สามวันที่ถูกปล้น…..อิสรภาพ
เรื่องสั้น โดย ละไม หวานนราฯ

 


ฉันยังคงมุดตัวอยู่ใต้เบาะที่นั่งรถเมล์ คันที่พวกเราถูกต้อนขึ้นรถมาจากท่าช้าง ในวันที่ 6 ตุลา

 


รถเมล์คนนี้เคลื่อนตัวอย่างช้า ๆ เพื่อเปิดโอกาสให้พวกยืนเป็นแถวยาวข้างถนนบริเวณท่าช้าง ขว้างปาก้อนอิฐ ก้อนหิน ท่อนไม้ เข้ามาทางหน้าต่างทำให้คนในรถ ได้รับบาดเจ็บ เมื่อผ่านพ้นกลุ่มคนพวกนี้มาแล้ว สารถีเริ่มเหยียบคันเร่งพร้อมกับหักพวงมาลัยรถไปทางซ้ายที ขวาที อย่างเมามันมาตลอดทางไม่แม้แต่จะชะลอความเร็ว ทำให้พวกเราในรถที่ถูกคุมตัวมากันเต็มคันเซถลากันไปมา จนร่ำ ๆ ว่ารถจะคว่ำเทกระจาดก่อนถึงจุดหมาย

 


ยังไม่ทันหายจากอาการซวนเซและอกสั่นขวัญแขวน กับวิธีการขับรถแบบเหยียบมิดท้ามฤตยู รู้ตัวอีกทีก็เข้าไปอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมที่ล้อมด้วยลูกกรงเหล็ก ทั้ง 4 ด้าน แต่ละซี่ลูกกรงเป็นเหล็กสีดำมะเมื่อมเส้นขนาดใหญ่กว่าลำนิ้วมือของฉัน มีความยาวตั้งแต่พื้นจรดเพดาน ทำให้โปร่งมองเห็นภายในได้ทั้งสี่ด้าน

 


“ถูกเอามาขังคุกนี่หว่า ! ที่นี่ที่ไหน”
เมื่อถามผู้ร่วมชะตากรรมที่มาถึงก่อน จึงได้รู้ว่า สถานที่นี้คือโรงเรียนพลตำรวจบางเขน

ห้องขังขนาดใหญ่พอที่จะจุคนได้ซัก 40 -50 คน ไม่พอจุปริมาณคนที่ถูกจับนับร้อย ในห้องขังเบียดกันแออัดมาก แม้จะแยกชายหญิง ภายหลังเลยไม่มีการปิดประตูห้องขัง ปล่อยให้ออกมาข้างนอกได้ และแบ่งผู้ถูกจับกุมที่เป็นผู้หญิงไปใช้โรงยิมเป็นที่กุมขังอีกส่วนหนึ่ง จากข้อมูลจำนวนผู้หญิงที่ถูกจับกุมรวม 662 คน

 


ฉันเดินออกมานอกห้องขัง ได้เห็นห้องขังหนึ่ง อยู่อีกด้านของอาคารผู้ที่ถูกขังทุกคนนั่งรวมกันแน่นนั่งหันหน้าออกมาทางด้านหน้าห้องขัง จำนวน ประมาณ 30 คน น่าจะเป็นผู้เข้าเมืองผิดกฎหมาย ถูกสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) จับมาขังรอการส่งตัวกลับ ดูจากสภาพแล้วคาดว่าคงติดอยู่ในนี้มานาน ทั้งหมดเป็นชายชาวเอเซีย แต่ละคนสภาพร่างกายผ่ายผอม ผิวขาวอมเหลืองซีดเซียว เพราะไม่ได้รับแสงแดดมานาน ดูอ่อนล้า ผมยาว ดวงตาที่ลึกโหลเบิกโพลงโพรงทุกคู่ กำลังจ้องมองออกมานอกลูกกรง มองดูพวกเราที่เดินอยู่ด้านนอกอย่างสับสนอยู่ในใจ

 


พวกเราเวลานี้ไม่ต่างกับพวกเขา ที่ไร้อิสรภาพเหมือนกัน

 


3 วัน ระหว่างที่อยู่ในคุกไม่มีการอาบน้ำและแม้แต่การแปรงฟัน ทำให้ทุกคนไม่อยากพูดกันเพราะพูดแต่ละทีจะมีกลิ่นอันไม่พึงประสงค์โชยออกมาให้รู้สึกถึงความเหม็นสุด ๆ ปริมาณน้ำดื่มน้อยมาก ๆ อาหารเป็นข้าวในกล่องโฟม น่าจะเอามาจากมูลนิธิใดสักแห่งหนึ่ง ซึ่งไม่ว่าอาหารอะไรฉันก็กินไม่ลง

 


เวลาจะถ่ายหนัก ถ่ายเบามีห้องข้าง ๆเปิดโล่งมีหัวส้วมซึมอยู่หนึ่งอัน มีเพียงแผ่นกระดานไม้แบบเดียวกับป้ายหาเสียงการเลือกตั้ง สามสี่แผ่นวางนอนล้อมไว้เวลาเข้าไปทำธุระนั่งลงก็จะไม่เห็นหัว มีบางครั้งแผ่นกระดานที่ไม่ได้มีการ ยึดไว้ล้มลงเสียงดังครืน ฉันสะดุ้งสุดตัวเพราะเสียงดังจากการบุกธรรมศาสตร์ยังไม่ยังหายไป และแม้แต่เสียงเครื่องบิน บินผ่านก็ยังตกใจขวัญผวาอยู่บ่อย ๆ

 


ทุกคนต้องถูกเรียกตัวไปสอบสวนทีละคน ห้องสอบสวนเป็นห้องแคบ ๆ ตั้งโต๊ะเล็กได้ 1 ตัว กับเก้าอี้ 2 ตัว ตั้งหันหน้าเข้าหากันอยู่คนละด้านของโต๊ะ เห็นนายตำรวจใหญ่ น่าจะใหญ่จริงเพราะที่บ่ามีมงกุฎครอบดาว 2 ดวง นั่งอยู่ที่โต๊ะ รูปร่างสูงใหญ่ ที่มือขวาคีบบุหรี่ที่จุดแล้ว คำถามแรกคือ “เข้าไปทำอะไรที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในวันที่ 6 ตุลา” คำถามนี้จะเป็นคำถามแรกใช้ถามมาหมดทุกคน

 


ก็คงเป็นคำตอบที่ถูกตอบซ้ำมาก่อนหน้านี้หลายคนเช่นกัน เขารับฟังด้วยใบหน้าบึ้งตึง พร้อมกับพ่นควันบุหรี่ใส่หน้าฉันอย่างแรง จากนั้นมีคำถามอื่น ๆ อีกหลายคำถาม ถามแล้วกลับมาถามซ้ำ วกวนไปมาเหมือนจะให้งง แต่ฉันก็ยืนยันคำตอบเดิม ๆ ไม่ว่าจะถามกี่รอบ และพูดให้น้อยที่สุด ควันบุหรี่ของผู้นั่งตรงข้าม ตั้งใจพ่นมาใส่หน้าหลายครั้ง ตลอดเวลาที่เรานั่งเผชิญหน้ากัน

 


กระดาษที่ยื่นมาให้อ่านและลงชื่อ เป็นข้อกล่าวว่ากระทำความผิด ฉันเขียนปฏิเสธทุกข้อ ทุกคนจะได้ 5-6 ข้อหา ซึ่งทั้งหมดจำได้เพียงข้อเดียวคือ ”มีการกระทำอันเป็นคอมมิวมิสนิสต์” เป็นข้อกล่าวหาที่รุนแรง

 


เริ่มมีคนทยอยออกไปจากที่คุมกุมขัง เพราะทางการเริ่มให้ประกันตัวได้ มีเอกสารให้แต่ละคนกรอกเพื่อติดต่อญาติ

 


วันที่มีคำสั่งปล่อยตัว ฉันเดินเท้าเปล่าออกมาพร้อมกับเสื้อกางเกงชุดเดิมที่ใส่ติดต่อกันมา 4 วัน กระเป๋า สิ่งของรวมทั้งเงินจำนวนน้อยนิด ถูกยึดไปตั้งแต่ถูกกักตัวอยู่ริมกำแพงวัดมหาธาตุ

 


จากอาคารที่คุมขังก่อนจะถึงประตูรั้วสู่อิสรภาพด้านหน้า มีทางเดินราดซีเมนต์ทอดยาวไปสู่ประตูรั้ว ระยะประมาณ 30 เมตรเป็นทางเดียวเท่านั้นที่ทุกคนต้องเดินผ่านออกประตูนี้ ฝูงชนกลุ่มใหญ่น่าจะประมาณ 30 - 40 คน ยืนออกันอยู่ปากทางออกตรงประตูรั้ว

 


ความวิตกกังวลเริ่มก่อตัวขึ้น
ไม่คิดว่าพวกที่รุมสกรัมจะตามมารอดักตอนขาออกอีก คิดหาทางที่จะฝ่าด่านคนกลุ่มนี้เป็นได้อย่างไร นึกถึงการถูกรุมประชาทัณฑ์ ขว้างปาก้อนอิฐ. ท่อนไม้ และคำด่าทอ เมื่อ 4 วันก่อนยังหลอนใจอยู่ไม่หาย ขาทั้งสองย่างออกไป ใกล้เข้าไป ๆ ๆ ใกล้จะถึงประตูรั้วแล้ว !

 


ทันใดนั้นหูของฉันได้ยินเสียงอื้ออึง พวกมันเอาแน่แล้ว ! คราวที่แล้วอยู่บนรถเมล์ยังมีใต้เบาะที่นั่งให้เข้าไปมุดหลบการขว้างปาได้ คราวนี้ไม่มีตัวช่วย ไม่มีพรรคพวกอยู่ด้วยเพราะเขาทยอยปล่อยออกทีละคน ต้องเดินฉายเดี่ยว คราวนี้จะถูกอะไรที่ไม่ใช่ข้าวบูดเละ ๆ ปาใส่หน้าแบบครั้งก่อน

 


แต่แล้วเสียงปรบมือก็ดังไปทั่วบริเวณ เมื่อฉันกำลังย่างเท้าออกนอกประตูรั้ว
ปรากฏรอยยิ้มบนใบหน้าของทุกคนที่ยืนรวมตัวกันอยู่ ทุกคนปรบมือแสดงการต้อนรับการกลับออกมาของผู้ที่ถูกคุมกุมขัง เป็นกำลังใจที่ได้รับ และโล่งใจที่ไม่เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงซ้ำสอง

 


ฉันยกมือขึ้นพนมพร้อมกับกล่าว
“ขอบคุณค่ะ ๆ ๆ “ ผู้มาให้กำลังใจพร้อมกันแหวกทางให้ฉันเดินผ่านออกมา พวกเขายังคงอยู่ต่อ เพื่อรอรับคนที่จะตามออกมา เป็นความรู้สึกตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก ที่มีผู้คนที่ไม่เคยรู้จักหรือเห็นหน้ากันมาก่อน มายืนรอให้กำลังใจ คาดไม่ถึงว่าจะมีเหตุการณ์ดี ๆ เข้ามาหลังจากถูกคลื่นลมถาโถมจนอ่อนล้า ทั้งร่างกายและจิตใจ

 


ฉันอยากจะบอกกับกลุ่มคนที่มายืนปรบมือต้อนรับฉัน ณ วันที่ถูกปล่อยตัวออกจากที่คุมขังว่า พวกเขาจะรู้หรือไม่ว่าเหตุการณ์วันนั้นเป็นเสมือนน้ำทิพย์ที่ประพรมมาปลอบประโลมใจของฉันที่อ่อนล้า ร้าว รันทด หวาดผวาและเรียกขวัญที่แตกกระเจิดกระเจิงไปแล้ว ให้กลับคืนมา
มันทำให้ฉันรู้สึกไม่โดดเดี่ยว เข้มแข็ง และ มีพลัง

 

 

สนใจสมัครสมาชิกผู้มีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท.  โปรดคลิ๊ก  

 

รำ

whitebanner