บทศึกษาลัทธิมาร์กซ-เลนิน...ทฤษฎีเติ้งเสี่ยวผิง
โดย ชาญณรงค์ เตชะรัชต์กิจ

(บทศึกษาชิ้นนี้มุ่งศึกษาความมหัศจรรย์ของการสร้างสรรค์เศรษฐกิจจีน ตามแนวคิด “ทฤษฎีเติ้งเสี่ยวผิง” และตอบข้อกังขาในความคิดของผู้เขียนตลอดมาว่า จีนยังเป็นประเทศสังคมนิยมอยู่หรือไม่ พิจารณาจากหลักการอะไรของลัทธิมาร์กซ - เลนิน ?)

 


(ตอนที่ 1)
ระเบียบการพรรคคอมมิวนิสต์จีน ระบุถึงแนวความคิดชี้นำของพรรคฯ คือลัทธิมาร์กซ – เลนิน ความคิดเหมาเจ๋อตุง และทฤษฎีเติ้งเสี่ยวผิง
ประวัติพรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้สรุปถึงการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในจีน 3 เหตุการณ์คือ การปฏิวัติซินไห่ของซุนยัดเซน โค่นล้มระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ในปี ค.ศ. 1911, การปฏิวัติประชาธิปไตยแผนใหม่ของเหมาเจ๋อตุง ปลดปล่อยสังคมจีนจากกึ่งเมืองขึ้นกึ่งศักดินาเป็นสังคมแบบสังคมนิยมโดยพื้นฐานในปี 1949 และการปฏิรูปเปิดประเทศของเติ้งเสี่ยวผิง ตั้งแต่ปี 1978 ที่ช่วยให้ประชาชนจีนมีชีวิตความเป็นอยู่พอมีพอกินใส่อุ่นนอนสบายถึงทุกวันนี้.
พรรคคอมมิวนิสต์จีนให้ความสำคัญกับความคิดเหมาเจ๋อตุง ในฐานะแนวความคิดของการทำสงครามปลดปล่อยประเทศจากการรุกรานของญี่ปุ่น และปลดแอกจากการปกครองแบบเผด็จการขุนศึกทุจริตคดโกงของเจียงไคเชค ขณะที่ให้ความสำคัญกับความคิดเติ้งเสี่ยวผิงในฐานะ “ทฤษฎี” ที่เป็นระบบและเป็นวิทยาศาสตร์ ในการสร้างสรรค์สังคมนิยมอัตลักษณ์จีน.

 


ประวัติความเป็นมา
เหมาเจ๋อตุงประสบความสำเร็จในการนำการปฏิวัติปลดปล่อยประเทศ แต่หลังจากยึดอำนาจรัฐทั่วประเทศ สถาปนาระบอบสังคมนิยมขึ้นโดยพื้นฐานแล้ว หลักคิดแนวทางเข็มมุ่งนโยบายการพัฒนาประเทศผิดพลาดเป็นส่วนใหญ่ จนสร้างความหายนะแก่ประเทศจีนอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะการก่อกระแส “ปฏิวัติใหญ่ทางวัฒนธรรม” ตั้งแต่ปี 1966 – 1976 ประวัติพรรคฯ ประเมินว่าเป็น “ความผิดพลาดในวัยชราของเหมาเจ๋อตง”.
หลังการปฏิวัติใหญ่ทางวัฒนธรรม และเหมาเจ๋อตุงถึงแก่อสัญกรรมเมื่อเดือนกันยายน 1976 ประชาชนจีนราว 200 ล้านคน มีชีวิตความเป็นอยู่ยากจนข้นแค้น ต่ำกว่าเส้นขีดความยากจน ถึงขนาดไม่มีธัญญาหารเพียงพอบริโภคตลอดปี สินค้าอุปโภคบริโภคทุกอย่างล้วนต้องปันส่วน มีคูปองปันส่วนตั้งแต่ข้าวสาร ไข่ไก่ เนื้อสัตว์ เสื้อผ้า กระทั่งใบยาสูบ เศรษฐกิจตกต่ำ การผลิตติดลบต่อเนื่อง ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีล้าหลังประเทศสหรัฐอเมริกาและกลุ่มประเทศยุโรปหลายสิบปี.
เดือนกรกฎาคม 1977 เติ้งเสี่ยวผิงได้รับการฟื้นคืนตำแหน่งในพรรคคอมมิวนิสต์ และรัฐบาล เมื่อเวทีเปิด เติ้งเสี่ยวผิงกลายเป็นผู้แบกรับภารกิจการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศที่แทบจะล้มละลายอย่างสิ้นเชิง เขาตั้งคำถามว่า “สังคมนิยมจะต้องแสดงให้เห็นจุดเด่นของตนเอง ทำไมจึงได้กลายเป็นสภาพเช่นนี้ ปฏิวัติมานาน 20 กว่าปี แต่ยังคงยากจนอยู่ พวกเราจะยังต้องการสังคมนิยมไปเพื่ออะไร ?”
ภารกิจอันดับแรกที่เติ้งเสี่ยวผิงคิด คือการขจัดความยากจนไม่มีกินของประชาชนจีน จะให้ประชาชนหลุดพ้นจากความยากจนได้อย่างไร ?
เติ้งเสี่ยวผิงใช้หลักคิดลัทธิมาร์กซ – เลนินวิเคราะห์สภาพสังคมเศรษฐกิจการเมืองวัฒนธรรมจีนขณะนั้น เริ่มต้นจากความเป็นจริง และเสนอหลักการ “ปฏิรูปเปิดประเทศ”
เขาวิเคราะห์ความขัดแย้งหลักในสังคมจีนต่างจากเหมาเจ๋อตุง เหมายืนยันความคิดเดิมว่าความขัดแย้งหลักในสังคมจีนหลังการปฏิวัติปลดปล่อยประเทศ ยังเป็นความขัดแย้งระหว่างชนชั้นกรรมาชีพกับชนชั้นนายทุน เป็นความขัดแย้งระหว่างทุนนิยมกับสังคมนิยม เติ้งเสี่ยวผิงเห็นว่าประเทศจีนได้เปลี่ยนสู่ระบอบสังคมนิยมโดยพื้นฐานแล้ว ระบอบกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน โดยเฉพาะที่ดินได้แปรเป็นของส่วนรวม หรือนัยหนึ่งสาธารณะ ความขัดแย้งหลักในสังคมจึงเป็นความขัดแย้งระหว่างความคาดหวังของประชาชนที่จะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ กับเศรษฐกิจที่ล้าหลัง พลังการผลิตตกต่ำ ขาดการพัฒนา.
เติ้งเสี่ยวผิงใช้หลักทฤษฎีพื้นฐานลัทธิมาร์กซ – เลนิน ว่าด้วยพื้นฐานทางเศรษฐกิจในสังคมกับโครงสร้างส่วนบน พื้นฐานทางเศรษฐกิจก็คือการผลิตในสังคม คนและความรู้ความชำนาญในการผลิตเป็นหัวใจสำคัญ ตามมาด้วยความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความรู้ทางการบริหารจัดการ, เครื่องจักรเครื่องกลโรงงานฯ ล้วนประกอบขึ้นเป็นพลังการผลิตในสังคม.
พลังการผลิตในสังคมถูกครอบงำโดยความสัมพันธ์ทางการผลิต นั่นคือใครเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตในสังคม สังคมทุนนิยม เอกชนโดยชนชั้นนายทุนเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต เป็นเจ้าของที่ดินโรงงานเครื่องจักร, ทุนและความรู้ทางการผลิต เป็นต้น ถ้าเป็นสังคมจีนในเวลานั้นคือรัฐ และส่วนรวม เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตส่วนใหญ่ที่สุดในสังคม เอกชนจีนเป็นเพียงผู้ใช้แรงงานในคอมมูน, ในแปลงเกษตรรวมหมู่ หรือโรงงาน หรือในร้านค้า, สำนักงานของรัฐ.
แผนการผลิตทุกอย่างในสังคมถูกกำหนดโดยอำนาจรัฐส่วนกลาง ซึ่งเป็นลักษณะรวมศูนย์กำหนดให้คอมมูนหนึ่งต้องผลิตข้าวเปลือกหรือข้าวฟ่างหรือข้าวโพดให้ได้ปีละกี่ชั่ง โรงงานหลอมเหล็กต้องหลอมเหล็กออกมาปีละกี่ตัน โรงงานต้องทำตะปูกี่กิโลกรัม ปูนซีเมนต์กี่ถุง บุหรี่กี่ซอง เย็บเสื้อผ้ากี่ตัวต่อปี แบบเสื้อผ้าเป็นแบบเดียวกันหมด ส่วนใหญ่เป็นเสื้อคอปิดที่เรียกว่า “เสื้อจงซาน” ชาวนาคนหนึ่งจะมีสิทธิ์ได้รับปันส่วนข้าวสารเท่าไหร่ต่อสัปดาห์หรือต่อเดือน ได้ปันส่วนเนื้อหมูกี่กิโลกรัมต่อเดือน และไข่กี่ฟองต่อสัปดาห์ต่อเดือน เป็นต้น.
ตลาดเสรีให้เกษตรกรนำผลิตผลส่วนเกินมาขายหรือแลกเปลี่ยนแทบจะไม่มีในสังคม เพราะเอกชนแต่ละคนไม่ได้รับอนุญาตให้ผลิตสินค้าส่วนเกินของตนเอง อาจจะผลิตพอกินภายในครอบครัวได้ แต่นำมาขายไม่ได้ กระทั่งช่วงหนึ่งไม่อนุญาตให้ครอบครัวชาวนาทำอาหารในครัวเรือนของตนเอง ทุกคนต้องไปกินอาหารรวมหมู่ ณ ห้องอาหารของคอมมูน ในโรงงานก็กินอาหารรวมหมู่จากครัวกลางของโรงงาน ทุกคนกิน “ข้าวหม้อใหญ่” ไม่อนุญาตให้ทำครัวกินกันเองในครอบครัว.
ในด้านของการแบ่งปัน เดิมถือการแบ่งปันตามปริมาณแรงงานที่ทำที่ใช้ของแต่ละคน แต่เหมาเจ๋อตุงเห็นว่า การแบ่งปันตามการใช้แรงงานไม่เป็นธรรม การให้เงินรางวัลหรือโบนัสไม่ถูกต้อง เป็นระบอบทุนนิยม ให้เปลี่ยนเป็นการแบ่งปันแบบถัวเฉลี่ย ทุกคนได้แบ่งปันในสัดส่วนเท่ากันหมด คนขยัน คนขี้เกียจ คนทำงานหนัก คนไม่ทำงาน ได้ปันส่วนถัวเฉลี่ยเท่ากัน เกิดระบบที่เรียกว่า “ชามข้าวเหล็ก”
เติ้งเสี่ยวผิงมองว่าความสัมพันธ์ทางการผลิตข้างต้น เป็นห่วงโซ่ที่ครอบงำผูกมัดให้พลังการผลิตในสังคมไม่สามารถพัฒนาได้ ทุกคนทุกโรงงานทุกคอมมูนไม่ต้องคิดไม่ต้องวางแผน ทำตามแผนที่กำหนดจากส่วนกลางอย่างเดียว คนขยัน คนขี้เกียจ คนไม่ทำงาน ล้วนได้รับการแบ่งปันเสมอกัน การพัฒนาพลังการผลิตไม่เกิดขึ้น ผลผลิตถดถอยลดน้อย เพราะเอกชนไม่มีแรงจูงใจในการทำงาน จะทำงานหนักไปทำไมเมื่อทำแล้วก็ได้แบ่งปันถัวเฉลี่ยเท่ากับคนไม่ทำงาน.

 


(ตอนที่ 2)
เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ทางการผลิต แก้ไขโครงสร้างส่วนบน ปลดปล่อยและพัฒนาพลังการผลิต
แล้วจะปลดปล่อยพลังการผลิต เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ทางการผลิตให้กลับมาเกื้อหนุนการพัฒนาของพลังการผลิตได้อย่างไร ?
ทฤษฎีลัทธิมาร์กซ - เลนิน ถือการผลิตเป็นพื้นฐานของสังคม ขณะเดียวกันก็มีโครงสร้างส่วนบนเป็นอำนาจวางแผนกำกับควบคุมการผลิต และการแบ่งปันในสังคม อำนาจส่วนนี้ประกอบด้วยระบอบการเมืองการปกครอง, ข้ารัฐการ, ระบบกฎหมาย, ระบบการศึกษา, วัฒนธรรม และความเชื่อคุณค่าในสังคม ฯลฯ.
กล่าวในบริบทของประเทศจีน คือพรรคคอมมิวนิสต์จีน, รัฐบาล และกลไกอำนาจรัฐระดับชั้นต่าง ๆ แนวทางเข็มมุ่งนโยบาย รวมตลอดถึงความเชื่อในลัทธิมาร์กซ - เลนิน และความคิดเหมาเจ๋อตุง ทั้งหมดเป็นกลไกของอำนาจรัฐที่วางแผนควบคุมพื้นฐานการผลิตในสังคม หากแนวทางนโยบายเข็มมุ่งของพรรคคอมมิวนิสต์ และรัฐบาลจีนถูกต้อง การผลิตในสังคมย่อมจะพัฒนาก้าวหน้าตามลำดับ จีนล้าหลังทางการผลิตเพราะโครงสร้างส่วนบนครอบงำกดทับอย่างไม่ถูกต้อง ฉะนั้น ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างชั้นบนของสังคม ย่อมไม่สามารถพัฒนาพื้นฐานการผลิตในสังคมได้.
หลังจากนายกรัฐมนตรีฮว่ากั๋วเฟิง ร่วมกับนายพลเย่เจี้ยนอิง และหลี่เซียนเนี่ยน โค่นล้มกลุ่ม 4 คนในปลายปี 1976 แล้ว ถึงปี 1978 แนวคิดสมัยปฏิวัติวัฒนธรรมยังคงครอบงำพรรคคอมมิวนิสต์จีน, ผู้ปฏิบัติงานพรรคฯ ข้ารัฐการตลอดจนปัญญาชน ชนชั้นกลาง และชนชั้นล่างทั่วไป. แนวคิดที่ว่า “ยอมเอาสังคมนิยมและลัทธิคอมมิวนิสต์ที่ยากจน ไม่ยอมเอาทุนนิยมที่มั่งคั่ง” มองปัญหาทุกอย่างเป็นเรื่องขัดแย้งทางชนชั้น กระตุ้นการผลิตในสังคมด้วยการปลุกระดมมวลชนให้มีสำนึกทางการเมือง ปฏิเสธการใช้แรงจูงใจด้านวัตถุ ละเลยการพัฒนาพลังการผลิต จนเข้าลักษณะจิตนิยมเพ้อฝัน ห่างไกลจากความเป็นจริง ไม่รับรู้ความต้องการของมวลชน.
ช่วงปี 1977 – 1979 นายกรัฐมนตรีฮว่ากั๋วเฟิงไม่ได้ปลดปล่อยความคิดเป็นอิสระจากการครอบงำของความคิดผิด ๆ ในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม เขายังเสนอเข็มมุ่งผิด ๆ เช่น “ขอแต่ให้เป็น 2 ประการ” ของเหมาเจ๋อตุง นั่นคือ “ขอเพียงแต่ให้เป็นนโยบายที่กำหนดโดยประธานเหมาเจ๋อตุง เราก็ต้องพิทักษ์อย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ขอเพียงแต่ให้เป็นคำชี้แนะของประธานเหมาเจ๋อตุง เราก็จะต้องปฏิบัติตามอย่างไม่ลังเลตลอดไป”
นักคิดปัญญาชนล้วนหดหัวไม่กล้าเสนอความคิดเห็นที่ขัดแย้งกับความคิดเหมาเจ๋อตุง ใครเสนออะไรต่างออกไปจะถูกปรักปรำป้ายสีว่าเป็นพวกแนวคิด “ขวาจัด” เดินหนทาง “ทุนนิยม” เหมือนกะลาที่ครอบงำความคิดก้าวหน้าในสังคม และครอบงำประดิษฐกรรมการสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด.
ในโครงสร้างส่วนบนด้านรูปการณ์จิตสำนึก เติ้งเสี่ยวผิงเสนอให้ “ปลดปล่อยความคิด” ถ้าไม่ปลดปล่อยความคิดความเชื่อค่านิยมผิด ๆ ของเหมาเจ๋อตุงในวัยชรา จีนไม่อาจพัฒนาบรรลุเป้าหมาย 4 ทันสมัยที่เสนอโดยอดีตนายกรัฐมนตรีโจวเอินไหลในปี 1963 ได้ (เกษตรกรรมทันสมัย, อุตสาหกรรมทันสมัย, ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทันสมัย และอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศทันสมัย)
เติ้งเปลี่ยนภารกิจหลักของพรรคคอมมิวนิสต์จีนจากการต่อสู้ทางชนชั้น เป็นการสร้างสรรค์เศรษฐกิจ เพื่อบรรลุความกินดีอยู่ดีของประชาชน จะปฏิบัติภารกิจหลักนี้ได้อย่างไร เมื่อสังคมยังถูกโซ่ความคิดที่ไม่ถูกต้องพันธนาการผูกมัดอย่างแน่นหนา.

 


(ตอนที่ 3)
ปลดปล่อยความคิดให้เป็นอิสระ
สิ่งแรกที่เติ้งเสี่ยวผิงเสนอ คือปลดปล่อยความคิด ปลดปล่อยจากอิทธิพลการครอบงำของความคิดที่ผิดของเหมาเจ๋อตุงในวัยชรา ปลดปล่อยจากอิทธิพลความคิดของการปฏิวัติวัฒนธรรม.
จะปลดปล่อยความคิดได้อย่างไร หากผู้นำของพรรคคอมมิวนิสต์ยังเชื่อว่าคำพูดนโยบายคำชี้แนะของเหมาเจ๋อุตงถูกต้องเป็นสัจธรรมทั้งหมด พรรคฯ และรัฐบาลไม่ต้องคิดอะไร ทำตามแบบเหมาเจ๋อตุง นั่นคือ “ขอแต่ให้เป็น 2 ประการ” ก็เพียงพอ.
ปี 1978 - 1979 เกิดวิวาทะในสังคมจีนว่าสังคมนิยมคืออะไร จะสร้างสังคมนิยมอย่างไร แนวทางเข็มมุ่งนโยบายที่เคยกำหนดโดยเหมาเจ๋อตุงเป็นสัจธรรมสัมบูรณ์หรือไม่ การปลดปล่อยความคิดจะเป็นการถลำสู่แนวทางทุนนิยมหรือไม่ ?
เติ้งเสี่ยวผิงและนักคิดส่วนใหญ่ในเวลานั้น เสนอว่าต้องปลดปล่อยความคิดด้วยการแสวงหาสัจจะจากความเป็นจริง เริ่มต้นค้นคว้าวิเคราะห์สภาพเศรษฐกิจสังคมการเมืองที่เป็นจริงของจีน แล้วกำหนดเป็นแนวทางเข็มมุ่งนโยบายการปฏิวัติปลดปล่อยและพัฒนาพลังการผลิต ใช้การปฏิบัติเป็นบรรทัดฐานในการตรวจสอบสัจธรรม.
ปลดปล่อยความคิดเป็นอิสระแล้ว จะปลดปล่อยและพัฒนาพลังการผลิตอย่างไร ?
เติ้งเสี่ยวผิงกลับมาพิเคราะห์โครงสร้างส่วนบนว่ามีส่วนใดเป็นอุปสรรคขัดขวางการพัฒนาพลังการผลิตในสังคมจีนที่ผ่านมา ?
ประการแรก ก็คือ การรวมศูนย์อำนาจที่ส่วนกลาง พรรคฯ และรัฐบาลกำหนดทุกสิ่งทุกอย่างเป็นแผนนโยบายสู่ท้องถิ่นทั่วประเทศ ส่วนท้องถิ่นเพียงปฏิบัติตามแนวทางนโยบายและโครงการที่กำหนดโดยส่วนกลางเท่านั้น ขณะที่ส่วนกลางกลับเหินห่างสภาพความเป็นจริง เหินห่างมวลชน เกิดชนชั้นขุนนางใหม่ โครงการพัฒนาที่ประกาศออกมาไม่สอดคล้องความเป็นจริง ไม่ได้ยึดถือความต้องการของประชาชนเป็นหัวใจในการวางแผนวางโครงการผลิต.
ประการที่สอง มองในแง่มุมเศรษฐกิจ การจัดความสัมพันธ์ทางการผลิตแบบการผลิตรวมหมู่และคอมมูนในชนบท การยึดถือกรรมสิทธิ์ส่วนรวมเป็นเพียงรูปแบบเดียวของระบบกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ดินเครื่องจักรโรงงาน ทำลายกรรมสิทธิ์รูปแบบรองอื่น ๆ กรรมสิทธิ์รวมหมู่ และกรรมสิทธิ์เอกชนถูกยกเลิก มีเพียงกรรมสิทธิ์ส่วนกลาง หรือส่วนรวม การแบ่งปันยึดถือระบบถัวเฉลี่ยเท่ากันทุกคน ไม่ยึดถือระบบการแบ่งปันตามปริมาณการใช้แรงงานที่ทำจริง ตลาดสินค้าแลกเปลี่ยนซื้อขายถูกยกเลิก หรือมีน้อยมาก เพราะเอกชนไม่ได้รับอนุญาตให้ขายผลิตผลส่วนเกินในตลาด ถูกบังคับให้ต้องขายแก่ภาครัฐเท่านั้น.
ประการที่สาม เศรษฐกิจของประเทศล้าหลังถดถอย ไม่ได้พัฒนาความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทักษะการบริหารจัดการสมัยใหม่ เนื่องจากนโยบายการปิดประเทศ หรือกึ่งปิดประเทศ ประกอบกับการปิดล้อมของสหรัฐอเมริกา และกลุ่มประเทศพันธมิตร ซ้ำเติมให้จีนขาดแคลนความรู้ ขาดแคลนทุน และขาดแคลนทักษะที่ก้าวหน้าทั้งปวง.
ประการที่สี่ ระบบการศึกษาของประเทศล้าหลัง การปฏิวัติวัฒนธรรมได้ยกเลิกการสอบเข้ามหาวิทยาลัยนับสิบปี การคัดเลือกคนเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยพิจารณาจากพื้นฐานทางชนชั้นของครอบครัว, ทัศนะและพฤติกรรมการปฏิวัติ, ประวัติการเข้าร่วมปฏิวัติวัฒนธรรม การเชิดชูเหมาเจ๋อตุง คนเก่งไม่มีที่ยืนในสังคม ถ้าไม่ปฏิวัติเชิดชูเหมาเจ๋อตุง มาตรฐานการศึกษาตกต่ำ นักศึกษาด้อยคุณภาพความรู้ แน่นอนว่าการพัฒนาประเทศต้องการคนเก่งและคนดีควบคู่กันไป เติ้งเสี่ยวผิงฟื้นระบบการสอบเข้ามหาวิทยาลัย คัดเลือกนักเรียนนักศึกษาที่มีความรู้ความสามารถเป็นคนเก่งเป็นคนดี จนสามารถสร้างบุคลากรที่เก่งและดีในการพัฒนาเศรษฐกิจการเมืองสังคมของประเทศจนถึงปัจจุบัน.
เติ้งเสี่ยวผิงกล่าวว่า คนทั่วไปรับรู้ว่า “สังคมนิยมก็คือระบบกรรมสิทธิ์ส่วนรวม แบ่งปันค่าตอบแทนตามการใช้แรงงาน บริหารเศรษฐกิจด้วยวิธีวางแผน บริหารการเมืองด้วยเผด็จการชนชั้นกรรมาชีพ ชูลัทธิมาร์กซเป็นธงชี้นำการสร้างสรรค์ประเทศ... ถูกต้อง แต่ไม่ครอบคลุมถึงธาตุแท้ที่เป็นวิทยาศาสตร์ของสังคมนิยม เพราะหลักการของวัตถุนิยมประวัติศาสตร์จะพิจารณาการเปลี่ยนแปลงของสังคม ด้วยทัศนะพื้นฐานของความขัดแย้งระหว่างกำลังการผลิต กับความสัมพันธ์ทางการผลิต และความขัดแย้งระหว่างโครงสร้างส่วนบนกับพื้นฐานทางเศรษฐกิจ.”
งานแรกจึงเป็นการกระจายอำนาจให้อิสระแก่ท้องถิ่น เริ่มต้นจากความเป็นจริงของท้องถิ่น ให้ผู้บริหารกำหนดแนวทางเข็มมุ่งนโยบายใหม่ที่สอดคล้องกับแนวคิดปลดปล่อยพลังการผลิต อนุญาตให้วางแผนการบริหารจัดการ และการผลิตภายในมณฑล, นคร และเมืองได้เอง มีอิสระบริหารจัดการวิสาหกิจของตนเอง.
อดีตนายกรัฐมนตรีจ้าวจื่อหยาง สมัยดำรงตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลกวางตุ้ง ได้เริ่มพัฒนาพลังการผลิตด้วยการยกเลิกระบบกรรมสิทธิ์ส่วนรวมเพียงรูปแบบเดียว กระจายที่ดินให้เอกชนรับไปเพาะปลูกเอง เกิดระบบการผลิตในครัวเรือน และต่อมาพัฒนาเป็นระบบสัญญารับเหมาการผลิตของครัวเรือน อนุญาตให้เปิดตลาดชุมชน ส่วนที่ผลิตเกินสามารถนำไปขายในตลาดได้ ปลูกผัก, เลี้ยงหมูเลื้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ได้ ผลผลิตไข่และเนื้อขายให้รัฐส่วนหนึ่ง ส่วนที่เกินขายในตลาดได้.
เอกชนเกิดความตื่นตัวในการผลิต สามารถขายผลิตผลส่วนเกินนำเงินมาใช้จ่ายซื้อสินค้าที่ต้องการได้ เกิดกระแสการเร่งผลิต เร่งหาความรู้ทักษะในการเพิ่มผลิตผลทางการเกษตร ซึ่งก็คือการปลดปล่อยพลังการผลิตในชนบท ตลาดเริ่มแสดงบทบาทในการกำหนดอุปสงค์อุปทานในการผลิตสินค้าในสังคม เศรษฐกิจคึกคักมีชีวิตชีวาทันตาเห็น.
ความสำเร็จของการปฏิรูปทางเศรษฐกิจรูปแบบจ้าวจื่อหยาง ได้กลายเป็นแบบอย่างให้มณฑลอื่น ๆ ลอกเลียนปฏิบัติตาม ประชาชนจีนชื่นชมจ้าวจื่อหยาง ขนาดมีคำกล่าวเปรียบเทียบว่า “ถ้าต้องการมีข้าวกิน ให้ถามหาจ้าวจื่อหยาง” แซ่จ้าวนี้ออกเสียงตรงกับคำภาษาจีนว่า “จ่าว” นั่นคือการถามหานั้นเอง.
ยกเลิกการแบ่งปันแบบถัวเฉลี่ย คนทำงานมากใช้แรงงานมาก ได้ปันผลมาก คนทำงานน้อยได้แบ่งปันน้อย คนไม่ทำงานไม่ได้แบ่งปัน ยกเลิกระบบครัวกลาง ครัวเรือนในชนบททำอาหารกินภายในครอบครัวได้.
เติ้งเสี่ยวผิงชี้นำอย่างแหลมคมว่า “สังคมนิยมไม่ใช่การถัวเฉลี่ยความยากจน” เป้าหมายของสังคมนิยมคือความกินดีอยู่ดี มั่งคั่งร่ำรวยด้วยกัน เขากระตุ้นให้ผู้ปฏิบัติงานของพรรคฯ รู้จักคิด คิดดีแล้ว ลงมือปฏิบัติ ทดลองทำทีละขั้นทีละตอน เติ้งไม่ได้บังคับให้ทุกมณฑลต้องทำตามแบบมณฑลกวางตุ้ง ใครเห็นดีเห็นควร ลอกเลียนและพลิกแพลงให้เข้ากับความเป็นจริงของมณฑลตนเอง นำไปทดลองปฏิบัติ.
ช่วงปี 1978 – 1982 มูลค่าของเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมเติบโตเฉลี่ยปีละ 7.3 % ปี 1982 รายได้เฉลี่ยของชาวนาเท่ากับ 270 หยวนต่อคนต่อปี โตกว่าปี 1978 ประมาณ 1 เท่าตัว รายได้กรรมกรถัวเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็นปีละ 500 หยวนต่อคนต่อปี เพิ่มขึ้น 38.3 % เมื่อเทียบกับปี 1978.
ระบบการผลิตแบบรวมหมู่ และคอมมูน ได้ทยอยถูกยกเลิกไปตั้งแต่ปี 1979 เกิดระบบกรรมสิทธิ์ส่วนรวมเป็นรูปแบบหลักของการครอบครองปัจจัยการผลิต ตามด้วยกรรมสิทธิ์เอกชนรูปแบบต่าง ๆ เป็นส่วนเสริม จนถึงปี 1984 จึงมีการยกเลิกระบบคอมมูนจนหมด ถึงปี 1987 ครอบครัวเกษตรกรได้สมัครเข้าร่วมระบบรับเหมาการผลิตถึง 97 %.
ในด้านอุตสาหกรรมการผลิต ปี 1987 ผลิตผลอุตสาหกรรมที่ผลิตตามคำสั่งของรัฐบาลจากส่วนกลางลดลงจาก 120 อย่าง เหลือเพียง 60 อย่าง การจัดสรรทรัพยากรสนองการผลิตของรัฐลดลงจาก 259 ชนิด เหลือเพียง 23 ชนิด สินค้าที่รัฐบริหารจัดการลดลงจาก 188 เหลือเพียง 23 รายการ.
เมื่อชนบทปลดปล่อยพลังการผลิต ด้วยการยกเลิกความสัมพันธ์ทางการผลิตที่ผิดพลาด และระบบโครงสร้างส่วนบนด้านการเมืองการจัดตั้งที่ผิดพลาด ผลผลิตทางการเกษตรเพิ่มทวีขึ้น ชาวชนบทที่เคยยากจนข้นแค้น กลับกลายเป็นกินอิ่มใส่อุ่นนอนสบาย ก้าวต่อไปจึงเริ่มการปฏิรูปปลดปล่อยเมือง.
เมืองที่ประกอบด้วยการผลิตทางอุตสาหกรรมและการค้าเป็นหลัก เกิดระบบการให้เอกชนรับเหมาโรงงานไปบริหารจัดการผลิตเอง ด้วยการทำสัญญาผลิตส่งให้ภาครัฐครบถ้วนตามข้อกำหนด ส่วนที่เหลือขายในท้องตลาดได้ เอกชนเปิดทำธุรกิจใหม่ผลิตสินค้ารูปแบบใหม่ ๆ ได้ หลังจากชำระภาษีตามกฎหมาย รายได้ที่เหลือเก็บเป็นส่วนตัวได้ กรรมกรในโรงงานที่ทำงานมากทำงานล่วงเวลา ย่อมได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น ได้โบนัสจากการทำงานหนัก ปรากฏการณ์ผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวเพิ่มขึ้นเร็วกว่าและมากกว่าในชนบท.
อย่างไรก็ดี แม้เอกชนส่วนหนึ่งจะใจกล้า บุกเบิกประกอบธุรกิจใหม่ ๆ แต่ส่วนใหญ่ในช่วงปี 1979 – 1984 เอกชนส่วนใหญ่ที่อยากจะเป็นผู้ประกอบการใหม่ กลับไม่กล้าลงมือทำกิจการอย่างจริงจังและทุ่มเท ด้วยกลัวว่านโยบายของภาครัฐจะกลับฟื้นข้อกล่าวหาเดินหนทางทุนนิยม ถูกลงโทษกลั่นแกล้งจำคุกประจานเหมือนประสบการณ์สมัยปฏิวัติวัฒนธรรม ส่วนใหญ่จึงรอดูแนวทางนโยบายของพรรคฯ และรัฐบาลให้ชัดเจนและมั่นคงจนมั่นใจได้ก่อน.
ประการต่อมาคือ การปลดปล่อยความคิดในหมู่สมาชิก และผู้ปฏิบัติงานพรรคคอมมิวนิสต์ ตลอดจนข้ารัฐการ ปัญญาชน ชาวบ้านร้านถิ่น ย่อมต้องอาศัยระยะเวลาเรียนรู้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เกิดคำถามปัญหาโต้แย้งในท้องถิ่นในสังคมในเมืองตลอดเวลา เช่น
ชาวบ้านในนครอู๋หู มณฑลอันฮุยครอบครัวหนึ่งเห็นช่องทางทำธุรกิจคั่วเมล็ดแตงโมขาย เริ่มจากการใช้แรงงานของตนเอง และครอบครัว เมื่อขายดีขึ้นก็จ้างแรงงานมาช่วย จนจ้างแรงงานเกินกว่า 8 คน และมีรายได้มากกว่า 1 ล้านหยวนต่อปี ผู้ปฏิบัติงานพรรคฯ และข้ารัฐการที่มีหน้าที่กำกับธุรกิจ พิจารณาว่าเป็นนายทุน เดินหนทางทุนนิยม เกิดการโต้แย้งบานปลายจนต้องเสนอขอคำชี้แนะจากส่วนกลาง.
เติ้งเสี่ยวผิงแสดงทัศนะจุดยืนการปฏิรูปปลดปล่อยพลังการผลิต ด้วยการชี้นำว่าการจ้างแรงงานเกินกว่า 8 คน ไม่ทำให้ผู้ประกอบการเป็นนายทุน ผู้เดินหนทางทุนนิยม การทำกำไรปีละ 1 ล้านหยวนก็ไม่ใช่เป็นทุนนิยม เติ้งออกคำชี้แนะว่า สังคมนิยมไม่ใช่ความยากจน ความยากจนไม่ใช่ความต้องการของระบอบสังคมนิยม ต้องเปิดโอกาสให้คนจำนวนหนึ่งที่ทำงานด้วยความอุตสาหะขยันอดทนร่ำรวยขึ้นมาได้ก่อน “อนุญาตให้คนกลุ่มหนึ่งในพื้นที่หนึ่งมั่งคั่งขึ้นมาก่อน พื้นที่ที่พัฒนาขึ้นมาก่อนก็ผลักดันและช่วยเหลือพื้นที่ที่พัฒนาหลัง...” นโยบายของรัฐต่อนี้ต้องไม่เปลี่ยนแปลง.
เมื่อเอกชนมีความมั่นใจในนโยบายของรัฐ กระแสความตื่นตัวในการประกอบการผลิตใหม่ ๆ อาชีพใหม่ ๆ จึงเกิดขึ้น ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางผุดขึ้นเหมือนเห็ดในฤดูฝน การซื้อขายแลกเปลี่ยนในตลาดเพิ่มมากขึ้น ตลาดขยายตัวอย่างรวดเร็ว เกิดคำถามขึ้นมาอีกว่า สังคมจีนกำลังเดินสู่หนทางทุนนิยมหรือเปล่า เพราะแนวคิดเหมาเจ๋อตุงและการปฏิวัติวัฒนธรรมปลูกฝังตลอดมาว่า ระบบสังคมนิยมคือเศรษฐกิจวางแผนจากส่วนกลาง ส่วนระบบทุนนิยมคือเศรษฐกิจตลาดสินค้าเสรี.
เติ้งเสี่ยวผิงชี้นำว่า เป้าหมายแท้จริงของแนวคิดสังคมนิยม คือ “ปลดแอกแรงงาน พัฒนากำลังการผลิต กำจัดการขูดรีด ขจัดความแบ่งแยกเป็นสองขั้ว และบรรลุความมั่งคั่งร่วมกันในที่สุด” ทั้ง “อย่าเข้าใจผิดว่า เศรษฐกิจแบบวางแผนคือแนวคิดสังคมนิยม แล้วเข้าใจว่า เศรษฐกิจแบบตลาดคือแนวคิดทุนนิยม ทั้ง 2 ประเภทเป็นเพียงแค่ วิธีการ สามารถนำไปใช้ได้ทั้งหมด”
ทุนนิยมมีการผลิตสินค้ามีตลาด และกลไกการตลาด มีอุปสงค์อุปทานในตลาด ขณะเดียวกันก็มีการวางแผนจากหน่วยงานบริหารจัดการภาครัฐ สังคมนิยมมีการวางแผน มีการผลิตสินค้าและมีการตลาดเช่นเดียวกัน ถ้าใช้การวางแผนและการตลาดรับใช้ประชาชน ย่อมถือเป็นสังคมนิยม ถ้าใช้การวางแผนการตลาดรับใช้เอกชน นั่นคือทุนนิยม.
สังคมนิยมจีนถือการวางแผนจากส่วนกลางเป็นหลัก ขณะเดียวกันได้เปิดให้อุปสงค์อุปทานเป็นตัวขับเคลื่อนตลาด ขับเคลื่อนการผลิต ขับเคลื่อนนวัตกรรมใหม่ ๆ ในการผลิตสินค้า ตลาดสินค้าจึงเป็นทางระบายของการผลิต อุปสงค์อุปทานเป็นตัวจัดสรรการผลิต บทบาทการกำหนดการผลิตของภาครัฐลดลง ระบบเศรษฐกิจเปลี่ยนจากระบบวางแผนจากส่วนกลางอย่างเดียว เป็นระบบการผลิตสินค้ารูปแบบตลาดสังคมนิยม บนพื้นฐานระบอบกรรมสิทธิ์ส่วนรวมเป็นองค์หลัก เสริมด้วยระบอบกรรมสิทธิ์เอกชนอันหลากหลายรูปแบบเกื้อหนุน.
หลังจากปลดปล่อยความคิดให้เป็นอิสระ ปฏิรูปและพัฒนาพลังการผลิต ยกเลิกความสัมพันธ์ทางการผลิตที่ครอบงำผูกมัดพลังการผลิต ปรับเปลี่ยนแนวทางเข็มมุ่งนโยบาย และการบริหารจัดการของพรรคฯ และรัฐบาล ให้เอื้อต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ ยึดถือประชาชนเป็นศูนย์กลาง แล้วจะเร่งพัฒนาการผลิตให้ทวีเพิ่มขึ้นได้อย่างไร ?

 


(ตอนที่ 4)
การเปิดประเทศ
ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งความรู้ด้านการบริหารจัดการสมัยใหม่ เครื่องจักรเครื่องกลทันสมัย เป็นพลังการผลิตสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ เติ้งยอมรับภาวะล้าหลังของจีนในพลังการผลิต เช่นนั้นจะแก้ปัญหาอย่างไร ?
นั่นคือที่มาของแนวคิดในการเปิดประเทศ เปิดรับความรู้ที่ก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของตะวันตกและประเทศที่พัฒนาแล้ว มาเร่งขับเคลื่อนการผลิตในสังคมจีนให้ทันสมัย ทันความเรียกร้องต้องการของประชาชนจีนที่ต้องการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จีนส่งผู้ปฏิบัติงานระดับสูงและระดับบริหารไปดูงานต่างประเทศนับร้อย ๆ คณะ โดยเฉพาะการศึกษาเรียนรู้จากประสบการณ์ของลีกวนยูในการสร้างสรรค์พัฒนาสิงคโปร์ ปี1980 เติ้งเสี่ยวผิงนำคณะผู้ปฏิบัติงานระดับสูงเดินทางไปดูความก้าวหน้าของสหรัฐอเมริกาและยุโรปด้วยตนเอง.
คำถามที่ตามมาคือ จะเปิดประเทศอย่างไร ?
การเปิดประเทศย่อมหมายถึงการเปิดตลาด รองรับสินค้าใหม่ ๆ ที่ก้าวหน้าของโลกตะวันตก รับความรู้ทักษะการลงทุน ความรู้ทางการบริหารจัดการ เงินทุน และบุคลากรทางวิชาชีพที่เชี่ยวชาญ ตลอดจนเครื่องจักรเครื่องกลสมัยใหม่.
ข้อเสนอสำคัญคือ การเปิดเขตเศรษฐกิจพิเศษชายฝั่งทะเลเพื่อรองรับแนวคิดข้างต้น เลขาธิการพรรคฯ มณฑลกวางตุ้ง นายสีจงชวินเสนอว่า หากต้องการใช้ประโยชน์จากจุดเด่นทางภูมิศาสตร์ของฮ่องกงและมาเก๊า ก็ควรจะมีนโยบายสิทธิพิเศษเพื่อนำร่องการเปิดประเทศ.
เกิดข้อโต้แย้งขึ้นอีกว่า การเปิดเขตเศรษฐกิจพิเศษ เป็นการพัฒนาสู่เส้นทางทุนนิยม หรือสังคมนิยม ?
เติ้งเสี่ยวผิงได้เสนอบรรทัดฐานผลดี 3 ประการในการพิจารณาการปฏิรูปเปิดประเทศ และการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ รวมทั้งนโยบายอื่น ๆ ว่า ให้ดูจาก “เป็นผลดีต่อการพัฒนากำลังการผลิตของสังคมนิยมหรือไม่, เป็นผลดีต่อการเพิ่มพูนพลังของประเทศสังคมนิยมหรือไม่, เป็นผลดีต่อการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้สูงขึ้นหรือไม่”.
การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษเริ่มต้นจากเขตเซินเจิ้นในมณฑลกวางตุ้ง แล้วต่อมาเปิดเพิ่มตลอดแนวชายฝั่งทะเลตะวันออก 14 เมืองท่า ตั้งแต่เขตต้าเหลียนทางเหนือถึงเป่ยไห่ทางใต้ รวมจูไห่, ซานโถวของมณฑลกวางตุ้ง, เซี้ยเหมิน ในมณฑลฝูเจี้ยน, ไห่หนาน เป็นต้น.
เติ้งเสี่ยวผิงชี้นำต่อว่า “ถ้าพื้นที่ไหนพัฒนาได้ก็อย่าไปกีดกั้น มีเงื่อนไขก็ให้พัฒนาไปเร็ว ๆ ขอแต่ให้มีประโยชน์มีคุณภาพ จะทำตามแบบของต่างประเทศก็ไม่เป็นไรไม่ต้องห่วง จุดสำคัญคือต้องจับโอกาสให้เหมาะเจาะ”
มีการกำหนดรูปแบบการร่วมมือและลงทุนจากต่างประเทศ 3 รูปแบบ คือ การร่วมทุนระหว่างภาครัฐหรือเอกชนจีนกับบริษัทต่างประเทศ, การร่วมมือระหว่างภาครัฐหรือเอกชนจีนกับต่างประเทศ และการลงทุนจากต่างประเทศโดยตรง ขณะเดียวกันก็ซื้อความรู้และเทคโนโลยีนำเข้าจากต่างประเทศโดยตรง.
เริ่มแรกผู้ปฏิบัติงานพรรคฯ ข้ารัฐการ และผู้ประกอบการเกิดความกังวลไม่กล้าทุ่มเทดำเนินการตามนโยบาย เติ้งเสี่ยวผิงต้องกระตุ้นว่า การปฏิรูปเปิดประเทศเป็นสิ่งที่จีนไม่เคยทำมาก่อน จึงต้องใจกล้าทดลองทำทีละขั้นทีละจุดทีละพื้นที่ ใช้แนวคิด “คลำก้อนหินข้ามแม่น้ำ” เมื่อทำไประดับหนึ่ง ต้องรู้จักพินิจพิเคราะห์สรุปบทเรียน ผิดพลาดแก้ไข ถูกต้องเดินหน้าต่อไป.
เติ้งเสี่ยวผิงสรุปในปี 1992 ว่า การปฏิรูปเปิดประเทศเป็นสิ่งที่ต้องทำ และต้องกล้าทำ “การปฏิรูปเปิดประเทศสู่ภายนอกต้องมีความกล้าหาญ กล้าทดลอง เมื่อได้พิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็ต้องลงมือทำด้วยความกล้าหาญ...” ความสำเร็จของเซินเจิ้นจึงเกิดขึ้นและเป็นแบบอย่างในการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษอื่น.
ในทางเศรษฐกิจ ปฏิรูปปลดปล่อยและพัฒนาพลังการผลิต แก้ไขความสัมพันธ์ทางการผลิตที่ไม่ถูกต้องไม่สอดคล้องความเป็นจริง ปรับเปลี่ยนโครงสร้างส่วนบนด้านการเมืองการปกครองและระบบกฎหมาย เปิดประเทศรับความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความรู้ทางการบริหารจัดการสมัยใหม่ และเงินทุน เติ้งเสี่ยวผิงคิดค้นในเชิงลึกต่อไปว่า จะป้องกันการพัฒนาที่หลงทิศผิดทางแปรเปลี่ยนเป็นทุนนิยมแบบรัสเซียและประเทศยุโรปตะวันออกได้อย่างไร ?

 


(ตอนที่ 5)
หลักการพื้นฐาน 4 ประการ
ท่ามกลางการปฏิรูปเปิดประเทศขนานใหญ่ เติ้งเสี่ยวผิงเสนอหลักการพื้นฐาน 4 ประการ ให้ทั่วทั้งพรรคคอมมิวนิสต์ และรัฐบาลจีน ประชาชนจีนยึดมั่น คือ
1. ยืนหยัดพัฒนาเศรษฐกิจบนหนทางสังคมนิยม แน่วแน่ไม่แปรเปลี่ยนสู่แนวทางอื่น.
2. ยืนหยัดการปกครองด้วยระบบเผด็จการประชาธิปไตยประชาชน.
3. ยืนหยัดการนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีน.
4. ยืนหยัดลัทธิมาร์กซ - เลนิน และความคิดเหมาเจ๋อตุง.

 


เพื่อความมั่นคงของระบอบสังคมนิยม และเสถียรภาพของอำนาจรัฐ
ภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์ เติ้งเสี่ยวผิงเสนอเข็มมุ่ง “จับทั้งสองด้าน” และ “จับให้มั่นคงแข็งแรงทั้งสองด้าน” นั่นคือด้านหนึ่งเน้นการปฏิรูปเปิดประเทศ อีกด้านหนึ่งเน้นปราบปรามการกระทำผิดกฎหมาย กวาดล้างปรากฏการณ์ชั่วร้าย, มือหนึ่งจับการบริหารปรับปรุงปฏิรูปอย่างลึกซึ้ง อีกมือหนึ่งจับงานความคิดการเมืองการสร้างสรรค์พรรคฯ มือหนึ่งปฏิรูปเปิดประเทศ อีกมือหนึ่งยึดหลักการพื้นฐาน 4 ประการให้มั่นคง และมือหนึ่งสร้างสรรค์อารยธรรมทางวัตถุ อีกมือหนึ่งสร้างสรรค์อารยธรรมทางจิตใจ.
เติ้งเสี่ยวผิงวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจที่นำสู่การประท้วงของขบวนการนักศึกษาปัญญาชนและประชาชน ณ จัตุรัสเทียนอันเหมิน ช่วง 6 เมษายน - 4 มิถุนายน 1989 ว่าเกิดจากผลของการปฏิรูปเปิดประเทศ ที่ทำให้เศรษฐกิจพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วร้อนแรงเกินไป ประชาชนส่วนหนึ่งมีรายได้เพิ่มสูงขึ้น ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น เกิดความสุรุ่ยสุร่าย แสวงหาความสำราญอย่างไร้ขอบเขต เกิดความเสื่อมทรามทางชีวิตและจิตใจ.
ขณะเดียวกัน การเปิดตลาดสินค้า การเปิดระบบรับผิดชอบการผลิต และกำไรขาดทุนของผู้จัดการหรือคณะผู้บริหารโรงงานร้านค้า ทำให้ผู้บริหารส่วนหนึ่งมีรายได้สูงขึ้น การเก็งกำไรจากการซื้อถูกในราคากำหนดของรัฐ แล้วขายราคาสูงกว่าในตลาดเสรี ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ การใช้อภิสิทธิ์ตำแหน่งหน้าที่ หรือลูกหลานผู้นำระดับสูง การฉ้อราษฎร์ทุจริตประพฤติมิชอบ คนส่วนหนึ่งร่ำรวยขึ้นมาด้วยวิธีการไม่ถูกต้องหลีกเลี่ยงกฎหมาย หรืออาศัยช่องโหว่ของกฎหมายสังคมนิยมที่ยังปฏิรูปไม่ทันระบบเศรษฐกิจ เกิดความเสื่อมทรามทั่วไปในสังคม ซ้ำเติมด้วยภาวะเงินเฟ้อรุนแรงจากการปรับมูลค่าราคาสินค้าในช่วงปี 1988 ประชาชนจำนวนหนึ่งจึงไม่พอใจสภาพเศรษฐกิจสังคมการเมืองในเวลานั้น ภาพพจน์เกียรติภูมิพรรคคอมมิวนิสต์ตกต่ำ ฯลฯ.
เติ้งเสี่ยวผิงเห็นว่าปัญหาข้างต้นปะทุรุนแรง เนื่องจากการยึดกุมปฏิบัติแนวทางพื้นฐาน 4 ประการ ทำไม่ตลอด ยึดกุมไม่มั่น เข็มมุ่งการจับทั้งสองมือสองด้านมีจุดอ่อน คือมือหนึ่งแข็งในด้านการปฏิรูป อีกมือหนึ่งอ่อนในด้านการปราบปรามการฉ้อฉลทุจริตประพฤติมิชอบ ด้านการสร้างสรรค์อารยธรรมทางวัตถุประสบความสำเร็จ แต่ด้านการสร้างสรรค์อารยธรรมทางจิตใจอ่อนเปราะ.
เติ้งเสี่ยวผิงยังมองอีกว่า จุดเด่นของสังคมนิยมที่เหนือกว่าทุนนิยม นอกจากระดับการพัฒนาที่เร่งได้เร็วกว่า รวมศูนย์ปัจจัยการผลิตที่เป็นคุณได้มากกว่า เศรษฐกิจเจริญเติบโตได้สูงกว่าในระยะเวลาเดียวกัน อารยธรรมทางจิตใจของสังคมนิยมก็สูงกว่าทุนนิยม ฉะนั้นจะต้องเน้นงานความคิดทางการเมืองแก่สมาชิกพรรคฯ และผู้ปฏิบัติงานพรรคฯ ข้ารัฐการ, ปัญญาชนนักศึกษา และประชาชนทั่วไป.
ตัวอย่างรูปธรรมของการชี้นำปรากฏชัดเมื่อพูดถึงการตั้งเป้าให้กวางตุ้งไล่ทันเศรษฐกิจของ 4 มังกรแห่งเอเชีย เติ้งเสี่ยวผิงชี้นำว่า นอกจากจะต้องไล่ทันทางเศรษฐกิจแล้ว ต้องทำให้ระเบียบทางสังคมและค่านิยมทางสังคมดีขึ้นด้วย ต้องให้อารยธรรมทั้งทางวัตถุและทางจิตใจแซงหน้า 4 มังกรแห่งเอเชีย จึงจะเรียกได้ว่าเป็น “สังคมนิยมอัตลักษณ์จีน”.

(ตอนที่ 6)
แนวทางการเมือง และแนวทางจัดตั้ง
เติ้งเสี่ยวผิงมองว่าถ้าจีนมีปัญหา ปัญหาจะเกิดจากภายในพรรคคอมมิวนิสต์จีนเอง.
ในโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพื้นฐานทางเศรษฐกิจในสังคมกับโครงสร้างส่วนบน ระบบการเมืองการปกครอง พรรคคอมมิวนิสต์จีน แนวทางนโยบายเข็มมุ่งของพรรคฯ มีบทบาทสำคัญยิ่งในการเกื้อหนุน หรือขัดขวางความก้าวหน้าของเศรษฐกิจ.
พรรคคอมมิวนิสต์ที่ยึดอำนาจรัฐได้สำเร็จ จะต้องมีแนวทางการเมืองที่ถูกต้อง หากมีแนวทางการเมืองที่ผิดพลาด ไม่สอดคล้องกับลักษณะความเป็นจริงทางสังคมและเศรษฐกิจ การพัฒนาย่อมล้มเหลว ดังกรณีแนวทางการเมืองของเหมาเจ๋อตุงช่วงหลังการปฏิวัติปลดปล่อยประเทศ อาทิเช่นการรณรงค์ก้าวกระโดดใหญ่ในปี 1958 – 1961 ทำให้ประชาชนจีนอดอยากตายไม่น้อยกว่า 15 – 50 ล้านคน การเร่งเข้าสู่สังคมคอมมิวนิสต์ด้วยการยกเลิกกรรมสิทธิ์เอกชนรูปแบบอื่น ๆ เหลือแต่กรรมสิทธ์ส่วนรวมรูปแบบเดียว การเร่งบีบบังคับให้เกษตรกรเข้าร่วมในคอมมูน การสถาปนาคอมมูนทั่วประเทศ การยึดเครื่องจักรโรงงานเข้าเป็นรัฐวิสาหกิจ กระทั่งการปฏิวัติใหญ่ทางวัฒนธรรม การปิดประเทศ ละเลยความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เน้นหนักเพียงการต่อสู้ทางชนชั้นในสังคม หลงลืมการพัฒนาพลังการผลิต ประชาชนอดอยากยากแค้นกินไม่อิ่มใส่ไม่อุ่นนอนไม่สบาย.
แนวทางการเมืองที่เป็นส่วนของโครงสร้างชั้นบนต้องเอื้ออำนวยต่อการปฏิรูปเปิดประเทศ เติ้งจึงเสนอปลดปล่อยความคิดให้เป็นอิสระ ไม่ถูกผูกมัดด้วยแนวทางที่ผิดพลาดของเหมาเจ๋อตุงและกลุ่ม 4 คนในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม เมื่อนายกรัฐมนตรีฮว่ากั๋วเฟิงที่เหมาเจ๋อตงแต่งตั้งเป็นรองประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีนคนที่ 1, รองประธานคณะกรรมการกลางพรรคฯ, รองประธานคณะกรรมการทหารกลาง และนายกรัฐมนตรีช่วงต้นปี 1976 ต่อมาเป็นประธานพรรคฯ ในสมัชชาพรรคฯ ชุดที่ 11 ปี 1977 ไม่สามารถปรับเปลี่ยนความคิดและความเชื่อสู่แนวทางการเมืองใหม่ เป็นลักษณะผู้ปฏิบัติงานระดับนำในพรรคที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาปลดปล่อยพลังการผลิต และการปฏิรูปความสัมพันธ์ทางการผลิตใหม่ ฮว่ากั๋วเฟิงจึงถูกลดบทบาทลงเรื่อย ๆ จนปี 1980 หูเย่าปังขึ้นเป็นเลขาธิการพรรคฯ ขณะที่ฮว่ากั่วเฟิงยังเป็นประธานพรรคฯ แล้วขอลาออกจากตำแหน่ง หูเย่าปังจึงเป็นประธานพรรคคอมมิวนิสต์แทน จ้าวจื่อหยางเป็นนายกรัฐมนตรีแทนฮว่ากั๋วเฟิงเช่นกัน.
แนวทางการเมืองต้องมีแนวทางการจัดตั้งที่ถูกต้องเป็นหลักประกัน เติ้งเสี่ยวผิงเห็นจุดอ่อนการจัดตั้งเวลานั้น ประกอบด้วยระบบและการทำงานแบบลัทธิขุนนาง ใช้อภิสิทธิ์รูปแบบต่าง ๆ, การรวมศูนย์อำนาจล้นเกิน ประชาธิปไตยหย่อนยาน สรรเสริญเชิดชูตัวบุคคล ละเลยระบบการนำรวมหมู่ ฯลฯ
เติ้งจึงยกเลิกตำแหน่งประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน เปลี่ยนเป็นเลขาธิการใหญ่แทน ยกเลิกระบบการดำรงตำแหน่งตลอดชีวิต กำหนดวาระการดำรงตำแหน่ง และเกษียณอายุของผู้ปฏิบัติงานและข้ารัฐการทุกระดับ กระจายอำนาจแยกตำแหน่งในพรรคฯออกจากรัฐบาล เช่นให้หยางช่างคุนเป็นประธานาธิบดี หูเย่าปังเป็นเลขาธิการใหญ่ของพรรคฯ จ้าวจื่อหยางเป็นนายกรัฐมนตรี เติ้งเสี่ยวผิงเป็นประธานคณะกรรมการกลางทหาร เป็นต้น.
ระบบการจัดตั้งของพรรคคอมมิวนิสต์ คณะกรรมการกรมการเมืองถือเป็นองค์กรที่มีอำนาจสูงสุด ในคณะกรรมการกรมการเมืองประมาณ 25 คน มีการเลือกตั้งคณะกรรมการประจำกรมการเมืองประมาณ 7 คน เป็นองค์กรสูงสุดในการออกนโยบาย, เข็มมุ่ง, คำชี้แนะ กำกับควบคุมภาครัฐ ช่วงการประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์สมัยที่ 11 ปี 1977 องค์ประกอบในคณะกรรมการกลาง และกรมการเมืองยังมีสมาชิกบางส่วนที่เป็นสมัครพรรคพวกของกลุ่ม 4 คน หรือพวกที่เติบโตจากการปฏิวัติวัฒนธรรม และไม่สามารถปรับความคิดให้เข้ากับนโยบายใหม่ในการปฏิรูปเปิดประเทศ.
เติ้งเสี่ยวผิงจึงปฏิรูปองค์กรคณะกรรมการกรมการเมือง และคณะกรรมการประจำกรมการเมืองใหม่ แม้ไม่ตัดลดกรรมการเก่า แต่ใช้วิธีเพิ่มจำนวนกรรมการกรมการเมือง และกรรมการประจำกรมการเมืองใหม่ นำนักปฏิวัติอาวุโส เช่น เฉินหยุน, หลี่เซียนเนี่ยน, หยางซ่างคุน, เติ้งอิ่งเชา เข้าเป็นกรรมการ เน้นให้คณะกรรมการประจำและคณะกรรมการกรมการเมืองทำงานประสานร่วมมือกัน และร่วมมือกับคณะกรรมการกลางพรรคฯ ส่งเสริมการนำรวมหมู่ ยุติการสรรเสริญยกย่องตัวบุคคล ฟื้นท่วงทำนองที่ดีเด่นในด้านทฤษฎีประสานการปฏิบัติ, ศึกษาเรียนรู้สัมพันธ์มวลชนใกล้ชิด และวิจารณ์และวิจารณ์ตนเอง.
ในเวลาเดียวกัน เติ้งส่งเสริมระบบจัดตั้งแบบประชาธิปไตยรวมศูนย์ เขาวิพากษ์ยุคสมัยการนำของเหมาเจ๋อตุง (1949 – 1976) ว่าโน้มเอียงไปในด้านการรวมศูนย์จากบนสู่ล่าง ด้านประชาธิปไตยอ่อนแอ ผู้ปฏิบัติงานระดับสูงไม่ได้ใกล้ชิดสัมพันธ์มวลชนสนิทแน่นแฟ้น ไม่ได้รับฟังความคิดความเห็นข้อเสนอแนะจากมวลชนและผู้ปฏิบัติงานระดับล่าง สั่งการจากส่วนกลางแนวทางเดียว ระบบกฎหมายอ่อนแอ กระบวนการยุติธรรมถูกทำลายสมัยปฏิวัติวัฒนธรรม การปกครองแบบนิติรัฐนิติธรรมสูญสลาย กลายเป็นคำสั่งของเหมาเจ๋อตงเพียงคนเดียว และบุคคลแวดล้อมที่ฉวยโอกาสเกาะอำนาจเหมา.
เติ้งเสี่ยวผิงเสริมชีวิตประชาธิปไตยภายในพรรคฯ อาศัยการนำรวมหมู่กำหนดแนวทางเข็มมุ่งนโยบายของพรรคใหม่ ให้ผู้ปฏิบัติงานระดับบนเปิดประชาธิปไตยรับฟังความเห็นระดับล่างและมวลชนอย่างใกล้ชิด ยกเลิกระบอบขุนนาง ปี 1981 อนุญาตให้ประชาชนเลือกตั้งผู้แทนประชาชนระดับอำเภอโดยตรง.
การปรับโครงสร้างองค์ประกอบของคณะกรรมการกรมการเมืองและคณะกรรมการประจำกรมการเมือง แม้จะดำเนินไปโดยราบรื่น แต่เติ้งเสี่ยวผิงตระหนักดีว่านักปฏิวัติอาวุโสในขณะนั้นมีอายุมากขึ้นทุกปี จำเป็นจะต้องสร้างคณะผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนรุ่นที่ 3 และผู้ปฏิบัติงานพรรคฯ รุ่นใหม่ ๆ มาเสริมกำลัง เขาจึงเสนอมาตรการในการส่งเสริมผู้ปฏิบัติงานรุ่นหนุ่มสาวว่าต้องพิจารณาจากคุณสมบัติ
1. มีลักษณะปฏิวัติ ยึดมั่นในลัทธิมาร์กซ - เลนิน และหลักการพื้นฐานสี่ประการ.
2. มีอายุไม่มาก.
3. มีการศึกษามีความรู้.
4. มีความเชี่ยวชาญชำนาญทางวิชาชีพ.
เติ้งเสี่ยวผิงสรุปทัศนะแนวคิดประชาธิปไตยสังคมนิยมว่า “หากไม่มีประชาธิปไตย ก็จักไม่มีแนวคิดสังคมนิยม จักไม่มีการปรับสังคมนิยมให้ทันสมัย จึงต้องทำให้ประชาธิปไตยเกิดเป็นระบอบขึ้นมา มีลักษณะทางกฎหมายขึ้นมา ต้องผลักดันการปฏิรูประบอบผู้นำประเทศและพรรค ลบล้างระบอบตำแหน่งหัวหน้าข้าราชการตลอดชีวิต การสร้างแนวร่วมถือเป็นหลักที่สำคัญ”.
หากสร้างหลักประกันตามแนวคิดข้อเสนอแนะของเติ้งเสี่ยวผิงข้างต้น ย่อมมั่นใจได้ว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะเป็นเสาค้ำหลักของโครงสร้างส่วนบน ในการนำพาและหนุนเสริมการปฏิรูปเปิดประเทศ สร้างความสมบูรณ์พูนสุขแก่ประชาชนจีนระดับพอสมควรตามเป้าหมายในช่วงกลางศตวรรษ 21.
(ตอนที่ 7)
เติ้งเสี่ยวผิง ในฐานะนักปฏิวัติลัทธิมาร์กซ – เลนิน
เติ้งเสี่ยวผิง เป็นนักปฏิวัติลัทธิมาร์กซ – เลนินที่ยึดมั่นในอุดมการณ์แน่วแน่ไม่แปรเปลี่ยน ต่อสู้ให้บรรลุสังคมนิยมที่ “ปลดแอกแรงงาน พัฒนากำลังการผลิต กำจัดการขูดรีด ขจัดการแบ่งแยกออกเป็นสองขั้ว (คือรวยกับจน, มีกับไม่มี) และบรรลุความมั่งคั่งร่วมกันในที่สุด”.
เติ้งเสี่ยวผิงเกิดในครอบครัวเจ้าที่ดินระดับกลางในวันที่ 22 สิงหาคม ค.ศ. 1904 เมื่ออายุ 15 ปีสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมที่เมืองฉงชิ่ง มณฑลเสฉวน ในปี 1919 แล้วร่วมกับเพื่อนนักเรียนอีก 80 คนเดินทางไปฝรั่งเศสเพื่อศึกษาและทำงาน ด้วยปณิธาน “ศึกษาหาความรู้ และสัจจะจากตะวันตกเพื่อปกป้องประเทศจีน” เขาเข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาในฝรั่งเศส และทำงานเป็นช่างซ่อมในโรงงานเหล็ก.
ต่อมาเติ้งเสี่ยวผิงย้ายไปอยู่ชานกรุงปารีส เปิดโอกาสให้ได้พบปะกับเยาวชนก้าวหน้าของจีนหลายคน เช่น โจวเอินไหล, เฉินอี้, เนี่ยหรงเจิน, หลี่ฝู่ชุน, หลี่ลี่ซาน เป็นต้น เดือนมิถุนายน 1923 เติ้งสมัครเข้าเป็นสมาชิกสันนิบาตเยาวชนคอมมิวนิสต์จีนในยุโรป พอถึงปลายปี 1924 เขาได้เป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนเมื่ออายุได้ 20 ปี ดำรงฐานะสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีน 72 ปี จนวายชนม์เมื่ออายุได้ 92 ปี ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1997.
ปี 1926 เติ้งเสี่ยวผิงเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยซุนยัตเซนที่มอสโคว์ ประเทศรัสเซีย เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกับเจียงจิงกั๋ว บุตรชายของเจียงไคเชค ปี 1927 เดินทางกลับจีน เข้าร่วมกับกองทัพของขุนศึกเฟิงอี้เซียง เครือข่ายเจียงไคเชคในเขตตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ตามนโยบายขององค์การคอมมิวนิสต์สากล ภายใต้คำชี้แนะของสตาลินให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนทำแนวร่วมกับพรรคก๊กมิ่นตั๋งของเจียงไคเชค.
เมื่อเจียงไคเชคทรยศต่อแนวร่วม หันปลายดาบกระบอกปืนจับกุมเข่นฆ่าสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนในปี 1927 เติ้งเสี่ยวผิงต้องหลบลงทำงานใต้ดินในเซี่ยงไฮ้ ปี 1929 นำการลุกขึ้นสู้ที่กวางสี ประสบความพ่ายแพ้จึงหนีไปอยู่เขตปลดปล่อยโซเวียตกลางที่เจียงซี ปี 1931 เติ้งไปเป็นเลขาธิการคณะกรรมการพรรคฯ เมืองรุ่ยจิน ปี 1933 เป็นผู้อำนวยการฝ่ายโฆษณาของคณะกรรมการพรรคฯ ในเขตปลดปล่อยโซเวียตเจียงซี.
การต่อสู้ 2 แนวทางในพรรคคอมมิวนิสต์จีน ระหว่างแนวทางเหมาเจ๋อตุง กับแนวทางป๋อกู่ ทำให้เติ้งเสี่ยวผิงถูกปลดจากตำแหน่งฝ่ายโฆษณาของพรรคฯ เนื่องจากสนับสนุนแนวทางเหมาเจ๋อตุง นับเป็นครั้งแรกที่เติ้งเสี่ยวผิงถูกปลดจากตำแหน่งในปี 1933 ตามตำนาน “ขึ้นสามครั้งลงสามครา”.
แนวทางที่ผิดพลาดทำให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนไม่อาจรักษาฐานที่มั่นโซเวียตเจียงซีได้ ต้องเดินทัพทางไกลจากกำลังทหารราว 100,000 คนที่เริ่มเดินทัพ จนถึงส่านซีเพื่อตั้งฐานที่มั่น เหลือกำลังทหารเพียง 8,000 – 9,000 คน เติ้งเสี่ยวผิงเป็นหนึ่งในคนที่มีชีวิตรอดถึงส่านซี.
ปี 1937 เมื่อญี่ปุ่นรุกรานจีนอย่างหนัก เกิดสัญญาพันธมิตรระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์จีนกับเจียงไคเชครอบ 2 เติ้งย้ายไปเป็นผู้ชี้นำการเมืองในกองทัพของพรรคคอมมิวนิสต์จีนทางภาคเหนือ ภายใต้การนำของหลิวป๋อเฉิง.
เมื่อญี่ปุ่นยอมแพ้ในปี 1945 เติ้งเสียวผิงร่วมคณะของโจวเอินไหลไปเจรจาสงบศึกกับเจียงไคเชคที่เมืองนานกิง แต่ไม่สำเร็จ สงครามกลางเมืองปะทุขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เติ้งเสี่ยวผิงย้ายไปเป็นผู้ชี้นำการเมืองและฝ่ายโฆษณาของกองทัพลู่ที่ 2 ภายใต้การนำของหลิวป๋อเฉิงเป็นครั้งที่สอง จนสงครามปลดปล่อยได้รับชัยชนะในปี 1949.
หลังจากพรรคคอมมิวนิสต์จีนยึดอำนาจรัฐได้แล้ว เติ้งเสี่ยวผิงถูกส่งไปเป็นเลขาธิการพรรคฯ เขตตะวันตกเฉียงใต้ ปราบปรามทำลายล้างเศษเดนกองกำลังก๊กมิ่นตั๋งที่ยังหลงเหลือในกวางตุ้ง และเสฉวน เดือนพฤศจิกายน 1949 นำกำลังทหารเข้ายึดเมืองจุงกิง ฐานที่มั่นสุดท้ายของก๊กมิ่นตั๋ง แล้วเข้านครฉงชิ่ง เสฉวน พอถึงปี 1950 เติ้งเสี่ยวผิงนำกำลังทหารเข้าปลดปล่อยทิเบต.
เติ้งเสี่ยวผิงบริหารงานในเขตตะวันตกเฉียงใต้ของจีน 3 ปี เดือนกรกฎาคม 1952 ถูกเรียกตัวไปรับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรองประธานคณะกรรมการการคลัง และขึ้นเป็นรัฐมนตรีคลัง ควบตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานสื่อสารคมนาคม ปี 1954 เป็นรองนายกรัฐมนตรีเพียงตำแหน่งเดียว และปี 1956 เป็นหัวหน้าแผนกจัดตั้ง ซึ่งถือว่าทรงอำนาจมาก เพราะเป็นตำแหน่งที่คุมสมาชิกพรรคฯ ทั่วประเทศ จนปี 1957 ได้รับแต่งตั้งเป็นเลขาธิการใหญ่ของสำนักงานเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน ร่วมบริหารงานประจำวันกับหลิวเซ่าฉี และนายกรัฐมนตรีโจวเอินไหล.
ภายหลังโครงการก้าวกระโดดใหญ่ (1958 – 1961) ของเหมาเจ๋อตุงล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เกิดภาวะอดอยากแร้นแค้น ประชาชนตายเป็นเบือไปทั่วประเทศ เหมาเจ๋อตุงต้องลดบทบาทของตนเองจากงานประจำวันของพรรคฯ และรัฐบาล หลิวเซ่าฉีขึ้นเป็นประธานาธิบดีจีนแทนเหมา เติ้งเสี่ยวผิงเข้ามีบทบาทร่วมกับหลิวเซ่าฉีและโจวเอินไหลในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศ.
หลิวเซ่าฉีและเติ้งเสี่ยวผิงให้ลำดับความสำคัญกับงานพัฒนาด้านเกษตรกรรมเป็นอันดับแรก กระจายอำนาจตัดสินใจในการผลิตและการแบ่งปันภายในคอมมูน มีทีมงานด้านบัญชีจดบันทึกเวลาการใช้แรงงานในหมู่สมาชิก อนุญาตจัดสรรที่ดินแปลงเล็กแปลงย่อยแก่เกษตรกรเพาะปลูกส่วนตัว ลดภาษีทางการเกษตร เพิ่มการสนองปุ๋ยเคมี สนับสนุนเครื่องจักรอุปกรณ์ทางการเกษตร เช่นเครื่องสูบน้ำขนาดเล็ก เพิ่มราคาสินค้าเกษตรบางประเภท เป็นต้น.
นโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจของหลิวและเติ้งในปี 1962 ได้รับการสนับสนุนและชื่นชมจากประชาชนทั่วประเทศ เศรษฐกิจพลิกฟื้น ผลผลิตทางการเกษตรเพิ่มขึ้น สร้างความหวาดหวั่นแก่เหมาเจ๋อตุงว่าจะสูญเสียอำนาจและบารมีส่วนตัว จึงปลุกกระแสก่อ “การปฏิวัติใหญ่ทางวัฒนธรรม” รณรงค์ให้เยาวชนนักเรียนนักศึกษาขุดรากถอนโคนพวกนายทุนฝ่ายขวาที่แทรกซึมเข้าในพรรคคอมมิวนิสต์จีน เติ้งเสี่ยวผิงถูกจับประจานเป็น “ผู้เดินแนวทางทุนนิยม” คนที่ 2 ต่อจากหลิวเซ่าฉี และถูกส่งตัวไปทำงานเป็นช่างซ่อมรถแทรกเตอร์ที่เมืองซินเจียน มณฑลเจียงซี 4 ปี (1969 – 1973).
ปี 1973 นายกรัฐมนตรีโจวเอินไหลป่วยเป็นมะเร็ง ไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ จึงขอประธานเหมาเจ๋อตุง เรียกตัวเติ้งเสี่ยวผิงกลับมาช่วยงานบริหาร ปี 1974 ได้รับแต่งตั้งเป็นรองนายกรัฐมนตรีคนที่ 1 บริหารงานแทนนายกรัฐมนตรีโจวเอินไหล เขาได้เน้นการฟื้นฟูเศรษฐกิจ และสร้างความสามัคคีเป็นก้าวแรกในการยกระดับการผลิต, ต้องปรับปรุงงานทั่วด้าน เพื่อบรรลุเป้าหมาย 4 ทันสมัย ต้องปรับปรุงกลุ่มการนำชั้นต่าง ๆ ในพรรคฯ จัดทำนโยบายผู้ปฏิบัติงานพรรคฯ ให้เกิดขึ้นจริง ปฏิรูปกองทัพ ปรับปรุงระบบขนส่งทางรถไฟ เป็นต้น ด้านแนวทางความคิด เติ้งคัดค้านการปฏิวัติใหญ่ทางวัฒนธรรม และความปั่นป่วนวุ่นวายไร้ระเบียบในสังคมจีนตลอดมา.
เหมาเจ๋อตุงและกลุ่ม 4 คน หวาดวิตกอีกว่าเติ้งเสี่ยวผิงจะทำลายชื่อเสียงเกียรติภูมิของการปฏิวัติใหญ่ทางวัฒนธรรม และต้องการแย่งชิงอำนาจ เติ้งจึงถูกสั่งให้วิจารณ์และวิจารณ์ตนเอง และเหมาสั่งให้คณะกรรมการกลางพรรคฯ วิพากษ์ความผิดของเติ้งอย่างละเอียดลงลึก.
มกราคม 1976 นายกรัฐมนตรีโจวเอินไหลถึงแก่อสัญกรรม ร่มใหญ่ที่เคยปกป้องคุ้มครองเติ้งสูญสลาย กลุ่ม 4 คนโดยความเห็นชอบของเหมาเจ๋อตุง จึงเปิดรณรงค์ “วิพากษ์เติ้ง และคัดค้านการฟื้นคืนของแนวโน้มเอียงขวา” เติ้งถูกลดบทบาทจากภายในพรรคฯ ให้ไปทำงานด้าน “กิจการต่างประเทศ” วันที่ 3 มีนาคม ปีเดียวกัน เหมาเจ๋อตุงได้ออกคำชี้นำยืนยันความถูกต้องชอบธรรมของการปฏิวัติใหญ่ทางวัฒนธรรม และชี้ว่าเติ้งเป็นตัวสร้างปัญหาในพรรคคอมมิวนิสต์จีน คณะกรรมการกลางพรรคฯ ชุดที่ 10 สั่งให้ศึกษาคำชี้นำของเหมา และเปิดวิพากษ์ใหญ่เติ้งอีกรอบหนึ่ง.
วันที่ 4 - 5 เมษายน 1976 ณ จัตุรัสเทียนอันเหมิน ประชาชนจีน 4 ล้านกว่าคนได้มาชุมนุมรำลึกอาลัยนายกรัฐมนตรีโจวเอินไหล และเกิดการปะทะกับทหารบ้าน, ตำรวจ และทหารส่วนหนึ่ง เหมาเจ๋อตุงและกลุ่ม 4 คน มองว่าเป็นการเคลื่อนไหวต่อต้านการปฏิวัติ และคุกคามอำนาจของพวกเขา โดยมีเติ้งเสี่ยวผิงวางแผนชักใยอยู่เบื้องหลัง เหมาเจ๋อตุงจึงสั่งปลดเติ้งเสี่ยวผิงออกจากทุกตำแหน่งในพรรคฯ แต่ยังคงรักษาฐานะสมาชิกภาพพรรคคอมมิวนิสต์ต่อไป นับเป็นการถูกปลดครั้งที่ 3 ในชีวิต.
เหมาเจ๋อตุงถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 9 กันยายน 1976 นายกรัฐมนตรีฮว่ากั๋วเฟิง ควบตำแหน่งรองประธานพรรคฯ คนที่ 1 และรองประธานคณะกรรมการทหารกลาง ได้ร่วมกับนายพลเย่เจี้ยนอิงโค่นล้มจับกุมคุมขังกลุ่ม 4 คน และสมัครพรรคพวกในเดือนตุลาคม ปีเดียวกัน.
วันที่ 22 กรกฎาคม 1977 เติ้งเสี่ยวผิงได้รับการฟื้นคืนตำแหน่งเป็นครั้งที่ 3 ให้เป็นรองประธานคณะกรรมการกลางของพรรคฯ รองประธานคณะกรรมการทหารกลาง และประธานเสนาธิการกองทัพปลดแอกประชาชนจีน.
การประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์จีนชุดที่ 11 ในปลายปี 1977 ฮว่ากั่วเฟิงได้รับเลือกเป็นประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน และนายกรัฐมนตรี ควบตำแหน่งประธานคณะกรรมการทหารกลาง เขากล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมสมัชชา 11 ว่า “การปฏิวัติวัฒนธรรมล้วนจำเป็นโดยสิ้นเชิง และทันท่วงทีอย่างยิ่ง...” ซึ่งสะท้อนว่าฮว่ากั๋วเฟิงไม่ได้ปลดปล่อยความคิดจากการครอบงำของการปฏิวัติใหญ่ทางวัฒนธรรมแต่อย่างใด.
ฮว่ากั๋วเฟิงถูกวิจารณ์ว่าไม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างการปฏิวัติใหญ่ทางวัฒนธรรม กับความผิดพลาดในบั้นปลายชีวิตของเหมาเจ๋อตุง ไม่กล้า และไม่สามารถขจัดความผิดของการปฏิวัติวัฒนธรรมอย่างถึงที่สุด เขายังยืนยันทำตามเข็มมุ่ง “ขอเพียงแต่ให้เป็น 2 ประการของเหมาเจ๋อตุง” แน่นอนว่าทัศนะเช่นนี้ไม่สอดคล้องและไม่สามารถนำพาประเทศจีนก้าวสู่การพัฒนายุคใหม่ได้.
การประชุมสมัชชาพรรคฯ ครั้งที่ 11 ปลายปี 1977 เติ้งเสี่ยวผิงเพิ่งได้รับการฟื้นคืนตำแหน่งหน้าที่ในพรรคฯ จึงไม่มีอำนาจบารมีเพียงพอที่จะกลั่นกรองความคิดผิดยุคผิดสมัยของฮว่ากั๋วเฟิง แต่เมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งปี การประชุมเต็มคณะครั้งที่ 3 ของคณะกรรมการกลางชุดที่ 11 ในกรุงปักกิ่งวันที่ 18 – 22 ธันวาคม 1978 เติ้งเสี่ยวผิงสามารถผนึกอำนาจบารมีภายในพรรคฯ เริ่มต้นแนวคิดนโยบายการปฏิรูปเปิดประเทศ จนเป็นผู้นำที่ทรงอำนาจสูงสุดในพรรคคอมมิวนิสต์จีน ช่วงปี 1978 – 1997.
เติ้งเสี่ยวผิงไม่เคยดำรงตำแหน่งประธานพรรคฯ หรือเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน ไม่ได้เป็นประธานาธิบดี หรือนายกรัฐมนตรีจีน ตำแหน่งสูงสุดที่เขาเคยเป็นคือประธานคณะกรรมการทหารกลางของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ และประธานสภาที่ปรึกษาทางการเมืองของจีน หรือที่เราเรียกกันว่า “สภาแนวร่วม” เมื่อถึงเวลาหนึ่งที่เติ้งเสี่ยวผิงคิดว่าผู้นำรุ่นที่ 3 ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนสามารถยืนหยัดนำการพัฒนาประเทศได้แล้ว เติ้งเสี่ยวผิงได้ขอลาออกจากคณะกรรมการกลางพรรคในปี 1987 และลาออกจากประธานคณะกรรมการทหารกลางในปี 1989.
เขาเป็นคนที่เหมาเจ๋อตุงเกลียดกลัวที่สุดต่อจากหลิวเซ่าฉี ถูกเหมาเจ๋อตุงปลดจากทุกตำแหน่งถึง 2 ครั้ง แต่เขาเป็นคนที่นายกรัฐมนตรีโจวเอินไหลเชื่อถือในด้านการบริหารมากที่สุด เป็นคนที่โจวเอินไหลปรารถนาให้สืบทอดตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจีนต่อจากเขา แต่เมื่อสิ้นบุญนายกโจว เหมาเจ๋อตุงสั่งปลดและวิพากษ์ใหญ่เติ้งเสี่ยวผิง.

 


(ตอนที่ 8)
คุณลักษณะของเติ้งเสี่ยวผิง
ท้ายที่สุด เติ้งเสี่ยวผิงสามารถกลับมายืนผงาดสร้างทฤษฎีเติ้งเสี่ยวผิง จนนำพาประเทศจีนก้าวสู่สังคมพอมีพอกินในต้นศตวรรษที่ 21 ได้ คุณสมบัติอะไรที่ทำให้เติ้งเสี่ยวผิงประสบความสำเร็จในฐานะนักปฏิวัติลัทธิมาร์กซ - เลนิน พลิกฟื้นฐานะการนำจนเป็นผู้นำที่ทรงอำนาจสูงสุดของจีนต่อจากเหมาเจ๋อตง และริเริ่มการพัฒนาสร้างประเทศจีนใหม่จนมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกในปัจจุบัน
1. เติ้งเสี่ยวผิงเป็นแบบฉบับนักลัทธิมาร์กซ – เลนินขนานแท้ ยึดถืออุดมการณ์ลัทธิคอมมิวนิสต์ที่มุ่งสร้างความสมบูรณ์พูนสุขแก่ประชาชน ประยุกต์ใช้ทฤษฎีลัทธิมาร์กซ - เลนิน เข้ากับสภาพที่เป็นจริงของจีน และการปฏิบัติที่เป็นจริง วางรากฐานการปฏิรูปเปิดประเทศ พัฒนาพลังการผลิต ปรับแก้ความสัมพันธ์ทางการผลิตและโครงสร้างชั้นบนที่เป็นอุปสรรคกีดขวางการพัฒนากำลังการผลิต สร้างเศรษฐกิจสินค้าที่มีการวางแผนบนพื้นฐานระบอบกรรมสิทธิ์ส่วนรวม เกิดระบบเศรษฐกิจการตลาดแบบสังคมนิยม.
เติ้งเสี่ยวผิงกล้าใช้ลัทธิมาร์กซ – เลนิน เป็นพื้นฐานในการวิเคราะห์ความขัดแย้งหลักในสังคมจีนว่าจีนเปลี่ยนเป็นประเทศสังคมนิยมโดยพื้นฐานแล้ว ความขัดแย้งหลักในสังคมจึงเป็นความขัดแย้งระหว่างความต้องการชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชน กับสภาวะเศรษฐกิจและการผลิตที่ล้าหลัง.
จีนอยู่ในระยะขั้นต้นของสังคมแบบสังคมนิยม และจะดำรงอยู่ในสภาพนี้อีกนานนับศตวรรษก่อนที่พลังการผลิตจะพัฒนาก้าวหน้าทันสมัย สังคมสามารถสนองความต้องการของประชาชนอย่างเต็มที่ ประชาชนสมบูรณ์พูนสุขมีใช้มีกิน เกิดการพัฒนาอารยธรรมทางจิตใจขั้นสูง จึงจะพร้อมก้าวสู่สังคมขั้นต่อไป.
2. เติ่งเสี่ยวผิงเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลและกว้างขวาง เขายึดมั่นว่าประเทศจะมั่นคงได้ตลอดไป จำต้องพัฒนาเศรษฐกิจ สร้างความมั่งคั่งให้ประชาชนอยู่ดีกินดี
2.1 ทัศนะด้านต่างประเทศ เติ้งมีทัศนะว่าที่ผ่านมาจากปี 1949 – 1978 ฝ่ายนำในพรรคคอมมิวนิสต์จีนวิเคราะห์สภาวการณ์ด้านต่างประเทศเน้นหนักเกินไปว่าจะเกิดสงครามโลกในไม่ช้า ทำให้นโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจส่วนสำคัญมุ่งไปที่อุตสาหกรรมหนักเพื่อรองรับสงคราม ละเลยการพัฒนาพลังการผลิตของสังคม เติ้งส่งเสริมให้เปิดประเทศ ศึกษาเรียนรู้วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการบริหารสมัยใหม่จากประเทศที่พัฒนาแล้ว จะลอกเลียนจะนำเข้ายังไงก็ได้ แต่ต้องปรับให้เข้ากับสภาพความเป็นจริงของประเทศจีน ก่อกำเนิดเส้นทางการพัฒนาของจีนเอง.
2.2 ภายในประเทศ เติ้งเสี่ยวผิงย้ำภารกิจเร่งด่วนหลังปี 1978 คือการขจัดความยากจนความล้าหลังทางเศรษฐกิจ ด้วยการปลดปล่อยความคิด พัฒนาพลังการผลิต ปรับแก้ความสัมพันธ์ทางการผลิตและโครงสร้างชั้นบนที่เป็นอุปสรรคขัดขวางการพัฒนาพลังการผลิต อนุญาตให้พื้นที่หนึ่งที่มีเงื่อนไข คนส่วนหนึ่งที่ทำงานหนักพัฒนามั่งคั่งขึ้นมาก่อน แล้วช่วยเขตพื้นที่อื่น คนอื่น ๆ ที่พัฒนาทีหลัง สามารถพัฒนาตัวเองขึ้นมาได้.
3. เติ้งเสี่ยวผิงสันทัดในการสรุปบทเรียนการปฏิบัติแก้ไขปัญหา และก้าวไปข้างหน้า
ในการผลักดันเขตเศรษฐกิจพิเศษเซินเจิ้น เติ้งชี้นำว่าการปฏิรูปเปิดประเทศ จัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่มีแบบอย่างให้ลอกเลียน ผู้ปฏิบัติงานพรรคฯ และผู้ประกอบการวิสาหกิจจึงต้องใจกล้า กล้าเสี่ยง กล้าลงทุน กล้าทำไปทีละขั้นทีละตอน เมื่อทำไประยะหนึ่งแล้วต้องทบทวนสรุปความจัดเจน แต่นโยบายต้องเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ไม่โลเล ต้องดำเนินไปให้ตลอด เซินเจิ้นจึงพัฒนาได้อย่างรวดเร็วจนถึงปัจจุบัน.
หรือหลังเหตุการณ์ใช้กำลังทหารปราบปรามเข่นฆ่านักเรียนนักศึกษาประชาชน ณ จัตุรัสเทียนอันเหมินเมื่อ 3 – 4 มิถุนายน 1989 เติ้งเสี่ยวผิงวิเคราะห์ทบทวนถึงสาเหตุการก่อประท้วงของขบวนการนักเรียนนักศึกษาปัญญาชนว่าเกิดจากนโยบายแนวทางเข็มมุ่งที่ผิดพลาดหรือไม่ เขาคิดว่าไม่ใช่ ที่เศรษฐกิจร้อนแรงเกิดปัญหาเงินเฟ้อรุนแรงเนื่องจากการปฏิรูปมูลค่าราคาสินค้าในตลาดทำเร็วเกินไป งานให้การศึกษาทางการเมืองอ่อนแอเกินไป ก้าวไม่ทันการพัฒนาทางวัตถุ ในด้านการเมือง ไม่ได้ยืนหยัดหลักการพื้นฐาน 4 ประการ และนโยบายจับสองมือให้มั่น เกิดความหละหลวม มือข้างหนึ่งแข็งมือข้างหนึ่งอ่อน.
4. ด้านการปกครองประเทศ เติ้งเสี่ยวผิงส่งเสริมเผด็จการประชาธิปไตยประชาชนเต็มรูปแบบ การจัดตั้งภายในพรรคคอมมิวนิสต์ใช้ระบอบประชาธิปไตยรวมศูนย์อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ใช้ปัจจัยทั้งสองประการไปประกันสภาพการณ์ที่ราบรื่นของการพัฒนาเศรษฐกิจมุ่งสู่ความทันสมัย.
5. การปฏิรูปเปิดประเทศสร้างปัญหาใหม่ ๆ เกิดขึ้น และเสนอคำถามแนวทางทุนนิยมกับสังคมนิยมอยู่เสมอ เติ้งเสี่ยวผิงจึงเสนอภารกิจ 1 งานใจกลาง 2 จุดพื้นฐาน คือ ถือการพัฒนาเศรษฐกิจเป็นงานใจกลาง ถือการปฏิรูปเปิดประเทศ และหลักการพื้นฐาน 4 ประการเป็นจุดพื้นฐาน นั่นคือการยืนหยัดเดินเส้นทางการพัฒนาแบบสังคมนิยม, ยืนหยัดเผด็จการประชาธิปไตยประชาชน, ยืนหยัดการนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีน และยืนหยัดลัทธิมาร์กซ - เลนิน ขณะเดียวกันต้องใช้นโยบาย “จับทั้งสองมือให้มั่นคง” ด้านหนึ่งพัฒนาทางวัตถุ อีกด้านหนึ่งต้องพัฒนาทางจิตใจ ด้านหนึ่งปฏิรูปเปิดประเทศ อีกด้านหนึ่งต้องปราบปรามการทำผิดกฎหมายอย่างเข้มงวด เป็นต้น.
6. คิดสร้างผู้นำรุ่นใหม่ตลอดเวลา ไม่หวงอำนาจ ไม่มักใหญ่ใฝ่สูงทะเยอทะยานในตำแหน่งหน้าที่ เมื่อเติ้งและคณะผู้นำอาวุโสของพรรคฯ เห็นว่า ฮว่ากั๋วเฟิงไม่อาจเป็นผู้นำการปฏิรูปเปิดประเทศ ก้าวสู่ความทันสมัยได้ จึงได้ลดบทบาทของฮว่ากั๋วเฟิงลงทีละขั้น แต่แทนที่เติ้งเสี่ยวผิงจะก้าวขึ้นสวมตำแหน่งประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน หรือประธานาธิบดี หรือนายกรัฐมนตรี เขากลับส่งเสริมให้หูเย่าปังขึ้นเป็นผู้นำพรรคฯ แทนฮว่ากั๋วเฟิง ส่งเสริมจ้าวจื่อหยางเป็นนายกรัฐมนตรี หรือการส่งเสริมเจียงเจ๋อหมินจากเลขาธิการพรรคฯ เซี่ยงไฮ้มาเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนแทนจ้าวจื่อหยาง เป็นต้น.
เติ้งใช้หลักการคัดเลือกผู้ปฏิบัติงานพรรคฯ ลำดับชั้นต่าง ๆ จากพื้นฐานคุณธรรมและความสามารถประกอบกัน ส่งเสริมผู้ปฏิบัติงานที่มีอายุน้อย, มีแนวคิดปฏิวัติลัทธิมาร์กซ - เลนิน, มีการศึกษา และมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านทางวิชาชีพ. เมื่อเติ้งเสี่ยวผิงมั่นใจในตัวคณะผู้นำรุ่นที่สาม นับจากเจียงเจ๋อหมินแล้ว เขาสมัครใจถอยสู่แนวหลังด้วยการยื่นขอลาออกจากตำแหน่งภายในพรรคฯ และกองทัพทันที.
7. เติ้งเสี่ยวผิงคิดนโยบายการรวมประเทศจีน เข้ากับฮ่องกง, มาเก๊า และไต้หวัน ด้วยการประกาศนโยบาย “หนึ่งประเทศ สองระบบ” ขอให้ทั้งสามดินแดนรวมเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับประเทศจีน ขณะเดียวกันจีนก็อนุญาตให้ทั้งสามดินแดนปกครองตนเองด้วยคนของตนเอง รักษาระบบเศรษฐกิจสังคมกฎหมายการเมืองที่เคยดำรงอยู่ให้ดำรงต่อไป.
8. ตลอดชีวิตในฐานะนักปฏิวัติลัทธิมาร์กซ - เลนิน เติ้งเสี่ยวผิงไม่เคยท้อแท้ถดถอย เมื่อมีโอกาส เขากลับมาทำงานเต็มความสามารถ คิดงานคิดนโยบายแนวทางเข็มมุ่งนำการพัฒนาปฏิรูปเปิดประเทศจีน ยึดมั่นหลักการอย่างแน่วแน่ ชี้ขาดปัญหาอย่างมีหลักการ ไม่เคยเหยียดหยามด้อยค่าเหมาเจ๋อตง เมื่อได้ยินคำขวัญให้ “เชิดชูเหมาเจ๋อตงให้สูงเด่น” เติ้งเสี่ยวผิงแก้ไขว่าให้ “เชิดชูแนวความคิดเหมาเจ๋อตงให้สูงเด่น” ไม่ใช่เชิดชูตัวบุคคลของเหมาเจ๋อตง.
และที่สำคัญคือเติ้งเสี่ยวผิงไม่ทุจริตใช้อำนาจประพฤติมิชอบ นี่คือสิ่งที่เหมาเจ๋อตงและกลุ่ม 4 คนไม่อาจใช้จุดอ่อนข้อนี้มาโจมตีทำลายเติ้งเสี่ยวผิง.

 


(ตอนที่ 9)
ความผิดพลาดล้มเหลว และงานที่ยังทำไม่สำเร็จของเติ้งเสี่ยวผิง
ถ้าเราถามเติ้งเสี่ยวผิงว่าความผิดพลาดของเขาในช่วงหลังปี ค.ศ. 1978 มีอะไรบ้าง
ข้อหนึ่งที่เติ้งเสี่ยวผิงจะตอบคือการเลือกส่งเสริมหูเย่าปัง และจ้าวจื่อหยางขึ้นเป็นเลขาธิการใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เพราะในทัศนะของเติ้ง ทั้งสองคนเป็นเสรีนิยมชนชั้นนายทุน ซึ่งเข้าไม่ได้กับหลักการพื้นฐาน 4 ประการของเขา เติ้งเสี่ยวผิงเคยแถลงว่าเขาเป็นนักปฏิรูป แต่คัดค้านเสรีนิยมชนชั้นนายทุน.
ประการที่สอง คือการสั่งให้ส่งกำลังทหารเข้าปราบปรามเข่นฆ่านักเรียนนักศึกษาประชาชนที่จตุรัสเทียนอันเหมิน เมื่อเช้ามืดวันที่ 4 มิถุนายน 1989 แม้ในทางเปิดเผย เติ้งจะยืนยันความถูกต้องของการตัดสินใจเพื่อปกป้องระบอบสังคมนิยม และพรรคคอมมิวนิสต์จีน แต่การสรุปบทเรียนภายในคงจะได้ข้อสรุปการงดใช้กำลังปราบปรามเข่นฆ่าขนานใหญ่ เปลี่ยนเป็นนโยบายที่อดทนอดกลั้น ประนีประนอมผ่อนปรน เหมือนนโยบายที่จีนจัดการปัญหาการประท้วงในเกาะฮ่องกงช่วงสองสามปีที่ผ่านมา.

 


ส่วนงานที่ยังทำไม่สำเร็จของเติ้งเสี่ยวผิง ประกอบด้วย
1. การกำจัดการขูดรีด ซึ่งเป็นเป้าหมายหนึ่งของอุดมการณ์ลัทธิมาร์กซ - เลนิน การเปิดวิสาหกิจเอกชนในการผลิตสินค้า การเปิดตลาดสินค้า การเปิดพื้นที่และคนจำนวนหนึ่งให้มั่งคั่งขึ้นมาก่อน ล้วนเกิดจากการสะสมทุน การสะสมทุนจะเกิดขึ้นย่อมต้องมีการขูดรีดแรงงาน เริ่มจากของตนเองและครอบครัว สู่กรรมกรคนรับจ้าง การขูดรีดแรงงานจึงจะดำรงอยู่ตลอดช่วงสมัยสังคมนิยมขั้นต้น เพียงแต่พรรคฯ และรัฐ จะมีนโยบายสร้างความเป็นธรรมในการจ้างงานอย่างไร ?
2. จากข้อ 1 นำมาซึ่งการแบ่งแยกออกเป็น 2 ขั้ว ซึ่งนับวันช่องว่างการแบ่งแยกถ่างกว้างขึ้นทุกขณะ คนมั่งมี และคนยากจนในจีน แตกต่างกันเช่นเดียวกับประเทศทุนนิยม และเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ จะต่างกับทุนนิยม ก็คือสังคมนิยมจีนมีขีดมาตรฐานความยากจนที่ปรับสูงขึ้นเรื่อย ๆ เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนคนปัจจุบัน สีจิ้นผิง แถลงเมื่อปี 2020 ว่าสามารถแก้ไขปัญหาประชาชนและเขตปกครองที่ยากจนข้นแค้นต่ำกว่าเส้นขีดความยากจนได้โดยพื้นฐานแล้ว ขั้นต่อไปคือจะบรรลุความมั่งคั่งร่วมกันของประชาชนทั่วประเทศได้อย่างไร นี่คือภารกิจที่เติ้งได้เริ่มวางรากฐาน และส่งต่อให้ผู้นำรุ่นต่อไปคิดหาแนวทางนโยบายเข็มมุ่งการบรรลุความมั่งคั่งร่วมกัน.
3. บทเรียนของการผ่านยุคสมัยเหมาเจ๋อต6งจาก 1949 – 1976 ทำให้เติ้งเสี่ยวผิงคัดค้านลัทธิบูชาตัวบุคคล เน้นส่งเสริมการนำรวมหมู่ คัดค้านการรวมศูนย์อำนาจด้านเดียว โดยไม่ส่งเสริมประชาธิปไตยควบคู่ไปด้วยอย่างมีสมดุล เขาจึงเสนอให้ยกเลิกระบบการดำรงตำแหน่งทางการเมืองและรัฐตลอดชีวิต ต้องกำหนดวาระการดำรงตำแหน่งและเกษียณอายุ สมัยเติ้งเสี่ยวผิง, เจียงเจ๋อหมิน และหูจิ่นเทา ล้วนยึดมั่นหลักการข้างต้น แต่พอถึงสมัยสีจิ้นผิง เราเริ่มเห็นการเชิดชูตัวบุคคลของสีจิ้นผิง การแก้รัฐธรรมนูญให้สีดำรงตำแหน่งได้มากกว่า 2 วาระ และไม่มีกำหนดเวลาเกษียณอายุ.
4. การสร้างอารยธรรมทางจิตใจในสังคมจีนยังก้าวไม่ทันอารยธรรมทางวัตถุ ปรากฏการณ์เสื่อมทรามในสังคมด้านคุณธรรม, จริยธรรม, ระเบียบวินัยในสังคม, ระเบียบวินัยสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ และผู้นำพรรคฯ ยังอ่อนเปราะ เกิดการทุจริตประพฤติมิชอบ คอรัปชั่นอย่างมากมายในทุกวงการ ปัญหานี้ท้าทายเติ้งเสี่ยวผิง และยังท้าทายผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนรุ่นใหม่ ๆ ต่อไป ตราบเท่าที่สังคมจีนยังอยู่ในช่วงต้นของการพัฒนาสังคมแบบสังคมนิยม.
5. การรวมปิตุภูมิจีนให้เป็นหนึ่งเดียว ด้วยนโยบาย “หนึ่งประเทศ สองระบบ” เวลานี้รวมฮ่องกงและมาเก๊าได้สำเร็จ แต่ไต้หวันยังห่างไกล มองไม่เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์.

 


สรุปทฤษฎีเติ้งเสี่ยวผิง
กล่าวโดยสรุป ทฤษฎีเติ้งเสี่ยวผิง คือ ทฤษฎีการสร้างสังคมนิยมอัตลักษณ์จีน และแนวทางพื้นฐานของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในช่วงสังคมนิยมระยะต้น ตามคำกล่าวของเจียงเจ๋อหมิน อดีตเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน.
ทฤษฎีสังคมนิยมอัตลักษณ์จีน ก็คือการประยุกต์ลัทธิมาร์กซ - เลนิน เข้ากับสภาพที่เป็นจริงของจีน กำหนดเป็นนโยบายนำสู่การปฏิบัติที่เป็นจริง ในการปฏิรูปเปิดประเทศ ปลดปล่อยความคิด พัฒนาพลังการผลิต ปรับเปลี่ยนแก้ไขความสัมพันธ์ทางการผลิตและโครงสร้างชั้นบนที่ครอบงำขัดขวางการพัฒนาของพลังการผลิตในสังคม เกิดเศรษฐกิจสินค้า และการตลาดแบบมีการวางแผนบนพื้นฐานระบอบกรรมสิทธิ์ส่วนรวม ซึ่งก็คือเศรษฐกิจสินค้าและการตลาดแบบสังคมนิยม พร้อมไปกับการเปิดประเทศ รับความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจากประเทศที่เจริญก่อนแล้ว เปิดรับนำเข้าการลงทุน, เงินทุน, เครื่องจักรอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ทันสมัย.
ขณะที่แนวทางพื้นฐานของพรรคคอมมิวนิสต์จีน คือการส่งเสริมสันติภาพในโลก ช่วงชิงเวลาในการพัฒนาเศรษฐกิจจีนท่ามกลางสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศที่ปั่นป่วนวุ่นวาย ยืนหยัดหลักการพื้นฐาน 4 ประการ, ระบอบประชาธิปไตยรวมศูนย์ และการจับทั้งสองด้านให้มั่นคง.
เติ้งเสี่ยวผิงสรุปความสำเร็จในฐานะนักปฏิวัติลัทธิมาร์กซ - เลนิน จนเป็นทฤษฎีเติ้งเสี่ยวผิงว่าทั้งหมดทั้งมวลล้วนเกิดจากผลึกปัญญารวมหมู่ของผู้นำจีนรุ่นต่าง ๆ ไม่ใช่ของเติ้งเสี่ยวผิงคนเดียว.

10 พฤศจิกายน 2024

 

 

 

โปรดติดตามและมีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท.  โปรดคลิ๊ก  

whitebanner