บันทึกความทรงจำจากการต่อสู้ร่วมกับ พคท....ส่งเข้าประกวดชิงรางวัล “หนึ่งธันวา” เรื่องที่ ๖  เรื่องเล่าจากตะนาวศรี  “ชนเผ่ากะเหรี่ยง เพื่อนมิตรที่ดีของพวกเรา”
โดย..พนมรัตน์ ป่าแก้ว

 

 คงจดจำกันได้ดีว่า ปลายปี 2519 ต่อปี 2520 คือช่วงเวลาที่สังคมไทยเกิดแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ ที่คนหนุ่มสาวทั้งนักเรียน นักศึกษา ประชาชน ผู้รักชาติรักความเป็นธรรมจำนวนมาก เดินทางเข้าไปร่วมการต่อสู้ด้วยอาวุธกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในชนบทและป่าเขา จากเหตุการณ์ผู้บริสุทธิ์ถูกเข่นฆ่าในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และท้องสนามหลวงใจกลางกรุงเทพมหานคร ด้วยเหตุผลว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ได้กลายเป็นแรงหนุนเสริมให้ทั้งผู้ที่หลุดรอดจากความตายและคุกตาราง และผู้รักชาติรักประชาธิปไตยรักความเป็นธรรม ตัดสินใจลาเมืองเข้าป่าเป็นทิวแถว ทั้งภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคอิสาน แม้แต่ภาคกลางก็ไม่เว้น เกิดเป็นกระแสการเคลื่อนไหวทางการเมืองและสังคม ที่ใครก็ไม่อาจต้านทานและหยุดยั้งได้.

ข้าพเจ้าและเพื่อนนักศึกษาร่วมอุดมการณ์กลุ่มเดียวกันหลายคน ใช้เวลาศึกษา พิจารณา พินิจพิเคราะห์ จากข้อมูลข่าวสาร และแอบเปิดฟังข่าว สปท.จากวิทยุคลื่นสั้น ทำให้ได้ข้อคิดมุมมองดี ๆ หลายอย่าง และได้ข่าวที่น่าตื่นเต้นยินดีว่า มีเพื่อนชาย-หญิง หลายคนได้ตัดสินใจและเดินทางเข้าป่าไปก่อนแล้ว.. แต่ในกระบวนการก่อนการตัดสินใจนั้นถือว่าหนักหนาสาหัสสากรรจ์มาก เพราะต้องตระเตรียมความพร้อมตั้งแต่ ความคิดการเมือง ครอบครัว การเรียน ความรัก การงาน เพื่อนพี่น้อง ต้องทำให้ตนเองสามารถตัดความห่วง ความกลัวต่าง ๆ ออกไปให้ได้ก่อน เรื่องอื่นจึงจะตามมาได้ โดยส่วนตัวของข้าพเจ้าแล้วถือว่าเป็นเรื่องยากถึงยากมากที่จะทิ้งพันธะต่าง ๆ เข้าป่า ไปได้ แต่ก็มีเสียงจากภายในดังขึ้นเป็นช่วง ๆ ว่า..น่าจะไปศึกษาดู.. เคยไปปรึกษารุ่นพี่ที่รักและสนิทกันหลายคน ผลที่ได้รับคือไม่มีใครคัดค้านเลยสักคน สมองต้องครุ่นคิดหนักหน่วงมาก ณ ยามนั้นสมองเบลอ บุคลิกภาพเปลี่ยนไป จนอาจารย์ที่สนิทที่รักและเอ็นดูข้าพเจ้าทักเอาหลายครั้ง..จนในที่สุดเมื่อผ่านการขึ้นตาชั่งบวกลบคูณหาร แถมกรองด้วยฟิลเตอร์ ก็ตัดสินใจได้ว่า..”ไปดีกว่า”.. และเมื่อตัดสินใจได้แค่นั้น เหมือนยกภูเขาออกจากอก มันโล่งใจ สบายกายอย่างบอกไม่ถูก จากนั้นแผนการก็พร่างพรูออกแบบไม่ต้องขอ ประกอบกับได้รับคำแนะนำที่ดีจากพี่ ๆ ร่วมสำนัก ทำให้เบาใจขึ้น และโชคดีมากที่คนรักและเพื่อนสนิทที่ยังอยู่ ช่วยเป็นธุระจัดการปัญหาเช่นส่งข่าวให้ทางบ้านทางจดหมาย จึงจากลาเมืองด้วยความสบายใจขึ้น..นิดหนึ่ง.
เป็นอันว่าข้าวของเครื่องใช้ วัตถุปัจจัยที่จำเป็นต้องใช้ในป่า ที่สหายช่วยลิสต์รายการให้ ข้าพเจ้าจัดหาด้วยตัวเองอย่างเงียบๆ แล้วส่งเข้าป่าไปกับสายงานก่อน คงไปรอไว้ในป่า ไปแต่ตัวเท่านั้น.. แต่เมื่อถึงวันเวลาจริงที่ต้องเดินทาง ..“ใจหาย”.. เพราะมันคือการจากลาจริง ๆ ที่ไม่ทราบว่าจะมีโอกาสกลับมาอีกหรือไม่ เพราะที่ไปคือการต่อสู้ทางชนชั้นที่ดุเดือดแหลมคมยิ่ง อย่างไรก็ตามสัญชาตญาณบอกว่า..เบื้องหลังคงเต็มไปด้วยความเศร้าโศกเสียใจ โกลาหล ปั่นป่วน วุ่นวาย ของคนในครอบครัว ตามหาจ้าละหวั่นแน่.. แม้จะรู้ในส่วนลึกของจิตใจว่า เส้นทางที่จะไปนั้นถูกต้อง ชอบธรรมแล้ว.. ข้าพเจ้าคงทำได้แค่..หลับตาและภาวนาให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางด้วยเทอญ.
ข้าพเจ้าบอกกับตัวเองว่า...ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ต้องพยายามละทิ้งความเคยชินเก่า สร้างความเคยชินใหม่ขึ้นมาให้ได้ จำได้ว่าการเดินทางคือ 5 ก.พ. 2520 นัดพบกันที่สถานีขนส่งสามแยกไฟฉาย เจอสหายร่วมทางชุดเรา 4 คน มีสหายหญิงรุ่นพี่ชื่อสหายเล็กเป็นคนนำทางจัดการให้เราทุกอย่าง หน้าตาท่านเรียบเฉยนิ่งชนิดเลียนแบบยาก เหมาะกับงานนี้จริง ๆ พึ่งทราบตอนนั้น ว่าปลายทางที่จะไปคือจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพราะสุราษฎร์เส้นทางปิดเข้ายังไม่ได้ ข้าพเจ้าคิดว่าที่ไหนก็ได้เพราะทุกที่ทุกอย่างก็คืองานปฏิวัติ.. ขณะนั่งรถประจำทางสีส้มไป ใจก็รำพึงไปตามเรื่อง..หลับบ้างตื่นบ้าง จนบ่ายคล้อยก็ถึงที่หมาย สหายเล็กให้เราไปซื้อของยืดเส้นยืดสายที่ชายทะเลแล้วมาพบกันที่สถานีรถไฟ.. ถึงเวลานัดสหายเล็กก็แนะนำสหายชายอีกท่านเรียกชื่อท่านว่าสหายพล ท่าทางฉลาด ตาเล็กเรียวยาว ยิ้มง่าย สุภาพ อ่อนโยน ได้แนะนำช่วยเหลือพวกเราดีมาก ลาสหายเล็ก.. สหายพลพาเราไปขึ้นรถปิคอัพ ขับออกไปนอกเมือง สุดท้ายตัดเข้าทางลูกรัง สองฝั่งทางรถมีแต่ไร่สับปะรด สหายพลจอดรถหลังกระต๊อบ แล้วพาพวกเราไปซ่อนที่ชายป่าหลังบ้านเพื่อรอทหารปลดแอกมารับเข้าป่า.
สหายที่ทำงานเขตขาวกล้าและเก่งมาก รู้สึกทึ่งและชื่นชมคนของ พคท.มาก พลอยคิดไปไกลว่า ถ้ามีคนคุณภาพอย่างนี้มาก ๆ มาร่วมทำการปฏิวัติอย่างจริงจัง อนาคตประเทศไทยใหม่ ไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อมเลย หลังอาหารมื้อค่ำ พวกเรานอนรอที่ชายป่าเหมือนเดิมโดยมีสหายพลนั่งเป็นเพื่อน ดีหน่อยช่วงนี้เป็นข้างแรม พอมีแสงจันทร์สลัวให้มองเห็นบ้าง จน 23.00 น.ก็มีเสียงเคาะไม้ 3 ครั้งดังใกล้ ๆ พวกเราหูผึ่ง แต่สหายพลกลับยิ้มในความมืด บอกไม่ต้องตกใจ พวกเรามาแล้ว สหายพลเดาะลิ้นตอบไป 5 ครั้ง.. สักครู่ ทปท.ประมาณ 5 คน.. เดินออกจากพุ่มไม้ตรงมาหาพวกเรา สหายพลนำพวกเราไปจับไม้จับมือกับทหารป่า “ท.ป.ท.” ทุกคน ฟังเสียงแล้วมีทั้งสหายหญิง สหายชาย ทุกคนพูดไทย แถมมีสำเนียงเหน่อ ๆ แบบเพชรบุรี, ประจวบฯ ลอดออกมาด้วย.
ข้าพเจ้าว่านั่นไง ใครที่โกหกว่าคอมมิวนิสต์ ทหารป่า เป็นคนต่างชาติ.. ของจริงมีแต่คนไทยทั้งนั้น..ระหว่างนั่งรอได้ยินเสียงตุ๊บ ๆ ตั๊บ ๆ ข้างหลังเรา ตอนแรกคิดว่าเป็นจอมปลวก ที่แท้คือกองสัมภาระ สิ่งของ เครื่องใช้ หยูกยา ที่คลุมไว้ด้วยผ้าใบ ดูเผิน ๆ นึกว่าจอมปลวก จึงเข้าใจได้ว่านี่คืองานขนส่งลำเลียง สงสัยกองสิ่งของขนาดเบ้อเร่อนั้น 5 คนสามารถบรรจุจนหมดได้อย่างไร.. แอบชื่นชมความมีพลังของพรรคและสหาย.. 24.00 น. คณะเราก็ออกเดินทางโดยมีสหาย ท.ป.ท.ทั้ง 5 ให้ความคุ้มกันพวกเราเป็นอย่างดียิ่ง.. เดิน ๆ ๆ ๆ เดินนนน เดินอย่างเดียว อนุญาตให้ใช้ไฟฉายเฉพาะเมื่อเดินเข้าป่าทึบเท่านั้น.. ข้าพเจ้าเดินไปง่วงไป นานทีเดียวจึงถึงยอดเขาสูงระดับ “สะดุดดาว”..ได้นั่งพักรู้สึกดีขึ้นหน่อย สหายแนะนำว่าดูแสงไฟรอบ ๆ อ่าวประจวบให้ดีนะ..เพราะไม่รู้จะได้มาดูอีกเมื่อไร แล้วเดินต่อ ..กว่าจะถึงที่พักก็ 03.00 น.. สหายจัดให้นอนตามเปลที่ผูกไว้ต้อนรับ ข้าพเจ้าอึ้งและทึ่งมากที่ข้าวของที่ส่งมาก่อน มันมาอยู่ข้างเปลของข้าพเจ้าครบถ้วน เรียบร้อยดีมาก พลอยอนุมานว่าระบบงานของ พคท.แจ๋วจริง.. กลางคืนในป่าลึกอากาศเย็น ถึงที่พักเหงื่อมุดหายหมด ข้าพเจ้าและเพื่อน ๆ หลายคนเลือกที่จะซักแห้ง อาบน้ำรึ...ขอยกยอดไปพรุ่งนี้ก็แล้วกัน.

 

 

 


พวกเราตื่นแต่เช้า กินอาหารเสร็จ จัดสัมภาระ รวมพล แล้วออกเดิน ..เดิน ๆ ๆ ๆ และเดิน ๆ ๆ ๆ จนบ่ายก็พัก.. ตอนเช้าก็เดินอีก บ่ายก็พัก กลางคืนก็นอน ประมาณ 5 วันก็มาถึงค่าย 1. เป็นฐานปฏิบัติงานมวลชนแถว อ.กุยบุรี ลุงเจิมสหายนำที่นี่ ท่านเรียบง่ายมาก เป็นกรรมกรจากสหอาชีวะ อายุ 40 ต้น ๆ.. (ข้าพเจ้าและเพื่อนที่มาพร้อมกันเวลานั้นก็ 20 ต้น ๆ) ต้อนรับขับสู้สหายใหม่ที่เป็นนักศึกษาอย่างดี เล่าเรื่องสนุกในป่าให้เราฟัง ยิ้ม เฮฮาตลอด.. สหายในค่ายนี้น่ารักทุกคนเลย.
รุ่งเช้าก็เดินเลาะห้วยซึ่งจะยากกว่าเดินบนเขา เพราะลื่น ล้มได้ง่าย .. เดิน ๆ ๆ ทั้งวันจนถึงค่าย 2. หรือค่ายกลาง เป็นฐานปฎิบัติการ โรงเรียนฝึกอบรม ศูนย์รวมของเขต ได้เจอลุง ๆ อีกหลายท่าน น่าศึกษาจิตใจที่ยิ่งใหญ่งดงามของท่าน คือ ลุงโชติ, ลุงกรด.. ยังเหลือค่าย 3. ที่ยังไม่ได้ไป คือฐานปฏิบัติการงานมวลชนกะเหรี่ยงและแนวร่วม เค.อ็น.ยู. ทราบว่าลุงจิตเป็นสหายนำที่นั่น และที่ดีใจมากที่สุดคือได้เจอมิตรสหายจากในเมืองรุ่นราวคราวเดียวกันจำนวนไม่น้อย ทั้งที่เคยเห็นผ่านตา เคยร่วมงานกันจากศูนย์นักเรียน จากจุฬา รามคำแหง และอื่นๆ.. บอกตัวเองว่า.. งานนี้สนุกแน่.
ทักทายกันเสร็จ ข้าพเจ้าได้รับมอบหมายให้สังกัดหมู่ 9 เป็นหมู่สหายนักศึกษาทั้งหมด หมู่ 8 ศูนย์นักเรียนและเยาวชน หมู่พิเศษคือหมู่นักเรียน-นักศึกษาหญิง บรรยากาศตอนนั้นมันส์มาก สามัคคีสู้รบจริง ๆ พรรคเรียกร้องอะไร ยากลำบากเพียงใด ขานรับสุดใจเสมอ.. เพื่อปรับฐานคิดทิศทางการเมือง จัดตั้งได้เปิดโรงเรียนการเมืองการทหารให้นักรบ 6 ตุลา ทุกคนได้มาศึกษาเล่าเรียนเพื่อยกระดับความตื่นตัวทางชนชั้น ทางการเมือง และเข้าใจอุดมการณ์มากขึ้น เรียนอย่างจริงจังทั้งการเมือง การทหาร ใช้เวลาไปกว่า 3 เดือน จบหลักสูตร ทางจัดตั้งได้จัดการมอบประกาศนียบัตรให้นักเรียนทุกคนด้วยหมวกทหาร ท.ป.ท. ดาวแดงขอบเหลือง พร้อมกันก็เฟ้นหาบุคลากรทางการแพทย์เพื่อศึกษาวิชาการแพทย์เป็นการเฉพาะ เพื่อไปเสริมงานมวลชนและงานสู้รบทางทหารในเขตงานแนวหน้าต่อไป.
สหายหัวหน้าหมู่ 9 ก็เรียกประชุมแจ้งว่าใครได้รับเลือกบ้าง หมู่ 9 นักศึกษาได้รับเลือกไปทำงานนี้หลายคน ในนั้นข้าพเจ้าติดโผไปด้วยหนึ่งคน เรียนไปปฏิบัติไป สรุปบทเรียนไปยกระดับไป กว่าจะเป็นงานทั้งอายุรกรรม ศัลยกรรม สมุนไพร แทงเข็ม เป็นเวลาหลายเดือน.. ต่อไปเป็นช่วงที่จัดตั้งจะคัดเลือกสหายไปทำงานที่ค่าย 1. ค่าย 3. หน่วยเคลื่อนไหวทางทหารและมวลชน ลงไปเกาะติดที่เขตงานฝั่งไทยและงานชนชาติกะเหรี่ยง.. คนที่เหลือประจำงานบริการ, บริหารที่ค่าย 2. พวกเราที่ได้รับมอบหมาย ต่างชูกำปั้น สู้บุกลุยกันเป็นแถว.. ส่วนข้าพเจ้า สหายยืน สหายเทียน ได้รับมอบหมายให้ไปประจำค่าย 3. เพื่อร่วมงานเคลื่อนไหวมลชนกะเหรี่ยงและแนวร่วมของ เค.เอ็น.ยู.
วันที่เดินทางเข้ารับงานใหม่ที่ ค่าย 3. สหายชาย-หญิง ไทย-กะเหรี่ยง เยาวชน อนุชนกะเหรี่ยงของค่าย 3 หรือค่ายลุงจิต มาตั้งแถวต้อนรับด้วยความอบอุ่น ตั้งแต่สหายหาญผู้บัญชาการค่ายที่หน้าดุแต่ใจดี ลุงชุ่มรองจากลุงจิตที่ใจดี น้ำเสียงเปี่ยมเมตตา พร้อมป้าเพียรภริยาท่าน ป้าเดือนอดีตนางเอกคณะลิเกที่มีเค้านางเอกมิจาง.. ส.เกตุ ส.ไพร ส.พจน์ หน่วยหมอผู้ใหญ่ใจใหญ่ - ส.เกรียงล่ามใหญ่ ส.เมืองนักรบกะเหรี่ยง ..เกาะแกะ, เจริญ, อนันต์, กำนัน..เป็นอนุชนชายกะเหรี่ยงจอมซน 4-5 คน ..จนถึงลุงจิตและแม่ผัน ออกมาต้อนรับสัมผัสมือกันอย่างอบอุ่นและเร่าร้อนยิ่ง..จนครบทุกคน แล้วเอาข้าวของไปเก็บที่พัก โดยสหายเด็กอนุชนกะเหรี่ยงกลุ่มนี้เป็นคนช่วยกันแบกไป..
งานแรกที่จัดตั้งมอบหมายให้คืองานมวลชน ไปช่วยการเก็บเกี่ยว “หมู่บ้านสวรรค์” ปีนี้ฝนฟ้าดี ได้ผลผลิตเยอะมาก เก็บเกี่ยวตามลำพังพวกขาไม่ทันแน่ จึงติดต่อให้ ท.ป.ท.ไปช่วย.. ลุงจิตจึงมอบหมายให้ ส.หาญเป็นหัวหน้าหน่วย ส.เกรียงล่ามใหญ่ผู้ที่เก่งภาษากะเหรี่ยงรอบด้านทั้งพูด เขียน –อ่าน ส.ฤทธิ์นักรบแดนใต้ ส.วิทนักดนตรีประจำเขต และข้าพเจ้า ไปช่วยงานรักษาพยาบาล ..หมู่บ้านสวรรค์คือหมู่บ้านชนเผ่ากะเหรี่ยงสกอร์-ปกากญอ ที่มีระดับวัฒนธรรม นับถือศาสนาคริสต์ เชื่อเรื่องสวรรค์ มีชีวิตรวมหมู่ มสมบัติร่วม มีการจัดตั้ง เช่น ฝ่ายประมง ฝ่ายต่างประเทศ (เศรษฐกิจ) ฝ่ายการผลิต ฝ่ายวัฒนธรรมบันเทิง ตั้งอยู่ในป่าลึกแต่มีวิถีชิวิตที่น่าสนใจมาก ซึ่งข้าพเจ้าก็นึกไม่ถึงว่า“แนวคิดแบบสังคมนิยม”จะมีริ้วรอยให้ได้สังเกต-เห็น มาวันนี้ได้เห็นแล้ว.. แต่เนื่องจากเป็นแบบเป็นไปเอง จึงไม่โตเพราะมีการตั้งกฎที่ไม่สอดคล้องความเป็นจริง เช่น ห้ามหนุ่มสาวแต่งงาน ใครแต่งงานก็ต้องออกจากหมู่บ้านไป.. จำนวนคนจึงน้อยลงอย่างน่าเสียดาย แม้พรรคจะช่วยงานความคิดการเมืองแต่ก็แก้ยาก.
ภารกิจเก็บเกี่ยวตลอดสัปดาห์สำเร็จลงอย่างมีชัย ทำให้มิตรภาพสายสัมพันธ์พรรคกับมวลชน แน่นแฟ้นขึ้น อานิสงส์หนุนช่วยให้ ท.ป.ท.ที่เดินทางผ่านมาทางนี้มีความสะดวกขึ้นมาก.. ช่วงกลางคืน สหายเราเข้าร่วมงานแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ร้องเพลง (แฮ้ มา ทา ) รำวง (แฮ้ กะลิ) เรียนหนังสือกับครู (ตะ-ระ) ของหมู่บ้าน ..เป็นที่สนุกและประทับใจทั้งสองฝ่าย.. ต่อมาที่นี่ได้เป็นสถานีพักในการเดินทางติดต่อกับเขตเหนือ (ราชบุรี-เพชรบุรี).. มาอยู่ที่นี่หลายวันก็คุ้นเคยประดุจญาติสนิท ภาษาไม่ได้เป็นอุปสรรคเลย แถมได้นิคเนมฝากให้ข้าพเจ้ากลับค่าย 3 ไปด้วย.. “พ้าตี้ โพ้วซะ” (ลุงเด็ก) แถม “ตะ-ระ โพ้ว ซะ” (หมอเด็ก) ที่มาขำ ๆ คือหัวหน้าหมู่บ้าน ฟังภาษาไทยได้มาก (พูดได้น้อย) ตอนสหายเรียกชื่อข้าพเจ้า.. “เด็ด” หัวหน้าท่านฟังแล้วออกเสียงเป็น “เด็ก” แปลเป็นกะเหรี่ยงปกากญอว่า “โพ้ว ซะ” จึงนำมาเรียกชื่อใหม่เสียโก้เลย.. พี่น้องกะเหรี่ยงชอบจะตั้งชื่อนิคเนมให้กับสหายเรา ตามบุคลิกบ้าง อายุบ้าง แล้วแต่ระดับความสนิทสนม.. เช่นลุงจิต กะเหรี่ยงจะรู้ทั้งคุ้งน้ำข้ามเขาว่า “พ้าตี้ ซา เปื้อ” (ลุงผู้เฒ่า )..เป็นต้น.
งานของพรรคบรรลุผล คนของพรรคบรรลุชัย หน่วยของเราที่จัดตั้งส่งไปที่หมู่บ้านสวรรค์ ได้สร้างมิตรภาพสายสัมพันธ์อันดีกับพี่น้องกะเหรี่ยงเป็นที่กล่าวขานและจดจำ.. (งานการผลิต เลือกที่-ถาง-รักษา-เก็บเกี่ยว ในวิถีไร่หมุนเวียนที่ชาญฉลาดของชนเผ่ากะเหรี่ยง เขาอยู่กับธรรมชาติ รู้จักใช้ธรรมชาติ เคารพธรรมชาติ เขาทำได้อย่างไร จะเล่าให้ฟังโอกาสต่อไป).. แต่งานที่ถือว่ายากและหินที่สุดคงจะเป็นเรื่องต่อเนื่อง.. เมื่อ “พ้าตี้ ซาเปื้อ” (ลุงผู้เฒ่า=ลุงจิต) ได้รับสาส์นด่วนจากแนวร่วม เค.เอ็น.ยู ผ่านมวลชนของเรา ให้ลงมาพบด่วน!!! มีเรื่องจะปรึกษา.

 

 

 


งานที่ลุงจิตต้องไปทำเองถือเป็นงานใหญ่และสำคัญแน่ ๆ ที่สำคัญคือทำอย่างไรจะให้ลุงจิตตัวแทนพรรค มีสุขภาพแข็งแรงพอจะเดินทาง ตรากตรำเช่นนี้ได้ ลุงจิตจึงเรียกประชุมปรึกษาหารือ สรุปว่าต้องไปโดยไม่ห่วงสุขภาพตนเอง ให้สหายหาญหัวหน้าหน่วย สหายฤทธิ์นักรบแดนใต้ที่คล่องแคล่วเป็นรอง มีข้าพเจ้าพร้อมหยูกยาอุปกรณ์ที่จำเป็นเต็มกำลัง เป็นหมอประจำหน่วย สหายเกรียงล่ามใหญ่ติดภารกิจที่ค่ายไปไม่ได้ ทางภาษากะเหรี่ยงนั้น ชดเชยด้วยทีมมวลชนที่ไป ประกอบด้วยพี่อ้วน (จ๊อดุ๊) ปกากญอ-ล่ำเตี้ยแข็งแรง ชอบเคี้ยวหมากประจำ, พี่เหลือ (นิคเนม “จ๊อโต่ว”-พี่นิ้วด้วน (จากอุบัติเหตุ), พี่ชัย (จ๊อพะนุ้ย) ก่อนพูดชอบจะใช้คำ-จามะดื้อ-นำก่อนเสมอ).. 3 แรงแข็งขันมาหนุนเสริม.
จำได้ว่าน่าจะเป็นช่วงต้นปี ประมาณ มี.ค. 2522.. หน่วยเราทั้งหมด 6 คนออกเดินทางกันตั้งแต่เช้า โดยมีเด็กอนุชน (10-12 ปี) มีเกาะแกะ,เจริญ, อนันท์, กำนัน (เรียกดูจากทรง)..หน่วยเด็กนี่สหายล้อเลียนสนุก ๆ ว่าเป็นทหารพิทักษ์ลุงจิต (ของจริงน่าจะเป็นลุงจิตคอยพิทักษ์มากกว่า).. วิ่งมาส่งพวกเราจนถึงชายป่า.. จับไม้จับมือส่งกันไปทำงานแล้วตะโกนไล่หลังมา “แล มื้อ ๆ ย่อ พ้าตี้ โพ้ว ซะ (ไปดี ๆ นะ ลุงเด็ก )”.. วันนี้เดินทั้งวัน ขึ้นเขา ๆ ๆ ๆ ๆ และขึ้น ๆ ๆ – ลง ๆ ๆ ..ลุงจิตท่านก็เป้ของส่วนตัวเดินตามชิด ๆ แม้สหายเราจะช่วยเป้ให้ก็ไม่ยอม ที่เอวก็คาดปืนสั้น 11 มม. พร้อมกระสุนก็หนักเอาการอยู่ ก็เลยแก้ด้วยวิธีเดินทอดสั้น ๆ พักแต่ละจุดนานหน่อย (ปรกติจะเดินทอดละ 45-50 นาที พัก 10 นาที แล้วเดินต่อ ..จนถึงที่หมาย) เดินจนบ่ายคล้อยถึงเย็น ลงเขามาพักที่ราบริมห้วยสะบ้า สหายฤทธิ์วางเป้ก็ออกเดินล่าสัตว์มาเป็นอาหารให้คณะเรา.. มื้อนี้ “จ๊อ” (พี่) ทั้งสามเป็นพ่อครัวทำแกงพิเศษเลี้ยงพวกเราจากสัตว์ที่ ส.ฤทธิ์ล่ามาได้ นั่นคือแกง “ตาซั้วอิ๊” (แกงขี้ค่าง) คล้ายแกงคั่วผสมต้มยำ มีเนื้อ เครื่องใน กระดูกอ่อน ไส้อ่อน (ขี้เพลี้ย) ที่สำคัญต้องใส่ยอดใบไม้ที่กำลังย่อยในกระเพาะอาหารมาผสมเพิ่มความเข้มข้น เติมพริก เกลือ ตามอัธยาศัย ปรุงเสร็จก็บรรจุใส่กระบอกไม้ไผ่ลำโตแล้วหลามข้างกองไฟ.. ด้วยใจจดจ่อ พลิกหมุน-กลับไปมาอย่างอิ่มเอมใจที่จะได้กินอาหารเลิศรส (สังเกตจากภาษาท่าทาง).. วาระสำคัญมื้อเย็นก็มาถึง “ตาซั้วอี๊” ที่สุกหอม ถูกเทลงในชามใบใหญ่จนเต็มปรี่ ข้าพเจ้าดูรูปลักษณ์ภายนอกถือว่าใช้ได้ เพียงแต่กลิ่นออกจะแรงไปสักหน่อย พวกเราขยับล้อมวงตักข้าวคนละชาม ระหว่างเล็ง ๆ จะกินอะไรดี ..เพราะอย่างน้อยมีน้ำพริกกะปิ-ผักจิ้มรองรังอยู่แล้ว.
ทันใดพี่อ้วนใช้ทัพพีตัก “ตาซั๊วะอิ๊”ใส่ชามข้าวของข้าพเจ้าจนท่วม.. และหัวเราะ ยิ้ม-หัวเราะอย่างขบขัน คงอยากรู้ว่า “พ้าตี้โพ้วซะ”เด็กในเมืองจะไปต่อยังไง.. ข้าพเจ้ายิ้มตามน้ำ พลางใช้ช้อนคลุกเคล้าข้าวกับแกงให้พอดีคำแล้วตักใส่ปากทันที.. สายตาทุกคู่จับจ้องที่ข้าพเจ้าตัวแทนสหาย 6 ตุลาแบบไม่ยอมกะพริบ ..โอววว..แม่เจ้า เผ็ดและเค็มพอสู้ได้.. แต่ทว่ากลิ่นค่างสิมันรุนแรงมาก ระดับค่างทั้งฝูงมาวิ่งไล่กันในโพรงจมูกยังไงยังงั้นเลย.. ข้าพเจ้าจำได้ว่าเคยอ่านวิธีแก้กลิ่นแรง คือทำให้ความเข้มข้นของกลิ่นของภายนอกและภายในเท่ากัน ด้วยการสูดลมกลิ่นนั้นเข้าปอดให้เต็มที่ เมื่อหายใจครั้งต่อไป กลิ่นจะค่อย ๆ หายไป.. ลองทำตาม ได้ผล.. ข้าพเจ้าคิดทบทวนทางวิทยาศาสตร์ มันประกอบด้วยโปรตีน มีสารอาหาร กากใย มีวิตามินครบ “ตาซั๊วะอิ๊”เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย.. ข้าพเจ้าจึงตักกินช้อนต่อไปอย่างเอร็ดอร่อย..จ๊อดุ๊, จ๊อโต่ว, จ๊อพะนุ้ย (จามาดื้อ) หัวเราะชอบใจระดับน้ำหมากกระจาย.. ยิ้มแย้มเหมือนจะบอกเป็นนัยยะว่า..ต่อไปนี้ “พ้าตี้ โพ้วซะ” เป็นปกากญอเพื่อนกันแล้ว ..ว่าพลางจะตักเพิ่มให้อีกทัพพี ข้าพเจ้าเตรียมตัวอยู่ก่อนแล้ว..จึงชักถ้วยหลบแล้วยิ้มตอบกลับไปอย่างมีไมตรี ของอร่อยจ๊อ ๆ ๆ กินให้มากหน่อย น้องต้องเสียสละให้พี่จึงจะถูกต้อง จ๊อทั้งสามหัวเราะลงคอ ชอบใจ กินต่ออย่างอร่อยล้ำเหลือจนหมด.. ลุงจิตมาแซวตอนฟังวิทยุว่า.. “ผมเอาใจช่วยคุณแย่เลย กลัวจะเดินแนวทางมวลชนเปิบข้าวด้วยมือ เพราะถ้าใช้มือเปิบ กลิ่นสาบค่างจะติดไปอีก 3 วัน 5 วันเลยนะ..” ลุงจิตยิ้มปิดท้ายอย่างให้กำลังใจ.. ก่อนนอน สหายหาญมาย้ำแผนวันพรุ่งนี้ เราจะเดินต่อไปห้วยพลูถึงปากคลองตาเกะ เราจะล่องแพจนเย็น พักริมห้วย 1 คืน รุ่งขึ้นถ่อแพไปอีกค่อนวัน ไปพักที่บ้านลุงนุ้ยเป้...จากนั้นค่อยว่ากัน.
ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางไว้ ถึงปากคลองตาเกะเกือบบ่าย ไปที่แพ (ทำจากไม้ไผ่มัดรวมติดกัน 5 -6 ลำ ยาว 6-8 เมตร) ซึ่งมวลชนได้ตระเตรียมไว้ให้ 3 ลำแพ ลำที่ 1 สหายหาญหัวแพ ลุงจิตโดยสาร สหายฤทธิ์นายท้ายแพ ลำที่ 2 จ๊อพะนุ้ย (จามะดื้อ) หัวแพ จ๊อโต่วท้ายแพ ลำที่ 3 จ๊อดุ๊หัวแพ ข้าพเจ้าท้ายแพ.. ข้าพเจ้าคนเดียวที่ไม่เคยถ่อแพเลย น่าจะเป็นอุปสรรคที่สุด นับว่ายังโชคดีที่มีพี่อ้วนเป็นโค้ชให้ ข้าพเจ้าบอกตัวเองว่าทุกอย่างต้องมีก้าวแรกเสมอ ไม่เคยก็ต้องลอง ทำไปตามภารกิจ ทุกอย่างคือกำไรชีวิต.
พี่อ้วนสรุปให้ฟังอย่างรวบรัดว่า ข้างหน้าจะมีแก่งอันตรายอยู่หลายแก่ง เช่น แก่งมุด, แก่งยาว, แก่งคด.. แล้วดูเป็นแก่ง ๆ ไป ที่สำคัญ “พ้าตี้ โพ้ว ซะ” ต้องประคองท้ายแพให้ดี หากท้ายแพกระแทกหิน หัวแพจะส่ายทำให้คนอยู่หัวแพตกน้ำได้ ต้องระวังให้มาก.. พวกเราถ่อแพตาม ๆ กันมา ถึงแก่ง (แนวหินวิ่งผ่านขวางลำห้วย) กว้างเกือบ 50 เมตร ความยาวไม่น้อยกว่ากันนัก.. มีร่องน้ำกระแสหลัก ที่หัวแพต้องจำให้ได้ เราต้องวิ่งตามร่องนี้เท่านั้น.. แพสหายหาญนำร่องไปก่อน ผ่านฉลุย.. ตามด้วยจ๊อพะนุ้ย… ถึงคิวเรา จ๊อดุ๊ค่อย ๆ ถ่อแพไปรอที่หัวแก่ง แล้วพนมมือไหว้ คุกเข่าที่หัวแพ บ่นอะไรงึมงำอยู่พักใหญ่ ..วักน้ำมาลูบผมสองสามครั้ง แล้วโบกมือตะโกนสั่งการ “เก- ละ- ย่อ...พ้าตี้โพ้วซะ” (ไปละนะ ..ลุงเด็ก) ..ข้าพเจ้าใจเต้นไม่เป็นส่ำเพราะไม่ชิน เสียงน้ำไหลผ่านแก่งดังตึง ๆ ๆ ๆ ๆ โครม ๆ ๆ ๆ ๆ ข่มขวัญนักรบน้องใหม่จนใจคอไม่ปรกติ ตัดสินใจเด็ดเดี่ยว...เอาละวะ...ตายเป็นตาย คนอื่นทำได้...เราก็ต้องทำได้...ลุย..ไปเล้ยยย.
พี่อ้วนค้ำถ่อนำแพสู่กระแสน้ำหลัก....เท่านั้นเอง.. กระแสน้ำมวลมหึมาก็ดูดแพเราลิ่วละล่องไปตามกระแส แค่ประคองหัวแพให้ตรง ท้ายไม่กระแทกหิน...ไม่นานก็หลุดแก่ง เข้าสู่วังน้ำ.. พี่อ้วนยกนิ้วหัวแม่มือให้ข้าพเจ้า (เหมือนกดไลค์) ให้หลายครั้ง แสดงว่าใช้ได้..จากนั้นแพเราก็ เข้าสู่วังน้ำที่ทอดยาวไปเรื่อย ๆ พวกเราช่วยกันใช้ไม้ถ่อที่เล็กเรียวถนัดมือ ค้ำและถ่อโดยปรับทิศทางให้ตรงตามกระแสน้ำ.. จนกว่าจะถึงแก่งต่อไป สลับกันเช่นนี้...วันนี้ล่องแพเป็นทหารเรือทั้งวัน ทำไปสรุปไป ฟังคำวิจารณ์ของโค้ชพี่อ้วนไป แก้ไขปรับปรุงไป เอาตัวรอดไปได้ระดับหนึ่ง.. นอนค้างคืนที่ริมคลองตาเกะ ฟังเสียงน้ำไหล ฟังเสียงนกยามค่ำคืนร้อง หรีดหริ่งเรไร..คืนนี้ช่างมีความสุขจริงหนอ.. นอนหลับง่ายเพราะเพลีย เหนื่อย ล้า มาทั้งวัน.
รุ่งขึ้นวันใหม่..หลังเสร็จภารกิจต้องถ่อแพตามน้ำลงไปอีกค่อนวัน จึงจะถึงบ้านลุงนุ้ยเป้ที่จะไปพัก.. ที่ผ่านมามีแก่งมุดที่เร้าใจมากที่สุด เพราะระดับน้ำต่างกันเมตรกว่า ๆ มีช่องลงช่องเดียวที่กลางแก่ง จะต้องถ่อผ่านให้เร็วที่สุด เพราะแพจะทิ้งตัวให้หัวแพจมน้ำ คนก็ต้องมุดตาม จนท้ายแพตกลงมาตาม ตัวแพจึงจะกระดกยกขึ้นเป็นปรกติ..หวิว-เปียก-ฮา..ทำให้รู้สึกสยองในขากลับว่าจะยกแพขึ้นได้อย่างไร ?
ทีมเราพักและรักษามวลชนที่เจ็บป่วยอยู่บ้านลุงนุ้ยเป้สองวัน ส่วนสหาย “3 จ๊อ” ลุยต่อไปที่ทุ่ง (แหล่งชุมชนใกล้แม่น้ำตะนาวศรี) เพื่อติดต่อสั่งซื้อข้าวของที่จำเป็น เช่น กะปิ เกลือ ของอื่น ๆ แล้วนัดเจอกันที่บ้านแนวร่วม.. ส่วนสหายหาญ, สหายฤทธิ์ฝ่ายทหาร ก็สืบหาข่าวจากมวลชนถึงการเคลื่อนไหวของศัตรู เรียบร้อยปลอดภัยดี วันที่สาม.. ลุงนุ้ยเป้อาสาให้ลูกชายไปส่งข่าวให้แนวร่วม ลุงจิตเห็นด้วย แต่ติดขัดเรื่องภาษาที่จะต้องเขียนเพราะไม่รู้ภาษากะเหรี่ยงเลย สหายฤทธิ์จึงเสนอให้ข้าพเจ้าเขียนจดหมายภาษาอังกฤษ เพราะเป็นนักศึกษาต้องเขียนได้แน่ ข้าพเจ้าอึ้งไปเพราะรู้ภูมิตัวเองดี จะยอมรับก็ใช่ที่จะปฏิเสธก็ไม่บังควร กระวนกระวายใจ จนลุงจิตตัดสินใจให้ว่า “เขียนไปเถอะ..แบบไหนก็ได้ บอกให้เขารู้ว่าเรามาถึงแล้ว จะไปเจอกันที่ไหน...แค่นี้แหละ..สหายไปคิดดู แต่ต้องรีบหน่อย เพราะลูกชายลุงนุ้ยเป้จะรีบไป” “เอาก็เอาวะ”..ยกมืออธิษฐานขอบุญบารมีอาจารย์ ม.รามคำแหงที่สอนข้าพเจ้ามา ช่วยลูกช้างด้วยเถิด เรียนอังกฤษ 4 เล่มไม่เคยตกเลย คราวนี้อย่าให้ตกน้ำเลยนะครับ.. ตัดสินใจเขียนด้วยหมึกลูกลื่นสีน้ำเงินบนกระดาษขาว โดยให้ลุงจิตบอก ข้าพเจ้าเขียน.. สวัสดีผู้หมวดญ้อ..(Dear Lt.Yaw) ผมมาถึงแล้วตอนนี้อยู่บ้านมวลชน (I have arrived and now stay at your mass home ) ผมอยู่ได้ไม่นานเพราะมีงานที่ค่ายรออยู่ (I can not stay here for long time because I am so busy) ดังนั้น เมื่อได้รับจดหมายฉบับนี้แล้ว โปรดตอบกลับมาด้วย (Thus, when you receive my letter, Please respond to me as fast as you can) ด้วยความนับถือ จากลุงจิต พ.ค.ท. (Sincerely yours. From Uncle JITRA C.P.T. ) ..ข้าพเจ้ายื่นต้นฉบับให้ลุงจิตดู ลุงไม่อ่าน (เดาเอาว่า..คงเชื่อมือ) กลับพับใส่ซองแล้วยื่นให้ลูกชายลุงนุ้ยเป้ที่กำลังรออยู่.. ลุงจิตยิ้ม ๆ ไม่พูดอะไร สหายหาญเดินมาตบไหล่เพียงพูดว่า..“เดี๋ยวรู้เรื่อง”.. ข้าพเจ้าทบทวนแล้วทบทวนอีก คิดเอาเองว่าแนวร่วมผู้หมวดกะเหรี่ยงน่าจะจับความได้ ในใจได้แต่ภาวนา..วันนี้ก็รักษามวลชนป่วยต่ออีก มาเลเรีย พยาธิ กล้ามเนื้ออักเสบ เอ็นพลิก หวัด กระเพาะเป็นแผล ลำไส้อักเสบ โลหิตจาง ข้อเข่าบวม ฯลฯ ..ยาขนานเอกที่คนป่วยต้องการกลับไม่ใช่ยา แต่มันคือเครื่องวัดความดันโลหิต และหูฟัง แค่ได้จิ้มฟังปอด หัวใจ ท้อง และวัดความดันโลหิต คนป่วย 90% อาการโรคหายไปกว่าครึ่ง.
...ยามค่ำคืนที่นี่เงียบสงัด ได้ยินเสียงน้ำในคลองไหลเป็นจังหวะ ประสานเสียงหรีดหริ่งเรไร ใครหนอจะสุขใจเช่นข้าพเจ้าบ้าง..เกือบห้าทุ่มแล้ว..ลุงนุ้ยเป้ลุกขึ้นฉับพลัน..ส่องไฟฉาย วิ่งตามเสียงพูดเอะอะ ๆ ที่ดังมาจากท่าน้ำหน้าบ้าน พร้อมแสงไฟฉายแวบ-วาบสวนกลับมา.. แขกผู้มาเยือนสามคนเป็นเด็กหนุ่มปกากญอ นุ่งโสร่งบ้าง กางเกงในบ้าง ถ่อแพชนิดสุดชีวิตจิตใจเพื่อมาส่งจดหมายตอบกลับด่วนเป็นภาษาอังกฤษ ลุงจิตกล่าวขอบใจ..ส่งจดหมายให้ข้าพเจ้าอ่าน..ได้สรุปให้ลุงทราบว่าพรุ่งนี้ให้ลุงไปพบที่บ้านได้เลย พร้อมคุยเรื่องที่จะปรึกษากัน.. แถม..หนุ่มน้อยแพด่วนปกากญอ ย้ำกับลุงนุ้ยเป้เป็นภาษากะเหรี่ยง ที่สหายหาญ สหายฤทธิ์ พอฟังออกและตีความหมายได้.. อย่าลืมนะ ๆ ๆ พรุ่งนี้ลุยกันเลย.
หน่วยของเราต้องล่องแพตามน้ำไปอีกเป็นวัน กว่าจะถึงบ้านแนวร่วมฯก็เย็นแล้ว นึกคารวะจิตใจเด็กหนุ่มแพด่วน ผ่านอุปสรรคกลางสายน้ำที่ถ่อแพ ทวนน้ำ ยามค่ำคืน หลายชั่วโมง มาส่งข่าว.. แสดงว่าจดหมายฉบับที่ลุงส่งไปกินใจแน่ ๆ.. ถึงบ้านที่นัดพบ..แนวร่วมฯ และครอบครัว เดินลงมาต้อนรับลุงจิต (พ้าตี้ ซาเปื้อ) ถึงท่าน้ำ ด้วยความคุ้นเคยและสนิมสนมยิ่ง เที่ยวนี้เจ้าภาพอเค.เอ็น.ยู นุ่งโสร่งลาย สวมเสื้อกล้ามตราห่านคู่ สะพายย่ามหมากใบเล็ก สวมรองเท้าแตะทาร์ซาน ไว้หนวดพองาม หุ่นสมาร์ทสมเป็นนายทหาร ชาวบ้านเรียกขานแนวร่วมท่านนี้ว่า “เซอคุ” (นายทหาร) (เที่ยวนี้เรียบง่ายสบาย ๆ เพราะที่ผ่านมาเจอกันครั้งแรกระหว่าง ซี.พี.ที.กับเค.เอ็น.ยู ทางแนวร่วม เค.เอ็น.ยู.มาแบบเต็มยศ ใส่เสื้อครุยปริญญา มาตั้งแถวต้อนรับคณะของ ซี.พี.ที ..แต่ลุงจิตนุ่งกางเกงจีน สวมเสื้อม่อฮ่อมเท่านั้น) ..เราให้เกียรติกัน ไม่มีการปลดอาวุธเมื่อเข้าเขตอิทธิพลของเขา จ๊อดุ๊, จ๊อโต่ว, จ๊อพะนุ้ย..ก็เดินทางมาถึงพร้อมกัน เลยแวะมาค้างที่นี่ด้วยกันเลย. คืนนี้ลุงคุยงานกับแนวร่วมฯ มีพี่อ้วน(จ๊อดุ๊)ผู้สันทัดภาษา ช่วยเป็นล่ามให้ลุงจิตทุกอย่างราบรื่นดี.
แต่มีเรื่องใหญ่อีกเรื่องคือ แนวร่วม-เซอคุ ขอความช่วยเหลือให้ลุงจิตพิจารณาช่วยเหลือมวลชนของเขา ที่ประสบอุบัติเหตุขาหักมา 8 เดือนแล้ว ไปรักษามาหลายแห่งไม่ได้ผล ครอบครัวเป็นห่วงกังวลมาก ขอร้องให้ฝ่ายอำนาจรัฐกะเหรี่ยงช่วย ซึ่งเขาก็นึกถึงลุงจิต และซี.พี.ที. ที่มีศักยภาพน่าจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้ และบอกว่าคนป่วยมานอนรอฟังคำตอบอยู่ที่บ้านอีกหลังหลายวันแล้ว ลุงจิตรับทราบปัญหาและบอกแนวร่วมฯว่า จะปรึกษากันดูก่อนนะ อย่างไรเสียเราไม่ทอดทิ้งกันแน่.. แนวร่วม-เซอคุ ยิ้มอย่างมีความหวัง ..คืนนี้อาน้อ (น้าสาว) ภริยาเซอคุเป็นเจ้าภาพต้มลูกเดือยใส่น้ำตาลทรายมาเลี้ยงฉลองพวกเรา อิ่มกันทั่วหน้า..แล้วพักผ่อนตามอัธยาศัยที่บ้านเซอคุ.. ก่อนนอนลุงจิตชวนคุยปัญหานี้ จะช่วยยังไงดี ข้าพเจ้าเสนอว่า ขอไปดูสภาพรูปธรรมคนป่วยก่อนดีไหมครับ แล้วเรามาช่วยกันคิดต่อ.. ลุงจิต สหายและมวลชนเห็นด้วย..พรุ่งนี้ค่อยตัดสินใจ.
หลังอาหารเช้า เซอคุเดินนำพาพวกเราทั้งคณะไปบ้านหลังเล็กที่อยู่ไม่ไกลนัก เป็นที่พักของครอบครัวคนป่วย.. ลุงจิตบอกว่า ให้ข้าพเจ้าตรวจโดยละเอียดแล้วช่วยประเมินผลด้วย ข้าพเจ้าคิดเอาเองว่า นี่งานใหญ่ไม่แพ้จดหมายด่วนฉบับนั้นแน่.. ครอบครัวทั้งพ่อและแม่คนป่วยออกมาต้อนรับด้วยความดีใจ ชนิดที่ว่ายิ่งกว่าสุดประมาณ ดูจากภาษากายแล้ว เหมือนคนเดินกลางทะเลทรายแล้วมาเจอโอเอซิสก็ไม่ปาน เขาไม่รู้หรอกว่าลุงจะตอบเขาอย่างไร แต่เขาเกิดมีพลังใจที่ได้เห็นลุงจิต.. เดินมาขอจับไม้จับมือกับพวกเราทุกคนด้วยความกระตือรือร้นยิ่ง.. พวกเราตรงไปที่แคร่ไม้ไผ่ที่คนป่วยนอนอยู่.. ข้าพเจ้าเข้าไปใกล้ จับมือทักทายเริ่มสร้างมิตรภาพก่อน .. พี่อ้วน (จ๊อดุ๊)..ได้ช่วยแนะนำว่า วันนี้ “ตะระ โพ้ว ซะ” จะมาตรวจดู พ่อ-แม่นูนู นั่งอยู่ใกล้ยิ้มปิดปาก คงขำและสงสัย อะไร..หมอชื่อเด็ก ..คนป่วยก็ยิ้มกว้างเมื่อได้ยินชื่อหมอเป็นภาษากะเหรี่ยง.. ทำให้บรรยากาศผ่อนคลายเป็นกันเองมากขึ้น จึงเริ่มซักประวัติเพื่อสรุปให้ลุงจิตทราบ.. คนป่วยเป็นเด็กหนุ่ม อายุแค่ 14 ปี ชื่อนูนู น้ำหนักระหว่าง 40-42 กก. สูง 160 เป็นลูกคนเล็ก เกิดหกล้มอย่างแรง ขาขวาท่อนบนหัก เป็นมา 8 เดือนแล้ว คลำไม่พบปลายกระดูกที่หัก ท่อนขาจุดที่หัก เลือดออกมากจนคั่ง ดันกล้าเนื้อ ผิวหนัง จนบวมเป่ง เส้นเลือดแดงยังดี เพราะจับชีพจรที่ปลายเท้ายังได้ เส้นเลือดดำน่าจะมีปัญหา น่าจะมีฉีกขาดรุนแรง กดดูรอบที่บวมเป่งคาดว่าเป็นเลือดคั่งอยู่ภายใน มากกว่า 200-300 ซีซี. ขาที่หักเคลื่อนไหวเองไม่ได้ ต้องใช้มือทั้งสองยกประคอง เมื่อต้องเปลี่ยนท่า ขยับทุกครั้งจะเจ็บและปวดมาก คนป่วยซีด ตาเหลืองเล็กน้อย ความดัน ชีพจร ยังปรกติ.. ข้าพเจ้ารายงานสภาพให้ลุงจิตทราบ สหายและพี่ ๆ 3 จ๊อ เข้ามาพูดคุยกับพ่อ (พ้าตี้-ลุง) แม่ (อาน้อ-น้าของนูนู) ด้วยความเห็นใจ พร้อมให้กำลังใจ.
ลุงจิตถามข้าพเจ้าสั้น ๆ.. “ไหวไหม ?” ข้าพเจ้าตอบตามประสบการณ์หมอสนามบอกลุงจิตไปว่า ถ้าสามารถระบายเลือดออกได้โดยผู้ป่วยทนไหว ถ้าสภาพกระดูกดี ซ่อมเส้นเลือดดำได้ เอากระดูกมาต่อกัน ดาม-ยึดด้วยเหล็ก ..ถ้าต่อไม่ได้ก็ต้องตัด ข้าพเจ้าบอกลุงด้วยความมั่นใจว่า ระดับหมอพินิจ หมอดอน ทำได้ อุปกรณ์เรามีพอ แต่ที่น่าหนักใจคือก้อนเลือดที่บวมเป่งคือตัวปัญหา การจัดการปัญหาต้องไปโรงพยาบาลค่ายเรา ต้องทำเป็นทีม และต้องเป็นทีมใหญ่ ..และเราจะเอาคนป่วยไปอย่างไร ต้องช่วยกันคิดตรงนี้ ..ลุงจิตคิดอย่างสุขุมอยู่พักหนึ่ง ท่านบอกคณะเราว่า..“เอา..ต้องเอาไปรักษาที่ค่ายเรา..ทางคณะหมอเราจะช่วยได้อย่างเต็มที่ และทีมหมอของเราจะได้ยกระดับคุณภาพด้วย..” เซอคุเรียกพ่อ แม่ของนูนู มาคุยกับลุงจิต มีพี่อ้วนช่วยแปล พวกเราที่เหลือนั่งฟังอยู่ข้าง ๆ ลุงจิต พ่อแม่ของนูนู มองลุงจิตด้วยสายตาที่วิงวอน บางช่วงเหลือบมองบนฟ้าเหมือนจะขอให้พระเจ้าช่วยดลใจลุงจิตด้วยเถิด เพราะครอบครัวนูนูเป็นคริสต์.. ปรกติลุงจิตก็รักและเมตตาช่วยเหลือเกื้อกูลกับชนเผ่ามาตลอด ตั้งแต่มาฝังตัวเมื่อปี 2505..จนปัจจุบัน พี่น้องมวลชนชนเผ่าตลอดคุ้งน้ำรักท่านมาก จนได้สมญานาม “พ้าตี้ ซา เปื้อ” (ลุงผู้เฒ่า) ..แนวร่วม เค.เอ็น.ยู เคารพนับถือมาก ..ลุงจิตท่านประกาศ จะรับเอานูนูไปรักษาที่ค่ายของเรา และขอให้พ่อ-แม่เดินทางไปพร้อมกัน จะได้ช่วยเป็นกำลังใจและช่วยดูแลอย่างใกล้ชิด.. ข้าพเจ้าได้เห็นสีหน้า แววตา ที่สะท้อนความรู้สึกแห่งความหวังของครอบครัวที่แสดงออกแล้ว น้ำตาจะไหล.. ลุงจิตตัวแทน ซี.พี.ที.ที่เป็นพรรคของประชาชน..ใครได้มาอยู่ใกล้ ๆ ตอนนี้ คงสังเกตเห็นรัศมีออร่าของพลังการเป็นผู้ให้ที่ยิ่งใหญ่ฉายประกายออกมา.. แน่นอน.
การโยกย้ายผู้ป่วยคือเรื่องใหญ่มาก จะต้องเบาและอ่อนโยน เพราะการกระแทก จะส่งแรงมากระทบขาขยับทำให้เจ็บปวดมาก.. สังเกตดูสหายและพี่ 3 จ๊อ ทุกคนยิ้มสู้ และประชุมปรึกษาหารือกัน จะบรรลุภารกิจนี้ให้ได้เพื่อสร้างผลสะเทือนทางการเมืองให้กับพรรคของเรา แล้วสหายหาญผู้บัญชาก็ประชุมวางแผนเป็นรูปธรรมภายใต้การชี้นำของลุงจิต.
เริ่มจากต้องจัดแพกันใหม่ แพที่ 1.สหายหาญ ลุงจิต สหายฤทธิ์เหมือนเดิม แพที่ 2 จ๊อพะนุ้ย มีพ่อของนูนู (ผอมสูง พูดน้อย ช่วยมาก) มาเพิ่ม จ๊อโต่วท้ายแพ แพที่ 3 ต้องสร้างแคร่ยกพื้นให้คนป่วยนอน มีอาน้อ (อาน้อคือน้าสาว.. ข้าพเจ้าชอบใช้คำนี้เรียกแม่ของนูนู ที่ร่างท้วมแต่ทะมัดทะแมง) จ๊อดุ๊หัวแพ ข้าพเจ้าท้ายแพเหมือนเดิม.. เป้ / ปืน / สัมภาระอื่น ๆ แบ่ง ๆ กันไป ผูกยึดให้แน่น เพราะขากลับเป็นการทวนกระแสน้ำ ซึ่งต้องใช้แรงมาก ต้องช่วยกันลากแพทุกลำ อาจต้องนอนข้างคลองตาเกะถึงสองคืน คืนที่ 3 นอนห้วยพลู คืนที่ 4 นอนตีนภูห้วยสะบ้า คืนที่ 5 นอนค่าย.. ส่วนใจข้าพเจ้าวิ่งแซงไปคืนที่ 5 เลย.. เซอคุและภริยาดีใจมากไม่แพ้ครอบครัวนูนู ที่ ซี.พี.ที.ให้ความช่วยเหลือที่มากมายเช่นนี้ เมื่อทีมเราทำแคร่เสร็จเตรียมตัดไม้ถ่อให้พอ และของทุกอย่างพร้อม คงต้องค้างบ้านเซอคุอีกคืน ซึ่งเจ้าภาพก็ดีใจหาย เลี้ยงฉลองความสำเร็จให้ เอาเหล้าขาวหมักเองมาเลี้ยงพวกเรา มีแต่พี่ 3 จ๊อที่เอาคนละหลายกรึ๊บ ท.ป.ท. วินัย 10 แข็งแรง..จึงหันมากินขนมหวานต้มลูกเดือยใส่น้ำตาลอีก แทน..
..สหายหาญ สหายฤทธิ์ ..มีบทเรียนหามสหายบาดเจ็บมาก่อนจึงตัดคานไม้ไผ่ยาว 3 เมตร แล้วเอาเปลมาผูกแขวนเพื่อให้นูนูนอนในเปล ช่วยกันหามไปนอนที่แคร่บนแพ การเดินทางทางน้ำยังไงก็ลุ้นกันไปลากกันไป ที่ยากกว่าคือแบกเลาะห้วย และที่ยากและโหดที่สุดคือแบกขึ้นเขา, ข้ามเขา ช่วงเป็นทหารเรือก็ช่วยกันไม่ยาก แต่ตอนเป็นทหารบกจะต้องมีการรวมเป้..เพื่อให้เหลือคนตัวเปล่า ไว้ 2 คน เพื่อหาม...ใครหามเสร็จก็ไปเป้ต่อ.. นี่แหละคือสิ่งที่ต้องสามัคคีกันเต็มที่.. วางแผนเสร็จ...หน่วยของเราก็ร่ำลาเจ้าภาพเซอคุและภริยา ท่านก็เตรียมเสบียงให้ตลอดการเดินทาง มาส่งพวกเราและนูนูที่ท่าน้ำ น่าสงสารนูนูเด็กน้อยวัย 14 ที่กำลังเติบโตกลับต้องมาทุกข์ทรมานเจ็บปวดรุนแรง ยืดเยื้อ ยาวนาน ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าได้ยินเสียงจุ๊ปาก เดาะลิ้น..ต๊อก ๆ ๆ จากนูนู คิดถึงคำพูดประธานเหมา “เจ็บที่ตัวเขา...เจ็บที่ใจเรา” ...รู้สึกเจ็บปวดแทนจริง ๆ ข้าพเจ้าเอากระเป๋ายาผูกให้มั่นคงและไม่โดนน้ำไว้ใกล้มือพร้อมใช้ทันที และแล้วแพของสหายหาญก็เริ่มเดินทาง ตามด้วยที่เหลือ ..ช่วงแรกออกแรงถ่อมากหน่อยเพราะทวนกระแสน้ำ ถ่อตามวังน้ำเพื่อไปข้ามแก่ง ตอนนี้ถือว่ายังพอรับได้ จนมาถึงแก่งหนึ่งกระแสน้ำแรง เราจะไปตามกระแสหลักไม่ได้ ต้องไปที่กระแสรอง น้ำไหลเบากว่า แคบกว่า น้ำลึกกว่า ด้วยความชำนาญของพี่ 3 จ๊อ ช่วยแนะนำทำเป็นตัวอย่าง เราทำตาม ไม่นานก็เกิดความชำนาญขึ้น.. แก่งไหนที่กระแสน้ำรองตื้น แคบ เราก็ใช้เชือกผูกหัวแพ ส่วนหนึ่งไปดึง ที่เหลือคอยดัน ขยับทีละนิดก็เอา..จนสุดแก่ง.. ไม่ใช่แพเดียว แต่นี่ 3 แพ และมีคนป่วยขาเจ็บด้วย การออกแรงต้องประณีตบรรจง จึงต้องออกแรงมากกว่าปรกติถึง 3 เท่า.
ที่ยากที่สุดน่าจะเป็นแก่งมุด มันต่างระดับ แถมน้ำแรงและลึก ต้องค่อย ๆ ดึง-ลาก-ดัน ออกแรงมาก ๆ ๆ ๆ จนถึงระดับ “เหงื่อออกใต้น้ำ” ซึ่งตั้งแต่เกิดมาเพิ่งเคยเจอของจริง แช่น้ำเย็นก็จริง แต่รู้สึกร้อนในน้ำจนเหงื่อออกโทรมกายเลย ..กว่าจะหลุดแก่ง ..พ่อแม่ของนูนู ท่านก็เป็นเจ้าของงาน ลงมาช่วยเข็น ดัน ลาก ตลอดเส้นทางเช่นกัน… กว่าจะพ้นแต่ละแก่ง กว่าจะพ้นแต่ละวัน กว่าจะถึงปากคลองห้วยพลูที่จอดแพสุดท้าย ก่อนจะขึ้นบกเลาะห้วยต่อ..ออกแรงไปมากขนาดไหนยากจะบอกได้ แต่สิ่งที่ได้มาคือประสบการณ์ บทเรียนชีวิต ได้รู้ปัญหา ทางแก้ปัญหา การเอาชนะใจตนเอง การครองใจมิตร ที่สำคัญกล้ามเนื้อทั่วร่างเพิ่มความฟิตขึ้นเยอะ.. และรู้ภาวะจิตที่ต้องอยู่กับปัจจุบันเท่านั้นจึงจะมีพลังอย่างแท้จริง.
...ช่วงที่ใช้แรงมากก็ชดเชยด้วยการกินมาก เพื่อสร้างสมดุลพลังงาน งานหนักอีกขั้นคือหามน้องนูนูเลาะห้วยไปนอนตีนเขาห้วยสะบ้า ดีหน่อยเป็นเขตเคลื่อนไหวเรากุมสภาพได้ ปืนผาหน้าไม้กับเป้ยังสามารถเอาไปวางไว้ล่วงหน้าได้ เมื่อวางเป้/ปืนไว้ข้างหน้าแล้ว ก็ต้องรีบเดินมารับเปลี่ยนสหาย-มวลชนที่ล้าแล้ว คนที่ไม่ต้องหามเปล ก็ต้องไปรับเป้/ปืนเอาไปวางไว้ล่วงหน้าถือว่าช่วงเป้ของไปทิ้งไว้ข้างหน้าเป็นการพักบ่าไปในตัว.. ทุกคนจะได้พักทั้งหมดก็ตอนที่เราพักเปลให้คนป่วยได้พักขา.
ปลุกปล้ำกันมาตลอด ทุลักทุเลบ้าง แต่ไม่มีใครเสียขวัญ เพราะมีระบบจัดตั้งช่วย มีจุดหมายที่มุ่งมั่น ช่วยกันเป้ ช่วยกันหาม จนถึงที่พักตีนเขา.. น้องนูนูปวดขามากหน้าซีดความดันตก ต้องฉีดยาแก้ปวดให้เพื่อบรรเทาอาการปวด.. น้องเขาเก่งนะ นอนบนเปลที่เขย่าไปมาตลอดที่เดินเลาะห้วย หลายชั่วโมง อดทนเก่ง..ไม่บ่นอะไรเลย .งวันนี้คนหามสลับสับเปลี่ยนกัน บ่าระบมกันทุกคน สหายหาญ, สหายฤทธิ์, จ๊อดุ๊, จ๊อพะนุ้ย, พ่อนูนู, ข้าพเจ้า… พรุ่งนี้ยากที่สุดคือหามขึ้นเขา.. โชคดีที่ลุงจิตแม้สุขภาพท่านไม่เต็มร้อยแต่งานนี้ท่านยืนหนึ่ง พวกเราจะไปช่วยเป้ผ่อนแรงท่าน ท่านบอกไหว ๆ ๆ ไปช่วยหามมวลชนเถอะ..คืนนี้ทุกคนเหนื่อยแต่ยังมีรอยยิ้มแจกให้กันได้อยู่.
และแล้วก็ถึงช่วงสำคัญ ต้องแบกนูนูขึ้นเขาไปให้ถึงโรงพยาบาลค่าย 3 ปรับทิศทางนิดหน่อยคือคนหามด้านหน้าต้องเตี้ยกว่าคนหามด้านหลัง เวลาขึ้นภูจะได้สมดุล และตอนขึ้นต้องให้คนป่วยเอาศีรษะขึ้นเขา ตอนลงเขาให้เอาทางขาลง กินข้าวเสร็จก็ลุยกันเลย จ๊อโต่วนำทาง พาลุงจิตเดินล่วงหน้าไปค่าย 3 ก่อน เผื่อท่านจะต้องตระเตรียมงานอื่น ๆ ไว้รอ.. พวกเราช้ากว่า ก็จะตามไปติด ๆ สหายหาญ, สหายฤทธิ์ เอาเป้/ปืนไปวางล่วงหน้า จ๊อดุ๊กับข้าพเจ้าแบกชุดแรก พ่อแม่นูนูเดินตามเปล ปิดท้ายด้วยจ๊อพะนุ้ย.. หามคนขึ้นเขาหนักก็จริงแต่น่าจะทรงตัวได้ดีกว่าเดินเลาะห้วย วันนี้ทุกคนหามได้นานขึ้น ไกลขึ้น แสดงว่ากำลังใจมา (ใกล้ถึงค่าย 3 ).. พ่อของนูนูช่วยเราหามหลายช่วง แต่ดูน่าจะแรงน้อยเพราะตัวเล็ก ผอมบาง แต่ใจใช้ได้ อาน้อแม่นูนูผ่อนเบาในการดูแลช่วย“หมอเด็ก”ได้เยอะ ช่วยกันเป้ สลับกันหาม “ความพยายามอยู่ไหน..ความสำเร็จย่อมอยู่ที่นั่น” บ่ายแก่ ๆ ก็มาถึงโรงพยาบาลค่าย 3 สหายพจน์และเด็ก ๆ เยาวชนอนุชนทราบข่าวจากลุงจิต “ออกมาต้อนรับอย่างอบอุ่น..” “อู้ มื้อ กวาพ้าตี้ โพ้ว ซะ” ทักทายอย่างคุ้นเคย นำพาคนป่วยไปที่เตียงที่สหายพจน์จัดให้ ตามที่ลุงจิตท่านให้สภาพไว้ และจัดที่ทางให้ครอบครัวนี้พักผ่อน อยู่ กิน นอน อย่างมีความสุข.. ข้าพเจ้าไปบอกนูนูกับพ่อแม่ว่า คืนนี้ข้าพเจ้ากับหมอพจน์จะมานอนเป็นเพื่อน ตอนนี้ขอไปเก็บของ อาบน้ำ ให้เรียบร้อยก่อน.. พ่อแม่นูนูถามหา “พี่ 3 จ๊อ” ว่าไปไหน.. ข้าพเจ้าบอกไปว่ากลับบ้านแล้ว อยู่ไม่ไกล พรุ่งนี้เช้าจะมาใหม่.. นูนูได้ยิน..ยิ้มอย่างผ่อนคลายและดูมีความสุขขึ้น.. ข้าพเจ้าคิดว่างานรักษานูนูนี้แหละคืองานใหญ่ของปีนี้ ที่ต้องระดมแพทย์พยาบาลทั้งเขตมาช่วยกันแก้ปัญหา ผลสะเทือนทางการเมืองย่อมตามมา.
เช้านี้ท้องฟ้าแจ่มใจ จิตใจเบิกบาน ชีวิตที่มีความหวังย่อมมีพลัง ลุงจิตท่านแจ้งว่าจะพาหมอพินิจ หมอดอนและอีกหลายคนมาตรวจ ประเมิน เสนอแผนการรักษา ขอให้ข้าพเจ้าอยู่และรายงานสภาพ ประมาณ 09.30 น...หมอจากค่าย 2 ที่มากประสบการณ์มาตรวจโดยละเอียดทั้งทีม นำโดยหมอพินิจ หมอดอน มีการเจาะเลือดไปตรวจ แทงดูดเลือดที่บวมเป่งไปตรวจ.. แล้วตั้งวงคุยรายละเอียดการรักษา.. ข้าพเจ้าสังเกตหัวหน้าหน่วยหมอมีความกังวลพอสมควร แต่ก็ต้องพยายามคิด วิเคราะห์ ให้รอบด้านที่สุด.. พ่อแม่นูนูน่ารักมาก กล่าวขอบคุณซี.พี.ที. และสหายและมวลชนไม่ได้ขาดปาก รับฟังความเห็นของหน่วยหมออย่างตั้งใจ ได้สหายเกรียงผู้ชำนาญการเรื่องภาษากะเหรี่ยงระดับสูงช่วยแปลทำความเข้าใจ หน่วยหมอย้ำตอนท้ายว่า อาการคนป่วยเป็นมานานนับครึ่งปี เจ็บปวดทรมานมาก เราจะพยายามช่วยเต็มกำลังความสามารถ ต้องแก้ปัญหาด้วยวิธีการผ่าตัด คือถ้าต่อกระดูกได้ก็ไม่ต้องตัด แต่ก็ต้องตระเตรียมจิตใจ เพราะน้ำเลือดที่คั่งรอบบริเวณที่หักจำนวนมาก คือปัญหาใหญ่ที่ต้องหาทางแก้ไข แต่เราได้เตรียมเลือด น้ำเกลือ ไว้ช่วยในการผ่าตัดแล้ว พวกเราจะพยายามทำให้ดีที่สุด.. ที่ประชุมเงียบไปพัก..อาน้อแม่ของนูนู มีพ่อนูนูเคียงข้างกล่าวตอบด้วยความขอบคุณและตื้นตันใจยิ่ง ที่ทาง ซี.พี.ที.ให้ความช่วยเหลืออย่างดีที่สุด ซึ่งเขาและครอบครัวไม่เคยได้รับจากที่ไหน.. แม้นูนูรักษาหายหรือไปเฝ้าพระผู้เป็นเจ้า ก็นับเป็นพระประสงค์ของพระองค์เป็นผู้กำหนด แค่ลุงจิต หมอใหญ่ (ตะ ระ พ้า ดุ๊) และพี่น้องสหายช่วยเรามากเพียงนี้ เราก็ปลาบปลื้ม ไม่อาจลืมพระคุณได้เลย พูดไปพลางเช็ดน้ำตาไป ด้วยความสะเทือนใจ ลุงจิตและสหายที่นั่งประชุมก็มีความรู้สึกไม่ต่างกัน.
ลุงจิตท่านสรุปว่า เราเปรียบเสมือนเป็นพี่น้องกัน ร่วมชะตาเดียวกัน มีอะไรที่ช่วยกันได้พรรคเรายินดี และจะทำให้ดีที่สุด ขอให้นูนูและครอบครัวไม่ต้องวิตกกังวล ขอให้อยู่ที่นี่ด้วยความสบายใจ ถือว่าที่นี่เป็นบ้านท่านก็แล้วกัน.. ส่วนจะนัดผ่าตัดเมื่อไหร่จะแจ้งให้ทราบก่อนเร็ว ๆ นี้ ตอนนี้ก็พักผ่อนฟื้นฟูสุขภาพคนป่วยให้แข็งแรง พร้อมรับการผ่าตัดต่อไป ..งานนี้สหายเกรียงแปลได้ใจความดีเยี่ยม.. จากนั้นทีมหมอก็ไปลุยเตรียมงาน ลุงจิตก็ไปประชุมต่อ มอบหมายให้สหายไพร ป้าเพียร ดูแลตอนกลาวงวัน กลางคืนให้สหายพจน์ กับ “ตะระ โพ้ว ซะ” มาเฝ้าดูแล.
คืนนี้เดือนมืด ดีที่มีตาลือบ้อ (ขี้ไต้ของกะเหรี่ยง) ช่วยให้แสงสว่าง ก่อนนอนหมอพจน์ชงโอวัลตินให้นูนูดื่ม ข้าพเจ้าแวะมาคุยครู่หนึ่ง ให้ยาแก้ปวด วัดไข้ ความดัน จับชีพจร บันทึกลงสมุดประวัติคนป่วย เป็นข้อมูลสำคัญในการรักษาต่อไป.. คงเพลีย ปวดเมื่อยมาหลายวัน 3 ทุ่มกว่าก็ขอตัวไปนอนที่เปลข้างแคร่ของนูนู และบอกคนป่วยว่าถ้าปวดมากเรียกได้เลยนะ เดี๋ยวจะฉีดยาให้..หลับไปเมื่อไร..ไม่ทราบ.. ความกังวลทำให้ฝัน หรือฝันบอกเหตุ หรืออะไรก็ช่างเถอะ แต่คืนนี้ฝันเอาจริงเอาจังว่า นูนูแต่งตัวภูมิฐาน นุ่งโสร่งสีสดใส สวมรองเท้าคัทชูสีเข้ม พาเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันเป็นเด็กพม่าทั้งหญิงชายมาหา และพาข้าพเจ้าไปกราบเจดีย์ชเวดากองพร้อมกันอย่างมีความสุข ในฝันดีใจที่นูนูเดินได้เป็นปรกติ..ไม่นานก็มีเด็กหนุ่ม-สาว รูปงามรุ่นเดียวกับนูนู สวมโสร่งและผ้าถุงสีแดง 4-5 คนเดินมาหานูนู และจูงแขนนูนู ชวนเข้าไปในเจดีย์ ข้าพเจ้าร้องเรียกว่า อย่าเข้าไป ๆ ๆ ให้มาทางนี้.. แต่นูนูกลับยิ้มและโบกมือให้ แล้วเดินตามเพื่อนชุดแดงไป..ข้าพเจ้าตะโกนสุดเสียง..อย่าไป อย่าไป.
...มาสะดุ้งตื่นเมื่อพ่อของนูนูมาเขย่าเปล ถามว่าร้องเสียงดัง “บะ มี แล ..ตะระโพ้ว” (เป็นอะไรไหม หมอเด็ก) อ้าวฝันไป พ่อ-แม่นูนูตื่นมาเขี่ยตาลือบ้อให้สว่างขึ้น ข้าพเจ้าลุกจากเปลไปนั่งใกล้ ๆ แคร่คนป่วย และให้ยาแก้ปวดชนิดเม็ดตามเวลา นูนูนึกยังไงไม่ทราบถามข้าพเจ้าว่า “ตะ ระ โพ้ว...ช้า กวา” (หมอเด็ก ผ่าตัดเจ็บไหม)”.. “ช้า บะ”..ไม่เจ็บ.. และใช้ภาษาท่าทางประกอบคำอธิบายว่ามียาชา และยาสลบช่วย ไม่รู้สึกเจ็บเลย.. นูนูจุดยาเส้นมวนโตสูบอย่างสบายใจ..ยังถามข้าพเจ้าต่ออีกว่า “ยา ก ฮ่ะ เก บะ เด อ้า” (แล้วผม...จะได้กลับมาไหม)”...ข้าพเจ้าเสียวหัวใจวาบ ..แต่ก็ตอบไปว่า “นา ฮะ เก บะ เย่อ“ (คุณต้องได้กลับมาสิ) แถมส่งภาษาใบ้ต่อ..เพราะที่นี่คือบ้านของนูนู นูนูรวมถึงพ่อแม่ที่นั่งฟังอยู่ใกล้หัวเราะชอบใจกับท่าทางที่สื่อสารแทนภาษา.
นูนูยื่นบุหรี่มวนโตที่สูบอยู่ให้ข้าพเจ้าสูบ.. ข้าพเจ้ารับไว้ด้วยไมตรี.. ไม่เคยสูบมานานแล้ว น้องเขายื่นมิตรภาพให้ก็ต้องฉลองศรัทธา ..ข้าพเจ้ารับมาสูดเข้าไปเต็มแรง แต่มันฉุนมากจนข้าพเจ้าทั้งไอ ทั้งจาม น้ำหูน้ำตาไหล..ทำให้นูนู พ่อและแม่ของนูนู ทั้งหมดหัวเราะ ชอบใจ ขบขันในท่าทางของข้าพเจ้า หลังสูบยาฉุนของนูนูเข้าไป.. ข้าพเจ้าดีใจที่ทำให้นูนูและครอบครัวมีรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข ในตอนนี้ ..ซึ่งอนาคตข้างหน้านั้นจะเป็นอย่างไร ? ก็ต้องรับกับสิ่งนั้นให้ได้..โชคดีนะ..นูนู..และครอบครัวที่น่ารัก…

 

 

โปรดติดตามและมีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท.  โปรดคลิ๊ก  

whitebanner