คาร์ล มาร์กซ :    ชีวิตกับความใฝ่ฝัน 141 ปีผ่านไป (พ.ศ. 2426-2567) ตอน 3

โดย ธเนศวร์ เจริญเมือง

ขณะที่เขาจบการศึกษา และไม่มีการเปิดรับอาจารย์ เขาจึงทำงานเป็นนักหนังสือพิมพ์ก้าวหน้ารายงานและวิเคราะห์ข่าวเกี่ยวกับการเมืองและสังคม เขาทำงานจนถึงปลายปี 1842 ก็ได้ขึ้นเป็น บก. แต่เพราะนสพ. อยู่ในความสนใจของฝ่ายรัฐ ไม่นานรัฐบาลก็สั่งยุติ โชคดีที่เขาได้งานหนังสือพิมพ์ฝรั่งเศส-เยอรมันร่วมทุนกันออก นสพ.ใหม่ ความที่ไม่ชอบใจในรัฐบาลเยอรมันที่อนุรักษ์นิยมอยู่แล้ว มาร์กซจึงย้ายไปทำงานที่ปารีสในช่วงปลายปี 1843 เขาได้พบนักสู้ทางการเมืองฝ่ายสังคมนิยมมากมาย และแต่งงานกับเจนนี่ ฟอน เวสต์ฟาเลน(Jenny von Westphalen, 1814-1881) ที่ครองรักกันมาแล้ว 7 ปี แต่เพียงไม่นานหลังออกนสพ.ฉบับแรก รัฐบาลเยอรมันก็สั่งปิด นสพ.ฉบับนี้ และสั่งจับกุมบก. ส่งผลให้มาร์กซต้องลี้ภัยทางการเมือง
ปี ค.ศ. 1844 นับเป็นปีสำคัญสำหรับมาร์กซ เขาใช้เวลาตลอดปีคร่ำเคร่งศึกษาและพัฒนาแนวคิดทางปรัชญาและการเมืองของเขา และได้ประกาศตนเองชัดเจนว่าเป็นชาวคอมมิวนิสต์; เขาได้พบ เฟรเดอริค เองเกลส์ (Frederich Engels, 1820-1895) และเนื่องจากมีมุมมองทางปรัชญาและการเมืองที่คล้ายคลึงกัน มิตรภาพของคนทั้งสองก็พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว และได้ร่วมกันเขียนหนังสือด้วยกันเล่มแรก คือ ครอบครัวอันศักดิ์สิทธิ์ (the Holy Family, 1845) ซึ่งวิพากษ์ความคิดทางปรัชญาและการเมืองของสำนักเฮเกเลี่ยนหนุ่ม
อนึ่ง เนื่องเพราะรัฐบาลเยอรมันกดดันฝรั่งเศสให้ขับนักสังคมนิยมและคอมมิวนิสต์ชาวเยอรมันออกไปจากปารีส ในที่สุด ครอบครัวมาร์กซก็ต้องลี้ภัยไปอยู่ที่เบลเยี่ยม ผู้ลี้ภัยเหล่านั้นยังต้องให้สัญญากับเบลเยี่ยมด้วยว่าจะไม่เข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองใดๆในระหว่างการลี้ภัย
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆที่มีขนาดใหญ่ เวลา 3 ปีในเบลเยี่ยมได้เปิดโอกาสให้มาร์กซได้ทำงานการเมืองหลายครั้ง ที่สำคัญ เช่น เขาจัดตั้งคณะกรรมการติดต่อสื่อสารชาวคอมมิวนิสต์ในประเทศต่างๆ; การทำสัญญากับผู้ผลิตหนังสือว่าจะเขียนหนังสือว่าด้วยบทวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์การเมือง (มาร์กซเขียนไม่เสร็จและภายหลังงานนี้ได้กลายเป็นหนังสือชิ้นสำคัญชื่อ ทุน (Capital); เองเกลส์ได้ไปพบเขาหลายครั้ง และเขาได้ติดตามเองเกลส์ไปศึกษาเศรษฐกิจทุนนิยมที่เมืองแมนเชสเตอร์ เป็นเวลาถึง 6 สัปดาห์;
มาร์กซ จัดเวลาเขียนหนังสือได้ 1 เล่ม คือ อุดมการณ์เยอรมัน (The German Ideology); เขาไปลอนดอนเพื่อเข้าร่วมการประชุมใหญ่ขององค์การสันนิบาตคอมมิวนิสต์ที่เพิ่งก่อตั้งปลายปี 1847 ผลการประชุมจบลงโดยมาร์กซและเองเกลส์จะร่วมกันเขียน แถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ (The Communist Manifesto) ฉบับสำคัญให้แก่สันนิบาตฯ (กุมภาพันธ์ 1848) ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นงานที่สำคัญยิ่ง
การปฏิวัติอีกครั้งที่ฝรั่งเศสในปี 1848 ก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวทั่วยุโรป ขณะที่เบลเยี่ยมเกรงเหตุการณ์บานปลายจึงสั่งให้มาร์กซออกนอกประเทศภายใน 24 ชั่วโมง เป็นเวลาพอดีที่ฝรั่งเศสยกเลิกคำสั่งเนรเทศผู้ลี้ภัย และพร้อมกันนั้นได้เกิดการลุกขึ้นสู้ของมวลชนในเยอรมนี มาร์กซจึงรีบกลับไปเยอรมันพร้อมกับระดมทุนจัดทำนสพ. สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่เมื่อกระแสการปฏิวัติเฟื่องฟูได้ไม่นานกลับแผ่วลง มาร์กซจึงต้องออกนอกประเทศอีกครั้ง และครั้งนี้ยังถูกปฏิเสธการขอลี้ภัยที่ฝรั่งเศสด้วย
สิงหาคม 1849 เขาจึงโดยสารเรือไปอังกฤษคิดว่าจะอยู่ที่อังกฤษไม่กี่เดือน เพื่อเฝ้ารอกระแสการปฏิวัติครั้งหน้า หวังกลับคืนสู่มาตุภูมิ ไม่คาดคิดเลยว่า นั่นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจากเยอรมันและฝรั่งเศส และต้องลี้ภัยอยู่ที่อังกฤษจวบจนสิ้นชีวิต (1849-1883) รวม 34 ปีเศษ
เมื่อมาร์กซและครอบครัวไปอยู่ที่กรุงลอนดอนในช่วงแรก (1849-1852) ชีวิตค่อนข้างขัดสนเพราะมีรายได้จำกัด พ่อแม่และลูกน้อย 4 คนต้องอาศัยขนมปังและมันฝรั่งไปหลายมื้อ สุดท้าย ลูกคนที่ 4 ก็เสียชีวิตด้วยวัยไม่ถึงขวบปี แต่กระนั้นเขาก็ยังคงร่วมกิจกรรมทางการเมืองอย่างเข้มแข็ง โดยร่วมงานกับสันนิบาตคอมมิวนิสต์ เขาเขียนเรื่องการปฏิวัติในฝรั่งเศส และหนุนช่วยสันนิบาตคอมมิวนิสต์ที่เมืองโคโลญในเยอรมัน หลายครั้ง
(โปรดติดตามตอนที่ ๔ เมื่อมาร์กซเขียนหนังสือ “ทุน”)

สนใจสมัครสมาชิกผู้มีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท. โปรดคลิ๊ก  

whitebanner