หกตุลา   เรามีเพียงมือเปล่ามันล้อมปราบ !

 

เรื่องสั้น    โดย  ละไม  หวานนราฯ

 

 

 

         บึ้ม…… !!   เสียงเหมือนระเบิดดังกึกก้อง สะเก็ดตกลงมากลางกลุ่มผู้นั่งชุมนุมบนสนามฟุตบอลในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  ในช่วงเช้าของวันที่ 6 ตุลาคม 2519  รู้ในเวลาต่อมาว่าเป็นลูกเอ็ม 79 ที่ยิงมาจากนอกรั้วด้านหน้าห้องประชุมใหญ่

 

ผล……!!  ทำให้มีคนตายและบาดเจ็บหลายคน  แต่ยังห่างจากจุดที่พวกเรานั่ง  ทำให้ทุกคนรอดพ้นจากอันตรายแม้แต่สะเก็ดของอาวุธที่ยิงเข้ามา

 

          เมื่อสถานการณ์เริ่มไม่ปลอดภัย ฉันกับเพื่อนหญิงคนหนึ่งรีบถอยไปทางด้านหลังตึกโดมติดแม่น้ำเจ้าพระยา  พวกเราช่วยกันตะโกนให้เรือที่ลอยลำอยู่กลางแม่น้ำให้เข้ามารับคนเจ็บเพื่อข้ามไปยังร.พ.ศิริราช  แต่เรือทุกลำจอดนิ่ง  ไม่มีเรือลำใดที่จะกลับขับลำเข้ามาใกล้

 

         ด้านหน้าหอประชุมใหญ่ถูกปิดล้อม  รวมทั้งประตูทางออกท่าพระจันทร์  ผู้ชุมนุมส่วนหนึ่งจากสนามฟุตบอล     เริ่มถอยร่นมา ริมแม่น้ำเจ้าพระยา  ด้วยความชุลมุน  ฉันและเพื่อนพลัดหลงกันที่นี่ 

 

          ฉันตัดสินใจกระโดดจากสันเขื่อนลงแม่น้ำเจ้าพระยาช่วงสนามหญ้าหน้าโดม  เกาะขอบตลิ่งเดินลุยน้ำไปท่าพระจันทร์  ระดับน้ำริมตลิ่งพอเดินลุยได้  ถึงท่าพระจันทร์ปีนขึ้นที่    “ร้านเล้ง”  ร้านอาหารเจ้าประจำที่ชอบมานั่งรับประทานอาหารเย็นกับเพื่อน ๆ  ตัวร้านสร้างแบบเปิดโล่ง ยื่นออกมาริมแม่น้ำ

 

         ขึ้นมาจากแม่น้ำ  ยืนเคว้งคว้างไม่รู้จะไปต่ออย่างไร  มองไปข้างหน้าเห็นทหารสองสามคนถือปืนไล่ต้อนผู้ชุมนุมอยู่ด้านประตูท่าพระจันทร์ฉันจึงตัดสินใจเดินออกมาอีกช่องหนึ่งตรงมาถึงหน้าประตูวัดมหาธาตุ  ตัดสินใจไม่เข้าไปในวัด  แต่เคลียร์ตัวเองด้วยการหยิบสิ่งของในกระเป๋า  ซึ่งมีเพียงหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊กเล่มหนึ่งในยุคสมัยนั้นโยนข้ามกำแพงวัดเข้าไป

 

          ในระหว่างที่ตัดสินใจจะไปต่ออย่างไร  หันไปมองทางที่ริมกำแพงด้านนอกวัดมหาธาตุ  เห็นผู้ชุมนุมที่ถูกกักตัวและให้มานอนคว่ำหน้าบนพื้นถนนเป็นแถวยาวไปตลอดแนวกำแพงวัด  ส่วนใหญ่อยู่ในสภาพถูกสั่งให้ถอดเสื้อนอนเหยียดยาวคว่ำหน้า   มีทหารถือปืนเอ็ม 16 ยืนคุมเป็นระยะ 

 

            ฉันยืนละล้าละลัง  ถอยกลับก็ไม่ได้เพราะเบื้องหลังสถานการณ์ยังรุนแรงในมหาลัยธรรมศาสตร์  เบื้องหน้าเป็นกลุ่มคนนอนคว่ำหน้าเรียงรายกันอยู่

 

          แต่ ….ไม่ยักกะมีทหารซักคนมาสั่งให้ฉันเข้าไปรวมกลุ่มทั้ง ๆ ที่ฉันยืนคนเดียวโด่เด่อยู่ไม่ไกล

 

          ตัดสินใจเดินเข้าไปล้มตัวลงนอนคว่ำหน้า  ข้างๆ กับพวกที่มาก่อนแบบไม่ได้รับเชิญ  (บังคับกวาดต้อนมา) อย่างน้อยก็มารวมกลุ่มกับผู้ร่วมขบวนการเดียวกัน  น่าจะอุ่นใจได้…...หรือเปล่านะ !

 

            พื้นถนนคอนกรีตร้อนระอุในเวลาเที่ยงกว่าแล้ว ผนวกกับเสียงปืนเสียงระเบิดที่ประโคมเข้าไปในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  ดังก้อง  เสียงกระจกแตกเปรี้ยงปร้างดังต่อเนื่องไม่หยุด  จนอดคิดไม่ได้ว่าตึกเรียนในธรรมศาสตร์จะถูกถล่มยับเสียหายสักปานใด

 

          ทันใดนั้น  เสียงกึกก้องภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  ถูกเบนความสนใจมาที่เสียงใกล้ตัว  มันเป็นเสียงพานท้ายปืน M16 ที่กระแทกลงไปกลางหลังที่เปลือยเปล่าของชายคนหนึ่งที่กำลังนอนคว่ำหน้าบนพื้นถนน    ผู้ชายอีกคนถูกกระทืบด้วยรองเท้าทหารบนแผ่นหลังพร้อมกับเสียงด่าทอที่ออกมาจากปากทหารที่ถือปืนเอ็ม 16 อีกคน   รองเท้าหนังส้นหนาหนักที่กระทืบลงบนแผ่นหลังเปลือยเปล่ามันจะเจ็บขนาดไหน  ฟังจากเสียงที่รองเท้ากระทบลงไปแสดงว่าคนกระทืบไม่ยั้งแรงเลย

 

          แม้ทุกคนจะถูกบังคับให้คว่ำหน้าห้ามมองขึ้นมา  แต่ ….หาได้รอดจากสายตาของฉันไปได้ไม่

 

          ชายหนุ่มอีกคนสวมสร้อยทองห้อยพระ  ถูกทหารกระชากออกมาจากคอพร้อมกับบริภาษเสียงดังว่า “มึงเป็นคอมมิวนิสต์ห้อยพระด้วยเรอะ”   ว่าแล้วก็หย่อนสร้อยทองกับพระเข้ากระเป๋าตัวเองไป

 

          เพิ่งรู้สึกตัวว่า  จุดที่ฉันทะเล่อทะล่าเข้ามานอนคว่ำหน้า  ล้วนเป็นผู้ชายทั้งนั้น  จึงเป็นจุดที่ถูกรุมสกรัมหนักมาก  เสียงใครคนหนึ่งกระซิบบอกคนข้าง ๆ ว่า 

 

          “ระวังอย่าให้เป็นตะคริวเพราะถ้าพวกมันสั่งให้ลุก  จะได้ลุกได้ทันที  ไม่อย่างนั้นจะโดนมันกระทืบ”

 

          พวกทหารที่ยืนคุมเหล่านี้  ใครคิดอยากจะทำอะไรก็ทำทั้งเตะทั้งกระทืบ  ผรุสวาทด่าทอ ดูไม่รู้เลยว่า ใครเป็นผู้บังคับบัญชา ใครคือผู้ใต้บังคับบัญชา

 

          ทันใดนั้น  มีทหารอีกคนหนึ่งขึ้นลำกล้องปืน M 16  เสียงชักลำกล้องปืนมันบีบคั้นใจฉันมาก  เพราะอาจมีการจ่อยิงทิ้ง และใครบางคนอาจต้องถึงแก่ชีวิตไปต่อหน้าต่อตาโดยไม่มีทางสู้  เพราะอารมณ์และความเกรี้ยวกราดของทหารพวกนี้  ทำให้ฉันคิดได้อย่างนั้น

 

         แต่…..ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจากปืนกระบอกนั้น 

 

          เวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่รู้  เพราะในสมองของฉันมันมีแต่อาการตื่นตระหนกตลอดเวลาจากเสียงที่ดังกึกก้องจากการถล่มทำลายอาคารต่าง ๆ ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  ราวกับเกิดสงครามกลางเมืองและการรุมสกรัมและทำร้ายอย่างเมามันกับผู้ร่วมชะตากรรมอยู่ข้าง ๆ ตัว ไม่รู้ว่าตัวเองจะถูกลูกหลงตอนไหน  จากฝ่ายตรงข้าม

 

          แล้วก็มีเสียงทหารดังขึ้นมา  สั่งให้พวกเราทุกคนลุกขึ้นมานั่งชันเข่าเรียงกันเป็นแถวตอนเรียงหนึ่ง  หันหน้าไปทางด้านท่าช้างและยังสั่งให้ทุกคนประสานมือทั้งสองไว้ที่ท้ายทอยด้วย

 

          ภาพในความทรงจำของฉันผุดขึ้นมาในทันที  มันเป็นภาพเชลยศึกในสงครามเวียดนามที่ฉันเคยเห็นในภาพข่าวหนังสือพิมพ์ 

 

         เฮ้ย ! พวกเราเป็นเชลยไปแล้วหรือนี

 

          อยู่ ๆ ก็มีผู้ชายสองคนเดินมาหยุดตรงหน้าฉัน  คนหนึ่งถือกล้องตัวใหญ่จ่อกล้องมาที่หน้าเตรียมจะถ่ายภาพ  ฉันรีบก้มหัวลงต่ำเพื่อปิดบังใบหน้า  ไม่ให้กล้องจับภาพหน้าได้  

 

           “เงยหน้าขึ้น ๆ”  เสียงตวาดดังของชายอีกคน  สั่งให้ฉันเงยหน้าขึ้น สองถึงสามครั้งแต่...อย่าหวังว่าฉันจะทำตาม  ฉัน  “ฮึ่ม” อยู่ในใจ  การไม่ทำตามคำสั่งเป็นการท้าทาย  และการก้มหน้าในคราวนั้น  มิใช่   การยอมจำนน !

 

          เมื่อไม่สามารถจัดการให้ฉันเงยหน้าให้ถ่ายรูปได้  ในที่สุดคนกลุ่มนี้ผละออก

 

           คราวนี้เสียงทหารคนหนึ่งดังโหวกเหวกขึ้นมาอีก  สั่งให้ทุกคนยืนขึ้นมือยังคงประสานอยู่ที่ท้ายทอย  พวกผู้ชายอยู่ในสภาพเหลือแต่กางเกงท่อนล่าง  บรรดากระเป๋า  สัมภาระ  รองเท้าถูกสั่งให้ถอดออกจากตัวทั้งหมดทุกคน  นี่เป็นการถูกปล้น ครั้งที่  1 ส่วนครั้งที่ 2 คือ  การปล้นอิสรภาพ

 

          ทุกคนถูกสั่งให้วิ่งแถวเรียงหนึ่ง  มุ่งหน้าตรงไปทางท่าช้าง  เท้าเปลือยเปล่าทุกคู่วิ่งไปบนถนนที่เคยคึกคักพลุกพล่านไปด้วยรถรา  ผู้คนเดินจับจ่ายซื้อข้าวของ  ย่านการค้า  และของอร่อยของท่าพระจันทร์  และท่าช้าง  บัดนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสมรภูมิและพื้นที่กักกันผู้ชุมนุม  มีทหารถืออาวุธ

 

สงครามเข้ามายึดของพื้นที่ทั้งหมด  บ้านเรือนตึกแถวปิดประตู  หน้าต่างชั้นสองปิดถูกปิด ตลอดแนวจากท่าพระจันทร์ถึงท่าช้าง

 

           ภายหลัง เคยได้ฟังจากผู้ที่พักอาศัยในตึกแถวชั้น 2 ที่ท่าพระจันทร์คนหนึ่งว่า  ตอนนั้นเขายังเป็นเด็กระดับชั้นประถม  แม่ต้องเอาฟูกที่นอนมาม้วนทำเป็นบังเกอร์ให้ลูก ๆ หลบอยู่หลังบังเกอร์ในบ้านชั้น 2  ด้วยกลัวลูกหลงที่จะยิงเข้ามา

 

         พวกเราแต่ละคนวิ่งเหยาะ ๆ สองมือยังประสานอยู่ที่ท้ายทอย มีเสียงตะโกนสั่งห้ามเอามือลง  เมื่อมาถึงท่าช้างมีรถเมล์จอดรออยู่หลายคัน

 

           ทุกคนถูกสั่งให้ขึ้นไปบนรถเมล์  ตอนนี้ไม่รู้ชะตากรรมเลยว่า  จะถูกพาตัวไปที่ไหนมันคงเป็นที่ใดที่หนึ่ง พวกเราจะถูกกระทำอะไรบางอย่าง  ที่ฉันไม่อยากนึกถึงและหลังจากนั้นก็จะกลายเป็นบุคคลสูญหาย  แบบที่เคยได้ยินบ่อย ๆ ตามตัวไม่พบ  ไม่มีหลักฐาน 

 

          ปรากฏว่ารถคันที่ฉันขึ้น มีแต่ผู้ชายเกือบทั้งหมด  (อีกแล้ว)   ภายในรถมองเห็นผู้หญิงแค่สองคนคือฉันและผู้หญิงคนที่อยู่ด้านหน้ารถ เพราะรถทั้งคัน  มีคนใส่เสื้ออยู่

 

แค่ 2 คน 

 

          แม้พวกเราจะถูกต้อนขึ้นมาจนเต็มคันรถแล้ว  รถก็ยังไม่สตาร์ทเครื่อง  มีฝูงชนกำลังกรูตรูกันเข้ามามาที่หน้าต่างรถทั้งสองด้าน  คงเป็นประชาชนที่มามุงดูด้วยความเห็นใจ  ฉันคิด แต่...ที่ไหนได้  ฉันยังมโนไม่จบเลย… 

 

           ฝูงชนเหล่านี้เริ่มขว้างปาสิ่งของในมือ  เขาคงเตรียมการมาก่อนแล้ว  ล้วนแต่เป็นของแข็ง  ท่อนไม้ ก้อนอิฐ ก้อนหินรวมทั้งข้าวบูด  ที่รู้ว่าข้าวบูดเพราะฉันถูกปาเข้าเต็มหน้าอย่างจัง กลิ่นเหม็นเปรี้ยวโชยเข้าจมูกเนื้อข้าวเละ ๆ น่าจะบูดมาหลายวันแล้ว ฉันรีบเอามือปาดหน้าเอาข้าวบูดออก  แล้วดึงกระจกหน้าต่างรถเมล์ลงปิดอย่างเร็ว

 

           ทันทีทันใด  ปากกระบอกปืนเอ็ม 16  ของทหารที่ยืนอยู่ข้าง ๆ หน้าต่าง นอกรถ 

 

ถูกใช้ดันกระจกหน้าต่างที่ฉันกำลังเลื่อนลงให้เลื่อนเปิดขึ้น  ก็เป็นอันรู้กันว่าเปิดโอกาสให้ฝูงชนกลุ่มนี้ขว้างปาสารพัดสิ่ง  เข้ามาทำร้ายคนในรถ  ได้อย่างสมใจอยาก

 

          ฉันไม่รอที่จะต้องโดนเขวี้ยงอะไรต่อจากข้าวบูดอีกแล้ว  รีบเอาตัวเองลงไปใต้เบาะที่นั่งรถเมล์ซึ่งคิดว่าปลอดภัยที่สุด

 

          ในตอนนั้นคนอื่นๆหลายคนต้องยืนเพราะที่นั่งบนรถไม่พอ  จึงเป็นเป้าให้ถูกขว้างปาก้อนอิฐ  ก้อนหิน  ท่อนไม้อย่างหลบเลี่ยงไม่ได้  แว่บแว้บหนึ่งฉันเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งบนรถถูกของแข็งกระทบกับใบหน้าอย่างแรงเลือดสด ๆ สีแดงฉานไหลกระฉูดออกมาทันตาเห็น

 

           โชคดีเบาะที่นั่งรถเมล์ที่ฉันมุดลงไปอยู่ข้างใต้นั้นชำรุดเบาะไม่ได้ยึดติดกับโครงเหล็ก  ฉันใช้แขนข้างหนึ่งดันเบาะให้ยกขึ้นมาปิดช่องหน้าต่างที่นั่งได้หนึ่งช่อง ลำตัวยังมุดหลบอยู่ใต้ที่นั่ง อย่างน้อยก็ช่วยเซฟคนที่ช่องหน้าต่างนี้ได้บ้าง  ตลอดทางที่รถแล่นผ่านฝูงคนที่ขว้างเข้ามาในรถ  ขณะที่รถเมล์คันนี้ค่อย ๆ เคลื่อนอย่างช้า ๆอ้อยอิ่งเหมือนเปิดโอกาสให้คนนอกรถที่ยืนกันเป็นแถวเมื่อรถแล่นผ่านพากันขว้างปาจนหนำใจ 

 

           พอรถเคลื่อนออกห่างจากฝูงคนที่มารุมสกรัมทำร้ายแล้ว  พวกเราทุกคนในรถ  ยังต้องเผชิญกับภาวะอกสั่นขวัญแขวนกับคนขับที่ขับรถด้วยความเร็วมาก  ขับฉวัดเฉวียนหักพวงมาลัยซ้ายทีขวาที  ทำให้คนที่นั่งในรถซวนเซไปมา  จนน่ากลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุรถคว่ำก่อนที่จะถึงจุดหมาย

 

          เป็นสถานการณ์ที่ทุกคนในรถ  ล้วนแต่บอบช้ำทางอารมณ์จิตใจและร่างกายอย่างสุดทน  

 

          แต่ถึงกระนั้นสิ่งที่ตัวเองประสบตอนนี้  ยังไม่รุนแรงและหฤโหดเท่ากับผู้ประสบชะตากรรมในการล้อมปราบเดียวกันอีกกลุ่มหนึ่งด้านสนามฟุตบอลและหน้าหอประชุมใหญ่

 

          มีนักศึกษาชายคนหนึ่ง  ถูกเอาเชือกผูกคอลากไปบนสนามฟุตบอล เมื่อมีชื่อ

 

ปรากฎในภายหลังเขาคือเพื่อนของฉัน

 

มีการนำร่างชายคนหนึ่งขึ้นไปแขวนคอใต้ต้นมะขามฝั่งสนามหลวงใช้เก้าอี้เหล็กฟาดร่างอย่างไม่ยั้งมือ จนความเจ็บปวดที่ร่างนั้นได้รับปลาศนาการปลาสนาการไป เพราะดวงวิญญาณได้ละร่างไปแล้ว  เหลือไว้แต่ใบหน้าร่างกายแหลกเละจนจำไม่ได้ว่าเป็นใคร  และยังมีผู้ถูกเอาร่างไปกองเผาบนยางรถยนต์  อีกจำนวนหนึ่ง  เสียชีวิต บาดเจ็บ และพิการไปกับกระสุนที่กราดยิง

 

          ผู้หญิงส่วนที่ถูกควบคุมตัวกลางสนามฟุตบอลในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  ถูกสั่งให้ถอดเสื้อออกทุกคนเหลือเพียงเสื้อยกทรง  และให้คลานไปบนสนามฟุตบอล   ผู้ชุมนุมส่วนหนึ่งสูญหายไม่สามารถตามกลับมาได้จนบัดนี้

 

          ภาพและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 ตุลา 19  สร้างความปวดร้าวรันทดใจให้กับฉันเป็นที่สุด

 

 

 

         ….. หกตุลาเป็นบทเรียนยิ่งใหญ่

 

          สอนให้เราเข้าใจแล้วว่า

 

          เอกราชประชาธิปไตยนั่นหนา

 

          ทางเดียวได้มานั่นคือลุกขึ้นจับปืน…        

 

     

 

           บทเพลง “6 ตุลา”

 

           ผู้ประพันธ์ : กุลศักดิ์  เรืองคงเกียรติ

 

            ส.โชติ     : จิ้น  กรรมาชน

 

 

 

 

 

* ข้อมูลจาก “โครงการบันทึก 6 ตุลา”

 

            (เฉพาะวันที่ล้อมปราบ)

 

 

 

 45     ราย     เสียชีวิต

 

145    ราย     บาดเจ็บ (เป็นตำรวจ 2 คน)

 

3,094  ราย    ถูกจับกุม

 

                     เป็นชาย  2,432   ราย

 

                      เป็นหญิง    662   ราย

 

 18     ราย    ตกเป็นจำเลย

 

  0     ราย    ผู้ก่อการสังหารที่ถูกดำเนินคดี

 

สนใจสมัครสมาชิกผู้มีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท.  โปรดคลิ๊ก  

 

รำ

whitebanner