานธี, เลนิน, หรือ เหมา เจ๋อตง ฯลฯ เวลาส่วนใหญ่ของเขาคือ ห้องเขียนและห้องอ่านที่พิพิธภัณฑ์อังกฤษ หรือห้องประชุมที่มีคนฟังแต่ละครั้ง 20-30 คน แต่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 19 เป็นต้นไปในยุโรปตะวันตก เคลื่อนไปทางยุโรปตะวันออก เอเชียบูรพาและอุษาคเนย์ อัฟริกา อเมริกากลาง และใต้ ตลอดจนความผันผวนทางการเมืองในส่วนอื่นๆของโลก หลีกไม่พ้นจากอิทธิพลทางความคิดของเขาแทบทั้งสิ้น
140 ปีผ่านไปแล้วหลังจากที่มาร์กซเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1883 ตลอดช่วงเวลาที่เขามีชีวิตอยู่ (ค.ศ. 1818-1883) รวม 65 ปีบนสี่แผ่นดิน (เยอรมนี, ฝรั่งเศส, เบลเยี่ยม และอังกฤษ) ชีวิตของมาร์กซมีเรื่องสำคัญอย่างน้อย 3 เรื่อง 1. ยืนหยัดในอุดมการณ์เพื่อความยุติธรรมในสังคมและการปลดปล่อยมนุษยชาติ; 2. ทุ่มเทศึกษา, เสาะ หาและเผยแพร่แนวคิดที่จะเปลี่ยนแปลงสังคม ไม่ว่าจะเป็นการโต้คารม, เสนอประเด็นผ่านบทความและหนังสืออย่างต่อเนื่อง; และ 3. ลงมือปฏิบัติการต่างๆ นั่นคือการไปพบปะ, จัดตั้งกลุ่ม, จัดและร่วมกิจกรรมต่างๆ. ทั้ง 3 ส่วนนี้หนุนส่งความเป็น ลัทธิมาร์กซ (Marxism) ดังที่จะได้กล่าวต่อไป
มาร์กซ เกิดเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ. 1818 (พ.ศ. 2361ต้นรัชกาลที่ 3 ของสยาม) ที่เมืองทริเอร์ (Trier) แคว้นไรน์แลนด์ ตอนกลางของเยอรมนี ติดชายแดนฝรั่งเศส ดินแดนแถบนี้ตกเป็นของฝรั่งเศสด้วยฝีมือของนโปเลียนที่ขึ้นมามีอำนาจ 10 ปีหลังการปฏิวัติของฝรั่งเศส ค.ศ. 1789 และหลังจากนโปเลียนพ่ายแพ้ เยอรมนีก็กลับไปสู่สภาพเดิม นั่นคือเป็นแคว้นศักดินาแบบเก่า ผู้ปกครองของแต่ละแคว้น ไม่ว่ากษัตริย์หรือขุนนาง ก็เร่งฟื้นอำนาจเพราะกลัวการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงแบบเดียว(ที่)ฝรั่งเศส ขณะเดียวกัน โรงงานและเศรษฐกิจแบบทุนนิยมก็กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรมเกิดขึ้นในอังกฤษตั้งแต่ทศวรรษที่ 1770 และเคลื่อนเข้าสู่ฝรั่งเศสต่อจากนั้น และเข้าสู่เยอรมันนีตั้งแต่ปี 1800 ระบอบการเมืองเปลี่ยนไปมาในฝรั่งเศสช่วงปี 1780-1830 โลกใหม่ด้านเศรษฐกิจเคลื่อนเข้าสู่เยอรมันนีแล้วอย่างที่ไม่มีอำนาจเก่าใดๆขัดขวางได้ แต่การเมืองของเยอรมันนีกลับอนุรักษ์มากขึ้น และชีวิตวัยเยาวชนของมาร์กซก็อยู่ในช่วงนั้นพอดี
มาร์กซเกิดและเติบโตในครอบครัวชนชั้นกลาง พ่อเป็นชาวยิว บรรพบุรุษเป็นนักบวชหลายคน การที่ยิวมีปัญหาในหลายๆรัฐ ผู้เป็นพ่อก็ย่อมระวัง เพราะกฎหมายปรัสเซียห้ามคนยิวมีตำแหน่งงานของรัฐ ครอบครัวต้องหันไปนับถือคริสต์นิกายโปรเตสแตนท์ พ่อจึงได้เป็นทนายความ แม่ของมาร์กซ เป็นยิวดัช แต่เพราะสถานการณ์ทางการเมือง ศาสนาจึงถูกลดบทบาทลงในครอบครัว ยิ่งแคว้นไรน์แลนด์ที่มาร์กซเติบโตมีกระแสต่อต้านยิวสูง ก็ย่อมมีอิทธิพลบางอย่างต่อมาร์กซและครอบครัว
พ่อของมาร์กซมีการศึกษาดี รักครอบครัว อยากให้ลูกๆเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม เพราะมาร์กซเป็นลูกชายคนโตจึงอยากให้ลูกได้เป็นทนายความ มีอาชีพที่ดีเหมือนตน และก้าวขึ้นสู่วงการชั้นสูง มาร์กซเป็นเด็กฉลาด อ่านหนังสือมาก มีความคิดและคำถามแหลมคม ชอบถกเถียง และมีความเป็นตัวของตัวเองสูง เมื่อได้พบกับเพื่อนของพ่อคนหนึ่งซึ่งเป็นขุนนาง มีการศึกษาดีและมีความคิดสมัยใหม่จึงกลายเป็นคู่สนทนาที่ยอดเยี่ยม ว่ากันว่าทั้งสองชอบถกกันเรื่องบทกวีของกรีก และเพื่อนผู้อาวุโสให้ยืมหนังสือดีๆแก่เพื่อนรุ่นลูกเสมอๆ
ที่โรงเรียนมัธยมของเมือง ครูใหญ่ซึ่งมีทัศนะก้าวหน้าถูกตำรวจเข้ามาสำรวจในปี 1832 (มาร์กซวัย 14 ปี) พบว่ามีเอกสารเผยแพร่สนับสนุนการพูดเสรีในโรงเรียนด้วย ทำให้รัฐแต่งตั้งครูใหญ่เพิ่มอีกคนเป็นฝ่ายปกครอง มาร์กซกับพ่อเริ่มมองต่างกันในบทบาทของรัฐ เมื่อลูกชายไม่ยอมรับครูใหญ่คนใหม่
เมื่อพบว่ามาร์กซไม่ตั้งใจเรียนที่มหาวิทยาลัยบอนน์ในปีแรก ไม่ค่อยสนใจวิชากฎหมายที่พ่ออยากให้มาร์กซเรียนเพื่อจะได้เป็นทนายความ การที่พ่อผลักดันให้ย้ายมาร์กซให้ไปเรียนที่ม. เบอร์ลิน อันเป็นเมืองที่กระแสสังคมเก่า-ใหม่ปะทะกันอย่างดุเดือด พ่อของมาร์กซไม่รู้เลยว่า เขากำลังส่งลูกชายไปสู่อนาคตที่ผู้เป็นพ่อไม่ปรารถนาอย่างสิ้นเชิง
(ติดตามตอนที่ ๒ ได้ในวันอังคารหน้า ขอบคุณค่ะ)
สนใจสมัครสมาชิกผู้มีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท. โปรดคลิ๊ก