มาร์กซ, ลัทธิมาร์กซ กับยุคหลังมาร์กซ
โดย ธเนศวร์ เจริญเมือง
(16 กุมภาพันธ์ 2568)
“ให้ชนชั้นปกครองสั่นสะท้านหวาดหวั่นต่อการปฏิวัติคอมมิวนิสต์. ชนชั้นกรรมาชีพไม่มีอะไรที่จะสูญเสีย นอกจากโซ่ตรวนที่มัดพวกเขาไว้ โลกจะต้องเป็นของพวกเขา.....”
“ชนชั้นปกครองสั่นสะท้านจริง พวกเขาเห็นภัยลัทธิคอมมิวนิสต์ที่คุกคามจริงๆ... แต่เสียงร้องก้องของ “แถลงการณ์คอมมิวนิสต์” มิได้เรียกร้องให้เกิดการปฏิวัติ (หรอกนะ) แต่เป็นเสียงร้องเพราะท้อแท้ และสิ้นหวังมากกว่า.....ดูได้จากท่าทีของแต่ละประเทศ (ในตอนนั้น) รัฐบาลอังกฤษดูสบายๆ…ฝรั่งเศสไม่สนใจคิดที่จะปรับปรุงอะไร...เยอรมนียิ่งแย่ ไม่มีรัฐสภา ไม่มีเสรีภาพที่จะชุมนุมหรือแสดงทัศนะใดๆ สื่อมวลชนก็ไร้เสรี...”
(2 บรรทัดแรก (ตัวเข้ม) เป็นงานเขียนของมาร์กซ-เองเกลส์ 1848 ที่เหลือเขียน
โดยนักปรัชญาคนสำคัญ Robert Heilbroner, The Worldly Philosophers. 1986)
มาร์กซ (Karl Marx, 1818-1883) จากโลกนี้ไปเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 1883 (2426) หรือ 142 ปีก่อน ที่กรุงลอนดอน และร่างก็ฝังอยู่ที่เมืองนั้น ณ สุสานไฮเกท (Highgate Cemetery)
ผลงานของเขาที่มีชื่อเสียงในระหว่างที่เขายังมีชีวิตอยู่ได้แก่ อุดมการณ์เยอรมัน (The German Ideology, 1846), แถลงการณ์คอมมิวนิสต์ (The Communist Manifesto. 1848), การต่อสู้ทางชนชั้นในฝรั่งเศส,1848-1850 (The Class Struggles in France, 1848- 1850.1850), มูลค่า, ราคา และกำไร (Value, Price and Profit.1865), และ ทุน เล่ม 1 (Das Kapital, 1867) ที่เหลือส่วนใหญ่จัดพิมพ์หลังจากที่เจ้าของผลงานล่วงลับไปแล้ว
ที่โดดเด่นและทรงพลังอย่างยิ่งต่อกรรมกรและกลุ่มนักเคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม ก็คือ งานเล่มเล็กๆ ชื่อ แถลงการณ์คอมมิวนิสต์. เขียนร่วมกับเองเกลส์ และตีพิมพ์ในปี 1848 (พ.ศ. 2391) ซึ่งมีการพิมพ์หลายครั้งและแปลเป็นภาษาต่างๆ และเพิ่มจำนวนการพิมพ์มากขึ้นๆ หลังจากที่มาร์กซเสียชีวิต
แน่นอน จำนวนพิมพ์ของหนังสือเล่มนี้ย่อมน้อยกว่าหนังสือสำคัญ 2 เล่มคือ พระคัมภีร์ใบเบิ้ล ของ คริสต์ศาสนา และ พระคัมภีร์โกราน ของศาสนาอิสลาม และน้อยกว่าหนังสือปกแดงเล่มเล็กของจีน คือ สรรนิพนธ์เหมา เจ๋อตง แต่ในระดับสากลก็ถือว่า ยอดพิมพ์จำหน่ายงานของมาร์กซ เล่มนี้ก็สูงในอันดับต้นๆ ของโลกในห้วง 1 ศตวรรษที่ผ่านมา
กล่าวโดยสรุป หนังสือเล่มเล็กๆเล่มนี้เสนอหลักการสำคัญ 2 ข้อ คือ
1. ประวัติศาสตร์ของ มนุษยชาติคือ พัฒนาการของการต่อสู้ทางชนชั้น จากสังคมบุพกาลมาเป็นสังคมทาส สู่สังคมศักดินา, สังคมทุนนิยม และความขัดแย้งระหว่าง 2 ชนชั้นหลักในยุคทุนนิยม ก็คือ ความขัดแย้งระหว่างชนชั้นกรรมกร กับชนชั้นนายทุน ซึ่งจะทวีความรุนแรงเกิดการต่อสู้ และกรรมกรซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่จะได้ชัยเพื่อไปสร้างรัฐสังคมนิยม และคอมมิวนิสต์ในท้ายที่สุด
2. ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติเป็นผลของการเคลื่อนไหวและขัดแย้งกันระหว่างฐานทางเศรษฐกิจคือพลังการผลิตและความสัมพันธ์ทางการผลิตในสังคม ฐานเศรษฐกิจนี้มีผลต่อรูปแบบจิตสำนึกของผู้คน มิใช่ว่าจิตสำนึกของคนเราเป็นอิสระ ไม่ได้ถูกอะไรกำหนด แต่มีปฏิสัมพันธ์กับรากฐานทางเศรษฐกิจอย่างมาก
ครั้นเมื่อรวมกับอีก 3 ประเด็นที่มาร์กซได้บรรยายและเขียนไว้ในงานอื่นๆ ได้แก่
1. วิธีการมองพัฒนาการของสังคมจึงต้องมองเห็นทั้ง 2 แนวคิดคือ แนวคิดเศรษฐศาสตร์การเมือง (Political Economy) และโลกทัศน์แบบองค์รวม (Holistic Approach) นั่นคือ พิจารณาปฏิสัมพันธ์และผลกระทบต่อกันระหว่างเศรษฐกิจ-การเมือง-สังคม/วัฒนธรรม ซึ่งไม่อาจละทิ้งส่วนหนึ่งส่วนใดได้เลย แนวคิดนี้เรียกโดยรวมว่า วัตถุนิยมประวัติศาสตร์ (Historical Materialism) ซึ่งมีวิภาษวิธีเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนนั้น
2. ที่ผ่านมา นักปรัชญาสนใจแต่เพียงการอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมแต่ละยุคสมัย แต่ละเลยประเด็นที่สำคัญกว่านั้น คือ จะเปลี่ยนแปลงสังคมนั้นอย่างไรต่างหาก (“the point is to change it.”)
และ 3. ความปรารถนาของผู้คนทุกหนแห่งก็คือ การได้อยู่ในสังคมที่ดีงาม ไม่มีการกดขี่ขูดรีดกัน ทุกคนเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมายฉบับเดียวกัน มีคุณภาพชีวิตที่ดี และบ้านเมืองมีความเจริญก้าวหน้าขึ้นเป็นลำดับ. ความปรารถนาดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องอาศัยความร่วมมือกันของคนส่วนใหญ่ ช่วยกันผลักดันเพื่อบรรลุอุดมการณ์นั้น สังคมใหม่ที่งดงาม ไม่ใช่สมาชิกในสังคมนั่งเฝ้ารอ แต่สังคมต้องมีพลเมืองที่เข้มแข็ง ชุมชนเข้มแข็ง สังคมเรียกหาคนที่ใฝ่ใจศึกษาและเข้าใจกฎเกณฑ์พัฒนาการของสังคม สังคมเรียกหาคนที่มีคุณธรรม มาร่วมกันลงมือปฏิบัติการสร้างสังคมใหม่คนละไม้ละมือ
หลักการ 5 ข้อนี้จึงเป็นหลักการสำคัญที่มาร์กซและเองเกลส์ได้เสนอไว้
กำเนิดของคำว่า ลัทธิมาร์กซ (Marxism)
แนวความคิดของมาร์กซ (และเองเกลส์) ดังกล่าวได้จุดประกายและสร้างผลสะเทือนอย่างมากต่อกลุ่ม กรรมกรและปัญญาชนก้าวหน้าในยุโรปสมัยนั้น และทำให้ขบวนการนักสู้เติบใหญ่มากขึ้นๆ เป็นลำดับ
คนจำนวนไม่น้อยชื่นชมแนวคิดที่กล่าวมาจึงเรียกระบบความคิดนั้นว่า ลัทธิมาร์กซ และเรียกตนเองเป็น ชาวลัทธิมาร์กซ (Marxism and Marxists) กล่าวโดยรวม ลัทธิมาร์กซ สำหรับคนที่รับลัทธิหรือทฤษฎีนี้ สาระสำคัญก็คือ เป็นแนวคิดที่อธิบายมิติต่างๆ ทางเศรษฐกิจ-การเมืองและสังคม/วัฒนธรรมที่มาร์กซ-และเองเกลส์เสนอ เพื่ออธิบายทิศทางการพัฒนาของสังคม และชี้ว่าสังคมมนุษย์ที่ถูกโซ่ตรวนร้อยรัดไว้อย่างยาวนานเรื่อยมา จะได้รับการปลดปล่อย และก้าวไปสู่อิสรภาพอย่างแท้จริงในที่สุด
เมื่อได้ยินคำว่า ลัทธิมาร์กซ ขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ มาร์กซเห็นว่าไม่ควรใช้คำดังกล่าว เพราะเขาเห็นว่า เป็นการประดิษฐ์คำแบบเจ้าลัทธิ (phrase mongering) ที่มีลักษณะป่าวร้องและโอ้อวด ทั้งจะสร้างความเข้าใจผิดต่อกัน และเกิดความเห็นที่แตกต่างและขัดแย้งกันได้ง่ายเพราะแต่ละสังคมมีกรอบความคิด, วัฒนธรรม และรายละเอียดที่ต่างกันไม่น้อย
ฟรีดริค เองเกลส์ (Friedrich Engels,1820-1895) สหายร่วมอุดมการณ์ของมาร์กซ ได้เสนอผลงานสำคัญที่เขียนเองและได้ลงมือเขียนงานที่มาร์กซทิ้งไว้ให้ (คือ ทุน เล่ม 2-3, Das Kapital 1885, 1894) ส่วนงานเล่มอื่นๆ ที่สำคัญของเขาได้แก่ สภาพชนชั้นผู้ใช้แรงงานในอังกฤษ (The Condition of the Working Class in England, 1845); สังคมนิยม: แบบยูโทเปียและวิทยาศาสตร์ (Socialism: Utopian and Scientific.1880); และ กำเนิดของครอบครัว, ทรัพย์สินส่วนเอกชนและรัฐ (The Origin of the Family, Private Property, and the State, 1884).
เองเกลส์ เสียชีวิตหลังมาร์กซ 12 ปี ว่ากันว่า เองเกลส์มิได้ปฏิเสธหรือยอมรับคำว่า ลัทธิมาร์กซ แต่หากกล่าวในเชิงหลักการกว้างๆ ย่อมเข้าใจได้ที่เองเกลส์ก็ย่อมอยากจะเห็นการศึกษาและถกเถียงแนวคิดต่างๆที่มาร์กซ และเขาได้เสนอออกมา เพื่อให้ความคิดชุดนี้แพร่หลายออกไปและมีการลงมือปฏิบัติในวงกว้าง
แต่ไม่ว่าใครจะรับหรือไม่รับคำนี้ โลกในห้วง 100 ปีมานี้ ก็ได้กล่าวถึง, วิพากษ์วิจารณ์และใช้คำนี้อย่างมากมาย จนไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า ลัทธิมาร์กซ เป็นชุดความคิดหนึ่งที่ได้ก่ออิทธิพลอย่างสำคัญต่อโลกใบนี้
ลัทธิมาร์กซในรอบ 1 ศตวรรษเศษ (1883-1983)
อย่างไรก็ตาม ด้วยพลังของแนวคิดดังกล่าว ท่ามกลางความอยุติธรรมในสังคมที่ดำรงอยู่ บวกกับบทบาทของนักเคลื่อนไหวและการปฏิวัติที่เกิดขึ้นในยุโรปตะวันตก, รัสเซีย, เอเชีย และทั่วโลกต่อจากนั้น จึงจะขอเริ่มต้นที่ผลสะเทือนทางการเมืองการปกครองเป็นเรื่องแรก ต่อจากนั้น จะเป็นผลสะเทือนต่อวงวิชาการ-วงวรรณกรรม, และต่อการเคลื่อนไหวทางสังคมในด้านต่างๆ
ก็เพราะว่ามาร์กซ-เองเกลส์พูดถึงการที่ชนชั้นล่างถูกกดขี่ขูดรีด สังคมไม่เป็นธรรม และระบบเศรษฐกิจที่มีแต่การเอารัดเอาเปรียบ จึงต้องสร้างสังคมใหม่ที่มุ่งรับใช้คนส่วนใหญ่ จึงได้เกิดทัศนะและการลงมือของบุคคลและเกิดเหตุการณ์สำคัญเพื่อหวังจะบรรลุจุดมุ่งหมายเหล่านั้น เช่น วี. เลนิน (V.Lenin, 1870-1924), ลีออน ทร๊อตสกี้ (Leon Trotsky 1879-1940), เหมา เจ๋อ ตง (Mao Zedong 1893-1976), โจว เอิน ไหล (Zhou Enlai 1898-1976), เติ้ง เสี่ยว ผิง (Deng Xiaoping 1904-1997), อันโตนิโอ กรัมชี (Antonio Gramsci 1891-1937), เจ. สตาลิน (Joseph Stalin -1953), โฮ ชิ มินห์ (Ho Chi Minh 1890-1969), คิม อิล ซุง (Kim Il-sung 1912-1994), เช กูวาร่า (Che Guevara 1928-1967), ฟิเดล คาสโตร (Fidel Castro 1926-2016), การปฏิวัติรัสเซียในปี 1917, การปฏิวัติในจีน 1949, สงครามอินโดจีน 1945-1975, ยุโรปตะวันออกรับโซเวียตโมเดล หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และการปฏิวัติที่คิวบา 1959 ฯลฯ
เราได้เห็นผลสะเทือนจากชัยชนะของการปฏิวัติรัสเซีย ตามด้วยความสนใจที่จะอ่านผลงานเพิ่มเติมของเลนิน ทร๊อตสกี้ มาร์กซ และเองเกลส์ ฯลฯ การปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ที่อังกฤษ 1688, สงครามเอกราชในสหรัฐ 1776, การปฏิวัติที่ฝรั่งเศส 1789 และติดตามผลของการปฏิวัติในรัสเซียตั้งแต่ปี 1917 ฯลฯ
ผลสะเทือนได้แผ่ขยายออกไปทั้งด้านความรับรู้และความนึกคิด เหมือนเกลียวคลื่นในมหาสมุทร เริ่มตั้งแต่การก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียในปี 1914, สหรัฐในปี 1919, อังกฤษ, ฝรั่งเศสและมองโกเลีย ในปี 1920, จีน, สเปน, โปรตุเกส และอียิปต์ 1921, ญี่ปุ่นในปีถัดมา, อินเดียและเกาหลีปี 1925 ส่วนโฮ ชิ มินห์ จากเวียดนามซึ่งเดินทางไปฝรั่งเศสเพื่อค้นหาต้นรากของลัทธิล่าอาณานิคมตั้งแต่อายุ 21 ในปี 1911 ก็ได้พบงานของมาร์ก-เองเกลส์, ได้ทราบข่าวการปฏิวัติในรัสเซีย, ไปขอเข้าร่วมการต่อสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์ที่จีน ขณะที่โจว เอิน ไหล และเติ้ง เสี่ยว ผิง เป็นนักเรียนทุนไปศึกษาต่อที่ฝรั่งเศสในช่วงต้นทศวรรษ 1920s ได้อ่านทั้งงานของมาร์กซ-เองเกลส์ ติดตามข่าวการปฏิวัติรัสเซีย และเข้าร่วมสาขาพรรคคอมมิวนิสต์จีนในฝรั่งเศสตั้งแต่แรกตั้ง, ส่วน โฮ ชิ มินห์ ออกจากจีนก็ไปจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามในปี 1930 ปีเดียวกับการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์มลายา (พม่า ในปี 1939, ไทย 1942, ลังกา 1943 และเนปาล ในปี 1949) ฯลฯ
ขณะที่ เช กูวาร่า หนุ่มนักศึกษาแพทย์ชาวอาร์เจนตินาที่เดินทางท่องเที่ยวทั่วอเมริกาใต้ ในช่วงทศวรรษ 1950s ได้เห็นความทุกข์ยากอย่างแสนสาหัสของชาวนาในแต่ละประเทศที่ตกเป็นเมืองขึ้นของสเปนและโปรตุเกส เขาได้เห็นการปฏิวัติที่กัวเตมาลาที่ถูกปราบปราม ส่วนฟิเดล คาสโตร นักศึกษากฎหมายลูกเกษตรกรผู้มั่งคั่งชาวสเปน มีทัศนะต่อต้านลัทธิล่าอาณานิคมและได้เรียนรู้เรื่องการปฏิวัติในยุโรป ได้ต่อต้านรัฐบาลบาติสต้าและถูกจับกุมคุมขังหลายครั้ง จึงได้จัดตั้งกองกำลังนอกประเทศแถบเม็กซิโก ด้วยวัย 28 ปี ในปี 1956 เช กูวาร่าได้เข้าร่วมกับกองทัพปฏิวัติที่คิวบานำโดยคาสโตร ฯลฯ
เมื่อผลสะเทือนกว้างขวางเช่นนี้ และนานถึง 1 ศตวรรษเศษ จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเสนอพรรคคอมมิวนิสต์แบบต่างๆ เนื่องจากแต่ละพรรคมีความหลากหลายต่างกันมากไม่ว่าจะเป็นองค์กร, ผู้นำและสมาชิกสังคมและรัฐตลอดจนบริบททางสังคมแต่ละด้าน รวมทั้งระยะเวลาที่ยาวนานส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทุกๆ ด้านที่กล่าวมา ในบทความสั้นนี้ จะขอเสนอผลสะเทือนที่ทำให้พรรคต่างกัน 4 แบบ สำหรับแบบที่ 4 เนื่องจากองค์ประกอบหลายๆ ด้านต่างกันมาก จึงจะขอนำเสนอเป็นกรณีศึกษาจำนวนหนึ่งเพื่อการวิเคราะห์
แบบแรก พรรคคอมมิวนิสต์ที่เข้าไปมีอำนาจรัฐเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ได้แก่พรรคคอมมิวนิสต์จีน เกาหลี (เหนือ) เวียดนาม ลาว และคิวบา
แบบที่ 2 พรรคคอมมิวนิสต์ที่ยึดอำนาจรัฐได้ และภายหลังเกิดปัญหา จึงเกิดการยุบพรรค และเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง ได้แก่ อดีตสหภาพโซเวียต ในปี 1989 และประเทศในยุโรปตะวันออกทั้งหมด หลังจากนั้น
แบบที่ 3 พรรคคอมมิวนิสต์ที่เข้าไปมีบทบาทในทางการเมืองในระดับชาติ, มลรัฐ และการปกครองท้องถิ่น ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งในระดับท้องถิ่นหลายครั้ง เช่นที่ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส อิตาลี ได้รับชัยชนะหลายครั้งในระดับมลรัฐ เช่นที่อินเดีย กระทั่งได้เข้าร่วมตั้งรัฐบาลผสม เช่น ที่ฝรั่งเศสแต่เนื่องจากมีเสียงน้อย จึงไม่อาจก่อผลสะเทือนอย่างมากได้ แต่ก็ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีของบางกระทรวง ในห้วงทศวรรษที่ผ่านมา พรรคคอมฯฝรั่งเศสเปิดเผยว่ามีสมาชิกพรรค 1.38 แสนคน และ 7 หมื่นคนในจำนวนนั้นเสียค่าสมาชิกพรรคแล้ว สำหรับพรรคคอมฯยูโกสลาเวีย ซึ่งก่อตั้งในปี 1919 ได้ผ่านการต่อสู้หลายรูปแบบ เช่น ผ่านการเลือกตั้งเข้าไปเป็นฝ่ายค้านในรัฐสภา, ต่อมาถูกปราบปรามและกลายเป็นพรรคใต้ดิน และกลับเข้าไปมีบทบาทในรัฐสภาอีกครั้งหลังยุติความขัดแย้ง และหลังจากสิ้นสหภาพโซเวียต ฝ่ายซ้ายของยูโกสลาเวียซึ่งมีทั้งพรรคสังคมนิยม และพรรคคอมมิวนิสต์ก็ต่อสู้กันและกับพรรคอื่นๆในระบบรัฐสภาต่อไป
และ แบบที่ 4 พรรคคอมมิวนิสต์ที่เผชิญสถานการณ์ที่หลากหลาย เช่น เคยเป็นพรรคถูกกฎหมาย และกลายเป็นพรรคใต้ดิน ต้องต่อสู้ด้วยอาวุธ หรือทราบว่าจะมีการจัดให้เป็นพรรคผิดกฎหมาย จึงชิงยุบพรรค และทำงานลับในรูปแบบอื่น และเข้าไปทำงานกับแนวร่วมเพื่อผลักดันแนวคิดและนโยบายบางอย่างของกลุ่มหรือพรรคที่ได้เข้าไปมีส่วนในการบริหารประเทศ พรรคเหล่านี้ไม่เคยเข้าไปกุมอำนาจรัฐ ฯลฯ
เพื่อแสดงให้เห็นความหลากหลายและซับซ้อนขององค์ประกอบแต่ละด้าน ตอนต่อไป จะเป็นกรณี ศึกษาผลสะเทือนของลัทธิมาร์กซและบทบาทของพรรคคอมมิวนิสต์ในหลายประเทศ.
โปรดติดตามและมีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท. โปรดคลิ๊ก