เรื่องเล่าจากนักรบกองทหาร ๒๔ : จากภูช่อฟ้า และภูซาง

ส.รังสิต เขตจรยุทธ์ภูซาง

จาก....บันทึกความทรงจำจากการต่อสู้ร่วมกับ พคท.ที่ส่งเข้าประกวดชิงรางวัล “หนึ่งธันวา” เรื่องที่ ๘


ผมเกิดที่บ้านโนนทัน ตำบลหนองบัว อำเภอหนองบัวลำภู จังหวัดอุดรธานี(ขณะนั้น ต่อมาเป็นจังหวัดหนองบัวลำภู) ในครอบครัวชาวนารับจ้างที่แสนจะยากจน พ่อเสียตั้งแต่ผมยังเล็กๆ มีพี่ชาย ๒ คน พี่สาว ๑ คน หน้านาแม่ไปรับจ้างทำนา พี่สาวพี่ชายก็ไปหารับจ้างได้วันละ ๘ บาท พอผมอายุได้ ๘-๙ ปี ก็เริ่มเห็นพี่สาวกับเพื่อนไปคุยกับกลุ่มผู้ชายในป่า ส่วนพี่ชายก็ไม่ค่อยอยู่บ้าน กลางคืนก็ไม่รู้ไปนอนที่ไหน จนอายุ ๑๐ ปี พี่ชายก็ให้การศึกษาผม และให้ผมไปส่งข้าวคนป่าบ่อยๆ คนป่าก็จะคุยให้การศึกษาผมเป็นประจำ
เมื่อผมอายุ ๑๕ ปี พี่ชายก็จัดให้ผมและเพื่อน ๔-๕ คนรวมกันเป็นหน่วยจัดตั้ง มีสหายมาให้การศึกษาอย่างเป็นระบบ และฝึกทหาร บอกว่า พวกผมเป็นหน่วยทหารบ้าน ให้ผมทำหน้าที่หัวหน้าหน่วย คอยติดตามการเคลื่อนไหวของศัตรู ส่งข่าว ส่งเสบียงให้ "คนป่า" เป็นประจำ
พอถึงปี ๒๕๐๙ พี่ชายหายจากบ้านหนึ่งเดือน ก็มาลาแม่กับพวกเราว่า จะเข้าป่าเต็มตัวแล้ว ให้ดูแลแม่ให้ดี อีกไม่กี่วัน พี่ชายก็เสียชีวิต(สหายรังษี)จากการเข้าตีโรงพักหนองบัวลำภู เป็นเสียงปืนแตกครั้งแรกของคนป่าที่เขตนี้ แล้ว อ.ส. ทหาร ก็เข้ามาคุกคามปราบปรามประชาชนอย่างหนัก จับกุมชาวบ้าน และทรมานมากมาย โดยเฉพาะที่บ้านโนนทันและบ้านหนองภัยศูนย์ ผู้คนเข้าป่ามากขึ้นเรื่อยๆ
ปี ๒๕๑๔ ผมตัดสินใจเข้าป่าที่ภูช่อฟ้า ซึ่งเป็นเขตงานเอเชีย เป็นด่านแรกของการต่อสู้ คืนแรกที่ผมนอนอยู่ป่ากับสหายท้องถิ่น ผมนอนไม่หลับทั้งคืน ผมคิดเห็นภาพของแม่ที่วิ่งตามหลังผมมา และร้องเรียกเสียงดัง "บักหล่าๆ กลับคืนมาหาแม่ก่อน อย่าไปๆ กลับมาก่อน แม่บ่มีผู้อยู่นำ อ้ายก็ตายไปแล้ว .." ผมรีบเดินเร็วขึ้น ไม่อยากเห็นแม่ร้องไห้ สงสารแม่จับใจ ผมขอกราบเท้าแม่สามครั้ง ขออำลาแม่ที่ตรงนี้ ขอให้บุญคุณความรักของแม่คุ้มครองผมด้วย ลาก่อนแม่และพี่สาวที่ผมรักที่สุด ถ้าไม่ตายผมจะมากราบเท้าแม่อีก
ผมได้รับมอบหมายจากจัดตั้งให้อยู่ในกองทหาร ๒๔ ที่เพิ่งตั้งขึ้นเป็นกองแรกของเขตงานปฏิวัติภูซาง ผมเข้าร่วมกองทหารนี้ตั้งแต่ต้น ภารกิจหลัก ไปช่วยงานทางภูซางหลายหน่วยงาน โดยเฉพาะร่วมการสู้รบหลายพื้นที่ มีเรื่องราวมากมายทั้งการสู้รบ และอื่นๆ ในชีวิตการเป็นสหาย ที่ตอนหลังมานี้ผมพยายามเขียนบันทึกไว้
...ผมขอเล่าบางเรื่องที่ภูช่อฟ้า กับการไปเมล์ที่ภูเขียว
มีช่วงหนึ่งที่ผมได้มอบภารกิจเข้าไปอยู่ที่ภูซาง กี่เดือนจำไม่ได้ ทางจัดตั้งก็ให้ผมกลับมาที่ภูช่อฟ้า มาครั้งนี้ผมได้มาพร้อมกับสหายทหารหลายคน ซึ่งพวกเขาจะมาเยี่ยมบ้าน และเตรียมตัวย้ายไปภูหลวง และภูเขียว(ผมรู้ตอนหลัง)
พอมาถึงภูช่อฟ้า พบสหายในหน่วยงานต่างๆมาอยู่รวมกัน ทหารท้องถิ่นเขตเอเชียก็มาอยู่ภูช่อฟ้ากันทั้งหมด หน่วยทหารจัดให้อยู่บนทับสูง ส่วนผู้เฒ่า ผู้หญิง ส.เปลว ส.ยุทธ ที่เป็นฝ่ายนำและทหารส่วนหนึ่งก็อยู่ต่อกันยาวเกือบสุดชายป่า ดูที่อยู่ของสหายเหมือนกับวางแนวรบที่ยาวมาก ส่วนผมก็ทำหน้าที่เหมือนเดิม คือพิทักษ์หน่วยนำ ตอนนั้นมีมวลชนที่มาจากในเมือง มาศึกษา ผู้ให้การศึกษาก็มี ส.ยุทธ ส.เปลว พวกเขามาศึกษา แต่ละหน่วยมา ๕ คน ๗ คน มาคุยแต่ละครั้งไม่นาน ๒-๓ วันก็กลับ บางครั้งผมอยู่ใกล้ก็พอได้ยินที่เขาคุยกันบ้าง ไม่ใช่ว่าคนพวกนั้นมาศึกษาอย่างเดียว พวกเขามาวางแผนร่วมกันที่จะย้ายคนขึ้นภูเขียว ภูหลวง ผมจึงรู้ว่า ที่ผมลงมาช่อฟ้าครั้งนี้ เพื่อที่จะมาทำหน้าที่ รับ ส่ง สหายย้ายเขตงาน
ผมอยู่ที่นี่ประมาณ ๑๐ กว่าวัน วันนั้นผมยังจำไม่ลืม เพราะต่อมาเวลาผมได้ขึ้นไปที่ภูช่อฟ้า ทุกครั้งได้ขึ้นไป สหายก็มักจะให้ผมเล่าถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นบ่อยๆ
เหตุการณ์ครั้งนั้น ศัตรูขึ้นตีทับที่ภูช่อฟ้า วันนั้น สหายหน่วยงานจัดคนออกไปหาของป่า หาของกิน สหาย ๔-๕ คนก็ไปหากบ หาเขียดในน้ำที่ตื้นเขิน ที่ภูช่อฟ้า แต่ก็ไม่ไกลจากทับที่เราอยู่เท่าไร ส่วนสหายทดหรือสหายธรณี กับเมีย(ส.บัวลม) และเด็กอายุ ๑๔-๑๕ คนหนึ่งผมสีทองเหมือนฝรั่ง เราเรียกกันว่า สหายหรั่งน้อย ก็ไปด้วยกันสามคนไปหาขุดอึ่ง พวกเขาขุดหาอึ่งอยู่เหนือของทับสูง ตรงที่ขุดเป็นลานหญ้ากว้าง (คนอีสานเขาเรียก "บ่า") และลานหญ้านี้ติดกับทับสูง
ส่วนผมและสหายแก่นก็มาอยู่สุดแนวทับด้านตะวันออกของทับ เพื่อทำหน้าที่อยู่ยามก็ว่าได้ ผมนั่งใต้เพิงหินก้อนใหญ่สูงขนาดอก เหมือนกับเป็นบังเกอร์อย่างดี ผมพูดกับสหายแก่นว่า ถ้าศัตรูขึ้นมาตีพวกเราตอนนี้ มันคงจะ... ผมพูดยังไม่ทันขาดคำ ก็ได้ยินเสียงปืนดังมาจากทิศที่สหายธรณีไปขุดอึ่ง แล้วก็เงียบไปไม่มีเสียงอะไรอีก ศัตรูยิงสหายสามคนที่ไปขุดอึ่ง สหายหรั่งน้อยเสียชีวิต สหายธรณีและสหายบัวลมวิ่งขึ้นมาทางทับสูง ศัตรูประมาณหนึ่งหมวดวิ่งไล่ตามมา เพราะคิดว่าพวกเรามีน้อยมีแต่หน่วยงานมวลชนที่มักจะอยู่กันไม่เกินสี่ห้าคน พอวิ่งไล่ตามมาถึงตีนทับ เสียงปืนของฝ่ายเราก็ดังสนั่นหวั่นไหว คนที่วิ่งไล่ตามมาถึงตีนทับก่อนก็ตายก่อน ส่วนผมให้สหายแก่นอยู่คนเดียวที่เดิมเพื่อสกัดหน่วยหนุนของศัตรู ผมวิ่งขึ้นมาหาพวกสหายนำที่กำลังให้การศึกษาสหายในเมืองอยู่ สั่งให้สหายนำและสหายในเมืองออกจากสนามรบ ไปรอที่จุดนัดทางใต้ของภูช่อฟ้า แถวบริเวณทับกกบก อยู่ห่างจากสนามรบประมาณ ๒๐๐-๓๐๐ เมตร
พอพวกเขากำลังจะเดินออกจากสนามรบ เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหวทางทิศตะวันออก ทางจุดที่สหายเราวิ่งหนีมา พวกมันเสริมกำลังบุกขึ้นมา พอดีสหายกลุ่มหนึ่งวิ่งมา บอกจะไปตัดหลังศัตรู ผมเลยขอให้สหายทวนหนึ่งคนแยกคุ้มกันสหายนำและสหายในเมืองไปจุดนัด ส่วนผมวิ่งตามกลุ่มที่ไปตัดหลัง พอผมวิ่งตามไปถึงสะพานร่องหิน พบสหายคะนอง กองทหารท้องถิ่น ที่บอกว่า สหายไม่ต้องไป พวกผมจะไปตัดหลังเอง แล้วผมวกกลับมาที่กลุ่มมวลชนจากเมือง ไม่พบใครเลย คงจะเข้าบริเวณป่ากันหมดแล้ว
การสู้รบยังคงต่อเนื่อง เสียงปืนดังหลายทิศทาง ผมไปหาสหายแก่น แต่ยังไม่ถึง ก็เห็น อ.ส. คนหนึ่งวิ่งมาตามหินช่อฟ้าเล็กๆบนภูอย่างรวดเร็ว ผมยิงไปหลายนัด แต่รอดไปได้ ไม่นานเครื่องบินคาริบู หรือเราเรียกว่า สปุ๊กกี้ ก็มายิงกราดบนภูช่อฟ้า แต่ยิงอยู่รอบนอกบริเวณภูช่อฟ้า เหมือนยิงคุ้มกันให้พวกเรา เพราะพวกเขาเองก็กลัวจะโดนยิงไปด้วย เครื่องบินบินวนยิงอยู่สองสามรอบ สหายยิงเครื่องบินไปหนึ่งนัด เครื่องก็รีบบินกลับฐานทัพอุดรทันที
สหายที่ไปตัดหลังกลับมา บอกว่า พวกมันตายหลายคน เห็นอย่างน้อย ๕ คน แต่ที่เราเศร้าสลดใจกันที่สุดคือ ความโหดร้ายของศัตรู สหายหรั่งน้อยถูกยิงตาย และพวกมันตัดเอาศีรษะไปด้วย พอเราข้ามร่องหินแคบๆ ลึกๆ บนภูหินลาดช่อฟ้า มารวมกับสหาย และสหายเปลวกับมวลชนในเมือง ก็พบว่า สหายเราจับเชลยได้ ๕ คน มีวิทยุของศัตรูด้วย จับได้ในร่องหินแคบๆบนภูนั่นเอง
วิทยุส่งเสียงเรียก สีดาๆ ตอบด้วยๆ อยู่หลายครั้ง ผมเลยตอบไปว่า จากสีดา ฟังเสียงพวกมันเฮกันดังลั่นในวิทยุ แล้วมันถามผมว่า พวกเราเป็นอย่างไรบ้าง ผมบอกว่า พวกมันหนีกระเจิง ที่เห็นศพตาย ๕ คน ที่ยังไม่เห็นน่าจะมีอีก พอผมพูดจบ เสียงทางนั้นก็เงียบไป ครู่หนึ่งมันเรียกวิทยุอีก สีดาอยู่ไหนๆ มันถามว่า สีดาอยู่ไหน ผมตอบไปว่า อยู่ภูช่อฟ้า มันถามว่าใครตอบ ผมเลยบอกไปว่า ทหารปลดแอกประชาชน ท.ป.ท. คราวนี้มันเงียบไม่พูดอะไรอีก ผมเลยพูดต่อว่า พรุ่งนี้ให้พวกคุณขึ้นมาเอาศพไปให้ญาติพี่น้องผู้ตายทำพิธีทางศาสนา พวกเราจะไม่ขัดขวางพวกคุณ แต่อย่ามาวันนี้ ผมพูดแล้วก็รอฟังมันพูดกลับ แต่เงียบไปเลย
ผมถามว่า เชลยอยู่ไหน สหายบอกว่า สหายเข็มทิศกับอีกสองสามคนพาเชลย ๗ คนไปให้การศึกษาอยู่บนโนน เราเข้มงวดทำตามวินัย ท.ป.ท. ไม่ทำร้ายเชลย เราปลดปืนไว้ จะปล่อยตัวไป แต่พวกเขาไม่กล้ากลับไปตอนนั้น สุดท้าย เช้าวันรุ่งขึ้น สหายเข็มทิศกับสหายสองสามคนพาเชลยไปส่งหมู่บ้านตีนเขา พวกเราปฏิบัติต่อเชลยเป็นอย่างดี ตอนที่ไปส่งก็ให้ค่ารถพวกเชลยทุกคน เรายึดได้ปืน ๘ กระบอก วิทยุสนามอีก ๑ เครื่อง
แต่ผมและสหายสะเทือนใจกับการตัดศีรษะสหายของเราไป พวกเราปฏิบัติอย่างมีมนุษยธรรม ตามวินัย ท.ป.ท.อย่างเคร่งครัด ขณะที่พวกมันไม่เคารพแม้กับคนที่ตายในสนามรบ พวกเราขอรำลึกและขอคารวะสหายหรั่งน้อย ที่มาจากบ้านอ่างบูรพา อุดรธานี เราทำพิธีฝังศพของสหายไว้บนภูช่อฟ้า จนได้เก็บอัฐิมาไว้ในสถูปภูซาง ที่สร้างขึ้นในปี ๒๕๔๐ เพื่อรำลึกสหายวีรชนทุกคน
ศึกที่ภูช่อฟ้าครั้งนี้ต้องชมสหายทุกคน ที่ป้องกันสหายไว้ได้ และตีพวกมันจนแตกกระเจิง หนีไม่เป็นขบวน
หลังศึกครั้งนี้ไม่ถึงเดือน ผมก็ได้ทำหน้าที่รับส่งสหายไปภูเขียว ภูหลวง จนผมรู้สึกว่าเหนื่อยอ่อนมาก วันหนึ่งส.เปลวก็ให้ผมหัดขี่รถมอเตอร์ไซค์ คืนนั้นผมฝึกหัดขี่รถประมาณ ๒ ชั่วโมง ตอนตี ๔ ส.เปลวก็ให้ผมไปต่อเมล์ที่วังสะพุง จ.เลย ผมถามว่าให้ผมไปอย่างไร ส.เปลวบอกว่า ขี่รถคันนี้ไปเลย ผมบอกว่าผมเพิ่งหัดได้สองชั่วโมง เส้นทางก็ไม่รู้ ส.เปลวบอกไปเลย ผมเชื่อมือคุณ ผมคิดในใจว่า ไม่ตายก็ถูกจับแน่เลยคราวนี้ ส.เปลวบอกให้ผมไปบ้านห้วยส้ม เอาแผนที่ให้
ผมรับส่งพวกสหายครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดสหายที่ต้องเดินทางก็ไปจนหมด แม้กระทั่งสหายเขตงานเอเชียก็เหลือไม่กี่คน เมื่อเสร็จงานนี้แล้ว ผมรู้สึกใจหาย คิดถึงสหายที่เคยอยู่รวมกัน คิดถึงมากคือสหายหน่วย ๐๗ ศูนย์การนำทุกคน
ผมขอเล่าเรื่องระทึกใจครั้งหนึ่งจากการไปเมล์ที่ภูเขียว เนื่องจากวิทยุสนามเครื่องที่ผมใช้ติดต่อกับศูนย์กลางมันเสีย ติดต่อไม่ได้ สหายยุทธให้ผมไปเอาวิทยุจากภูเขียว ผมก็ออกจากเขตเอเชียแต่เช้ามืดเหมือนทุกครั้ง ผมไปถึงเขื่อนจุฬาภรณ์เกือบเที่ยง นั่งเรือไปถึงปากน้ำพรม แล้วเดินไปอีกหลายชั่วโมง ถึงเถียงไร่สองหลัง คนนำทางพาผมนอนที่เถียงนี้ ตอนเย็นก็มีสหายสีโบมารับผมขึ้นไปส่งทับข้างบน ขึ้นไปถึงดึกมากแล้ว พบแต่สหายศักดิ์คนเดียว ผมผิดหวังนึกว่าจะได้พบกับสหายนำ ๐๗ สหายศักดิ์เอาวิทยุใส่ย่าม ว.ป.ค. ๖ ให้ผม แล้วให้ผมกลับทันทีเลย ผมมานอนพักกับสหายสีโบ ตื่นเช้าเขาก็มาส่งผมที่เขื่อนจุฬาภรณ์
ผมมาเอามอเตอร์ไซค์ฮ่าง(เก่าๆ)ที่ผมฝากไว้กับยามของเขื่อน พอใกล้จะถึงสามแยกบ้านหัน ผมมองเห็นด่านพลร่มป่าหวายตั้งอยู่ ผมคิดในใจว่า ถูกจับแน่คราวนี้ถ้าถูกตรวจ เพราะมีวิทยุ ว.ป.ค.๖ อยู่ด้วย หนีไม่พ้นแน่ พอใกล้จะถึงด่านอีกประมาณ ๑๐ เมตร ผมตัดสินใจหักเลี้ยวขวาตรงที่มีร้านค้าอยู่ ๒-๓ ร้านทันที มีป้าเย็บผ้าอยู่คนหนึ่งในร้าน ทหารสองคนรีบเดินมาหาผม แล้วเอาย่ามที่ใส่วิทยุ ว.ป.ค.๖ไปแอบไว้ด้านในประตูเหล็กที่เปิดอยู่ ผมรีบยกมือขึ้นไหว้ป้า ทำทีสนิทสนมกับคนเย็บผ้ามาก ป้าเอาแก้วน้ำมาให้ผมกิน ทหารพลร่มสองคนคงนึกว่าผมเป็นคนในท้องถิ่น และสนิทสนมกับป้า จึงเดินกลับไป ป้าก็ถามผมว่า "มาจากไหน" ผมตอบไปว่า " "ป้าจำผมไม่ได้หรือ ผมมากับบักแดงที่มาสั่งตัดผ้ากับป้าเมื่อวันก่อน " ป้าคนนั้นตอบแบบงงๆ " อ๋อ คนตัวใหญ่ อ้วนๆ แม่นบ่" ผมตอบว่า "ครับ" ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ เกือบไปแล้วกู ผมขำตัวเองไม่หยุด ฮ่า ฮ่า ฮ่า ว่า คิดได้ยังไงเรื่องบักแดง
มาเล่าให้สหายฟัง พวกเขาก็ชอบใจกันใหญ่ที่ผมเอาตัวรอดมาได้
ทุกครั้งที่เผชิญความยากลำบาก คำว่า "สหาย" ยิ่งใหญ่ขึ้นในใจผม พวกเราไม่เคยบ่นหรือท้อแท้ต่อหน้าที่การงานที่พรรคมอบหมายให้ ในยามยากลำบากเช่นนั้น ผมเห็นสหายมีความรักสามัคคีกันดีมาก และมีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว กล้าที่จะเสียสละ ทำให้ผมชื่นชมและยืนหยัดอยู่กับสหาย.

 

สนใจสมัครสมาชิกผู้มีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท.  โปรดคลิ๊ก  

 

 

whitebanner