บทความชนะเลิศรางวัล “หนึ่งธันวา” ประจำปี ๒๕๖๗ เรื่อง “ระบำยอดมัน”
โดย “เกื้อแก้ว
”บันทึกความทรงจำจากการต่อสู้ร่วมกับ พคท. หัวข้อ “สร้างและสรรค์ ฝันและใฝ่ สังคมแห่งอุดมการณ์”
ลำแสงสุดท้ายของวัน ทอสีทองเป็นประกายส่องบนยอดหญ้าและพุ่มไม้เตี้ยๆ แลลอดลำต้นกิ่งใบของไม้ใหญ่เป็นลวดลาย บนทางเดินที่เป็นที่โล่งแดดอ่อนยังสว่างเห็นผู้คนนับร้อยเดินแถวเรียงเดี่ยว มีข้าวของทั้งแบกทั้งสะพายกันพะรุงพะรัง บางกลุ่มเอาหม้อแกง กะละมังและกระทะใบบัวมัดติดหลังเดินอุ้ยอ้ายอย่างลำบาก พ้นจากที่โล่งแจ้งก็ไต่ไหล่เขาเข้าสู่ดงไม้ทึบที่แสงส่องไม่ถึง พวกเขาเดินกันช้าๆ และไม่ส่งเสียงคุยกันเลยนอกจากเสียงสวบสาบยามที่ต้องย่ำผ่านพุ่มไม้เตี้ยๆ สองข้างทาง บางครั้งผู้ควบคุมขบวนก็ส่งสัญญาณต่อๆ กันให้ขบวนนั่งสงบนิ่งสักพักหากพบสิ่งที่น่ากังวล จากนั้นก็ส่งสัญญาณให้ขบวนให้ลุกขึ้นเดินต่อไป แสงอาทิตย์เริ่มอำลาเต็มที่ในดงไม้ทึบ ที่มองไม่เห็นผืนดินทางเดิน ทำให้หลายคนเดินสะดุดรากไม้ เตะก้อนหิน บ้างก็หงายหลังล้มลง แต่พวกเขาก็ช่วยกันดึงช่วยกันประคองพากันเดินต่อไปในทางอันมืดสนิทนั้น
พ้นจากลำธารที่มีก้อนหินใหญ่น้อยเข้าไปในป่าข้างลำธาร เป็นทางเดินเล็กๆ ที่ไม่ค่อยมีคนเดินผ่าน มีเฉพาะสหายที่ทำหน้าที่วางกับดักสัตว์ เป็นแร้วดักกระจงหรือสัตว์เล็กๆ
ก้าวขึ้นเนินไปเพียงสองสามก้าว ร่างหนึ่งนอนหงายแขนข้างหนึ่งวางข้างลำตัว อีกข้างหนึ่งเหยียดมาทางลงเนินสู่ลำธาร ดวงตาของเธอปิดสนิท
ใบหน้าซึ่งปกติมีเลือดฝาดอมชมพูสองข้างแก้มบัดนี้ซีดขาว แมลงวันและแมลงอื่น ๆ เริ่มตอมไต่ที่บาดแผลสองสามแผลฉกรรจ์ ที่ยังมีเลือดไหลรินบางเบา แลเห็นคราบเลือดบนผืนดิน เป็นทางผ่านไปบนผืนดินผืนหญ้า
ผ่านไปบนก้อนกรวดเล็กๆ และหยดหยาดไปลงลำธาร คราบเลือดบ้างข้นบ้างใส บ้างเป็นลิ่มๆ ไหลไปถึงผืนดินริมน้ำ ลงสู่ลำธารที่เป็นแอ่งเล็กๆ ข้างก้อนหินใหญ่ น้ำบริเวณนั้นเริ่มขุ่นแดง
เมื่อหน้าแล้งมาถึงมักเป็นช่วงเวลาที่ทางการกระทำการล้อมปราบเป็นยุทธการ วางกำลังเป็นฐานปฏิบัติการ กระจายกำลังไปตามถนนเส้นยุทธศาสตร์หรือตั้งฐานในวัด หน้าทางเข้าหมู่บ้านข้ามทางรถไฟไปถึงถนนสายเอเชีย ตรวจค้นบ้านเรือนประชาชนออกกฏห้ามกรีดยางในเวลาเช้ามืด ออกกฏห้ามซื้อข้าวของหรือหยูกยาเป็นจำนวนมากเพราะเกรงว่าจะส่งไปให้สหายบนเขา สร้างความตึงเครียดหวาดกลัวไปทั่วพื้นที่ทั้งเขตพรุพี บ้านนาสาร บ้านสร้อง เวียงสระ บ้านเหนือคลอง ไปถึงจันดี ฉวาง ฯลฯ วัยรุ่นที่เคยมาเตะฟุตบอลในสนามของวัดและโรงเรียนก็ต้องหยุดไป บ้านไหนมีคนตายก็จัดงานสวดงานกันเงียบๆ ไม่มีเพื่อนบ้านมาร่วมงาน
เหมือนเคย ทหารทางการเดินลาดตระเวนไปตามตลาดนัด ตามวัด และมักไปนั่งที่ศาลารอรถเมล์ปากทางเข้าช่อง ตรวจค้นผู้คนและสัมภาระ คนหนุ่มๆ ที่ทหารคิดว่าสงสัยจะเป็นฝ่ายพวกบนเขา หรือรู้ว่ามีญาติพี่น้องอยู่บนเขา จะถูกนำเข้าฐานไปทำการสอบสวนเริ่มจากเบาๆ จนไปถึงใช้ความทารุณ
หญิงสาวแม่ลูกอ่อนคนหนึ่งถูกมัดไว้กับต้นไม้ มีทหารอุ้มเด็กน้อยที่ตกใจส่งเสียงร้องจ้าดิ้นเร่า ๆ จะไปหาแม่ หญิงสาวพยายามขยับข้อมือที่ถูกมัดไว้จนแน่นเป็นรอยแดงเจ็บปวดไปหมด ส่งสายตามองลูกน้อยด้วยความสงสาร ร้องบอกทหารทางการว่า
“ปล่อยฉันไปเถิดนาย ลูกฉันคงหิวนม ฉันไม่มีอะไรจะบอกนายอีกแล้ว หลวงพรผัวฉันขึ้นเขาเข้าป่าไปเกือบปีแล้ว และไม่ติดต่อฉันอีกเลย ได้โปรดเถิดนาย สงสารลูกบ่าวฉันเถิด ปล่อยฉันเถิดนาย”
จ่าทหารคนที่ควบคุมการสอบสวนสำรากออกมา
“โธ่ อีดอกทอง กูรู้นะ พวกมึงน่ะ โกหกเก่ง สายของกูบอกว่ายามค่ำมืดดึกดื่น พวกมึงกับพวกคอมเดินกันไปทั่วหมู่บ้าน ในช่องนี้ก็ขนของมาวางกองไว้ให้พวกคอมของมึงขนขึ้นเขาไป บอกกูมาใครเป็นคนจัดการให้พวกมึง ไม่งั้นกูจะให้ลูกน้องฟาดลูกมึงให้กบาลแยกกะต้นยางนี่แหละ”
แดดยามเที่ยงร้อนระอุ หญิงสาวผู้เป็นแม่เหงื่อออกไหลพรั่งพรูจนแสบหลัง ใบหน้าบวมปูด ผมเผ้าตกหลุดรุ่ยร่ายรุงรัง น้ำตาหยาดไหลไม่หยุดไม่แห้งเพราะแรงสะอื้น ลูกน้อยร้องอุแว้ อุแว่ อุแว้ จนเสียงแหบโหยด้วยหมดแรงและหิวนมแม่ ทหารที่อุ้มเด็กน้อยจับสองขาของเด็กชูเด็กขึ้นไปที่ใบหน้าแม่ พลางตะคอก
“มึงไม่บอกใช่ไหมว่า ไอ้หลวงพรผัวมึง หรืออ้ายอีคนไหน ที่เที่ยวนัดแนะชาวบ้านให้ขนของมาดับมากอง ให้พวกบนเขามาขนไปเมื่อคืนก่อน มึงจะบอกไหม ! “
ทหารปีศาจนายนี้รวบสองขาเด็กน้อยด้วยมือเดียว แล้วฟาดเด็กน้อยใส่ลำต้นยางข้าง ๆ ตัว เสียงหวีดร้องอย่างเจ็บปวดลากยาว สร้างความสยองจิตใจของคนที่ได้ยิน ปีศาจตนนี้ชูเด็กน้อยที่หัวแตกเลือดทะลักพรูพรั่งไปที่หน้าของหญิงผู้เป็นแม่ ซึ่งมีดวงตาเหลือกกว้างเพราะคาดไม่ถึง เธอส่งเสียงร้องไม่เป็นภาษาพลางดิ้นรน ร่างที่ถูกรัดตรึงมือทั้งสองข้าง เท้าทั้งสองข้างไม่หยุด จนข้อมือข้อเท้าเป็นรอยแดงเลือดไหลซิบ ๆ จากนั้นหล่อนก็หมดสติคอพับก้มลง อ้ายปีศาจโยนร่างเด็กน้อยที่กระตุกไปทั่วร่างขยับหัวขึ้นลง ขาข้างหนึ่งชักขึ้นมาชันหน้าอก มือไม้กำและแบ เสียงร้องแผ่วเบาลงจนเงียบหายไปในที่สุด อ้ายปีศาจร้องสั่งลูกน้องว่า
“เชิญทั้งแม่ทั้งลูกเข้าเตาเผาเมรุไปเลย เดี๋ยวกูสวดส่งวิญญาณให้เอง”
ขบวนแถวเหยียดยาวของผู้คนนับร้อยได้รับคำสั่งให้นั่งนอนพักโดยไม่ลุกเดินไปไหน เอนหลังที่มีเป้ข้าวของรองรับบนผืนพุ่มไม้ข้างทาง ต่างพากันเหนื่อยอ่อน บ้างก็ผล็อยหลับ บ้างก็จุดไฟสูบยา แล้วก็ได้ยินเสียงดุเรียบ ๆ เข้ม ๆ ว่า
“สหายอย่าจุดไฟสูบยา อย่าใช้ไฟฉายส่องขึ้นบนฟ้าหรือส่องไปไกล ขอให้ส่องแต่ที่ปลายเท้า และอย่าใช้ไฟฉายโดยไม่จำเป็น ใกล้สว่างแล้ว เราจะถึงจุดหมายอีกไม่ไกลแล้ว อดทนเอาหน่อย”
เรารู้ว่าศัตรูจะบุกขึ้นควน มาถล่มค่ายต่าง ๆ ของเรา ฝ่ายนำจึงมีคำสั่งให้ทุกค่ายของเขต สฏ. 1 ประกอบด้วยค่าย บี. 2 บี. 3 บี. 4 บี. 5 ทำการถอยทัพไปยังที่ปลอดภัย คือเขตเขาของเทือกเขา จ.นครศรีธรรมราช อันเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างเขตงาน จ.สุราษฏร์ธานี และเขตงาน จ.นครศรีธรรมราชเรียกว่าค่าย บี.1 หรือเขต ม.18 ซึ่งอยู่ไกลลึกจากชายควนชายเขา ห่างจากหมู่บ้านมวลชน
พอใกล้สว่างเห็นลายมือ ขบวนใหญ่ก็เดินทางมาถึงค่าย บี.1 ซึ่งเราจะตั้งสำนักชั่วคราวอยู่ห่างจากตัวค่าย
ภูมิประเทศคือป่าทึบกว่าค่ายเก่าของพวกเรา มีต้นไม้แปลกตาราวกับเป็นป่าดึกดำบรรพ์ มีเสียงนกเสียงสัตว์ป่าหนาหู ระคนไปกับเสียงจั๊กจั่น ที่ระงมไปทั้งป่า แล้วเงียบกริบเวลามีคนเดินมาใกล้
ระหว่างที่เราเดินทางในความมืด เราไม่รู้ว่ามีใครเดินแซงเราไปที่ไหนอย่างไร เมื่อฟ้าสว่าง ผู้นำให้พวกเราแยกไปตามหมู่แล้วช่วยกันทำที่พักชั่วคราว คือปรับพื้นดินให้ราบเรียบแล้วเอาผ้ายางปูพื้น ส่วนผ้ายางอีกผืนหนึ่งผูกโยงกับต้นไม้ เป็นหลังคาที่ลาดชันแบบเพิงหมาแหงน สหายส่วนหนึ่งที่มาถึงก่อนขบวนใหญ่กำลังขุดดินทำเตาเพื่อหุงข้าวต้มแกง วันนี้พลาธิการอนุมัติการหุงข้าวขาวไม่ปนมัน และนำปลากระป๋องมาทำแกงส้มใส่ขี้พร้า จนกว่าทุกอย่างจะลงตัว พรุ่งนี้ค่อยกำหนดแบ่งงานในการหาเสบียงกันต่อไป ลำธารที่นี่เล็กกว่าที่ค่ายเก่าแต่ก็มีน้ำไหลรินไม่ขาด สองข้างลำธารเป็นไม้ริมน้ำจำพวกว่าน จำพวกบอนและกล้วยป่าอยู่หนาแน่น พวกเราช่วยกันโยกย้ายก้อนหินที่พอยกได้ไหวในลำธาร มาแต่งเป็นแอ่งน้ำที่กว้างขึ้น กำหนดให้ฝ่ายบนมีต้นอ้อต้นแขมริมน้ำ และลับตาคนเป็นที่อาบน้ำของสหายชาย ถัดลงมามีก้อนหินขนาดยักษ์อยู่กลางลำธาร ยากที่คนจะเห็น เป็นที่อาบน้ำของสหายหญิง
ข้าวมื้อแรกที่ขบวนมาถึงกลายเป็นข้าวมื้อบ่าย เป็นข้าวขาวสีตุ่น ๆ เต็มโคม มีแกงส้มขี้พร้าปลากระป๋องที่ไม่เห็นชิ้นปลาแต่อร่อยเพราะมีรสเปรี้ยว มาเจือความเผ็ดและเค็ม ที่พิเศษสุดคือ วันนี้พี่เลี้ยงใจดี ทำเคยจี่มาวางไว้ 3 – 4 ท่อนไม้ไผ่ ขณะที่พวกเรากินข้าวจัดตั้งก็มาประกาศว่า เสร็จมื้ออาหารแล้ว ขอให้ทุกคนไปรวมพลรับฟังสถานการณ์ร่วมกัน
ระหว่างกินข้าวพวกเราก็มองเห็นเพื่อน ๆ ที่อยู่ต่างค่ายและต้องถอยทัพมาอยู่บริเวณใกล้เคียงกัน ต่างก็โผเข้าหากันถามทุกข์ถามสุขกันและกัน บางกลุ่มก็หัวเราะกันเกรียว บางคนจับคู่กับเพื่อนแล้วพูดคุยกันเบา ๆ ด้วยความเคร่งเครียดถึงปัญหาในค่ายของตน ที่จะคล้ายกันคือ ปัญหาการสื่อสารระหว่างสหายนักศึกษากับจัดตั้งที่เป็นสหายชาวนา เรื่องวิธีคิด วิธีการทำงาน วิถีทางวัฒนธรรมที่คุ้นชิน ซึ่งสหายจัดตั้งเรียกร้องให้สหายนักศึกษาทำการปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมในขบวนปฏิวัติ สหายนักศึกษาก็เรียกร้องให้จัดตั้งรับการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม ของคนเมืองที่จะมีผลดีต่อการทำงานปฏิวัติบนเขตป่าเขา
“สาวเอียดมันตายแล้ว ลูกบ่าวมันด้วย ฮือ ๆ ลูกบ่าวมันถูกฟาดกับต้นไม้จนหัวแตกเนียน เลือดพุ่งกระจาย โธ่ ! น่าเอ็นดูเหลือเกิน ฮือ ๆ ส่วนสาวเอียด ฉันเห็นกับตาว่ามันยังไม่ตาย มันแค่สลบไป เพราะเห็นลูกมันถูกทำอย่างนี้ อุบาทว์ ชาติชั่ว ระยำแรง พวกทหารมันจับสาวเอียดนอนแล้วเอาลูกบ่าวไว้บนอก แล้วมัดสองแม่ลูกเข้าด้วยกัน ส่งเข้าเตาเผา หลวงพ่อแก่ก็ร้องไห้นะ ตาชุกสัปเหร่อก็ร้องไห้ ร้องแบบไม่กลัวพวกนายแล้ว ว่าทำไมโหดร้ายไม่ใช่คนอย่างนี้ “ มวลชนพากันโจษขานซุบซิบไปทั่ว
ผู้ปฏิบัติงานมวลชนในพื้นที่ ตั้งแต่บ้านช่องช้าง บ้านโคกเขา บ้านควนสามัคคี บ้านมหาราช ได้จัดการให้มวลชนที่มีความเสี่ยงในการถูกจับกุมพากันอพยพเข้ามาในจุดปลอดภัยเชิงเขาเรียกว่า จุดรวมมวลชน
ในระหว่างที่ทางการทำการปราปรามอย่างหนักเช่นนี้ คนหนุ่ม ๆ ถูกจับมาทรมานกันทุกวัน บ้างก็ถูกขังในฐานหรือถูกยัดข้อหา เรื่องอาวุธปืนหรือข้อหาลักทรัพย์เอาไปขังไว้ที่โรงพักของตำรวจก็มี เด็กหนุ่มบางคนคับแค้นใจอยากเข้าป่าจับปืนเป็นคอม ฯ มายิงนาย จึงก่อเหตุชิงปืนจากตำรวจแล้วหนีไป
“เฮ้ย อ้ายทิว มึงเห็นจ่าอ้วนชัยที่มันนั่งกินกาแฟอยู่โต๊ะนอกร้าน กาแฟน้าหลวงพรหมม๊าย “
“อืม แล้วยังไง จะให้กูวิ่งไปปลดปืนที่เอวจ่าอ้วนเหรอ”
“เออสิวะ แล้วมึงวิ่งไปสุดห้องแถว เลี้ยวไปด้านหลัง ตรงทางขึ้นสถานีรถไฟ กูจะติดรถเครื่องรอมึงที่นั่น”
เด็กหนุ่มร่างสูง ตาคม ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ลุกขึ้นเดินอย่างเร็วไปที่ร้านกาแฟ ที่โต๊ะนั้นจ่าอ้วนนั่งหันหลังอยู่ เขาเข้าประชิดตัว เอามือหนึ่งปลดกระดุมกระเป๋าซองปืน กะว่าคว้าปืนแล้ววิ่ง จ่าอ้วนรู้ตัว เอี้ยวตัวหันมาเอามือปัด ลุกขึ้นยืนจนเก้าอี้ล้ม มีหลายคนในร้านกาแฟเป็นทหารนอกเครื่องแบบเดินมารุม …ทิว ไว้
คนหนึ่งจับแขนทิวบิดมาด้านหลัง ใส่กุญแจมือทันที อีกคนหนึ่งผลักให้ทิวล้มลงนั่งคุกเข่า เอาเท้าเหยียบลงนอนคว่ำหน้า จ่าอ้วนหัวเราะแล้วบอกกับเพื่อนว่า
“ขอบใจสู เกือบเสียทีให้ไอ้ลูกหมานี่เสียแล้ว” แล้วก็เตะทิวหน้าหงาย “มึงจะเอาปืนกูไปทำหรัย ไอ้ห่า” จากนั้นก็กระทืบทิว ตั้งแต่หัวหูหลังไหล่จนถึงขา เพื่อนตำรวจอีกสองสามนาย วิ่งมาสมทบพอรู้ความก็เอาด้ามปืนยาวกระแทกใส่หัวใส่หลังทิวอีกหลายครั้ง พวกมันตกลงกันว่าเอาไปให้ผู้กองวิเชียรที่ค่ายขี้ทรายดีกว่า หรือจะเอาไปที่ค่ายที่วัดสุบรรณดี
“มันจะลักปืนก็ถือว่าชิงทรัพย์ เอาไปโรงพักสิจ่า”
“สถานการณ์ทหารเต็มเมืองอย่างนี้ พาไปให้ทหารเถอะ กูคิดว่ามันจะไปเป็นคอม ฯ ไม่ใช่ชิงทรัพย์ปกติ อีกอย่างพวกทหาร จะได้พอใจตำรวจอย่างเราบ้าง”
บ่ายคล้อยแล้ว ทิวซึ่งถูกมัดตรึงกับต้นยางตั้งแต่ยามสาย รู้สึกหิวน้ำคอแห้งปวดร้าวไปทั้งตัว โดยเฉพาะที่ศีรษะ เพราะโดนกระแทกด้วยด้ามปินหลายครั้ง อยากยกมือมาลูบไล้ใบหน้าเพราะรู้สึกว่า มันบวมโย้ไปข้างหนึ่ง ขาและแผ่นหลังตึงปวดร้าวเหลือที่จะทน พวกมันจับเขามาแล้วก็เอามามัดตรึงไว้กับต้นยางในวัด แล้วก็ไม่ทำอะไรเขาอีก น้าหลวงเชียรสัปเหร่อยืนอยู่ไม่ไกล มองเขาอย่างห่วงใย ทิวพยายามพยักหน้าเรียกน้าหลวง เพราะอยากน้ำเหลือเกิน แต่รู้สึกตัวแข็งใบหน้าชาปากบวมจนไม่สามารถขยับได้ ได้แต่ส่งสายตาให้น้าหลวงเชียร ทิวรู้ว่าแกเป็นห่วง น้าหลวงก็ใช่คนอื่นไกล เป็นน้าเขยของหลานสาวแม่ของทิวเอง
ทิวหลับตาลงคิดไปถึงเณรแดงเพื่อนเกลอ คงรู้แล้วว่าเขาถูกจับ มันติดรถเครื่องรอหลังสถานีรถไฟ คงกลับบ้านไปแล้ว คงบอกให้แม่กับพ่อรู้แล้วว่าเขาถูกจับ
เสียงครางของใครคนหนึ่งดังอยู่ไม่ไกล เป็นเสียงของความเจ็บปวด ทิวพยายามฝืนความเจ็บเอี้ยวคอไปทางด้านซ้าย ตรงนั้นมีบัวริมรั้ววัดเรียงเป็นแถว ทิวตกใจมากเพราะต้นไม้สี่ห้าต้นตรงนั้น มีคนถูกมัดแบบเขาทั้งหญิงชาย ทุกคนหน้าตาบวม ตาปิด กรามเบี้ยว เลือดไหลเปรอะเปื้อนเสื้อผ้า หน้าบวมจนทิวก็จำไม่ได้ว่าเป็นใคร จากนั้นก็สะดุ้งสุดตัวด้วยเสียงบริภาษของทหารนายหนึ่ง
“ไอ้ทิว กูรู้ชื่อมึงแล้ว แม่มึงชื่อเอียด พ่อมึงชื่อคม อยู่บนเขาทั้งคู่ ตอนนี้มึงอยู่กับแม่เฒ่าและน้องมึงอีกสองคน”
ทหารนายนี้จับคางทิวที่ก้มหน้าอยู่ให้เงยขึ้นมา
“มึงมองกู มึงกลัวกูมั๊ย พวกคอมเหี้ย ๆ แบบพ่อแม่มึงน่ะ เอาชนะพวกกูไม่ได้หรอกเว้ย อุดมการณ์เหี้ย ๆ น่ะสิ มาลอบยิงพวกกู แล้วก็หยบเหมือนหมา หนีขึ้นเขาไป”
ตอนนี้มีทหารเข้ามาสมทบอีกสามนาย คนหนึ่งเอาไม้มาเขี่ย ๆ เชือกที่ผูกล่ามเขาไว้ดูความเหนียวแน่น
“พี่จ่า เห็นหมวดว่าวันนี้จะฉลองเสียหน่อย คุณนายออกลูก กะจะยิงปืน ค. ขึ้นเขาสักร้อยนัด เอาให้พวกคอมกระดิกหนีไปทางไหนไม่ได้เลย ให้กลัวจนเยี่ยวแตกเลย ฮ่า ๆ ๆ”
ทหารอีกนายปัดมือของจ่าที่จับคางทิวให้เงยขึ้นมา บอกว่า “จ่าไปกินน้ำเถอะครับ เดี๋ยวผมกับเพื่อน ๆ จะสอบสวนไอ้ห่านี่ สองสามคำ จากนั้นจะไปสมทบกินดื่มกับจ่านะครับ”
“เอาสิน้อง เอาที่สบายใจ พี่จะได้ไปบอกจ่าอ้วนเพื่อนพี่ ที่เป็นเจ้าของปืนว่า ไอ้เหี้ยนี่ ได้รางวัลอะไรบ้าง”
ทหารสามนายพากันยกมือทำความเคารพ ให้จ่าที่กำลังเดินขึ้นไปที่ศาลาวัด อันเป็นที่พักนอนของทหารในค่ายวัดนี้ แล้วคนหนึ่งก็ล้วงไฟแช็คมาจุดบุหรี่สูบ เอาไฟแช็คที่ยังมีเปลวไฟลนใกล้คางของทิว
“อยากสูบยาไหมล่ะมึง น่าจะเริ่มเป็นบ่าวแล้ว”
แล้วก็พ่นควันบุหรี่ใส่หน้าทิว ทหารอีกสองนายหัวเราะชอบใจ พากันเอาบุหรี่มาจุดกับไฟแช็คของตนแล้วก็ลนไปที่คางของทิว ตาที่เริ่มบวมแดงโดนไฟลนจนเนื้อไหม้ปริ ส่งกลิ่นฉุนของเนื้อที่ถูกไฟไหม้ ทิวร้องครางด้วยความเจ็บปวด “พอเถอะนายครับ ๆ ผมรับผิดแล้วครับ ที่จะชิงปืนของจ่าอ้วน ผมเจ็บครับนาย พอเถอะครับ “
ในเวลาอันสำราญของสามทหารนี้ ไม่มีใครฟังเสียงร้องขอวิงวอนของทิว พากันสลับเอาไฟแช็คลนคางของทิว ไม่มีวี่แววว่าจะหยุดกระทำ เสียงร้องของทิวเริ่มโหยหวนด้วยความเจ็บปวดถึงที่สุด คางของเขาเหวอะหวะด้วยแผลของไฟไหม้ เนื้อปริพองจนเห็นกระดูกคาง ทิวทนอย่างที่สุด นึกถึงพ่อแม่ แล้วเขาก็สลบไปอีกครั้ง มีเพียงเสียงใบยางแห้งร่วงจากต้นลงสู่พื้นดังแกรกกราก
ปรี๊ด ปรี๊ด ปรี๊ด ปรี๊ด เสียงนกหวีดของเวรยามดังขึ้น ปลุกพวกเราให้ลุกขึ้น พับผ้าห่มดับใส่เป้ ประจำตัว ให้เรียบร้อย พากันไปรวมตัว ที่สนามเล็ก ๆ กว่าปกติ โดยสหายใช้การถากถางต้นไม้ต้นหญ้าในที่ราบเล็ก ๆ พอได้เข้าแถวรวมตัวกัน
“เช้านี้เราจะต้องเริ่มหาเสบียงนะครับ จัดเป็นหมู่ที่ไปตัดกล้วยเถื่อนสักสองหมู่ โดยไม่ให้ไปไกลจากค่ายมากนัก เดี๋ยวจะหลงไป ให้สหายก้องนำหมู่สี่และหมู่ห้าไปนะครับ “
สหายนำในค่ายชั่วคราวจัดแบ่งงานในการหาหยวกกล้วยป่ามาทำอาหาร หาคนไปแบกฟืน และหาคนไปแบกเคยที่ซ่อนไว้ในป่าบริเวณนี้ ที่เหลือจากนั้นให้หัวหน้าหมู่จัดประชุมพูดคุยวิชาการและสถานการณ์
ด้วยภูมิประเทศที่แปลกตาไปจากค่ายที่อยู่เดิม ทำให้พวกเราคึกคัก เดินแถวตามสหายชาวนาผู้นำทางไปยังดงกล้วยป่า แล้วก็ช่วยกันตัดฟันต้นกล้วย ลอกเปลือกเหลือแต่แกนขาว ๆ เอามามัดเป็นแพสำหรับขนแบบเป้ใส่หลังได้สะดวก พวกเราดับเป้เรียบร้อยก็เริ่มออกเดินเป็นแถวกลับไปค่ายชั่วคราว มีการเล็งไว้แล้วว่าริมทางเดินระยะหนึ่งมีบึงน้ำเล็ก ๆ ทุกคนอยากว่ายน้ำเล่นให้เย็นใจเพลืดเพลิน ว่าแล้วก็ขออนุญาตสหายผู้ควบคุมแล้วปลดเป้วาง กระโดดลงน้ำกันเลย น้ำช่างเย็นชื่นใจ คุณสง่า คุณศรัทธา คุณนอก และอีกสองสามคนพากันว่ายน้ำไปมาอย่างมีความสุข จากนั้นเราก็เป้หยวกกลับถึงค่ายโดยเรียบร้อย
ค่ายชั่วคราวของพวกเราเหมือนสลัม หรือศูนย์อพยพสงคราม บนเขาสูงอย่างนี้ ดีไปอย่างคือไม่มียุงกัด มีแต่เชื้อมาเลเรีย ถ้าใครเผลอกินน้ำดิบในลำธาร วันไหนที่ว่าง ๆ ก็เดินลอยชายไปเยี่ยมคนป่วยที่โรงพยาบาลสนามบ้าง ไปเยี่ยมเพิงพักของสหายที่สนิทกัน ซึ่งตอนนี้มีการละเล่นยอดฮิตในยามว่างงานอยู่สองอย่างคือ เลี๊ยบตุ่ย เหมือนหมากรุกจีน และของเล่นเสียบหมุดให้สีตรงกัน
ค่ายอพยพของพวกเราอยู่ในป่าทึบใจกลางเทือกเขาอันสลับซับซ้อน จึงไม่ต้องกังวลว่าสหายศัตรูจะขึ้นมาถึง เราจึงใช้เวลาจัดกลุ่มศึกษาและจัดงานรื่นเริง รำวง ละคร และมีขนมหวานให้กินด้วย เช่น โอวัลตินชงหวานแบบสองร้อยเปอร์เซ็นต์ ให้สหายตักไปเจือน้ำให้จืดจางเอง มีต้มถั่วย่านางเม็ดเล็ก ๆ สีน้ำตาล กินแล้วมัน ๆ อร่อยดี การมาอยู่แบบนี้ทำให้เรานึกถึงการออกค่ายอาสา ฯ เรารู้ว่าตอนนี้สหายหน่วยกองทหารทำงานหนักที่สุด เสียงปืนใหญ่ของศัตรูดังสะท้อนสะท้านมาถึงเขตที่พวกเราอยู่ บางช่วงมันยิงเหมือนปูพรม เราห่วงว่าศัตรูจะบุกศูนย์รวมมวลชนไหม พวกเขามีความเป็นอยู่อย่างไร มีทั้งคนแก่ คนชรา และเด็กน้อย ข้าวปลาอาหารจะมีกินสมบูรณ์ไหม พวกทหารบ้านที่ร่วมกับกองทหารหลักจะทำหน้าที่ได้ดีไหม ขออย่าให้เกิดความสูญเสียใด ๆ เลย
ดึกสงัดตีสามกว่า ยามของเวลานั้น 5 – 6 คน แต่ก็หลับง่วง น้าหลวงสัปเหร่อก็ย่องมาตัดเชือกที่แขนขาของทิว เขาทรุดตัวลงนั่งทันที เพราะไม่มีกำลังขา “ไอ้ทิว มึงอย่าล้ม มึงเกาะกูนี่ ลากขาก็ลากไป กูจะพามึงหนีไปหาสหาย” เสียงใบยางร่วงหล่นตรงนั้นแกรกตรงนี้แกรก ผสมไปกับเสียงนกกลางคืน ร้องถึดทือ
สองน้าหลานพากันก้าวออกมานอกเขตวัด ไปที่รั้ววัดด้านที่มีบัวเรียงราย ที่ตรงนั้นเณรแดงมีรถเครื่องเตรียมไว้แต่ไม่ได้ติดเครื่อง กะว่าจะพากันหนีไปเงียบ ๆ พ้นถึงที่ปลอดภัยแล้วค่อยติดเครื่อง
พวกเรามาชุมนุมตามเสียงนกหวีดเรียกประชุม ผุ้บังคับบัญชากล่าวว่า “ตอนนี้ทหารศัตรูถอยเข้าฐานใหญ่ไปแล้ว เราจึงสามารถกลับไปยังค่ายของเราได้ แต่ครั้งนี้จะเป็นค่ายสร้างใหม่ ไม่ไกลจากที่เดิมจากที่เสียลับแล้ว จงรีบเก็บของให้รวดเร็วและเป็นระเบียบ”
ขบวนแถวถูกตั้งอีกครั้ง เดินกลับไปยังจุดเดิมของสันเขา ในเขตเวียงสระ บ้านสร้อง เหนือคลอง นาสาร และพรุพี เรามีกำลังใจเพิ่มขึ้นมากเมื่อจัดตั้งรายงานว่า เรามีทหารที่เสียสละไปสี่คน บาดเจ็บสิบคน ส่วนทหารรัฐบาลบาดเจ็บล้มตายมากจนต้องถอยทัพยกเลิกยุทธการปราบปราม
ช่วงหนึ่งก่อนถึงค่ายเหนือคลอง เป็นบริเวณควนสูง มีชื่อว่า ควนทัง มองเห็นร่องรอยว่ามีเฮลิคอปเตอร์ของศัตรูลงตรงนี้ เอาทหารมาส่งและมารับทหารกลับ เราเห็นรอยขีดบากของลำต้นไม้ด้วยมีดว่า พ่อจ๋า แม่จ๋า มารับลูกด้วย นอกจากนี้เราพบซากอาหารกระป๋องและผ้าพันแผลเปื้อนเลือดจำนวนมาก รวมทั้งกระบอกฉีดยา แสดงว่าทหารรัฐบาล อยู่ไม่ไกลจากจุดพักของเราเลย แต่จะไปปราบพวกเราทางไหนก็ไปไม่ถูก มีแต่คอม ฯ ซุ่มยิงจนพากันกลับ
ยังเป็นแดดอ่อนโรยแสงยามเย็นเหมือนตอนที่เราอพยพไป มีการแบ่งสหายเป็นส่วน ๆ สหายที่อยู่ค่าย บี. 3 ไปทางนี้ สหายที่อยู่ค่ายบี. 5 ไปทางนั้น สหายที่รับผิดชอบไม่ได้พาเราไปค่ายเดิม แต่มายังค่ายใหม่ ที่เราเห็นว่ามีการใช้พลั่วใช้จอบ ขุดที่เนินให้เป็นที่ราบ หมายจุดที่จะเป็นที่ตั้งโรงเรียนของพวกเรา แล้วเอาผ้ายางออกมาปูพื้น ขุดทางระบายน้ำรอบ ๆ หลังคายังเป็นผ้ายาง แต่มีเสาที่สหายมาปักไว้ให้สี่ด้าน วางเป้แล้วนอนหนุนเป้ อยากหลับตา หลับไปตลอดกาล เพราะรู้สึกว่าเหนื่อยเหลือเกิน งานปฏิวัติที่เราจัดกลุ่มศึกษา มันก็เป็นนามธรรม ไม่ได้ประสบพบของจริงเข่นนี้
สหายส่งเสียงดีใจปรบมือดังลั่น เมื่อสหายขนปลาจากบ่อปลาของเราที่ค่ายเก่ามากองเป็นภูเขา มันตายหมดเพราะลูกปืนใหญ่ตกลงในบ่อปลา เป็นภารกิจเฉพาะหน้า ที่ต้องระดมช่วยกันทำปลาแบ่งเป็นกอง ๆ ส่งไปยังค่ายต่าง ๆ โชคดีที่ในค่ายของเรานี้มีต้นมะกรูดป่าสูงใหญ่ สหายจึงปีนขึ้นไปตัด เป็นช่อ ๆ ใบลงมา แบ่งไปกับปลานั้น
นับแต่นั้นมาสหายก็พากันเรียกค่ายชั่วคราวของนักศึกษานี้ ว่า “ค่ายต้นกรูด” ค่ายที่มีแต่สหายนักศึกษาตามที่ใครหลายคนไปพูดคุยกับจัดตั้งว่า หลังจากอพยพกลับมา เราอยากให้แยกค่ายระหว่างนักศึกษากับสหายชาวนา พวกเราป่าวประกาศจนรู้ทั่วว่า ต่อไปนี้เราต้องช่วยตัวเองในการก่อสร้างบ้านพัก ในการหาวัตถุดิบมาทำอาหาร ในการไปขนฟืนมาเป็นเชื้อเพลิง เราส่วนใหญ่ดีใจ เพราะคิดว่าที่ผ่านมาเราได้ศึกษาเล่าเรียนวิถีการผลิต และความเป็นอยู่จากสหายชาวนาได้ระดับหนึ่งแล้ว
พวกเราคึกคักกันมาก พากันทำการสร้างบ้านพักแต่ละหลัง ให้เป็นที่นอนของสหายแต่ละหมู่ เราหาไม้ไผ่มาทำแคร่นอน เอาใบทังมาพับแล้วเย็บร้อยเป็นแผ่นเป็นฝาสามด้าน ด้านหน้าปล่อยโล่ง เราต้องขุดหลุมเพลาะด้วยเพราะเป็นเรื่องจำเป็น ขุดเป็นตัวแอล ของภาษาอังกฤษ ลึกเท่าอกในทุก ๆ บ้านพัก
เสียงลูกปืนค. ที่ยิงมาจากฐานปฏิบัติการของทหารรัฐบาล เราได้รับการสอนจากสหายว่า ถ้ามีการเสียงดังคล๊อก แล้วจากนั้นมันจะแหวกอากาศเป็นเสียงขวับ ๆ แสดงว่าใกล้พวกเราต้องโดดลงหลุมเพลาะ ถ้าเสียงลูกปืนเป็นแบบ หวิว หวิว นั่นแสดงว่าเลยข้ามหัวเราไปที่อื่น อย่างไรก็ตาม เช้าวันหนึ่งเราพบว่า กอต้นกล้วยหนาทึบอยู่ชิดใกล้ขอนไม้ใหญ่ที่ขวางทางเดินหน้าค่ายของเราได้หายวับไปทั้งกอ
ในที่สุด ค่ายของเราก็เป็นรูปเป็นร่าง แม้สหายจัดตั้งจะพูดว่าเป็นเพียงค่ายชั่วคราว เพราะความขัดแย้งที่สหายนักศึกษามีต่อสหายชาวนา ทำให้พวกเราต้องอยู่ลำพัง วันหนึ่งสหายสุเทพ ซึ่งเป็นจัดตั้งในเมืองของพวกเรา ก็ขึ้นมาที่ค่าย ทำให้พวกเราต้องมาประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
ท่อนฟืนถูกจับวางตั้งพื้น สหายนักศึกษาคนหนึ่งบรรจงใช้ขวานฟันผ่าท่อนฟืนนั้น ซึ่งมันไม่แยกขาดจากกันโดยง่าย สหายเงื้อขวานขึ้นสูงแล้วฟันลงไปอีกครั้ง แต่ไม่โดน ฟืนก็ดิ้นลงพื้น ทำให้สหายบางคนจับมันมาตั้งขึ้นใหม่ “เอาอีกที เล็งให้เหมาะ ทีเดียวให้เชาะเลย” สหายที่ถือขวานก็หลับหูหลับตาเล็งตามรอยผ่าฟืนเก่า หวดขวานลงไปเต็มที่เลย ได้ผลที่มันถูกผ่าออกเป็นสองซีก สหายดูภูมิใจตนเอง ต่อมาก็เป็นคิวของสหายคนต่อไป งานผ่าฟืนกลายเป็นความบันเทิงที่เราชอบไปเฝ้าดู
ในที่สุดก็มีคำสั่งให้จัดหมวดหมู่ใหม่ ทำให้นักศึกษาส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย แต่ก็ยอมในที่สุด เพราะต่างก็มองเห็นการดูแลจากจัดตั้งมาตลอดหลายเดือน
ค่ายใหม่ของเราเป็นที่ตั้งโรงพยาบาลสนามด้วย โรงพยาบาลหลักคือโรงหมอค่ายบี.4 ตอนนี้มันเป็นช่วงฤดูที่ต้นไม้ต่าง ๆ ทิ้งใบ ที่เคยทึบก็กลายเป็นที่โปร่งโล่ง ค่ายใหม่ของเราเหมือนที่ผ่านทาง หากใครเดินทางโดยใช้เส้นทางเดินผ่านค่ายบอมบ์ที่ร้างแล้ว ไต่สันควนทรราชมาถึงขอนไม้ใหญ่หน้าค่ายของเราก็นับว่าปลอดภัยแล้ว
ในวันหนึ่งสหายทิวก็อยู่ในเปลที่สหายช่วยกันแบกขึ้นมา ในเปลนั้นแล้วก็จัดแจงให้เขานอนบนเตียงคนไข้ ในโรงพยาบาลของเรา ดวงตาของสหายทิวดูเบิกกว้างเหมือนกวางที่ระวังไพร ใบหน้าโหนกแก้มโยกเบี้ยว ด้วยร่างที่สูงยาวยามนอนมาในเปลสนาม สหายทิวคงนอนงอขามาตลอด บาดแผลที่คางของเขาที่ถูกไฟลนจนถึงกระดูกคางมันดูบวมเหยะแหยะ มีคราบของยาฆ่าเชื้อราดรดมาบนบาดแผล เราส่งให้สหายทิวนอนราบบนเตียงไม้ไผ่ของโรงพยาบาลชั่วคราว เราอยากให้หมอทวี หรือหมอวราห์ จงผ่านมาทางนี้โดยไว สิ่งที่กลัวที่สุดคือ การติดเชื้อ เพราะวัดอุณหภูมิแล้ว สหายทิวมีไข้สูง เขาร้องครางเบา ๆ ตลอดเวลา
สหายหมอบอกเราว่ามีสหายมาจากพื้นราบชื่อ สหายทิว มีแผลลึกฉกรรจ์ที่คาง บางส่วนไปถึงลำคอ ทำให้กลืนอาหารลำบาก จากนั้นมา สหายทิวก็ได้รับการรักษาดูแลบาดแผลและการติดเชื้อ โดยคณะหมอและพยาบาลของ บี.3 แม้จะนานแต่วันที่เราเห็นเขาลุกนั่งบนแคร่ข้างสนามบาสหน้าโรงพยาบาล เราก็ดีใจด้วยจนน้ำตาไหล
ตั้งแต่ขึ้นเขามาเป็นเวลาเกือบสองปี ทำให้เห็นความสูญเสียชีวิตของสหายของมวลชน หลายคนกลายเป็นผู้พิการ หลายคนมีขาจริงข้างเดียว อีกข้างเป็นขาเทียมที่ทำด้วยไม้
มีผู้บาดเจ็บขั้นพิการแบบสหายไพร เรือนพักของสหายหญิงอยู่ใกล้โรงพยาบาล เรามักได้ยินเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดของสหายไพร อดีตนักรบผู้แกร่งกล้าของกองทัพบี. 3 มาบัดนี้เขาต้องเสียนิ้วมือไปสามนิ้วทั้งสองข้าง ดวงตามืดบอดไปหนึ่งข้าง การทำความสะอาดแผลตามหลักที่ต้องใช้ผ้าก๊อซ ชุบน้ำยาพันกับไม้แล้วแหย่ลงไปในบาดแผลของสหายไพร ทำให้เขาต้องส่งเสียงร้องครวญคราง เราที่ไปยืนดูต้องหรี่ตาหรือเมินหน้าไม่มองเพราะสงสารสหายไพรเหลือกำลัง
ทิวใบไม้ของมันสำปะหลังในไร่อันกว้างใหญ่พัดไปซ้ายย้ายไปขวา บางครั้งพลิ้วไปตามสายลม มองแล้วเพลินตา เหมือนใบไม้ร่ายระบำ รู้ว่าในที่สุดไร่มันสำปะหลังแปลงนี้ยังไงก็ต้องถูกขุดถอนไปจนหมดสิ้น เมื่อนอนหนุนตักสหายแม่บนขนำข้างไร่ ก็มักจะเพลิดเพลินไปกับระบำยอดใบมันที่ธรรมชาติรังสรรค์ บนขนำในไร่คนแก่ข้างไร่มันช่างเย็นสบาย มีแม่ ๆ หลายคนพากันปรนเปรอพวกเราด้วยมันสำปะหลังหมกไฟหรืออ้อยท่อนหวาน ๆ
ด้วยความเศร้าใจในอาการบาดเจ็บของสหายเรา และมวลชนที่ทยอยแบกขนกันขึ้นมาให้หมอบนเขารักษา อดคิดไม่ได้ว่าทหารรัฐบาลที่บาดเจ็บจากการสู้รบกับพวกเรา จะได้รับการเยียวยารักษาแบบไหน ดูจากข่าวก็ไม่เห็นคนที่สาหัสที่ผ่านมือปฐมพยาบาลจากพวกเราไป เอาเถอะ ทางใครก็ทางมัน ต่างก็ทำหน้าที่ตามความคิดที่ต่างกันเช่นนี้
สหายทิวได้รับการรักษาอย่างเต็มที่จากสหายหมอบนกองทัพ ทำให้บาดแผลใต้คางของเขาเริ่มแห้ง เสียงพูดของเขาเริ่มกลับมา เขาเดินไปทั่วแผนกของโรงพยาบาล พูดคุยกับสหายว่าเขาต้องการเป็น ทปท.
หรือทหารประชาชน จับปืนเพื่อไล่ล่าขับไล่ศัตรูหรือทหารรัฐบาลออกไป หรือสหายที่แข็งแรงเห็นสหายทิวเดินไปเดินมา ก็พากันชวนให้ลงเล่นบาสเก็ตบอล เพราะรูปร่างสูงเพรียว รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของสหายทิว เป็นสิ่งที่เราจดจำไม่ลืม
หมู่คนที่จัดตั้งเรียกมาหมดทั้ง บี.4 มาดูศพของคุณพัทยา ต่างก็วิเคราะห์ไปคนละทางสองทาง คือสภาพศพกระดุมเสื้อขาด และบริเวณพุ่มไม้บริเวณนั้นล้มระเนน แสดงว่าคุณพัทยาขัดขืนและต่อสู้ ฆาตกรจึงแทงมีดใส่ร่างเธอถึงสี่ห้าแผล แล้วมันก็หนีไป เมื่อแน่ใจว่าคุณพัทยาเสียชีวิตแน่นอนแล้ว ไม่อาจเป็นพยานหรือผู้กล่าวโทษตนได้ สหายหมอจากโรงพยาบาลช่วยกันพลิกร่างของเธอ วัดระยะห่างของบาดแผล และวัดความกว้างของแผล ลงความเห็นว่าเป็นการตายโดยใบมีดที่กว้างถึงห้าเซ็นติเมตร พวกเราคุยวิเคราะห์กันว่า ใครเป็นผู้กระทำ ศัตรูมาถึงค่ายเรา หรือคนในค่ายที่เป็นผู้กระทำ ทางจัดตั้งได้ร่วมกันวิเคราะห์ความเป็นไปได้หลายอย่าง ใครที่มีพิรุธล่ะ บางคนบอกว่าสงสัยคุณอุบล ที่ช่ำชองในพื้นที่ วางกับดักแร้วจับสัตว์ นอกจากนั้นยังมาขอยืมผงซักฟอกจากสหายหญิง ทำการซักเสื้อผ้าอย่างสะอาดตากไว้ สิ่งที่แก้ความสงสัยไม่ได้เลย คือทำไมคุณพัทยาจึงไปในเส้นทางนั้น ไปกับใคร คนนั้นคือ ฆาตกร ล่ะ จากนั้นจัดตั้งได้ทำการกล่าวไว้อาลัย และนำศพเธอไปฝัง ระหว่างมื้อข้าวเย็นวันนั้น ที่สหายนั่งล้อมวงเป็นกลุ่ม ๆ สหายคนหนึ่งเดินมาใช้ปืนยิงใส่ศรีษะของคุณอุบล จนหน้าคว่ำคาชามข้าว
เสียงจั๊กจั่นดังเซ็งแซ่บาดหู พอเราเดินเข้าใกล้ก็เงียบลงเหมือนปิดสวิทช์ เราย่ำเดินอย่างมั่นใจด้วยความคุ้นเคยในเส้นทาง พอพ้นจากดงไม้ทึบก็พบกับที่โล่งของไร่คนแก่ มีมันสำปะหลังหลายสิบไร่ ยามนี้ลมพัดแรง ทิวใบไม้ของต้นมันสำปะหลัง ก็ไหวพลิ้วไปทางซ้าย พลิ้วมาทางขวาราวกับมีเสียงดนตรีกำกับให้หมู่ต้นมันเริงระบำ
มาถึงปีนี้ผ่านมา 47 ปีแล้ว ก็ยังอยากรู้ว่าใครฆ่าคุณพัทยา ศิลปินของค่าย บี.4
สนใจสมัครสมาชิกผู้มีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท. โปรดคลิ๊ก