สาระสำคัญของลัทธิมาร์กซ...ตอนที่ 1 โดย ธเนศวร์ เจริญเมือง

 

สาระสำคัญของลัทธิมาร์กซ...ตอนที่ 1

โดย ธเนศวร์ เจริญเมือง


มาร์กซจบจากโรงเรียนมัธยมและอำลาครอบครัวของเขาที่เมืองทริเอร์ เพื่อไปเริ่มต้นการศึกษาระดับอุดมศึกษา 1 ปีแรกในฤดูใบไม้ร่วง 1835 ที่มหาวิทยาลัยบอนน์. 1 ปี ต่อจากนั้น เขาจึงย้ายไปเรียนต่อจนจบการศึกษาระดับสูงสุดที่มหาวิทยาลัยเบอร์ลิน ใช้เวลาอีก 5 ปีเศษ รับปริญญาเอกในเดือนเมษายน ค.ศ. 1941 และเริ่มลงมือทำงานในฐานะนักหนังสือพิมพ์ในปีถัดมา
ในช่วงเวลา 6 ปีเศษของการศึกษาที่มหาวิทยาลัย จากอาจารย์-ตำรา-ห้องสมุด-เพื่อน ๆ และการทำกิจกรรมต่าง ๆ มาร์กซเริ่มต้นที่การศึกษาวิชากฎหมายตามที่บิดาคาดหวัง แต่เพียงไม่กี่เดือน มาร์กซก็ตระหนักว่านั่นมิใช่ความสนใจของเขา จนเมื่อย้ายไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเบอร์ลิน ได้พบกับวิชาและแนวคิดของนักปราชญ์ที่เยี่ยมยุทธในขณะนั้น ที่ทำให้เขาสนใจอย่างลึกซึ้ง นั่นคือวิชาปรัชญาและประวัติศาสตร์ ที่สำคัญคืองานเขียนของครูคนที่ชื่อ วิลเฮล์ม เฮเกล (George Wilhelm Hegel, 1770-1831)
และจากนั้น ครูอีก 2 ชุดก็ตามมา นั่นคือ 1. สมาชิก ชมรมเฮเกเลี่ยนหนุ่ม (the Young Hegelians’ Club) และ 2. ผู้คนสาขาอาชีพต่าง ๆ ที่อยู่ในมหาวิทยาลัยและภายนอก โดยเฉพาะชาวนาและกรรมกรที่เขาได้พบได้ฟังปัญหาชีวิตในช่วง 3-4 ปีต่อจากนั้น
และก็เพราะคนเหล่านั้น เมื่อมาร์กซหมดโอกาสได้เป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัย มาร์กซจึงเลือกทำงานหนังสือพิมพ์ และข้อมูลที่เขาเขียนก็ได้จากผู้ใช้แรงงานเหล่านั้น ส่วนกรอบความคิดและแง่มุมในการเขียนข้อมูลและวิเคราะห์ปัญหาเหล่านั้นก็เกิดจากการถกเถียง, แก้ไข, ขัดเกลาและพัฒนามาจากครูทั้ง 3 กลุ่มแรกนั่นเอง
จากนั้น เราจึงได้รับรู้สาระสำคัญของ ความคิดมาร์กซ หรือที่เรียกว่า ลัทธิมาร์กซ โดยแบ่งออกเป็น 3 ด้าน คือ I. ด้านปรัชญาและประวัติศาสตร์ II. ด้านเศรษฐกิจ และ III. ด้านการเมือง สังคมและวัฒนธรรม

ด้านปรัชญาและประวัติศาสตร์
หลักการมองสังคมตามแนวคิดของมาร์กซอันดับแรก คือ


1. การอธิบายพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ตามหลักคิดวัตถุนิยม (A Materialist Interpretation of History) หมายความว่าโลกนี้มีพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง แต่สังคมมนุษย์เคลื่อนไปข้างหน้าเป็นลำดับขั้นหลายยุคสมัย
ที่เรียกทฤษฎีดังกล่าวว่า “วัตถุนิยมประวัติศาสตร์” (Historical Materialism) หมายความว่าโลกนี้เป็นโลกของวัตถุ โลกเปลี่ยนแปลงไปเป็นลำดับหรือระยะเพราะการเคลื่อนไหวและความขัดแย้งของวัตถุ
โลกนี้ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ วัตถุ (material) หรือสสาร (matter) และจิต หรือวิญญาณ (mind or spirit)
วัตถุ หรือสสาร มีทั้งสิ่งที่จับต้องได้ รวมทั้งหลายส่วนเป็นนามธรรม ตั้งแต่คน หิน ดิน น้ำ ต้นไม้ ดวงตะวัน ดวงดาว เมฆ ฝน สิ่งแวดล้อมทั้งหลาย ท้องฟ้า คลื่นไฟฟ้า อากาศ อุณหภูมิ ตลอดจนความคิดที่ได้ถูกแปรเป็นวัตถุ เช่น อาหาร เครื่องใช้ เสื้อผ้า การประชุม องค์กรต่าง ๆ ที่ก่อตั้งขึ้น ตัวหนังสือ บทความ สุนทรพจน์ คำสั่ง ศาสนา ฯลฯ
แต่ในโลกที่มีทั้งวัตถุและจิตรวมทั้งนามธรรมเหล่านี้ วัตถุทั้งหลายมีบทบาทสำคัญ แต่ละยุคสมัย วัตถุก็คือตัวกำหนดจิตใจ และความคิดต่าง ๆ
มาร์กซเห็นว่าโลกนี้ได้ผ่านพัฒนาการมาแล้ว 3 ยุค คือ
1. ยุคชุมชนบุพกาล (Primitive society) อันเป็นยุคที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษย์ ผู้คนมีเสื้อผ้าน้อยชิ้น อาศัยอยู่ตามถ้ำ หาอยู่หากินเหมือนสัตว์ และต่อจากนั้น ก็ค่อยพัฒนาขึ้นเป็นลำดับ เช่น การใช้เสียง การใช้สัญลักษณ์ การใช้ไฟ การจุดไฟ เอาอาหารดิบมาทำให้สุกและพัฒนาวิธีการปรุงอาหาร ฯลฯ การรวมกลุ่ม ช่วยเหลือกัน การหาเครื่องนุ่งห่ม การเพาะปลูก การเลี้ยงสัตว์ การเริ่มมีสิ่งของเครื่องใช้ส่วนตัว
สังคมบุพกาล คนรู้จักแม่ที่ให้นมลูก เลี้ยงดูลูก แต่ไม่รู้จักพ่อ แม่ย่อมมีบทบาทในการใช้ชีวิตร่วมกัน ขณะที่ฝ่ายชายออกล่าสัตว์ จนเมื่อกลุ่มก้อนเข้มแข็งมากขึ้น ๆ มีการล่าสัตว์ได้มากขึ้น การเพาะปลูกทำได้ดีขึ้น ชายที่มีความสามารถก็เริ่มพัฒนาฝีมือในการล่าสัตว์ ทำเครื่องมือและอาวุธ การสู้รบแย่งชิงอาหาร และสะสมอาหาร ของมีค่า รวมทั้งกำลัง ชายก็เริ่มมีบทบาทมากขึ้น ได้ครอบครองสตรี 1 คนหรือหลายคน ฯลฯ ที่สำคัญการมีและสะสมทรัพย์สินส่วนตัว เริ่มทำให้เกิดการต่อสู้แข่งขันแย่งชิงสิ่งที่อยากได้ การต่อสู้ระหว่างกลุ่มเริ่มรุนแรงเพื่อแย่งชิงอาหาร กำลังคน และสุดท้ายก็จบลงที่ฝ่ายแพ้เสียชีวิต หรือถูกจับกุมเป็นเชลย
สังคมยุคที่ 2 สังคมทาส (Slave society) เมื่อทาสถูกคุมขัง ต้องไปทำงานรับใช้อีกฝ่ายหนึ่ง นอกจากมีกองกำลังสู้รบ ก็ทำหน้าที่ควบคุมทาส ดูแลคุก หัวหน้ามีระบบลูกน้องคอยรับใช้งานด้านต่าง ๆ มีการออกคำสั่ง - กฎเกณฑ์เพิ่มขึ้นเพื่อให้สังคมอยู่เป็นระเบียบ เริ่มมีพ่อมดหมอผี ปลุกเสก ทำพิธีอวยพรหัวหน้า มีคู่สมรสเพิ่ม ลูกเกิดใหม่ มีการแบ่งงานเป็นฝ่าย ๆ เช่น อาหาร ผลิตเสื้อผ้า ปลูกพืชผัก ล่าสัตว์ ทำถนน สร้างบ้านพัก ฯลฯ หัวหน้าชุมชนทาสยิ่งทำงานได้ดี มีลูกน้องไพร่พลมากขึ้น ๆ ก็ขยายอาวุธ กองกำลัง อำนาจ ขยายดินแดนออกไป ฯลฯ
ยุคนี้เป็นยุคแรกในประวัติศาสตร์ที่สังคมแยกออกเป็น 2 ชนชั้น คือ ชนชั้นเจ้าทาสและคณะผู้รับใช้เจ้าทาส และอีกชนชั้นหนึ่งคือ ทาส ซึ่งถูกจองจำ ไร้สิทธิเสรีภาพและทรัพย์สินทั้งปวง ต้องทำงานรับใช้นายทาส ชนชั้นเจ้าทาสกุมอำนาจบัญชาการทุกด้าน การตัดสินคดีและความขัดแย้ง มีทหาร ตำรวจ เพื่อควบคุมทาสและปกครองลูกน้อง
เมื่อเกิดกบฏทาสลุกขึ้นสู้หลายครั้ง สังคมจึงเข้าสู่ยุคที่ 3 คือ ยุคศักดินา (Feudal society) แบ่งเป็น 2 ชนชั้นใหญ่อีกครั้ง นั่นคือ ชนชั้นเจ้าที่ดิน และชนชั้นไพร่ ยุคนี้ชนชั้นสูงพัฒนาตำแหน่ง และยศถาบรรดาศักดิ์อย่างซับซ้อนและยิ่งใหญ่ ตลอดจนการแต่งกาย เครื่องประดับที่อลังการ ฯลฯ ชีวิตของไพร่มิได้ถูกล่ามโซ่ตรวนหรือถูกนำไปเร่ขายเป็นสินค้าเหมือนทาส แต่ก็ต้องทำงานบนที่ดินที่เป็นของชนชั้นเจ้าที่ดิน ต้องสังกัดเจ้าขุนมูลนาย ยังคงไร้สิทธิเสรี และต้องทำงานรับใช้เจ้าที่ดิน
จนกระทั่ง เกิดการค้าขายมากขึ้น ๆ โลกมีสินค้าที่กระจัดกระจาย เป็นที่ต้องการของหลายภูมิภาค การค้าขายนำไปสู่การลงทุนทำการค้าและผลิตสินค้าออกมาจำหน่าย เศรษฐกิจยิ่งเติบโต พ่อค้ายิ่งสะสมทุน นำทุนไปทำโรงงานผลิตสินค้า จึงต้องการแรงงานไพร่มาเป็นกรรมกร
ชนชั้นไพร่ต่อสู้สลัดแอกจากการจองจำแบบศักดินา ไปเป็นกรรมกรในโรงงาน สังคมยุคที่ 4 คือสังคมทุนนิยม (Capitalist society) ที่มาร์กซกำลังประสบ จึงตามมา มีชนชั้นนายทุนเจ้าของโรงงานและค้าขาย อีกชนชั้นหนึ่งคือ กรรมกรที่หลุดจากไพร่ติดที่นามาขายแรงในโรงงานต่าง ๆ สังคมการผลิตด้วยเครื่องจักรกลที่ทันสมัยพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว หลังโลกยุคล่าอาณานิคม เกิดโรงงานและการผลิตสินค้ามากมายส่งไปยังประเทศต่าง ๆ แรงงานชนบทดิ้นรนหาเสรีภาพไปทำงานที่โรงงาน ชนชั้นกลางทำงานรับใช้ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมที่เร่งผลิตและซื้อขายสินค้า ชนชั้นนายทุนต้องการทำกำไรสูงสุดจากการลงทุน กรรมกรก็ต้องรวมตัวกันเรียกร้องขอค่าแรงเพิ่ม ให้รัฐดูแลสวัสดิการของพวกตนและดูแลชาวนาจน ๆ ที่ตกค้างมากมายในเขตชนบท ฯลฯ
นี่คือวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ ที่มาร์กซสรุปมาจากความคิดของเฮเกล โดยเฮเกลเห็นว่า โลกมีกระบวนการพัฒนามาเป็นลำดับ แต่เป็นการพัฒนาด้านความคิด หรือจิตวิญญาณ ซึ่งมาร์กซเห็นว่าวัตถุต่างหากที่มีบทบาทสำคัญเหนือจิตใจ ระบบเศรษฐกิจต่างหากที่เป็นรากฐานของสังคม และความขัดแย้งก็ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง


และแล้วต้นปี ค.ศ. 1848 มาร์กซและเองเกลส์ก็สร้างปรากฏการณ์ที่ชุมชนกรรมกรทั้งหลายตกตะลึง นั่นคือ ทั้งสองได้ร่วมกันเขียน แถลงการณ์ชาวคอมมิวนิสต์ (the Communist Manifesto) ให้แก่สันนิบาตคอมมิวนิสต์ (the Communist League) โดยเรียงลำดับพัฒนาการสังคมยุคต่าง ๆ ดังที่กล่าวมาข้างต้นจนถึงยุคทุนนิยม ในขณะนั้น และพยากรณ์ว่าชนชั้นกรรมกรจะรวมพลังกันโค่นล้มสังคมทุนนิยม และสถาปนาระบบสังคมใหม่คือ ระบบสังคมนิยม ที่อำนาจรัฐจะตกอยู่ในมือของชนชั้นผู้ใช้แรงงาน และผลประโยชน์ของสังคมก็จะเคลื่อนไปอยู่กับผู้ใช้แรงงานทั้งมวล และเมื่อระบบการจัดการความขัดแย้งทางชนชั้นระหว่างนายทุนกับกรรมกรหมดไปทีละขั้น ๆ สังคมนิยมที่ชนชั้นกรรมกรใช้อำนาจบริหารรัฐก็จะค่อย ๆ หมดบทบาทลงไป สังคมคอมมิวนิสต์ก็จะปรากฏขึ้นแทนที่ต่อจากนั้น อันจะเป็นสังคมในอนาคตที่จะไม่มีชนชั้น และไม่มีการกดขี่ขูดรีดทางชนชั้นอีกต่อไป


2. แนวคิดวัตถุนิยมนี้มิได้ปฏิเสธบทบาทของจิต แต่เห็นว่า วัตถุและสิ่งแวดล้อมรอบคนเราต่างหากที่มีบทบาทสำคัญหรืออิทธิพลต่อจิต กำหนดรูปการณ์ของจิตให้เป็นอย่างไร และมีบทบาทให้จิตเกิดการเปลี่ยน แปลง วัตถุเกิดก่อนและมีบทบาทต่อจิตก่อน ต่อจากนั้น จิตจึงมีบทบาทตามมา
แนวคิดที่ว่าวัตถุมีบทบาทเหนือจิต และกำหนดจิต เช่น อากาศหนาว ทำให้ต้องทำให้ร่างกายอบอุ่น ร่างกายเมื่อยล้าหรือหิว ก็ทำให้เกิดความต้องการพักผ่อนหรือกินข้าว เราเติบโตในสังคมไทย เราพูดภาษาไทย คนในเขตหนาวต้องทำงานหนักเพื่อเตรียมอาหารไว้ในบางฤดู ต้องสร้างบ้านที่แข็งแรงเพื่อเอาชีวิตรอด หรือเมื่อไม่มีการลงโทษคนไม่สวมหมวกกันน็อคอย่างจริงจัง คนจำนวนมากขึ้นก็ไม่สวมใส่ แต่วางไว้ที่ตะกร้า อย่างไรก็ดี เมื่อสภาพทางวัตถุเป็นเช่นไร ก็จะมีบทบาทหรืออิทธิพลต่อจิต และการรับรู้ ต่อจากนั้นก็จะเกิดความคิด หรือความรู้สึกบางอย่างเพื่อที่จะจัดการแก้ไขสภาพทางวัตถุที่เป็นปัญหา ฯลฯ


3. แนวคิดวัตถุนิยมที่กล่าวมาเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่เคยหยุดนิ่ง ก็เพราะวิภาษวิธี (Dialectic) หรือแนวคิดว่าด้วยคู่ขัดแย้ง หมายความว่า 1.สรรพสิ่งในโลกนี้เปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหว ไม่เคยหยุดนิ่ง ไม่มีสิ่งใดที่เป็นอยู่อย่างไรก็เป็นเช่นนั้นตลอดไป 2. เพราะแต่ละสิ่งจะมีระบอบหรือปัจจัยที่เกิดขึ้นและเป็นหลักปรากฏอยู่ (เรียกว่า ข้อเสนอ - Thesis) และแล้วก็ได้เกิดสิ่งใหม่ขึ้นมา ที่ขัดแย้งกับสิ่งที่อยู่ก่อนหน้า (เรียกว่า ข้อขัดแย้ง - Antithesis) ความขัดแย้งระหว่างสิ่งที่ดำรงอยู่ก่อนกับสิ่งที่เกิดใหม่แล้วออกมาต่อต้าน จะกลายเป็นความขัดแย้งที่เข้มข้นมากขึ้น ๆ จนในที่สุดก็จะถึงจุดเปลี่ยน เกิดการผสมผสานเพื่อสลายคู่ความขัดแย้งนั้น และปรากฏออกมาเป็นสิ่งใหม่ที่เรียกว่า ข้อสรุปใหม่ - Synthesis นับเป็นการผสมผสานสิ่งดี ๆ ของคู่ขัดแย้งนั้นมาหลอมรวมเกิดเป็นสิ่งใหม่
ดังนั้น จากข้อสรุปใหม่ - Synthesis ที่เกิดขึ้นและได้รับการยอมรับก็จะกลายเป็นข้อเสนอ - Thesis ที่มีบทบาทขึ้นมาเป็นข้อเสนอหลักในสังคม และแล้วหลังจากนั้นก็จะมีข้อขัดแย้ง - Antithesis ขึ้นมาเป็นคู่ความขัดแย้งอันใหม่ สังคมพัฒนาเช่นนี้เรื่อยไปในทุก ๆ สิ่ง และคู่ความขัดแย้งนี้เองที่ทำให้สรรพสิ่งเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่สิ้นสุด
จากนี้ เมื่อเรานำ 2 สิ่งข้างต้น (คือวัตถุนิยมและวิภาษวิธีนี้มารวมกัน ก็จะเป็นสิ่งที่เรียกว่า วัตถุนิยมวิภาษวิธี (Dialectical Materialism) ก็คือ การที่วัตถุเกิดขึ้นและดำรงอยู่ แต่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นลำดับ เนื่องจากปัจจัยที่อยู่ของวัตถุเหล่านั้น มีคู่ของความขัดแย้งดำรงอยู่ และพัฒนาต่อ ๆ ไปดังที่ได้กล่าวแล้ว


4. จากแนวคิดที่ได้ระบุไว้ กล่าวคือ 1. ทุกสิ่งมีคู่ความขัดแย้งเสมออยู่ในนั้น 2. สิ่งดังกล่าวจึงเคลื่อนไหวไปอย่างต่อเนื่อง ไม่มีที่สิ้นสุด ด้วยเหตุดังกล่าว เมื่อพูดถึงหลักคิดวัตถุนิยมของมาร์กซ (Marxist materialism) จึงไม่จำเป็นต้องเขียนอีก 2 คำให้ยาวออกไป เป็นการเสียเวลา 2 คำนั้นก็คือ 1. วิภาษวิธี (Dialectical) ก็เพราะสิ่งเหล่านั้นมีคู่ความขัดแย้งอยู่ในนั้นแล้ว และ 2. แห่งประวัติศาสตร์ (Historical) ทั้งนี้ ก็เพราะสิ่งต่าง ๆ เคลื่อนไหวโดยไม่เคยหยุดนิ่งมาตั้งแต่อดีตอันไกลโพ้นแล้ว การใช้คำว่า วัตถุนิยม (หรือ วัตถุนิยมแบบมาร์กซ) ก็นับว่าเพียงพอแล้ว ไม่ต้องถามว่าแบบวิภาษวิธี หรือแบบประวัติศาสตร์หรือไม่ ให้เสียเวลา
ตัวอย่าง จะเห็นได้ว่าเมื่อสตรีมีครรภ์ มีชีวิตใหม่เกิดขึ้นในท้อง ด้านเจริญเติบโตก็พัฒนาขึ้น ๆ เป็นด้านหลัก จนคลอดออกมาก็ยังมีบทบาทเติบโตเป็นเด็ก วัยรุ่น และผู้ใหญ่ ครั้นเมื่อทุกอย่างเจริญไปถึงจุด ๆ หนึ่ง สุขภาพร่างกาย หรือโรคภัยไข้เจ็บก็เริ่มมีบทบาทมากขึ้น และพัฒนาเป็นด้านหลัก ทำให้ร่างกายเหนื่อยล้า อ่อนแรง และร่วงโรยไปจนล้มป่วยและเสียชีวิตในที่สุด หรือมีอุบัติเหตุระหว่างทางให้กายนั้นต้องดับสิ้นลงเร็วกว่าที่ควร ต่อจากนั้น ไม่ว่าร่างกายที่เป็นศพนั้นจะถูกเผาหรือฝังในสุสาน ปัจจัยที่อยู่ในร่างคือเนื้อ เลือด กระดูกก็จะต่อสู้ขัดแย้งกัน และแปรธาตุไปจนร่างกายนั้นไม่มี หรือเปลวไฟเผาผลาญให้เหลือแต่กระดูกไม่กี่ก้อน และคู่ความขัดแย้งนั้นก็จะดำเนินต่อ เพื่อให้กระดูกนั้นต้องย่อยสลายลงไปจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของธุลีดินไปในที่สุด วัตถุดังที่ว่าเปลี่ยนรูปไปแล้ว จากสภาพที่มีชีวิต สิ้นชีวิต และเหลือธุลีเล็ก ๆ ที่ล่องลอยไปในระบบจักรวาลนี้.


28 กันยายน 2567

whitebanner