คอลัมน์ “ศึกษาลัทธิมาร์กซ-เลนิน” ตอนที่ 2 ศึกษาเข้าใจมาร์กซิสม์ยุคใหม่
โดย กมล กมลตระกูล
มาร์กซิสม์ หรือลัทธิมาร์กซ์ คือ คำอธิบายปรากฏการณ์ของสังคมมนุษย์ตั้งแต่ยุคที่มีการรวมตัวกันเป็นชุมชน และมีการจัดระเบียบสังคมแบบง่ายๆจนมากลายเป็นรัฐในยุคทาส ยุคศักดินา ยุคทุนนิยม และยุคสังคมนิยม
คำอธิบายที่เป็นระบบนี้ได้ใช้เป็นวิธีหรือ เครื่องมือในการวิเคราะห์ปัญหาของโลกที่ครอบคลุมทั้งด้านประวัติศาสตร์ สังคมวิทยา มนุษยวิทยา เศรษฐศาสตร์การเมือง เศรษฐกิจ เพศวิทยา เทวะวิทยา และรวมถึงสิ่งแวดล้อม
มาร์กซิสม์ให้คำอธิบายและวิเคราะห์ปัญหารอบตัวโดยเฉพาะด้าน ความยุติธรรม และ ความเท่าเทียมกันในสังคม อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ว่า ความไม่ยุติธรรม กฎหมาย ทำไมจึงไม่ยุติธรรมหรือไม่เท่าเทียมกัน ทำไมจึงต้องเปลี่ยนแปลง
มาร์กซิสม์หรือลัทธิมาร์กซ อธิบายถึงการเกิดวัฒนธรรมและศาสนา ความเชื่อ ระบบการศึกษา ซึ่งเป็นโครงสร้างส่วนบน ( Super Structure) อันหมายถึงความสัมพันธ์ของสังคมทั้งหมดที่ไม่เกี่ยวข้องกับการผลิต ที่สร้างและครอบงำกำกับขนบธรรมเนียม ประเพณี พิธีกรรม ความเชื่อ ค่านิยม สถาบันของสังคม รัฐ ว่าเป็นผลผลิตของชนชั้นบนเพื่อรักษาอำนาจและผลประโยชน์ของตน
(The superstructure is important because it:
* Forms societal norms, beliefs, attitudes, values, and ideologies
* Impacts labor relations
* Preserves social hierarchy
* Reflects the ruling class' interests
* Justifies how the base operates
* Defends the power of the elite- (www.britannica.com)
การศึกษาลัทธิมาร์กซ มี 2 ลักษณะ คือ
1. ศึกษาแบบนักวิชาการมาร์กซิสท์( Marxist scholar) หรือลัทธิเคร่งตำรา ( Dogmatic)ไม่มีจุดประสงค์อื่น คือ ศึกษาเพื่อศึกษา(เพื่อความมันส์ อวดภูมิ หาข้อโต้แย้งเพื่อทำลาย ซึ่งรวมถึงพวก Neo-Marxists)
กลุ่มคนเหล่านี้มักหยิบประเด็นย่อย ประเด็นหยุมหยิม เรื่องส่วนตัว เรื่องนินทา มาขยายความ แตกแขนงให้เป็นประเด็นใหญ่ในการโต้แย้ง เพื่อให้คนทั่วไปหลงทิศ หลงประเด็น แตกแยก วิวาท แบ่งพวก จับแพะชนแกะไม่ถูก สร้างเวทีวิวาทะ เวทีวิพากษ์ ซึ่งล้วนเป็นการขัดขวางการเปลี่ยนแปลงตามลัทธิมาร์กซทั้งสิ้น
พวกเขาสามารถวิเคราะห์วิจารณ์ความคิดมาร์กซ หรือลัทธิมาร์กซอย่างเป็นตุเป็นตะ โดยที่ตนเองไม่เข้าใจ หรือไม่เคยอ่านในหลักคิดหลักหรือหัวใจของลัทธิมาร์กซ อันได้แก่ เรื่องทุน เรื่องแรงงาน เรื่องมูลค่า เรื่อง มูลค่าส่วนเกิน เรื่องการขูดรีด
พวกเขาศึกษาแบบแยกส่วน และตัดตอนมาจับผิด
พวกเขาไม่สามารถโต้แย้ง หาทฤษฎีมายืนยันถึงความไม่ถูกต้องสมบูรณ์ในสิ่งที่มาร์กซและเองเกลส์ค้นพบและเขียนอธิบายอย่างละเอียดลออ มีตัวเลข มีตัวอย่างรูปธรรมทั้งในประวัติศาสตร์ และปัจจุบันในยุคนั้น มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ และตัวอย่างมาสนับสนุนการค้นพบทฤษฎีของตนอย่างหนักแน่นหลายพันหน้ากระดาษ ไม่ได้โมเมเหมาคิดจินตนาการเอาเองแบบพวกจิตนิยม
พวกเขาไม่สามารถโต้แย้งเรื่องกฎธรรมชาติทางฟิสิกส์ ที่มาร์กซ์ เองเกลส์ สามารถชี้ออกมาได้อย่างเป็นระบบในหนังสือ Anti Duhring เรื่อง Dialectical Materialism หรือวัตถุนิยมวิภาษวิธี ว่าไม่ถูกต้อง อย่างไร ว่า จักรวาลนี้ โลกนี้ สสาร วัตถุ ซึ่งมีความขัดแย้งภายใน ก่อให้เกิดการ พัฒนา เปลี่ยนแปลง แตกดับ ตลอดเวลา ไม่มีสิ่งใดหยุดนิ่ง นั้น มันเกิดมาก่อนมีมนุษย์ จนกระทั่งมนุษย์เกิดขึ้นมาจากกฎวิวัฒนาการนี้ ไม่ใช่พระเจ้า หรือมนุษย์
เมื่อมนุษย์เกิด จึงมีการสร้างจินตนาการสร้างพระเจ้า สร้างเทพเจ้า สร้างเทพ เทวดา ขึ้นมา จากความกลัวภัยธรรมชาติ ที่อยู่เหนือการควบคุม
บรรดาศาสดาทั้งหลายได้สร้างคำสอน สร้างศาสนาขึ้นมารองรับจินตนาการข้างต้น
ทฤษฎีวัตุนิยมวิภาษวิธี ชี้ว่า “ สภาพแวดล้อม หรือ รูปธรรมเป็นตัวกำหนดสะท้อนเข้าไปเป็นจิตสำนึก ความนึกคิด ความเชื่อที่เป็นนามธรรมและพฤติกรรมของมนุษย์ สรุปสั้นๆว่า สสารหรือวัตถุกำหนดจิต ไม่ใช่จิตที่คิดเองได้ จิตหรือความนึกคิด เป็นเพียงกระจกที่สะท้อนสภาพแวดล้อม การสั่งสอน วิถีชีวิตในการผลิต ฐานะและชนชั้นในสังคมของคนนั้นๆ ซึ่งจะแปรเปลี่ยนไปตลอดเวลาตามฐานะและชนชั้นที่เปลี่ยนไป ตามกฏของวัตถุนิยมวิภาษวิธี ที่ชี้ว่า สรรพสิ่งล้วนไม่หยุดนิ่ง แต่ขัดแย้งต่อสู้ไปสู่สิ่งใหม่ ฐานะใหม่ตลอดเวลา
สำหรับกฏฟิสิกส์ข้างต้นของวัตถุนิยมวิภาษวิธีก็ใช้อธิบายโลกมนุษย์ได้เช่นเดียวกัน
พวกต่อต้านลัทธิมาร์กซไม่สามารถสร้างทฤษฎีที่เป็นวิทยาศาสตร์มาล้มล้างทฤษฎีวัตถุนิยมและวัตถุนิยมวิภาษวิธี (Dialectical Materialism) ได้ จึงสร้างทฤษฎีจิตนิยม(Idealism) ที่เป็นมโนธรรม คิดเอาเอง สรุปเอาเอง ไม่ต้องมีตรรกะ ไม่ต้องมีเหตุผล ไม่ต้องมีข้อเท็จจริง ตัวอย่าง หลักฐานมารองรับทั้งสิ้น ห้ามตั้งคำถาม ห้ามโต้แย้ง ทำนอง ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่ ห้ามวิจารณ์หรือตั้งคำถามถึงความถูกต้องของศาสนา คำสอน ศาสดา และคัมภีร์ศาสนา ความชอบธรรมของชนชั้น ฯลฯ มิฉะนั้นจะถูกลงโทษ เช่นในยุคกลาง ที่ศาสนจักรได้จับคนที่คิดนอกลู่นอกทาง ไปจำขัง ทรมาน หรือเผาทั้งเป็นมากมายนับไม่ถ้วน แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ นักดาราศาสตร์ อย่าง กาลิเลโอ คอเปอร์นิคัส ที่ค้นพบและเสนอว่า โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ และโลกกลม ไม่ได้แบน อย่างที่ศาสนาสอน ก็ยังถูกจับขังและทรมาน
(The physical world existed before the appearance of mankind or any living being on this earth. It maintains itself independently of man’s existence, perception, or thought. Neither God nor mankind created the world; the world gave birth to man and man created the idea of God.www.marxist.org)
พวกเขาไม่สามารถอธิบายโต้แย้งเรื่องการเปลี่ยนแปลง พัฒนาของประวัติศาสตร์จากยุคหนึ่งมาสู่อีกยุคหนึ่ง การทำสงคราม การเกิดสงครามมิใช่เกิดจากการต่อสู้ทางชนชั้น ซึ่งความหมายของชนชั้น หรือ ที่มาร์กซเองเกลส์ ใช้ ว่า Proletariat นั้น เพราะสมัยนั้นเป็นยุคเริ่มต้นของอุตสาหกรรม จึงหมายถึงกรรมกร แต่ความหมายที่ถูกต้องที่มาร์กซเองเกลส์หมายถึง คือ “ผู้ถูกกดขี่หรือผู้ยากไร้” ซึ่งแปรเปลี่ยนไปในแต่ละยุค แต่ละสังคม แต่ละประเทศ ว่าเป็นกลุ่มคนไหน ไม่มีลักษณะตายตัว ไม่จำเป็นต้องเป็นกรรมกรเสมอไป เช่นในยุคโรมัน หมายถึงทาส ในยุคกลางหมายถึง ไพร่ ชาวนา ในยุคเลนิน เหมา หมายถึงกรรมกร ชาวนา ในยุคใหม่ หมายถึงมนุษย์เงินเดือน คนยากคนจน ชนชั้นกลางระดับล่างที่ไร้สมบัติ อาจารย์ปรีดี พนมยงค์ ใช้คำว่า “ผู้ไร้สมบัติ” เป็นต้น
ชนชั้นเหล่าคือ ผู้ที่ต้องรวมตัวกันสร้างสังคมใหม่ที่ไร้ชนชั้น ฝ่ายต่อต้านลัทธิมาร์กซหรือนักวิชาการเคร่งตำราเถรตรงจะแปลหรือตีความว่า Proletariat ตามที่มาร์กซเองเกลส์ กล่าวถึง คือ กรรมกรเท่านั้นอย่างตายตัว แล้วเหมาสรุปว่ามาร์กซผิดที่กล่าวว่า กรรมกรคือผู้นำการเปลี่ยนแปลงสู่รัฐสังคมนิยม เพราะบางสังคม บางประเทศกรรมกรมีน้อยแล้ว ไม่ใช่ผู้นำการเปลี่ยนแปลงไปสู่รัฐสังคมนิยม อย่างที่มาร์กซกล่าวถึง
อย่างไรก็ตาม ลัทธิมาร์กซ คือปรัชญาและหลักคิดสำหรับนำไปปรับใช้ในแต่ละสังคมและแต่ละประเทศตามลักษณะเฉพาะ และอัตลักษณ์ ของแต่ละสังคมและแต่ละประเทศ ไม่ใช่สูตรสำเร็จตายตัวแบบสูตรทางคณิตศาสตร์
2. ศึกษาเพื่อนำหลักคิดพื้นฐานในการมองโลก และอธิบายโลก แล้วนำมาเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นนักปฏิวัติเพื่อเปลี่ยนแปลงโลก ตามลักษณะเฉพาะ และตามอัตลักษณ์ ของแต่ละประเทศ อย่างไม่มีสูตรตายตัว เช่นเลนิน สตาลิน เหมาเจ๋อตุง เติ้งเสี่ยวผิง โฮจิมินห์ กิมอิลซุง เชกูวารา คัสโตร ชาเวซ ฯลฯ
หนังสือ เรื่อง Anti Duhring (1877)เป็นตำราวิชาการที่ Marx-Engels ร่วมกันเขียน Marx เป็นผู้เห็นชอบและตรวจทานผลงานชิ้นนี้ของ Engels จึงถือว่าเป็นผลงานร่วมกัน
หนังสือเล่มนี้วางรากฐานหลักการและหลักคิดของลัทธิมาร์กซ ( Scientific Socialism)อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ที่สมบูรณ์ที่สุด โดยเขียนตอบโต้และโต้แย้ง Herr Eugen Dühring’s นักปรัชญา ชาวเยอรมันในทุกประเด็น ตั้งแต่หลักคิดใหญ่พื้นฐานปรัชญาของโลก คือ จิตนิยม( Idealism) กับ วัตถุนิยมวิภาษวิธี( Dialectical Materialism) เรื่อง การอธิบายปรากฏการณ์ของธรรมชาติ จิตสำนึกของมนุษย์ วิวัฒนาการของประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นการต่อสู้ทางชนชั้นมาตลอด
อธิบาย เรื่อง เศรษฐศาสตร์การเมือง มูลค่า มูลค่าส่วนเกินซึ่งเป็นหัวใจของระบบทุน ในการขูดรีด เรื่องทุน เรื่องแรงงาน เรื่องการผลิต เรื่องการแบ่งปันในระบบสังคมนิยม เรื่อง รัฐ ครอบครัว และการศึกษา ฯลฯ
หนังสือเล่มนี้วางหลักคิดที่เป็นระบบอย่างเป็นระบบ ด้วยคำอธิบาย และการโต้แย้งที่เป็นวิทยาศาสตร์ โดยใช้วิธีทั้งทางคณิตศาสตร์ และตรรกะนิยม ให้กับลัทธิมาร์กมากว่า 130 ปี
(The original title was Herr Eugen Dühring’s Revolution in Science, but it became popularly known as Anti-Dühring. It was the first popular exposition of Marxist theory as a whole and the titles of the three parts – philosophy, political economy, socialism – are enough to indicate the broad scope of this famous work.(Written: September 1876 - June 1878;
Published: in Vorwärts, Jan 3 1877-July 7 1878;)
this polemic has been a masterpiece of Marxist literature for more than 130 years and served to educate numerous generations in the fundamental ideas of scientific socialism. -
(In Defence of Marxism
https://marxist.com)
ในขณะที่ นักวิชาการ รวมทั้งคนทั่วไปที่ไม่ได้ศึกษาลัทธิมาร์กซ์อย่างถี่ถ้วนบูรณาการ แต่อ่านเป็นชิ้นๆ อ่านบางบท อ่านอย่างแยกส่วน ก็จะเหมารวมว่ามาร์กซิสม์ ล้าสมัย ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นจริง นำมาปฏิบัติให้เกิดขึ้นจริงไม่ได้ สังคมนิยมและรัฐสวัสดิการ ความเท่าเทียมและลดความเหลื่อมล้ำในสังคมเป็นเรื่องเพ้อฝัน
ความไม่เท่าเทียมและชนชั้นต่างหากคือความเป็นจริงของโลกนี้ที่ต้องยอมรับ เป็นเรื่องของชะตากรรม หรือกรรมเก่าที่ต้องยอมรับ ฯลฯ
ในขณะที่ลัทธิมาร์กซสอนว่า มนุษย์หรือผู้ที่ถูกกดขี่ทั้งปวงคือผู้ที่สามารถสร้างโลกใหม่ที่ไร้ความเหลื่อมล้ำและการกดขี่ได้ด้วย 2 มือเรา
สารบัญของหนังสือเรื่อง Anti Duhring
* ANTI-DüHRING
* PREFACES
* 1. GENERAL
* 2. WHAT HERR DüHRING PROMISES
* 3. CLASSIFICATION. APRIORISM
* 4. WORLD SCHEMATISM
* 5. TIME AND SPACE
* 6. COSMOGONY, PHYSICS, CHEMISTRY.
* 7. THE ORGANIC WORLD
* 8. THE ORGANIC WORLD. (CONCLUSION)
* 9. ETERNAL TRUTHS
* 10. EQUALITY
* 11. FREEDOM AND NECESSITY.
* 12. QUANTITY AND QUALITY
* 13. NEGATION OF THE NEGATION
* 14. CONCLUSION.
* 1. SUBJECT MATTER AND METHOD
* 2. THEORY OF FORCE
* 3. THEORY OF FORCE. (CONTINUATION)
* 4. THEORY OF FORCE. (CONCLUSION)
* 5. THEORY OF VALUE
* 6. SIMPLE AND COMPOUND LABOUR
* 7. CAPITAL AND SURPLUS-VALUE
* 8. CAPITAL AND SURPLUS-VALUE. (CONCLUSION)
* 9. NATURAL LAWS OF THE ECONOMY. RENT OF LAND
* 10. FROM KRITISCHE GESCHICHTE
* 1. HISTORICAL
* 2. THEORETICAL
* 3. PRODUCTION
* 4. DISTRIBUTION
* 5. STATE, FAMILY, EDUCATION
* FRAGMENTS
* ALL PAGES
โปรดติดตามและมีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท. โปรดคลิ๊ก