คาร์ล มาร์กซ :    ชีวิตกับความใฝ่ฝัน 141 ปีผ่านไป (พ.ศ. 2426-2567) ตอน 2

โดย ธเนศวร์ เจริญเมือง

ม. เบอร์ลินที่เฮเกลเคยสอนที่นั่นและมีอิทธิพลอย่างยิ่ง นักศึกษาหัวก้าวหน้าจัดตั้งชมรมเฮเกลี่ยนหนุ่ม (the Young Hegelians Club) มาร์กซได้พบเพื่อนใหม่จำนวนมาก (เฮเกลจากโลกนี้ในปี ค.ศ. 1831 มาร์กซย้ายไปเรียนที่เบอร์ลินในปี 1836) เขาไม่เพียงสมัครเป็นสมาชิกของชมรมนี้ หากได้หันไปเลือกเรียนปรัชญาเป็นวิชาเอก เท่ากับปิดหนทางการเป็นทนายความที่พ่อปรารถนา ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกชายคนโตจึงสิ้นสุดลง มาร์กซแทบไม่ได้กลับบ้านอีกเลย
ในบรรยากาศเมืองใหญ่ที่การผลิตแบบทุนนิยมกำลังเติบโต มีแหล่งชุมนุมของปัญญาชนหัวก้าวหน้ามากมาย ล้อมรอบด้วยเหล่าขุนนางอำมาตย์ การย้ายไปเรียนที่สถาบันชั้นเยี่ยม และภายใต้กระแสปรัชญาและประวัติศาสตร์ของสำนักเฮเกเลี่ยน (วิลเฮล์ม เฮเกล, Georg Wilhelm Hegel, 1770-1831) การเปลี่ยนไปศึกษาเพื่อแสวงหาทางออกของสังคมในกระแสความเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่จึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายมาก ด้วยอุดมการณ์ที่อยากเห็นโลกใหม่ของคนส่วนใหญ่ กรรมกรที่แออัดในโรงงาน ชาวนาในที่ดินของเจ้าที่ดิน คนชนบทหลั่งไหลเข้าเมือง มาร์กซทุ่มเทศึกษาแนวคิดของเฮเกล ว่าด้วยการปฏิวัติโลกด้วยเหตุผล บทบาทความสำคัญของจิตและความคิดที่อยู่เหนือวัตถุและสสารใดๆ ซึ่งก่อให้โลกเปลี่ยนแปลงมาอย่างต่อเนื่อง แนวคิดแบบวิภาษวิธี นั่นคือ ความขัดแย้งของความคิดแต่ละสำนัก ซึ่งมีบทบาทต่อมาร์กซอย่างยิ่ง
มาร์กซ ศึกษาวิชาปรัชญาและวิชาประวัติศาสตร์สังคม หลังจากโคลัมบัสค้นพบโลกใหม่ในปี 1492, ลูเธอร์เสนอญัตตินิกายโปรเตสแตนท์ในปี 1517, ขณะที่ชาวอังกฤษนิกายโปรเตสแตนท์อพยพไปอยู่ในโลกใหม่และภายหลังได้ลุกขึ้นสู้และสร้างสาธารณรัฐขึ้นเป็นแห่งแรกในโลกในปี 1776, การปฏิวัติครั้งใหญ่ที่ฝรั่งเศสในปี 1789 และนโปเลียนยึดอำนาจและสถาปนาตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์ 10 ปีต่อจากนั้น ส่งผลให้เยอรมันนีแถบบ้านเกิดของมาร์กซกลับคืนสู่ระบอบอำนาจเก่า ส่งตำรวจทหารออกตรวจตราเอกสารและความคิดประชาธิปไตย
มาร์กซเขียนวิทยานิพนธ์เรื่อง “ศึกษาเปรียบเทียบปรัชญาของเดโมคริตุส (Democritus, 460-370 B.C.) และของ เอพิคิวรุส (Epicurus, 341-270 B.C.)” 2 นักปรัชญาชาวกรีก (คนแรกศึกษาทฤษฎีสสารในจักรวาล คนหลังศึกษาทฤษฎีความสุขทางกายและจิตของคนเรา) ก็เพื่อนำมาเปรียบเทียบกับแนวคิดสำนักเฮเกลที่เป็นหลัก และเขาหวังว่าจะได้งานเป็นอาจารย์หลังจากจบการศึกษาระดับปริญญาเอกในเดือนเมษายน 1841 (อายุ 23 ปี)
และท่ามกลางการเติบโตอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจทุนนิยม ชาวนาชาวไร่และกรรมกรขัดแย้งกับรัฐเรื่องที่ดิน ค่าน้ำ ป่าไม้ และค่าแรง ฯลฯ การอภิปรายของสำนักเฮเกเลี่ยนหนุ่มก็ยิ่งเข้มข้น ลุดวิก ฟอยเออร์บัค (Ludwig Feuerbach, 1804-1872) เสนอว่าวัตถุต่างหากที่เป็นตัวกำหนดความคิด และจิต มาร์กซ ซึ่งได้ลงไปศึกษาชีวิตและการทำงานของชาวนาและกรรมกรในภาคสนามสนับสนุนแนวคิดนี้และเสริมว่า วัตถุและสิ่งแวด ล้อมต่างหากที่กำหนดจิตและความนึกคิดทั้งปวง ความขัดแย้งระหว่างเจ้า-ขุนนาง-นายทุนกับกรรมกร-ชาวนา ที่มาร์กซได้ประสบหลายๆครั้งนับเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เขาพัฒนาแนวคิดนี้เป็น “วัตถุนิยมวิภาษวิธี” ที่ใช้เป็นหลักในการอธิบายความขัดแย้งทางสังคมและประวัติศาสตร์การพัฒนาของสังคมมนุษย์ (Dialectical materialist interpretation of historical development) ต่อจากนั้น
(ติดตามตอนที่ ๓ ได้ในวันอังคารหน้า ขอบคุณค่ะ)

 

สนใจสมัครสมาชิกผู้มีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท. โปรดคลิ๊ก  

whitebanner