บันทึกความทรงจำจากการต่อสู้ร่วมกับ พคท. ที่ส่งเข้าประกวดชิงรางวัล “หนึ่งธันวา“ เรื่องที่ ๑๑   ประทับใจไม่ลืมเลือน: ประสบการณ์ครั้งแรกในเขตป่า
เรื่องโดย “อุมา”


ช่วงนั้นเป็นช่วงที่อินทรีผงาด กางปีกครอบคลุมม่านฟ้าเมืองไทย ประเทศชาติถูกชนชั้นปกครองที่เผด็จการฟาสซิสต์ยึดครองอำนาจ ประชาชนที่มีความเห็นต่อรัฐบาลจะถูกเข่นฆ่า ถูกจับคุมขัง นั่นคือประเทศไม่มีเอกราช ประชาชนไม่มีประชาธิปไตย
วันหนึ่งหลังจากหมดหน้าที่รับใช้ประชาชนในเมืองแล้ว คุณสอนมาบอกข้าพเจ้าว่า “ประธานฯจะเข้าป่า” ข้าพเจ้าในฐานะที่เป็นเยาวชนที่รักชาติรักประชาธิปไตยคนหนึ่ง ได้ถามคุณสอนว่า “เหฯไปด้วยได้ไหมคะ” คุณสอนตอบว่า “แล้วแต่เหฯนะฮะ”
เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ของเราทั้งสองฝ่ายสบายใจ ก่อนออกเดินทางคุณสอนได้พาข้าพเจ้าไปจดทะเบียนสมรส ณที่ว่าการอำเภอพระโขนง ซึ่งตรงกับวันที่ 11 ตุลาคม วันที่ลูกแม่โดมหญิงชายยกขบวนไปที่สภาผู้แทนราษฎรเพื่อเรียกร้องสถานศึกษาคืนจากฝ่ายทหารเมื่อปีพ.ศ. 2494 และได้รับชัยชนะ พวกเราได้คืนสู่เหย้าในวันที่ 5 พฤศจิกายนปีเดียวกัน
จากการไปจดทะเบียนครั้งนี้ข้าพเจ้าจึงได้ทราบว่า คุณสอนเกิดวันที่ 5 เมษายน 2476 คือเกิดก่อนข้าพเจ้าห้าเดือนเพราะข้าพเจ้าเกิดวันที่ 28 กันยายนปีเดียวกัน
เราจดทะเบียนสมรสก็ไม่ได้บอกคุณพ่อคุณแม่ของทั้งสองฝ่าย จนถึงวันลาจาก!!!
เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2508 คุณสอนและข้าพเจ้าออกเดินทางจากบ้านเกิดสู่อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร ก่อนออกเดินทางผู้นำคนหนึ่งได้ไปส่งเราที่ท่ารถกรุงเทพฯ พร้อมทั้งกล่าวว่า “ถ้าไม่ตายเราคงได้พบกันอีก!” ตอนเราทั้งสองลงจากรถ คุณหมอผู้มารับได้ส่งซิกแนลถามกัน เมื่อได้รับคำตอบตรงกันแล้ว ก็แนะนำให้ข้าพเจ้าไปรับประทานอาหารกลางวันก่อน ประมาณ 12:00 น. ก็ออกเดินทางทันที ผ่านบ้านเรือนเรือกสวนไร่นาของชาวบ้านมาระยะหนึ่ง จนกระทั่งถึงเวลาบ่ายแก่ๆ คุณหมอก็บอกว่า “จะเข้าดงพระเจ้าแล้วครับ”
พวกเราเปลี่ยนเครื่องแต่งกายให้รัดกุม แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาเดิน เดิน เดิน!...เดินไปก็ให้คิดสงสัย นี่หรือที่เขาเรียกว่า “ดง” เพียงบ่ายแก่ๆ เท่านั้น นอกดงพระอาทิตย์ยังชักรถสาดแสงเจิดจ้า แต่ในดงมืดครึ้มหนาแน่นไปด้วยต้นไม้ มองไปข้างหน้าก็ต้นไม้ หันไปข้างซ้ายก็ต้นไม้ หันไปข้างขวาก็ต้นไม้ กลับหลังหันก็ต้นไม้ แหงนหน้าขึ้นมองฟ้า ก็พบแต่กิ่งไม้ใบไม้ประสานกันบดบังแสง เว้นแต่ช่วงที่มีลมพัดแรง กิ่งไม้ลู่ลม จึงจะเห็นแสงแดดลงมา ครั้นมองไปที่พื้นดินก็มองเห็นแต่ใบไม้ทับถมกันจนมองดูเป็นทะเลใบไม้ ยังดีอยู่หน่อยที่ได้ยินเสียงวิหคนกกาส่งเสียงร้องเพลงเจื้อยแจ้ว มีผีเสื้อบินว่อนเป็นครั้งคราว
พวกเราเดินจนค่ำ ต้องใช้ไฟฉายช่วย กระนั้นคุณหมอก็ยังไม่ทันใจ เกรงจะไปถึงที่พักดึกเกินไป ตัดสินใจจูงมือข้าพเจ้าเดิน พวกเราได้ไปรับประทานอาหารเย็นที่เถียงนาของแม่คนหนึ่ง “ข้าวเหนียวจ้ำปลาแดก ติดตามด้วยกล้วยน้ำว้าสุก” อาหารมิตรภาพมื้อแรก ขอบพระคุณแม่คนนั้น แล้วก็รีบเดินทางต่อ เดินไปก็ได้ยินเสียงหรีดหริ่งเรไรกรีดเสียงต้อนรับ สัตว์หากินกลางคืนบินกันพึ่บพั่บ สัตว์ป่าส่งเสียงร้องเป็นระยะๆ เกือบถึง 21:00 น. พวกเราก็เดินทางถึงเลาขี้เหล็ก ซึ่งอยู่ในบริเวณดงพระเจ้า ที่นี่เป็นที่พักคืนแรกของคุณสอนและข้าพเจ้า ที่พักแห่งนี้เป็นทับทหารใหญ่ และที่พักแห่งนี้พวกเราก็ได้พบเพื่อนร่วมวิชาชีพอีกหลายท่าน
สรุปวันนั้นทั้งวันทั้งคืน ข้าพเจ้าไม่ได้มีอารมณ์สุนทรีย์ในการเดินทางแรกแม้แต่นิดเลย! แต่เมื่ออยู่ช่วงหนึ่งแล้ว ก็ได้เห็นถึงความบริสุทธิ์ คงไว้ซึ่งความเป็นธรรมชาติของป่า เป็นที่อาศัยของสัตว์ป่านานาชนิด และมวลหมู่ไม้นานาพันธุ์ ให้ความรื่นรมย์ยิ่งนัก
แต่ที่เหนือสิ่งอื่นใด ก็คือ ดงพระเจ้ามีตำนานการต่อสู้ทางการเมืองมาเป็นเวลาหนึ่งชั่วอายุคนทีเดียว นับตั้งแต่สมัยเสรีไทยเป็นต้นมา
เนื้อที่ป่าของดงพระเจ้ามีบริเวณกว้างถึง 70 ตารางกิโลเมตรครอบคลุมบริเวณพื้นที่ด้านใต้ ของอำเภอสว่างแดนดิน และพื้นที่ด้านเหนือของอำเภอส่องดาว จังหวัดสกลนคร หมู่บ้านที่รายล้อมดงพระเจ้ามีมากกว่า 40 หมู่บ้าน
ที่ทับทหารแห่งนี้ใช้ชื่อว่า “พลพรรคครองชัย” เพื่อระลึกถึง คุณครอง จันดาวงศ์ วีรชนผู้ยิ่งใหญ่ (จากหนังสือวาระสุดท้ายของชีวิต จิตร ภูมิศักดิ์ ของแคน สาริกา)
ที่ทับแห่งนี้มิตรสหายได้ให้การต้อนรับคุณสอนและข้าพเจ้า (ชื่อเหม) เป็นอย่างดียิ่ง ที่นี่ไม่ใช้คำว่าสหาย เรียกกันว่าพ่อ แม่ พี่ น้อง คุณสอนเตือนข้าพเจ้าว่า “เหฯต้องรักทุกคนที่นี่ ไม่ใช่รักแต่น้องชายคนที่เป็นหมอ ที่เขาชอบเรา ก็คงเป็นเพราะเป็นปัญญาชนด้วยกัน” (น้องชายคนนี้เรียนจบชั้นมัธยมที่ลาว แล้วมาเรียนหมอในป่า และเป็นหมอประจำกองทหาร)
อยู่ที่นี่คุณสอนทำหน้าที่อยู่เวรยาม และช่วยงานอื่นๆ ครั้งหนึ่งไปช่วยงานดับไฟป่าจนเป็นลม ส่วนข้าพเจ้าก็มีหน้าที่สอนหนังสือทหารและผู้ปฏิบัติงาน นอกจากนี้เราทั้งสองต้องศึกษาการเมืองและฝึกทหารด้วย หนังสือเรียนก็ไม่มี ต้องแต่งเองให้สอดคล้องกับสภาพของนักปฏิวัติ คุณสอนก็ช่วยแนะและท้วงติงข้อบกพร่อง ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าต้องการหาทำเลที่สงบเพื่อแต่งหนังสือ บังเอิญเดินไปนั่งนอกบริเวณที่ยามรักษาการณ์อยู่ คุณปรีชา(จิตร ภูมิศักดิ์) ที่ทำหน้าที่รักษาการณ์อยู่ในขณะนั้นเห็นเข้า ส่งเสียงดุข้าพเจ้า “แล้วกันคุณเหมออกมาทำไม? เลยที่ยามรักษาอยู่แล้วนะ” ข้าพเจ้าอายที่ถูกดุ เลยพาลโกรธคุณปรีชา “หนอย วันก่อนยังชมว่าเราชื่อเพราะวันนี้ดุเสียแล้ว”
พวกเราผู้ร่วมวิชาชีพเดียวกันยังอยู่รวมกันถึงวันที่ 26 พฤศจิกายน
วันนั้นเริ่มเข้าฤดูหนาว หลังจากที่รับประทานอาหารเช้าร่วมกันแล้ว พวกเราต่างไปปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายจากฝ่ายนำ พลันได้ยินเสียงปืนขึ้นชุดหนึ่ง ! ต่อมาก็ได้ยินอีกชุดหนึ่ง! พร้อมทั้งเสียงปืนเล็กยาวแทรกมาประปราย! จากนั้นก็เงียบ
ผู้บัญชาการสั่ง “เตรียมพร้อม” และก็สั่งต่อมาว่าทุกคนเข้าประจำที่ ทุกคนวิ่งไปที่หลุมคลองที่ได้ขุดเตรียมไว้ เตรียมอาวุธสู้รบ ทหารเตรียมหน่วยสกัดหน้าสกัดหลัง ทุกคนรอเวลาต้านการล้อมปราบในวันนั้น ความเงียบปกคลุมทั่วไป เงียบ! เงียบ! เงียบ! จนได้ยินลมหายใจของตนเอง
ประมาณ 11:00 น. ทหารหน่วยลาดตระเวนของกองกำลังอาวุธประชาชนก็กลับมา พวกเขารายงานว่า ได้เกิดปะทะกับหน่วยลาดตระเวนของรัฐบาลปฏิกิริยาที่กอกล้วยใกล้ๆ กับทับทหารของเรา ฝ่ายทหารประชาชนปลอดภัย ในเวลาต่อมาได้ข่าวว่าหัวหน้าหน่วยลาดตระเวนของรัฐบาลปฏิกิริยาบาดเจ็บชื่อร้อยตำรวจเอกเสรี (ต่อมาได้รับการยกย่องเป็นวีรบุรุษนาแก และเลื่อนยศเปลี่ยนชื่อเป็น พลตำรวจเอกเสรีพิสุทธิ์ เตมียเวช)
(แตกเสียงปืนครั้งแรกจากการต่อสู้ด้วยอาวุธของประชาชนเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2508 สหายเสถียรเสียสละ)
ฝ่ายทหารและฝ่ายนำ มีมติให้เคลื่อนทับต่างๆ ขึ้นภูพานเวลา 12.00 น. ทับต่างๆ ได้มารวมกันที่ทับทหาร แล้วเริ่มเดินทางไกลเป็นครั้งแรกเมื่อเวลา 13:00 น. ข้างหน้าเป็นหน่วยระวังหน้า ตรงกลางเป็นหน่วยบัญชาการ ข้างหลังมีหน่วยระวังหลัง ทหารมีความคึกคักยิ่งนัก ตัวผู้บัญชาการก็วิ่งไปวิ่งมาเพื่อดูสภาพ คุณสอนทำหน้าที่สื่อสาร
เนื่องจากเป็นคืนเดือนมืด ขบวนของเราจึงเคลื่อนไหวช้ามาก เพราะต้องเดินรอกันและติดตามเมื่อมีคนหลงทาง กว่าจะโผล่ออกจากดงก็เป็นเวลาเที่ยงคืน เดินไปไม่นานก็ถึงท้องทุ่งและโคก มีทหารบ้านเอาข้าวปลาอาหารมารอรับขบวน พวกเราซึ้งในน้ำใจของพวกเขาอย่างยิ่ง
ผ่านท้องทุ่งไปไม่ไกลนักก็ข้ามภูผาเหล็ก ภูก่อ ภูผาลมไปพักพลที่บ้านผาสุก (ผาหัก) เมื่อเวลาตีสี่ของวันรุ่งขึ้น
ภูผาเหล็ก จะมีก้อนหินที่มีสีเหล็กอยู่ทั่วไป นั่นคือมีแร่เหล็กผสมอยู่ในก้อนหิน
ภูผาก่อมีต้นหมากก่อขึ้นอยู่เป็นจำนวนมาก
ภูผาลม มีชะง่อนหินไม่กว้างนัก มิหนำซ้ำยังมีก้อนหินใหญ่ขวางทางอยู่ ทุกคนต้องเดินเรียงเดี่ยว บนสันภูแห่งนี้จะมีลมพัดแรงส่งเสียงหวิวหวูอยู่ตลอดเวลาชั่วนาตาปี ให้ความสดชื่นและผ่อนคลายความเหน็ดเหนื่อยแก่ผู้ที่ผ่านมา มองจากช่องหินลงไปเบื้องล่าง จะเห็นหุบเขา ตาดภูวง และเมื่อทอดสายตาไกลออกไปเบื้องหน้า ก็จะเห็นทัศนียภาพอันสวยงามของเทือกเขาภูพานด้านตะวันตก ที่ทอดตัวยาวดุจปราการอันแข็งแกร่งโอบล้อมบ้านตาดภูวง อำเภอวาริชภูมิ ทุกคนที่เดินผ่านชะง่อนหินนี้มีความรู้สึกสดชื่น คลายความเมื่อยล้าจากการเดินทางอันยาวนาน
จากหนังสือ “วาระสุดท้ายของชีวิตจิตร ภูมิศักดิ์ ของแคนสาริกา” กล่าวว่า “...ใต้ชะง่อนหินต่ำลงเป็นพักล่าง มองเห็นลานหินโล่ง ตรงข้ามหินด้านหนึ่งเป็นหน้าผา....”
คุณแคนยังกล่าวว่า.... “เสียงหวีดวิวอันเกิดจากแรงกรรโชก คงมีสาเหตุมาจากภูผาลมและภูอื่นๆโอบล้อมบ้านตาดภูวง คล้ายกำแพงภูผา พอดีมีช่องที่ลมจะพัดผ่านไปได้อยู่ตรงหัวภูผาลมกับภูอีกลูกหนึ่งลมจึงผ่านช่องแคบนี้เป็นประจำ จนชาวบ้านมักเรียกอีกอย่างว่า ภูลม”
สถานที่แห่งนี้เองที่คุณปรีชา (จิตร ภูมิศักดิ์) นักคิด นักเขียน นักปฏิวัติผู้ยิ่งใหญ่ได้ประพันธ์เพลงที่เป็นอมตะขึ้น โดยเก็บภาพและเสียงธรรมชาติร้อยกรองเป็นคีตกวีอันทรงพลังและมีความไพเราะยิ่งนัก คุณปรีชา (จิตร ภูมิศักดิ์)ได้ถ่ายทอดความรู้สึกขณะที่ยืนอยู่บนภูผาลมให้ข้าพเจ้าฟังว่า “ผมจินตนาการว่าภูพานช่างเป็นที่พักพิงของประชาชนเสียนี่กระไร” ข้าพเจ้าฟังคุณปรีชาพูดคำนี้ให้ฟัง ข้าพเจ้าน้ำตาซึม เป็นเช่นคุณปรีชาพูดจริงๆ
ชีวิตจิตใจของคุณปรีชามีแต่ประเทศชาติและประชาชน ข้าพเจ้าขอปฏิบัติตามด้วยจิตคารวะ!!!
ขึ้นภูพานมาแล้วเราได้ไปพักที่ภูหินตั้งระยะหนึ่ง ที่ภูหินตั้งแห่งนี้มีก้อนหินสูงใหญ่ตั้งอยู่บนชะง่อนผาสูง เสมือนยกเอาเขาตะปูในทะเลจังหวัดพังงาไปตั้งบนเป้ยตาดีซึ่งตั้งอยู่ที่เขาพระวิหาร ประเทศกัมพูชา เพียงแต่ก้อนหินมีขนาดเล็กและเตี้ยกว่าเขาตะปู และชะง่อนผาก็แคบกว่าเป้ยตาดี แต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือ ถ้าแกล้งตกลงมาตายแน่!
ที่ภูหินตั้งไม่มีต้นไม้ใหญ่พอที่จะให้ร่มเงาแก่ผู้พักอาศัย นอกจากจะลงมาอยู่ในบริเวณที่ต่ำกว่าแต่ก็มีแมกไม้นานาพันธุ์เกลื่อนตา ผีเสื้อบินร่อนลงสัมผัสเกสรดอกไม้อย่างแผ่วเบา นกน้อยบินเรียงเคียงคู่ มาเป็นหมู่ดูงามตา ทุกสิ่งทุกอย่างสดชื่นรื่นรมย์สมอุรายิ่งนัก
และที่ภูหินตั้งแห่งนี้พวกเราได้ฉลองวันพรรคฯ วันที่ 1 ธันวาคมปี พ.ศ. 2508 และได้ร่วมกันร้องเพลงที่ประพันธ์โดยคุณปรีชาคือเพลงวีรชนปฏิวัติ พลพรรคครองชัย (ซึ่งต่อมาคุณจำรัส หรือเปลื้อง วรรณศรี ได้เปลี่ยนชื่อเป็นกองทัพปลดแอกประชาชนไทย) เลือดต้องล้างด้วยเลือด และภูพานปฏิวัติ
ปลายเดือนธันวาคม พ.ศ. 2508 คุณสอนและข้าพเจ้าต้องเดินทางต่อไปเพื่อไปปฏิบัติภาระหน้าที่อย่างอื่น พวกเราได้ออกเดินทางจากภูหินตั้งจังหวัดสกลนครไปอีกจังหวัดหนึ่ง ซึ่งถ้านั่งรถก็จะใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมง แต่ถ้าเดินก็ใช้เวลาถึงเจ็ดคืน แต่เราพลาดโอกาสที่จะนั่งรถ จึงต้องเดินไป เดินทางกลางคืนเย็นสบายและเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง
พวกเราเริ่มเดินทาง ผ่านป่าเขาลำเนาไพรตามทางที่คดเคี้ยวผ่านห้วยละหานธารธารามาจนถึงดงเชิงภู ต่อจากนั้นก็เดินผ่านดง ผ่านเลา ลัดทุ่งนาป่าละเมาะไปเรื่อยๆ อาศัยเดือนหงายจันทร์ฉายแสงเต็มฟ้าช่วยให้การเดินทางสะดวกขึ้น ข้าพเจ้าก็ค่อยชินกับการเดินทางไกลด้วยมอเตอร์เท้ามากขึ้น เดินผ่านท้องนาในเวลากลางคืนก็สนุกดี ภาคอีสานมีคันนาถี่มากและสูงกว่าคันนาภาคอื่นๆ เพราะเป็นภาคที่แห้งแล้งต้องเก็บกักน้ำไว้ใช้ พอเดินใกล้จะถึงคันนาข้าพเจ้าก็รีบกระโดดขึ้นพอจะลงจากคันนาก็รีบกระโดดลง พยายามหาวิธีทำใจให้สนุกกับการเดินทางจะได้ไม่เหน็ดเหนื่อยและเบื่อหน่าย
คุณสอนบอกกับข้าพเจ้าในภายหลังว่า “ประธานฯ(ประธานนักศึกษา)เห็นเหฯ (เหรัญญิก) เดินตามพวกเขาต้อยๆ นึกสงสารเหฯ ไม่เคยยากลำบาก”
ข้าพเจ้ายิ้มนึกตอบในใจว่า “ประธานฯน่าจะชมตัวเองนะคะ ที่อบรมบ่มเพาะเหฯมาร่วม 10 ปี จนเหฯเกือบจะติดดินนะคะ เหฯควรจะขอบคุณประธานฯ มากกว่าค่ะ”
คืนวันหนึ่งพวกเราเดินผ่านป่าแห่งหนึ่ง ผ่านแมกไม้นานาพันธุ์ท่ามกลางสัตว์ป่าร้องเป็นครั้งคราว สัตว์ที่หากินกลางคืนตกใจฝีเท้าคน บินหนีกันพึ่บพั่บ ข้าพเจ้าได้เห็นรถของพนักงานป่าไม้ออกตรวจป่า ก็นึกชมเชยที่พวกเขาเสียสละความสุขสบายเพื่อสงวนป่า และนึกขอให้พวกเขาจับนายทุนใหญ่ที่ตัดไม้ทำลายป่าได้เถิด! ไม่ใช่มาจับประชาชนที่อาศัยป่าหากินซึ่งหาแต่เช้ายันค่ำก็ยังไม่มีจะกินเลย!!!
พอถึงแม่โขงก็ลงเรือข้ามฝั่งที่บึงกาฬ ตลิ่งชันมากต้องถอยหลังลงจากฝั่งเพื่อไปลงเรือ แล้วเดินทางด้วยเท้า ไปเวียดนาม โดยใช้เวลาเดินทาง 12 วัน
ในเขตขาวคือเขตที่ยังไม่ได้ปลดปล่อยของลาว พวกเราสามารถร้องเพลงชมป่าเขาลำเนาไพรกันอย่างสบายใจ แต่ก็ยังมีบางแห่งที่เดินยาก เช่นที่ภูหลวงต้องเดินลัดเลาะข้างเขาซึ่งมีทางแคบนิดเดียว ต้องตะแคงเท้าเดิน ถ้าพลาดก็ตกเหวตาย ทหารเวียดนามต้องจูงข้าพเจ้า จิตใจสากลนิยมของท่าน ข้าพเจ้าจะไม่ลืมเลยจะปฏิบัติตามด้วยจิตคารวะ!
วันที่ข้ามภูหลวงต้องออกเดินทางแต่เช้า ต้องลงจากภูให้ถึงที่ราบเวลาเย็น ในเขตป่าเขามีปลาชุกชุม ปลาไหลตัวโตเท่างูหลามขนาดกลาง ในเขตปลดปล่อยของลาว พวกเราต้องระมัดระวังตัวมาก เพราะจะมีกองหลอนของฝ่ายตรงข้ามดักยิง และมีเครื่องบินของฝ่ายตรงกันข้ามยิงกราดหรือทิ้งระเบิด ในเขตปลดปล่อยของลาวพวกเราได้เดินผ่านเรือกสวนไร่นาของประชาชน สรุปแล้วก็คือผ่านลาวเวียดนาม ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี กว่าจะออกจากลาว พวกเราก็ร้องเพลง “โอ้ดอกจำปา” เต้ยของลาว และเพลง “ปลดปล่อยเวียดนามภาคใต้” ได้
จากชายแดนลาวไปเวียดนาม ก็ได้รับการต้อนรับจากทหาร ผู้ปฏิบัติงานเป็นอย่างดี และอบอุ่นยิ่งโดยเฉพาะผู้ปฏิบัติงานที่เป็นเวียดเกียว พวกเขาเคยอยู่ประเทศไทยพูดภาษาไทยได้ชัดเจนกว่าอ้ายน้องลาว คราวนี้พวกเราไม่ต้องเดินแล้ว ได้นั่งรถจี๊ปทหารแทน
ครั้งหนึ่งพวกเราต้องเดินทางกลางคืน ผ่านเมืองเหงะ อาน บ้านเกิดของประธานโฮจิมินห์ผู้นำเวียดนามสมัยนั้น ขณะกำลังจะข้ามแพขนานยนต์ เครื่องบินอเมริกันมาโจมตี เสียงบึงบึ้งบีบีมาแต่ไกล ทหารเวียดรีบถอยรถออกมาจากแพอย่างเร็วที่สุด เห็นเครื่องบินลำที่ทำหน้าที่ทิ้งพลุสว่างราวกับกลางวัน รถพวกเราแล่นไปไกลแล้วลำที่ทำหน้าที่ทิ้งระเบิดก็ยังมาไม่ถึง!
อีกครั้งหนึ่งที่พวกเราไปพักที่นครฮานอย เครื่องบินอเมริกันมาทิ้งระเบิดเวลากลางวัน พวกเราต้องลงหลุมหลบภัย ทหารพิทักษ์เวียดนามกลับไปรักษาการณ์บนหลังคาหลุมหลบภัยเพื่อคอยสังเกตการณ์ ถ้าเห็นไม่ชอบมาพากลก็จะได้พาไปหลุมที่อื่น นี่คือจิตใจสากลนิยมของอ้ายน้องเวียดซึ่งข้าพเจ้าขอแสดงคารวะและปฏิบัติตาม!
จากนครฮานอยพวกเราขึ้นเครื่องบินไปนครปักกิ่ง ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่ซึ่งคุณสอนและข้าพเจ้าจะไปเป็นผู้ปฏิบัติงานขององค์การแนวร่วมรักชาติแห่งประเทศไทย (นรท.)

 

สนใจสมัครสมาชิกผู้มีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท.  โปรดคลิ๊ก  

 

 

whitebanner