เรื่องสั้น   6 ตุลา 19 ... อยากลืมแต่กลับจำ

โดย ส.บัว อีสานใต้

วันนี้ถึงเวลารวบรวมความกล้า มารำลึกถึง วันที่บาดเจ็บถึงวิญญาณ 47 ปีแล้วนะ ทำไมถึงไม่เคยลืมวันนั้น เพราะความเจ็บปวดนั้น ทำให้ชีวิตเปลี่ยนเลย จากเคลื่อนไหวการเมืองแบบเฮฮา ใช้ชีวิตติดเพื่อน มีก๊วนที่รักกันมาก ยอมแยกจากกันเพื่อสู้ โดยไม่รู้ว่าต้องพบเจออะไร รอดตายจากวันนี้ ที่เหลือคือสู้อย่างเดียว เข้าป่าเพื่อสู้ ทุกวันคือชีวิตที่รอดเหลือ สู้จนกว่าตายกันไปข้าง

ก่อนถึงวันถูกฆ่า บรรยากาศที่สร้างความเกลียดชังนักศึกษามีมาตลอด แต่การที่เอาถนอมกลับไทยนั้น เป็นเรื่องที่ต้องคัดค้าน แม้จะน่ากลัวเพียงใด แต่พวกเราเลือกที่จะประท้วงกันในธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นการประท้วงแบบยืดเยื้อ ไม่ใช่แฟลชม๊อบ
เรากับเพื่อนสนิทอยู่ในทีมแจกอาหาร เข้ามาในธรรมศาสตร์หลังเลิกเรียน แล้วนอนกันบนพื้นหลังอาคารวารสารฯ ข้างสนามฟุตบอล เพื่อที่ตอนเช้าจะได้ทำอาหารแจกจ่ายกันได้ และวันที่ 6 ตุลาคือวันเสาร์ที่ไม่มีเรียน เรากับดาและเดช นอนด้วยกัน เราเป็นก๊วนเดียวกัน ที่จะไปด้วยกันเสมอ

เช้ามืดวันนั้น ก่อนหกโมงเช้า พวกเราสะดุ้งตื่นจนตัวลอย เสียงดังโป๊งและตามเสียงระเบิดดังกึกก้อง มันดังติดๆกัน หลายครั้ง พวกเราตกใจมาก สัญชาตญาณ บอกว่ามันคือระเบิด มันคือเสียงระเบิดที่ได้ยินครั้งแรกในชีวิต อันตรายตายแน่ๆ พวกเพื่อนๆ ที่นอนสนามฟุตบอล มีบาดเจ็บและตายกันแล้ว พวกเราจึงคลานไปตามพื้นตึก ไปตึกบัญชีที่ห่างไปหน่อย และใหญ่ที่จะรับพวกเราให้หนีเข้าไป เพราะเช้าวันนั้น น่าจะมีคนที่นอนค้างเกือบ2-3พันคน ส่วนใหญ่คือเยาวชนที่อายุ16-20ปี จะไปรู้วิธีอะไรรับมือ จะมีความรู้ทหารบ้างคือพวกเรียนรด.เท่านั้น

พอสายมีพวกเจ้าหน้าที่รัฐและฝูงชนบ้าคลั่ง พยายาม จะทำลายรั้วมหาลัย เสียงปืนสงครามดังกึกก้องตลอดเวลา พวกเราเลยตัดสินใจหนี ลงแม่น้ำเจ้าพระยา ตัดตะแกรงรั้วที่หนามาก ให้พอคนรอดได้ เราก็กระโดดลงแม่น้ำแบบเรียงตัว เรา ดา เดช ยังเกาะติดกันแน่น ตู้ม!! โดดลงแม่น้ำที่กำลังขึ้น น้ำเกือบถึงคอแล้ว ยังมีเพื่อนอีกเป็นร้อยที่จะต้องหนีทางนี้กัน เราต้องเดินแบบกึ่งว่ายไปที่ร้านจั๊ว หรือร้านอาหารเจ้าประจำที่อยู่ติดแม่น้ำ
เรากับดา ขึ้นจากแม่น้ำได้ มีตชด.มาคุมตรงนี้แล้ว พอถึงคราวของเดช ตชด.เลยค้นตัว เจอถุงเงินบริจาคค่าอาหาร เขาคว้าไป แล้วบอกให้เราสามคนไปอีกทาง ต่างจากคนอื่น ที่ชี้ให้ไปตามถนนมหาราช พวกเราเลยเลาะไปตามแม่น้ำส่วนหนึ่ง ตามแผงเช่าพระ
มีบ้านที่เริ่มเปิดรับพวกเราให้เข้าไปหลบภัยกันแล้ว แต่จะรับหลังละประมาณ 20 คนเท่านั้น เราผลักดา เข้าไปก่อนปิดประตู เราซึ่งกะจะไปกับเดช ถูกเดชผลักเข้าไปหลังสุดท้าย ตอนหลังถึงรู้ว่าเดชเดินเลาะไปเรื่อย ไปออกทางวังหลัง เลยไม่ถูกจับ ส่วนบ้านที่เปิดรับพวกเราซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงเขาให้ถือรองเท้าแล้วไปนั่งหลบ อยู่ชั้นบน ทหารมาเรียกให้เปิดประตู พวกเขาก็ไม่เปิดกัน มองเข้ามาไม่เห็นพวกเรา จนเย็น กวาดพวกเราที่ถูกจับไว้ที่สนามฟุตบอล ให้คลานให้ถอดเสื้อ ไปตามสนามแล้วเอาขึ้นรถไปขังหมดแล้ว ชาวบ้านจึงเปิดให้พวกเรากลับบ้านได้
เราเดินกลับตั้งใจจะไปต่อที่จุฬา มาเห็นพี่หมอมิ้งที่ท่าน้ำมหาราช ดีใจมาก แต่ไม่กล้ายิ้มให้กัน (ตอนหลังมาเข้าป่าอีสานใต้ที่เดียวกัน) พวกเราไปที่จุฬา ไม่มีการรวมตัวอีกแล้ว เลยกลับหอของเพื่อน มาเห็นนสพ.ไทยรัฐ ฉบับบ่าย ภาพของการถูกเข่นฆ่าเต็มไปหมด เราเห็นภาพพี่แดง มนัส เศียรสิงห์ (แนวร่วมศิลปินที่สนิทกัน คือถูกพี่เขาเรียกใช้ได้ เพราะอยู่ตึก กตป. ด้วยกัน) ตายตาเบิกโพลง พี่เขาคงแค้นมาก ศพกองเกลื่อน ข้างหอใหญ่ และที่สนามหลวง ภาพข่าวลงรูปศพรายตัว ทุกศพถูกยิงถูกทำร้ายจนหน้าตาเละแทบจำไม่ได้ แต่เราจำพี่แดงได้แน่นอน ส่วนอีกหลายกองถูกเผา มียางรถยตร์กองทับ แล้วจุดไฟ ทั้งที่คนยังไม่ตาย ส่วนภาพที่เพื่อนถูกจับแขวนคอแล้วเอาเก้าอี้ไม้ตี ท่ามกลางเสียงหัวเราะ ภาพข่าวนี้เป็นภาพข่าวที่ชนะภาพสุดโหดของการฆ่าที่โหดร้าย

แต่สิ่งที่เราไม่ได้เจอด้วยตนเองคือพวกเราที่ถูกลากมาฆ่าที่สนามหลวง คนบ้าคลั่งพวกนั้นจับพวกเรามาทุบตี จนพวกเราสลบแล้วทันเอาไฟเผาทั้งๆที่ยังไม่ตาย ภาพ นศ.หญิงที่ถูกฆ่าแล้วจับเปลือยกายเอาไม้ทิ่มที่อวัยวะเพศ ตาเหลือกค้าง ภาพที่หลายคนถูกจับมาแขวนคอแล้วถูกรุมตีจนตาย ท่ามกลางเสียงหัวเราะสะใจที่ได้ฆ่าพวกเรา ซึ่งวันนั้นถ้านับจากศพ ที่ไม่สูญหายก็เกือบร้อยคนแล้ว

และเรื่องราวความโหดร้ายที่ฟังจากแม่ของเรา ที่เป็นห่วงเรามาก แม่ไปที่สนามหลวงไปคนเดียว ไม่ชวนใครไปเป็นเพื่อนแม้แต่พ่อ ไปเห็นคนฆ่าเด็กนักศึกษาด้วยความบ้าคลั่ง แม่ร้องไห้ แต่ไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่ตามดูศพ เพราะกลัวว่าจะเป็นลูกสาวของตัว กลายเป็นว่า แม่ต้องอยู่ในเหตุการณ์สุดแสนเลวร้ายนี้ยิ่งกว่าเรา แม่ของเราจึงอยู่ข้างฝ่ายประชาชนมาเสมอ ไม่ต้องคุยกันแต่ก็จะคิดเหมือนกัน แม่เป็นแม่ของประชาชนมาตลอดเลยตั้งแต่นั้น ส่วนพ่อนั้นยังแกว่งไปแกว่งมา ไม่แน่วแน่เหมือนแม่ เพราะพ่อไม่ได้อยู่ในวันที่6 ตุลา
สิ่งที่เกิดในวันนั้นมันคืออะไร ความป่าเถื่อนที่ฆ่าเยาวชน ที่เพียงเรียกร้องแค่ความเท่าเทียม ต่อต้านเผด็จการ และคิดจะทำอะไรเพื่อประเทศชาติต้องได้รับหรือ มันเลวร้ายยิ่งกว่าการกวาดต้อนสัตว์มาฆ่า ฆ่าสัตว์ยังไม่ฆ่าแบบโหดร้ายและด้วยความสะใจแบบนี้

บาดแผลนี้มันถึงฝังลึกจนถึงวิญญาณของพวกเราทุกคน มันไม่มีวันลบเลือน ไม่ว่าจะอยากลืมความเจ็บปวดนี้มากแค่ไหน เรายังไม่ยอมแพ้หรอก ไม่ว่าเราจะแพ้มากี่หน แต่เรายังอยู่ในสนามรบ เราจะไม่ถอยออกไป ขอให้เราชนะสักครั้ง ชนะครั้งสุดท้ายที่จะเป็นของเรา เราจะสู้กันไปชั่วลูกหลาน ความคิดอุดมการณ์จะส่งต่อ ประเทศนี้ต้องเปลี่ยน ไปสู่ความเจริญก้าวหน้าให้ได้ ถ้าเรายังไม่หยุดไม่ยอม ประชาชนจะชนะในที่สุด

6 ตุลา 2519 วันฆ่าเยาวชน ที่รักประชาธิปไตย

 

สนใจสมัครสมาชิกผู้มีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท. โปรดคลิ๊ก  

whitebanner