พยานคนสุดท้าย
โดย กำพล นิรวรรณ
เมื่อบุคคลผู้มีมธุรสวาจาแต่มีจิตใจโฉดชั่ว
ไปโน้มน้าวฝูงชน บ้านเมืองก็จะลุกเป็นไฟ.
ยูริพิเดส
เหมือนหนังฉายผ่านม้วนฟิล์มเก่าเก็บ, เหมือนฟ้าแลบแปลบปลาบอยู่ไกล ๆ, ภาพซ้อนภาพวูบวาบอยู่ในสมองของเขา; หญิงสาวถูกลิ่มปักอกนอนตาเบิ่งค้างอยู่กลางดิน, ชายหนุ่มถูกแขวนคอห้อยต่องแต่งอยู่บนกิ่งไม้, ศพไหม้ดำเป็นตอตะโกไม่เหลือเค้าว่าหญิงหรือชาย, หญิงสาวในชุดนักศึกษาเดินหอบไส้พุงของตัวเอง, และชายผอมบาง, ใบหน้ายุบ, กะโหลกบุบ, ร่างเหวอะหวะ, ยืนกวักมือเรียกเขาอยู่ไหว ๆ.
สมองของเขาถูกขยุ้มด้วยกรงเล็บพยาบาทของอดีต. เขาสะดุ้งสุดตัว, ผุดผลุงขึ้นนั่งบนเตียง, เบิ่งตาโพลง, เหงื่อกาฬไหลเป็นสายน้ำ. แสงอรุณสีหม่นมัวเริ่มส่องลอดเข้ามาทางร่องบานเกล็ดของหน้าต่าง. เสียงฝีเท้าดังกึงกังมาตามระเบียงบ้านพักคนชรา.
“คุณทวด! คุณทวด! คุณทวด! เป็นไรหรือเปล่าคะ?” เสียงเคาะประตูถี่ยิบ พร้อมเสียงคุ้นหูของนางพยาบาลบางคน.
“เปล่าครับ, ไม่มีอะไร. ก็เหมือนเดิมนั่นละครับ, แค่ฝันร้ายนิดหน่อย.” เขาตอบเนือย ๆ คล้ายเสียงของความบอบช้ำในหัวใจ ไม่ใช่เสียงของความแก่หง่อม.
“แต่คราวนี้คุณทวดร้องน่ากลัวมากนะคะ.”
“น่ากลัวยังไงรึ?”
“เอ่อ...หนูจะบอกไงดีคะ? เอ่อออ…เสียงคล้าย ๆ คนหายใจไม่ออก…คล้าย ๆ คนกำลังดิ้นตะ...,” ประโยคสุดท้ายลอดออกมาไม่พ้นไรฟัน.
ต่างฝ่ายต่างชะงัก. ต่างฝ่ายต่างเงียบไปชั่วครู่.
“พวกหนูขอเข้าไปดูอาการคุณทวดในห้องหน่อยได้ไหมคะ?” เสียงห่วงใยของนางพยาบาลคนเดิม.
“ไม่ต้องก็ได้น้อง,” อีกคนขัดจังหวะ, เป็นเสียงของคนใหม่ ไม่คุ้นหูเขา, “แกบอกว่าไม่เป็นไรก็คงไม่เป็นไรน่ะ.”
“ไม่มีอะไรจริง ๆ, ผมแค่ฝันร้ายเท่านั้น.”
เงียบกันไปอีกครู่.
“งั้นก็แล้วแต่ค่ะ,” เสียงของคนแรก, “แต่คุณทวดอย่าลืมนะคะ. วันนี้พวกนักศึกษาจะมารับคุณทวดตอนแปดโมงตรงค่ะ. อาบน้ำอาบท่าแต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วกดปุ่มแจ้งแผนกอาหารนะคะ, เจ้าหน้าที่จะได้นำอาหารกับเครื่องดื่มมาให้.”
“ครับ. ขอบคุณครับ.”
“บอกแกเรื่องมัสติคาด้วยน้อง.” อีกคนกระซิบ แต่ไม่เบาพอที่จะเล็ดลอดหูของเขาไปได้.
“ค่ะ, เอ้อ คุณทวดคะ วันนี้น้ำอุ่นผสมมัสติคาจะไม่ใสเหมือนเดิมนะคะ พี่เขาให้ผสมน้ำผึ้งเข้าไปด้วย คุณทวดจะได้มีแรงพูด. รสคงจะเฝื่อนลิ้นหน่อย แต่ก็ต้องดื่มให้หมดแก้วนะคะ.”
“ครับ.”
“อย่าลืมนะคะ ต้องดื่มให้หมดแก้วนะคะ.” อีกคน, คนใหม่, คนที่ทุกคนเรียกพี่, กำชับแกมสั่ง.
“ครับ.”
แล้วเสียงฝีเท้าของพวกเธอก็ค่อย ๆ ห่างออกไป พร้อมกับความสงสัยที่ค่อย ๆ ผุดขึ้นในใจว่าเหตุไฉนนางพยาบาลหน้าใหม่ที่ดูจะมีอำนาจเหนือคนเก่าทุกคนจึงคาดคั้นให้เขาดื่มมัน ในเมื่อเขาก็ดื่มมันทุกวันอยู่แล้ว, ผิดแต่ว่าวันนี้มีน้ำผึ้งเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย. แล้วทำไมจึงต้องมีน้ำผึ้งในวันนี้? แล้วทำไมจู่ ๆ วันนี้จึงมีนางพยาบาลหน้าใหม่มากำกับคนเก่า ๆ ที่เขาคุ้นหน้า? ช่างมันเถอะ!
มัสติคาคือหยาดน้ำตาของพระแม่ธรรมชาติแห่งเกาะคิอ็อส. แท้จริงมันคือเลือดสีเหลืองของพันธุ์ไม้มหัศจรรย์ที่งอกงามเฉพาะบนเกาะแห่งนั้น. แห่งเดียวในโลก. ต้นมัสติคา. เขารู้ว่าเลือดของมันคือส่วนหนึ่งที่ทำให้ชีวิตเขายืนยาวมาจนบัดนี้, ยืนยาวจนคนรุ่นเดียวกับเขาล้มหายตายจากกันไปไม่เหลือแม้แต่คนเดียว. แม้เขายังหาคำตอบไม่ได้ว่าเขาจะทู่ซี้อยู่ไปเพื่ออะไร, แต่เขาก็ยังดื่มมันทุกวัน.
มนู พิณทองพยุงเศษหลงเหลือของชีวิตลุกจากเตียงไปเข้าห้องน้ำ, อาบน้ำแต่งตัวรอกินอาหารเช้า และรอคนมารับ. เขาได้รับเชิญให้ไปปลดปล่อยความจริง. มันถูกจองจำมาหลายชั่วคนจนกลายเป็นความลี้ลับดำมืด เหลือเขาเพียงคนเดียวที่รู้. วันนี้จึงเป็นวันสำคัญที่สุดในชีวิตของเขา. เขาอาจจะได้ตายตาหลับเสียที.

น้ำในแม่เจ้าพระยาเอ่อท้นคันกั้นน้ำสองฟากฝั่งจนคนในเรือนำเที่ยวสามารถมองลงไปเห็นความเคลื่อนไหวในบริเวณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
ละอองฝนบางเบาโรยตัวเป็นริ้ว ๆ ราวกับจงใจลงมาช่วยดับไอร้อนในบริเวณลานโพธิ์, สุสานฝังความทรงจำเกี่ยวกับหน้าประวัติศาสตร์เปื้อนเลือด.
มนู พิณทองนั่งตัวงุ้มงออยู่บนเก้าอี้ล้อเลื่อนไฟฟ้าชนิดควบคุมการทำงานด้วยคำสั่งทางสมอง, ท่ามกลางนักศึกษาประชาชนที่ไปนั่งรอต้อนรับกันเนืองแน่นบริเวณลาน.
ตัวเขางุ้มงอเพราะถูกถ่วงด้วยกาลเวลา 117 ปี, แก้มตอบเต็มไปด้วยรอยยับย่น, ริมฝีปากห่อ, มีแต่นัยน์ตาที่ยังเหลือแววของความกล้าแกร่ง. เขาคือเศษเสี้ยวที่หลงเหลือมาจากประวัติศาสตร์เปื้อนเลือดหน้านั้น, เป็นเศษเสี้ยวชิ้นเดียวที่ยังมีลมหายใจ. เขามาเพื่อร่วมรำลึกเหตุการณ์ครั้งนั้นที่เกิดขึ้นในวันนี้เมื่อร้อยปีก่อนโน้น. ทว่าเขามิได้มาในฐานะเหยื่อของเหตุการณ์, แต่มาในฐานะคนบาป, เพราะเช้าวันนั้น หรือเช้าวันนี้เมื่อร้อยปีก่อนโน้น เขาฆ่าคนเป็นครั้งแรกในชีวิต!
ขณะประธานจัดงานกล่าวแนะนำตัวเขา, ชายชราทอดตามองไปยังเนินหญ้าเขียวขจีริมน้ำ. มันเป็นส่วนหนึ่งของแนวคันดินสำหรับป้องกันไม่ให้เมืองหลวงถูกกลืนหายไปใต้บาดาล, สร้างขึ้นหลังการสถาปนาสาธารณรัฐสยามไม่นาน. อืม์ สาธารณรัฐสยาม! ชื่อนี้บาดใจนัก. แม้จิตใต้สำนึกคอยบงการให้เขาหาทางสารภาพบาปตลอดมา แต่เขาก็ไม่เคยคิดคดทรยศต่อระบอบเดิม. เขารู้ว่าระบอบเดิมของเขายังไม่ตาย. มันยังมีลมหายใจ. มันยังเคลื่อนไหวอยู่ในที่ต่าง ๆ แม้แต่ที่บ้านพักคนชราของเขาเอง. เขาเงยหน้ามองต้นโพธิ์ที่ยืนตระหง่านอยู่กลางลาน. ผีเสื้อฝูงใหญ่บินหนีฝูงนกกระจอกเข้าไปอาศัยใบบังของมัน แต่ก็ป่วยการเปล่า. ฝูงบทกวีมีปีกถูกพวกกระจอกจิกกินกลางอากาศตัวแล้วตัวเล่า. เศษปีกสีเปลืกหมากสุกปลิวว่อน. บางชิ้นร่วงลงมาซบอยู่แทบเท้าเขา, หนึ่งในนั้นคงจะเป็นปีกของผีเสื้อหลงฝูง เพราะพื้นปีกเป็นสีม่วง ขอบเป็นลอนคล้ายกลีบดอกเสลา. อา...ผีเสื้อ! มันคืออะไรที่เขาเคยอยากเป็นสมัยยังเยาว์, เมื่อครั้งยังเปี่ยมล้นด้วยความฝัน, ฝันอยากเป็นกวี, อยากเป็นผีเสื้อ เพื่อจะโผขึ้นไปโล้สายลมไปชมทุ่งดอกไม้. ชายชราเบือนหน้าหนี.
“เอาละครับ ผมก็คงจะแนะนำตัวท่านเพียงแค่นี้,” เสียงประธานจัดงานปลุกเขาให้ตื่นจากภวังค์, “ได้เวลาที่เราจะฟังเรื่องราวจากปากของประจักษ์พยานและตัวละครสำคัญในเหตุการณ์นั้นเสียที. เราจะได้รู้กันในอีกไม่กี่อึดใจครับ ว่าใครคือคนสั่งฆ่านักศึกษาประชาชนในวันนั้น. เชิญครับคุณทวด!”
จบคำแนะนำ, เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั้งบริเวณมหาวิทยาลัย. ไม่เพียงแต่ในบริเวณลานโพธิ์. ตัวแทนนักศึกษาที่ไปรับเขามาจากหอพักคนชราเดินเข้าไปกระซิบข้างหูเขาสั้น ๆ แล้วถอยกลับไปนั่งเก้าอี้ของตน.
ชายชรากวาดตามองฝูงชนรอบบริเวณลานก่อนจะหันกลับไปมองนิ่งอยู่ที่เนินหญ้าริมน้ำ.
“สวัสดีครับ!” ในที่สุดเขาเอ่ยช้า ๆ ยกมือสั่น ๆ ชี้ไปตามสายตาตัวเอง, เสียงโหย ๆ ดังออกมาจากลำโพงไร้สายตัวเล็ก ๆ ที่เหน็บอยู่ตามกิ่งโพธิ์, “ตรงนั้น สมัยก่อนเคยเป็นที่ตั้งของตึกอะไรสักอย่าง…ตึกอะไรนะ?”
ตัวแทนนักศึกษาคนเดิมรีบลุกเดินเข้าไปกระซิบข้างหูเขาอีก.
“อ้อ, ใช่ครับ, ตึกศิลปศาสตร์,” เขาเอ่ยต่อ, ยิ้มบาง ๆ ผ่านทางสีหน้าแววตา. “ผมไม่น่าลืมเลย, เพราะผมกับเพื่อนสองสามคนเคยแฝงตัวเข้าไปใต้ถุนตึกนั้นบ่อย ๆ. จำได้ว่าสมัยโน้นนักศักษาหญิงเขาต้องแต่งตัวตามระเบียบของมหา’ลัย, ดูเหมือนจะชุดกระโปรงดำเสื้อแขนสั้นสีขาว. แล้วชายเสื้อนี่ต้องยัดไว้ในกระโปรงด้วยนะ ไม่ได้แต่งกันเหมือนเดินออกมาจากร้านแฟชั่นอย่างทุกวันนี้.”
มีเสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้นในหมู่ผู้ฟังหญิงคละเคล้ากับเสียงกระเซ้าของผู้ฟังชาย.
“แต่นักศึกษาชายเขาก็มีชุดมาตรฐานของเขาเหมือนกัน คือ กางเกงยีน, เสื้อยืด, รองเท้าแตะ. กางเกงยีนนี่ต้องขาบานด้วยนะ, บางทีก็บานยังกะดอกแตรนางฟ้าเลย.” เขาทำมือประกอบ.
เสียงหัวเราะดังครืนไปทั้งบริเวณก่อนจะซาลงจนเหลือแค่คิก ๆ คัก ๆ.
“ในช่วงสองสามเดือนก่อนวันนองเลือด,” เขาเอ่ยต่อ, สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม, “ผมกับเพื่อนกระทิงแดงปลอมตัวเป็นนักศึกษาเข้าไปสิงอยู่ใต้ถุนตึกศิลปศาสตร์นั่น. เราได้รับคำสั่งให้คอยติดตามความเคลื่อนไหวของนักศึกษาหัวรุนแรงกลุ่มหนึ่ง…”
เขาเม้มริมฝีปาก, ชี้นิ้วขึ้นไปยังชั้นสองของตึกโดมบนอีกฟากหนึ่งของลานโพธิ์. “เขาซ่องสุมกันอยู่บนนั้น. ถ้าจำไม่ผิดชื่อกลุ่มนี้คือ ‘สหพันธ์นักศึกษาเสรีแห่งประเทศไทย.’ เขาเป็นพวกแนวสู้รบ”
ชายชราเงียบไปอีกครู่, คิ้วขมวด, แววตาครุ่นคิด, พยายามปะติดปะต่อเรื่องราวต่าง ๆ ในอดีตอันไกลโพ้น. “จนกระทั่งในราวกลางเดือนกันยายน, จอมพลถนอม กิตติขจร แอบกลับเข้ามาในประเทศ. ฟางเส้นสุดท้ายก็ขาด, เพราะพวกนักศึกษาไม่ยอม.”
เขากลืนน้ำลาย, หยิบแก้วน้ำจะยกขึ้นดื่ม. ตัวแทนนักศึกษารีบลุกขึ้นไปช่วยประคองแก้วให้ ก่อนจะก้มลงไปกระซิบข้างหูเขาอีก. ชายชราพยักหน้า, หัวเราะเบา ๆ ในลำคอ.
“มีคนถามว่ายุคนั้นมีจอมพลด้วยหรือ?” เขาเอ่ย. “ประวัติศาสตร์ช่วงนั้นคงตายไปแล้วจริง ๆ. หนูคนถามคงไม่ได้อ่านมันเลย, คงแค่อยากมาดูหน้าตาคนแก่อายุข้ามศตวรรษเสียมากกว่า. มีสิครับ. แต่แกเป็นจอมพลคนสุดท้ายในประวัติศาสตร์ของเรา, แกบวชเป็นสามเณรเข้ามา ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นอายุแกก็ปาเข้าไปตั้งเกือบเจ็บสิบแล้ว. พอแกกลับเข้ามา, พวกนักศึกษาก็รวมตัวประท้วงทันที, เรียกร้องให้รัฐบาลไล่แกกลับออกไป, หรือไม่ก็ให้นำตัวมาดำเนินคดี. แต่รัฐบาลนิ่งเฉย. จะไม่นิ่งเฉยได้ไงล่ะครับในเมื่อตอนนั้นรัฐบาลเสนีย์ ปราโมชเป็นแค่เป็ดง่อย. ผู้มีอำนาจตัวจริงนั่งบงการอยู่ในเงามืด…”
“ผู้มีอำนาจตัวจริงคือใครครับ?” เสียงตะโกนห้าว ๆ ดังขัดจังหวะขึ้นจากกลุ่มผู้ฟัง.
“ใจเย็น ๆ ครับ! ใจเย็น ๆ!” ตัวแทนนักศึกษาลุกขึ้นตะโกนบอกพร้อมทำมือทำไม้ขอให้คนถามนั่งลง.
“…มีกองกำลังหลายหน่วยพร้อมปฏิบัติการตามคำสั่งทุกเมื่อ, ทั้งกลุ่มกระทิงแดง, นวพล, ลูกเสือชาวบ้าน, ค้างคาวไทย. มีสถานีวิทยุยานเกราะของกองทัพบกคอยปลุกเร้า แล้วยังมีกองหลังที่เข็มแข็งมาก คือชมรมแม่บ้านทหารบก, หัวหน้าชมรมก็คือ ทมยันตี. ลีลาการพูดของนักเขียนคนนี้ดุดันถึงอกถึงใจพวกเราชาวกระทิงแดงมาก. ได้ฟังท่านพูดทีไรก็อยากบุกมาฆ่านักศึกษาในนี้เสียเดี๋ยวนั้นทุกครั้งไป.”
เขาหยุดไปครู่ใหญ่ คล้ายกำลังพยายามต่อสู้กับอะไรบางอย่างในใจ. บางคนในกลุ่มผู้ฟังเริ่มแสดงอาการอึดอัด.
“หลังจากเณรถนอมเข้าไปอยู่ในวัดบวรฯ ได้ไม่กี่ชั่วโมง,” เขาเอ่ยต่อ, “วิทยุยานเกราะก็ออกข่าวว่าพวกนักศึกษากำลังจะไปบุกวัด. ฝ่ายเราก็ถูกพ่อเรียกให้ไปรวมตัวกันที่บ้านของท่านทันที, เพื่อระดมกำลังไปช่วยกันปกป้องวัด. ผมยังจำได้ตอนพวกเรานั่งฟังท่านวางแผน…”
“พ่อของคุณทวดคือใครครับ?” เสียงตะโกนดังขัดจังหวะขึ้นอีก.
ตัวแทนนักศึกษาลุกขึ้นอีก, แต่ยังไม่ทันได้พูด มนูรีบทำมือเป็นสัญญาณให้เขานั่งลง.
“พลตรีสายสุด ธรณินครับ,” ชายชราตอบ, “ตอนนั้นท่านอยู่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน, เป็นหน่วยงานปราบปรามฝ่ายซ้ายโดยเฉพาะ. ท่านเป็นคนก่อตั้งกลุ่มกระทิงแดง, แล้วท่านก็ให้เราเรียกท่านว่าพ่อ. ผมก็เรียกท่านว่าพ่อจนติดปากเรื่อยมา. ต้องขอโทษด้วยครับ.”
ชายชราหยุดอยู่แค่นั้น, เอามือสั่น ๆ ข้างซ้ายประคองมือข้างขวาที่สั่นไม่น้อยไปกว่ากันยัดลงในกระเป๋าเสื้อ แล้วดึงมันกลับออกมาพร้อมขวดเท่าปลายก้อย. มือสั่นจนขวดทำท่าจะหลุดจากมือ. นักศึกษาคนหนึ่งจึงเดินเข้าไปช่วยถือให้. เขาทำมือให้เด็กหนุ่มช่วยเปิดฝาออก. จากนั้นรีบคว้ามันกลับ เอาปากขวดจ่อกับจมูก สูดหายใจลึกและนาน. หลายคนเฝ้ามองด้วยแววตาเอาใจช่วย.
“ตอนเรานั่งฟังท่านวางแผน,” แกว่าต่อ, “ผมยังจำได้ว่าท่านคอยย้ำอยู่ตลอดเวลาว่าเราเข้าสู่ภาวะสงครามแล้ว, ให้พวกเราช่วยกันปกปักษ์รักษาชาติศาสน์กษัตริย์เอาไว้ให้ได้. ยุคนั้น คำว่า ‘ชาติศาสน์กษัตริย์’ เป็นคำขวัญที่คนทั้งชาติถูกกรอกหูอยู่ทั้งวันทั้งคืน. พวกเราก็เชื่อสนิท. แล้ววันนั้นวิทยุยานเกราะในบ้านท่านก็ยังคอยปลุกระดมเสียงดังลั่นอยู่ตลอดเวลาว่าพวกนักศึกษากำลังเตรียมจะบุกไปเผาวัดบวรบ้าง, กำลังสะสมอาวุธหนักกันในธรรมศาสตร์บ้าง, พวกเวียดกงเริ่มแทรกซึมเข้าทางอีสานเตรียมบุกยึดกรุงเทพฯ แล้วบ้าง…”
“คุณทวดครับ!” เด็กหนุ่มหน้าตาบ่งบอกว่าเป็นคนใจร้อนขัดจังหวะ, “ไหนว่าวันนี้คุณทวดจะมาสารภาพบาป. ไหนว่าคุณทวดจะมาปลดปล่อยความจริง. ความจริงเรื่องไหนครับ? เราอยากรู้แค่เรื่องเดียวว่าใครสั่งฆ่านักศึกษาในวันนี้เมื่อร้อยปีที่แล้ว.”
หลายคนพลอยใจร้อนตาม แต่ก็แค่พยักหน้าเห็นด้วย.
เขาพยักหน้า, หลับตานิ่งไปอีกครู่. เขาหลับตาบ่อยขึ้น, หายใจถี่ขึ้น, แข้งขาเริ่มกระตุกเป็นที ๆ, บางครั้งกระตุกขึ้นไปถึงทรวงอก. เขาถอนหายใจยาว พลางเงยหน้ามองเรือนยอดของต้นไม้คู่บารีของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. “ผมกับเพื่อนอีกสองคนเคยวางแผนมาวางระเบิดต้นโพธิ์ต้นนี้นะ.”
ฝูงชนเงยหน้ามองตาม.
“นี่ก็บาปอีกอย่างที่ผมจะมาสารภาพในวันนี้...” เขาชี้ขึ้นไปบนเรือนยอด แล้วไล่ปลายนิ้วช้า ๆ ลงมาที่บริเวณโคนของมัน.
ฝูงชนเงียบกริบ รวมทั้งพวกใจร้อนทุกคน.
“...เพราะตอนนั้นพระเถระที่พวกเรานับถือองค์นึงออกมาประกาศว่าฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป, จะฆ่าเป็นหมื่น ๆ ก็ไม่บาป. พวกเราก็เลยยิ่งอยากฆ่าพวกมัน. พ่อบอกว่าพวกธรรมศาสตร์เป็นคอมมิวนิสต์. แม้แต่ โพธิ์ต้นนี้ก็เป็นโพธิ์คอมมิวนิสต์...”
“แล้วได้ระเบิดหรือเปล่าคะ?” เด็กสาวคนหนึ่งอดใจไม่ไหว ชิงถามพร้อมกับชี้มือไปที่โคนโพธิ์. “หรือว่าโพรงนั่นเกิดจากแรงระเบิด? แต่ดูแล้วมันน่าจะเป็นโพรงธรรมชาตินะคะ.”
“คืนหนึ่ง...,” น้ำเสียงของแกยิ่งเนิบเนือยลงทุกขณะ, “ราว ๆ ตีสองเห็นจะได้. ผมกับเพื่อนสองคนนำทีเอ็นทีมาคนละแท่ง, เดินเลาะริมน้ำท่าพระจันทร์มาขึ้นฝั่งที่ตึกศิลปศาสตร์. แถว ๆ หลังคันดินนั่นละครับ. ที่จริงเราจะเบ่งเข้ามาทางประตูก็ยังได้ แต่กลัวว่าหลังเสร็จงานแล้วเรื่องจะบานปลาย, ...เพราะพวกยามอาจจะถูกสื่อรุมกดดันให้พูดเรื่องรูปร่างหน้าตาของเรา. เรากะจะเอาดินระเบิดสามแท่งไปใส่ในโพรงที่โคนของมัน, โพรงที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาตินั่นแหละ, แล้วต่อชนวนไปจุดหลังตึก, ...แล้วก็จะหนีกลับทางเดิม, ไปนั่งฟังเสียงระเบิดกันแถว ๆ ท่าพระจันทร์…จากริมน้ำ เราย่องกันมาจนถึงหน้าลิฟท์. แถว ๆ นั้นละครับ. แต่พอโผล่ออกมาจากใต้ตึกก็ต้องผงะ เพราะมีคนอยู่กันเต็มบริเวณลาน.”
“ตีสองอ่ะนะ, เขาไปรำลึกอะไรกันหรือครับตีสอง?” ตัวประธานจัดงานถามขึ้นเอง.
“บางคนมีลิ่มปักอกนอนตาเบิ่งค้างอยู่กับพื้น, ...บางคนมีเชือกผูกคอ เดินคอพับคออ่อน ก่อนจะกระชากหัวตัวเองออกมาถือ, ...บางคนท้องถูกผ่า, เดินหอบไส้พุงไปรอบ ๆ ต้นโพธิ์, หลายคนตัวไหม้ดำเป็นตอตะโกดูไม่ออกว่าหญิงหรือชาย, บางคนใบหน้ายุบไปซีกหนึ่ง, ร่างเหวอะหวะจนดูไม่เป็นคน….คนนี้ผมจำได้ว่า….”
เหมือนจู่ ๆ ลิ้นก็คับปาก, มณู พิณทองพยายามกลืนน้ำลาย. ปากสั่นริก.
“คุณทวดคะ คุณทวด, คุณทวดเป็นไรไปหรือเปล่าคะ?”
“นั่นสิ, แกจะไหวหรือเปล่าวะ? ฉันว่าเอาแกกลับไปส่งบ้านพักคนชราเสียจะดีกว่าละมั้ง.”
“...คนที่หน้าบุบ ร่างเหวอะหวะทั้งตัวนี่ ผมจำได้ว่าผมเป็นคนจัดการเอง,” ในที่สุดเขาตั้งสติได้, “ผมยืมปืนคาร์ไบน์ของตำรวจคนหนึ่ง แล้วเอาด้ามปืนกระแทกหน้าเขาเต็มเหนี่ยว. จากนั้น...พวกลูกเสือชาวบ้านก็ฮือกันเข้าไปซ้ำ, ทั้งฟันทั้งแทง. เมื่อเช้าก่อนมาที่นี่ ผมก็เห็นเจ้าคนนี้มายืนกวักมือเรียก...คงเป็นผลจากบาป...บาปที่ผมต้องมาสารภาพ.”
“แต่นั่นมันเหตุการณ์ในวันที่หกนี่ครับ. มันจบไปแล้ว. แล้วคุณทวดจะเอาระเบิดไปทำลายต้นโพธิ์อีกทำไม?”
“ก้อ...ก้อ...เพื่อจะได้ไม่เหลือร่มเงาให้กับพวกคอมมิสนิสต์อีกต่อไปไงครับ.”
“แล้วตีสองคืนนั้นพวกยามไปอยู่เสียที่ไหน? ประตูท่าพระจันทร์มันก็อยู่ตรงนั้น ใกล้นิดเดียว. พวกเขาไม่เห็นกันหรือไงว่าผีมาอยู่กันเต็มลานโพธิ์?”
“เรามองไม่เห็นพวกเขาครับ เพราะเหลี่ยมตึกฝั่งที่มีลิฟท์บังอยู่.
“ถามจริงเถอะคุณทวด. ตอนนั้นคุณทวดประสาทหลอนไปหรือเปล่า?”
“ถ้าประสาทมันหลอนผม…มันก็หลอนเพื่อนผมอีกสองคนด้วยน่ะสิ.”
มีเสียงหัวเราะหึ ๆ ดังออกมาจากกลุ่มผู้ชาย. มีเสียงคิกคักแทรกออกมาจากกลุ่มผู้หญิง. หลายคนหันไปยิ้มมุมปากและหรี่ตาให้กัน.
เขาถอนหายใจลึก, หลับตานิ่งยาว ท่าทางราวกับจะหลับไปจริง ๆ. กรงเล็บอาฆาตแค้นอันทรงพลังของอดีตกลับมาขยุ้มสมองเขาอีกคำรบ. ขณะที่จงอยปากของมันจิกกระชากเส้นใยชีวิตที่เหลืออยู่เพียงบาง ๆ.
“คุณทวด! เป็นไรไปหรือเปล่าครับ?” ประธานจัดงานเข้าไปนั่งยอง ๆ จับมือเขา พร้อมกับกวักมือเรียกทีมงานเข้าไปหา.
เขาส่ายหน้า ตายังหลับ แต่ใบหน้าเริ่มบูดเบี้ยว.
“ถ้างั้น,” เด็กหนุ่มใจร้อนโพล่งขึ้น, “ตอบสิครับว่าใครเป็นคนสั่งฆ่านักศึกษาในวันนั้น. เราจะได้แยกย้ายกันกลับเสียที.”
เขาเบิ่งตาโพลง, กรัดกรามแน่น, ใบหน้าสั่น, คางสั่น, น้ำลายเริ่มฟูมปาก. “มัน…มัน…ไม่ใช่…มัสติคา...น้ำผึ้ง…มัน…ร ร ร ร...”
ท่ามกลางความตกตะลึงของผู้ฟัง, ร่างบอบบางของมนู พิณทองทะลึ่งพรวด ก่อนจะทรุดลงไปนั่งแน่นิ่ง, ศีรษะพิงสันพนักเก้าอี้, แขนสองข้างร่วงลงคร่อมเท้าแขน. พระหัตถ์อ่อนนุ่มของเทพีแห่งละอองฝนยื่นลงมาปิดเปลือกตาให้เขา.
6 ตุลาคม 2565
15 Akademias St., 7th Floor, Athens, Greece

 

  

สนใจสมัครสมาชิกผู้มีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท. โปรดคลิ๊ก  

whitebanner