6 ตุลาฯ สู่สายธารปฏิวัติ

พิรุณ ฉัตรวนิชกุล


ตอนที่ 1
พรรคส้งคมนิยมถูกยุบ
มีคำสั่งจับกุมกรรมการพรรคทุกคน

มีบันทึกของอดีตกรรมการพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย กรรมการประสานงานประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (กปชป.) และกองบรรณาธิการ “สามัคคีสู้รบ” จำแนกผู้ร่วมขบวนว่า ใครเข้าป่ากับกลุ่มไหน มาทางใด เช่น บ้างมาทางฝรั่งเศส มาทางจีน ทางเวียดนาม ลาว และกลุ่มที่เข้าป่าพร้อมกับพี่ “ไขแสง สุกใส” ตั้งแต่ก่อนเกิดกรณีสังหารหมู่ 6 ตุลาฯ แต่มีกรรมการบางท่าน ไม่ทราบว่า รอดหนีลี้ภัยจากเมืองสู่ป่าได้อย่างไร ผมจึงอาสามาเฉลย

( 1 )


คืนวันที่ 5 ตุลาคม 2519
ผมอยู่กับ “ชำนิ ศักดิเศรษฐ์” เลขาธิการพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย ซึ่งเพิ่งเดินทางกลับจากการปราศรัยที่ชุมนุมแห่งหนึ่งทางภาคใต้ เพื่อคัดค้านการเดินทางกลับมาของอดีตจอมพลถนอม
ชำนิมาถึงธรรมศาสตร์ค่อนดึกแล้ว ยังขึ้นพูดบนเวทีอีกรอบ ช่วงเวลานั้นเขาต้องขึ้นปราศรัยบ่อยเนื่องจากเป็นนักการเมืองฝีปากกล้า เป็นอดีตส.ส.นครศรีธรรมราชที่มีชื่อเสียง มีมวลชนชื่นชอบมากทีเดียว


เมื่อพบกันข้างเวที ชำนิบอกผมว่า เจ็บคอ เสียงแหบ น่าจะเป็นหวัด เดินทางไม่ได้พักผ่อน คงต้องขอตัวกลับบ้านก่อน ข้าวปลาอาหารก็ยังไม่ตกถึงท้องเลย…
ผมเองก็ติดภารกิจ ต้องเขียนบทบรรณาธิการให้วารสารของพรรคสังคมนิยมที่กำลังรอขี้นแท่นพิมพ์อยู่ ชักช้าไม่ได้แล้ว
เราจึงชวนกันเดินออกจากธรรมศาสตร์ด้านประตูท่าพระจันทร์ และเลยไปแวะกินก๋วยเตี๋ยวคนละชามก่อนจะไปขึ้นรถเมล์กลับบ้าน


เช้ามืด มีเสียงโทรศัพท์ดังลั่นท่ามกลางความเงียบ ผู้คนในบ้านยังอยู่ในนิทรารมณ์อย่างมีความสุข ผมหลับไม่สนิทเพราะกังวลกับสถานการณ์ตึงเครียดในธรรมศาสตร์ จึงรีบเดินลงมารับโทรศัพท์ที่ชั้นล่าง เสียงปลายสายเป็นผู้ชาย “เขา” เป็นรุ่นพี่คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ เพิ่งคบหากันไม่นาน แต่หมั่นมาพบปะผมตามวงสัมมนาอภิปรายที่มีการประกาศเปิดเผย “เขา” บอกชอบฟังผมพูด และสนใจการเมืองแนวสังคมนิยม แต่เนื่องจากมีนิวาสถาน กิจการงานอยู่ที่จังหวัดขอนแก่น และเคารพนับถือ “ลุงแคล้ว นรปติ” ส.ส.ขอนแก่นหลายสมัย จึงไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคแนวร่วมสังคมนิยมแห่งประเทศไทย ผมก็สนับสนุนว่า ลุงแคล้วเป็นนักการเมืองอาวุโสที่มีจุดยืนเพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างมั่นคงมาก


“เขา” ระล่ำระลักเล็กน้อย เล่าสถานการณ์ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ว่า เกิดเหตุยิงกัน มีกระทิงแดง ตำรวจ ทหาร ปิดล้อมประตูเข้าออกมหาวิทยาลัยไว้แน่นหนา เข้าใจว่านักศึกษาประชาชนที่ชุมนุมอยู่ข้างในคงไม่ปลอดภัย “เขา” เป็นห่วงผม ไม่แน่ใจว่าอยู่ในธรรมศาสตร์หรือไม่ จึงลองโทรมาหาที่บ้าน และแนะนำผมให้ออกจากบ้านไปก่อน ไม่แน่ใจว่าหลังจากนี้ จะมีอะไรรุนแรงตามมาอีกหรือไม่


ผมรีบแต่งตัวออกจากบ้าน ตรงไปที่ธรรมศาสตร์ แต่รอบมหาวิทยาลัย มีผู้คนหนาแน่น เข้าใกล้ประตูทางเข้าไม่ได้แล้ว ก็ยังคิดว่า ต้องรีบไปจุฬาฯ ถ้าจัดชุมนุมนิสิตจุฬาฯและมหาวิทยาลัยอื่นๆได้ ยังมีทางหนุนช่วยคลายวงล้อมที่ธรรมศาสตร์ได้


คิดไม่ถึงว่า การปิดล้อมธรรมศาสตร์โดยกองกำลังผสม ทหาร ตำรวจ และหน่วยพลเรือนจัดตั้งติดอาวุธครั้งนี้ จะมีจุดมุ่งหมายก่อการสังหารหมู่นิสิตนักศึกษาและประชาชนที่มีแต่สองมือเปล่าอย่างเหี้ยมโหด และได้วางแผนสลายกำลังของนักศึกษาสถาบันอื่นๆ ทั้งในเขตกรุงเทพและจังหวัดหัวเมืองใหญ่ไว้แล้ว ที่จุฬาฯ จึงมีเจ้าหน้าที่ขับไล่ผู้คนที่มารวมตัวกันให้ออกจากมหาวิทยาลัย สั่งปิดการเรียนการสอน และทยอยปิดประตูทางเข้า


เมื่อผมไปถึงหน้าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รถของคณาจารย์ขบวนสุดท้าย กำลังจะออกพ้นประตู โชคดีที่อาจารย์ใน ”จัดตั้ง” ท่านหนึ่ง นั่งอยู่ในรถ และทันเห็นผมที่หน้าประดู จึงส่งสัญญาน ”นัดพบฉุกเฉิน” ตามวันและสถานที่ที่เคยกำหนดไว้แล้ว


ผมตรงไปที่ทำการพรรคสังคมนิยมฯ เลขาธิการพรรค ชำนิ ศักดิเศรษฐ์ ไม่ทันได้พักเต็มตา ก็รีบมาถึงที่ทำการพรรคพอดี ปกติที่นี่จะมีเจ้าหน้าที่ ผู้ปฏิบัติงานมาเคลื่อนไหวทำกิจกรรมกันมากหน้าหลายตา แต่เช้าวันที่ 6 ตุลาฯ ชาวพรรคสังคมนิยมฯจำนวนไม่น้อย ก็ไปชุมนุมในม.ธรรมศาสตร์เช่นกัน เลขาธิการฯชำนิ โทรศัพท์ติดต่อกับบรรดารองเลขาฯ และกรรมการบางท่าน แต่ไม่ค่อยได้ผลเท่าไรนัก จึงตัดสินใจว่าให้ออกจากที่ทำการไปก่อน ติดตามสถานการณ์ให้มีความชัดเจนแล้ว ค่อยรวมตัวกันอีกที


ออกจากที่ทำการพรรค ชำนิชวนผมไปหลบที่บ้าน ”มวลชน” คนบ้านเดียวกันจากนครศรีธรรมราช

“มวลชน” ของชำนิ เป็นนิสิตสาวปีสุดท้าย คณะคุรุศาสตร์ จุฬาฯ น้องชายเรียนอยู่คณะวิศวกรรมศาสตร์ ส่วนน้องสาวคนเล็ก ยังเป็นนักเรียนมัธยม โรงเรียนสตรีวิทย์
ชำนิบอกผมว่า บ้านนี้เป็น ”เซฟเฮ้าส์” ตื่นตัวทางการเมืองทั้งบ้าน สนับสนุนพรรคสังคมนิยมฯ กับศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ไม่ชอบเผด็จการทรราชย์ ไปร่วมชุมนุมบ้างบางครั้งหรือร่วมกิจกรรมอภิปรายการเมืองและฟังเพลงเพื่อชีวิต ซื้อหนังสือก้าวหน้ามาอ่านเต็มบ้าน แต่ไม่ถึงกับเป็นแอ็คติวิสต์ แต่งตัวสไตล์ ”5 ย.”เคลื่อนไหวกับชาวไร่ชาวนา


ผมกับชำนิได้ดูภาพเหตุการณ์บางส่วนในธรรมศาสตร์ทางโทรทัศน์ครั้งแรกของวันที่ 6 ตุลาฯ ที่บ้านนี้แหละครับ มีภาพนิสิตนักศึกษาและประชาชนจำนวนมากถูกจับกุม ถูกไล่ต้อนขึ้นรถไปคุมขังที่เรือนจำโรงเรียนพลตำรวจบางเขน วันต่อๆ มาจึงได้เห็นหนังสือพิมพ์บ้าง น้องๆ ออกไปพบปะเพื่อนฝูงกลับมาเล่าข่าวที่น่าเศร้าสะเทือนใจของปฏิบัติการสังหารหมู่ในธรรมศาสตร์ให้ฟังบ้าง


มาทราบข่าวภายหลังว่า มีการเข่นฆ่านักศึกษาประชาชนในลานประหารที่ธรรมศาสตร์นี้อย่างน้อย 39 คน บาดเจ็บ 145 คน ที่รอดตายแต่ถูกจับกุมถึง 3,094 คน


มีข่าว พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ รัฐประหารยึดอำนาจ แต่เรียกชื่อคณะตนเองเสียสวยหรูว่า ”คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน” แต่งตั้งนายธานินทร์ กรัยวิเชียร ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะศาลฎีกา และวิทยากรต่อต้านคอมมิวนิสต์เป็นนายกรัฐมนตรี


วันดีคืนดี ก็ปรากฏข่าว นายสมัคร สุนทรเวช รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย ส่งตำรวจไปตรวจค้นบ้าน ผู้ ”ต้องสงสัย” เป็นภัยสังคม หากพบหนังสือ “ต้องห้าม” ที่มหาดไทยประกาศกว่า 200 ชื่อเรื่อง ก็จะถูกเผาทิ้งทันที บ้านเมืองที่เคยมีบรรยากาศประชาธิปไตยกลับแปรเปลี่ยนเข้าสู่ทุรยุคทมิฬหีนชาติ


“รัฐบาลในเปลือกหอย” ประกาศแผนครองอำนาจ 12 ปี ไม่มีสภาผู้แทนราษฎร ไม่มีการเลือกตั้ง ยุบพรรคการเมืองทั้งหมด
ส่วนพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทยนอกจากถูกยุบแล้ว ยังมีประกาศให้กรรมการพรรคฯ ทุกคนไปมอบตัวกับทางการ มิเช่นนั้นจะถูกจับกุม


ประเด็นนี้เป็นการคุกคามกรรมการพรรคสังคมนิยมฯโดยตรง ผมจึงถามชำนิว่าจะตัดสินใจอย่างไร
ตัวผมเอง ก็จับพลัดจับผลู ถูกเสนอชื่อในที่ประชุมใหญ่พรรคสังคมนิยมฯให้เป็นกรรมการพรรคชุดล่าสุด…
มิใยว่าผมจะปฏิเสธอย่างไรก็ถูกแย้งว่าฟังไม่ขึ้น และผมยังได้รับเลือกด้วยเสียงส่วนใหญ่อีก ผมจึงพลอยถูกประกาศจับด้วย


ชำนิขอเวลาปรึกษากรรมการพรรคฯ ที่พอติดต่อได้ก่อน แต่เคยคุยกันไว้บ้างหลังเกิดโศกนาฏกรรมที่ ดร.บุญสนอง บุณโยทยานถูกลอบสังหารว่า หากเกิดรัฐประหาร มีการปราบปรามอย่างรุนแรงไร้ความเป็นธรรมแล้ว ก็จะขอเข้าป่าไปอยู่กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ตามรอยพี่ไขแสง สุกใส อดีตรองหัวหน้าพรรค ซึ่งขณะนั้นก็เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่า ได้เดินทางเข้าป่าไปร่วมกับ พคท. แล้ว


ผมเลียบเคียงถามว่า มีทางติดต่อเข้าป่ายังไงบ้าง ชำนิบอกต้องไปถาม ‘แสงธรรม’ (ชื่อจัดตั้งที่ใช้กันภายหลังในป่า) หรือถาม อุดร ทองน้อย ที่เคยเข้าป่าไปพร้อมพี่ไขแสง แล้วเพิ่งกลับออกมาอยู่บ้าน


ผมคุยกับชำนิอีกพักใหญ่ ขอความมั่นใจว่า จะเข้าป่าไปตามพี่ไขแสงจริงๆ ไม่เปลี่ยนใจแน่นอน และถ้าไว้ใจผม ผมจะพากรรมการพรรคสังคมนิยมที่สมัครใจเข้าป่าเอง


จากนั้น นัดแนะวันเวลาและสถานที่ติดต่อกันอีกครั้งหนึ่ง โดยขอให้รักษาความลับไว้อย่างสุดยอด


เช้าวันรุ่งขึ้น ผมร่ำลาน้องเจ้าของบ้านผู้มีน้ำใจงดงาม ช่วยเหลือผมไว้ในยามหลบหนีหัวซุกหัวซุน น้องคงรู้จักผมในฐานะรุ่นพี่ อดีตนายกสโมสรนิสิตจุฬาฯ แต่ผมไม่ถามชื่อเสียงเรียงนามของน้องๆในบ้านเลย เป็นการรักษาความลับให้ผู้มีพระคุณอีกทางหนึ่ง


การไปหลบอยู่บ้านน้องในช่วงสายของวันที่ 6 ตุลาฯ 2519 หลายวัน ประทับอยู่ในความทรงจำของผมไม่รู้ลืม ไม่ได้เล่าให้ใครฟัง แต่เคยคิดบางแวบเหมือนกันว่า จะมีโอกาสพบเจอน้องอีกไหม… ไม่ทราบครอบครัวนี้ จะเป็นอย่างไรบ้าง


ผ่านจากปี 2519 ไปเกือบ 20 ปีครับ น้องเจ้าของบ้านไปหาผมที่ร้านหนังสือและของเล่นเด็กที่ผมเปิดกิจการอยู่แถวบ้านเธอ น้องบอกว่า ติดตามข่าวผมเสมอมา รู้ว่าออกจากป่าก็ติดคุก ออกจากคุกก็หายไประยะหนึ่ง เพิ่งอ่านเจอในหนังสือพิมพ์ว่าตอนนี้มาเปิดร้านขายหนังสืออยู่ในศูนย์การค้าใหญ่หน้าหมู่บ้านที่ผมเคยมาหลบเมื่อครั้ง 6 ตุลาฯ ก็เลยตั้งใจมาเยี่ยม
การได้พบสนทนากันอีกครั้ง ให้ความรู้สึกสดชื่นเบิกบานอย่างบรรยายไม่ถูก ได้โอกาสกล่าวขอบคุณจากใจจริง ยิ่งได้รับรู้ความสำเร็จในชีวิตที่งดงามมั่นคงว่า น้องเป็นคนนครศรีธรรมราช แต่แต่งงานกับนายแพทย์ที่สมัครใจไปอยู่อีสาน จนได้เป็นเจ้าของโรงพยาบาลทันสมัยใหญ่โต และยังได้ทำงานสาธารณะ เป็นสมาชิกวุฒิสภาของจังหวัดหนึ่งทางอีสานด้วย


ทุกวันนี้ ก็เป็นเพื่อนมิตรกันทางเฟซบุ๊ก

ในที่สุด ผมจะพากรรมการและอดีตส.ส.พรรคสังคมนิยมฯ เข้าป่าทางไหน ?
(โปรดติดตาม)

 

 

 

สนใจสมัครสมาชิกผู้มีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท. โปรดคลิ๊ก  

whitebanner