# สำนึกร่วมทางประวัติศาสตร์.....วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516
โดย “หล้าหล่อ สมบูรณ์”
เหตุการณ์เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 เป็น "จิตสำนึกร่วมทางสังคม" และพัฒนาขยายตัวเป็น "สำนึกทางประวัติศาสตร์" เชื่อมต่อจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 และต่อเนื่องเป็นเหตุการณ์วันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519
จากวันปฏิวัติประชาธิปไตย พ.ศ.2475 ถึงวันประชาธิปไตยเบ่งบาน พ.ศ.2516 ฝ่ายพลังใหม่ต้องล้มลุกคุกคลาน เกิดความแตกแยกโกลาหล ขบวนประชาธิปไตยต้องต่อสู้ทั้งภายนอกและภายใน ในขณะที่ฝ่ายอนุรักษ์และอำนาจนิยม ซึ่งเป็นชนชั้นนำและอยู่ในฐานะได้เปรียบ พวกเขารักษาผลประโยชน์ของตนและสืบทอดอำนาจจากรุ่นสู่รุ่นมาได้ยาวนาน
เหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ผ่านมาถึงเดือนนี้ปี พ.ศ.2567 นี้นับได้ 51 ปีแล้ว พัฒนาการทางการเมืองของสังคมไทยในปัจจุบัน สะท้อนออกชัดเจนในการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลครั้งล่าสุด
พรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่ที่ประกาศตนเป็นฝ่ายประชาธิปไตยได้รับคะแนนเสียงมาเป็นอันดับหนึ่ง พรรคการเมืองใหญ่ที่ประกาศตนขณะหาเสียงว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตยได้คะแนนมาอันดับสอง แต่สามารถพลิกเกมการเมืองมาเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ โดยยอมกลืนน้ำลายตนเองจับมือกับพรรคการเมืองสายคณะรัฐประหาร อภิมหาทุน และกลุ่มพวกบ้านใหญ่
ใครสามารถหยั่งรู้ได้ว่า ความคิดจิตวิญญาณประชาธิปไตยของบุคคลในซีกรัฐบาล มีเข้มข้นหรือเจือจางขนาดไหน ในสัดส่วนที่ผสมปนเปอยู่กับสำนึกของเจ้าขุนมูลนาย และบริษัทบริวารของนายทุนเจ้าของพรรค
ใน "วาระ 51 ปี 14 ตุลาฯ" หากกล่าวถึงสำนึกแห่งประชาธิปไตยของประชาชน ซึ่งถือว่ามีขบวนต่อสู้เรียกร้องสิทธิ เสรีภาพมานับศตวรรษ มีเนื้อนาบุญ มีปุ๋ยชั้นเลิศ มีหน่ออ่อนที่ผุดงามเพิ่มขึ้นทั้งปริมาณและคุณภาพ โดยเฉพาะในหมู่เยาวชนคนรุ่นใหม่ แต่ถ้าเปรียบเทียบกับหลักคิด ค่านิยม วิถีจารีตต่าง ๆ ที่ปลูกฝังเหนี่ยวรั้งกันมายาวนาน จะเห็นได้ว่ากระแสอนุรักษ์จารีตนี้ยังยึดโยงสร้างเครือข่ายอำนาจนำครอบงำสังคมไทย
แต่หากจำกันได้ การแสดงวิสัยทัศน์ที่เข้มข้นบนทุกเวทีของตัวแทนพรรคฯลำดับต้น ๆ ก่อนถึงวันหย่อนบัตร ทุกประเด็นสำคัญที่ยกขึ้นถกอภิปรายกัน ตัวแทนพรรคฯฝ่ายเสรีนิยมประชาธิไตย ได้แสดงจุดยืนของตนด้วยเหตุผล อย่างแจ่มชัด กระชับ ขณะฝ่ายคู่แข่งท่องคำขวัญเก่าซ้ำ ๆ พูดวกวน ไม่ตรงประเด็น ฝ่ายเสรีนิยมประชาธิปไตยจึงชนะการเลือกตั้งชนิดถล่มทลาย และถือเป็นคำตอบว่า สังคมไทยต้องการการเปลี่ยนแปลง
สุดท้ายด้วยกฎกติกาที่ไม่เป็นธรรม ด้วยการตระบัดสัตย์เพื่อผลประโยชน์เฉพาะตนของกลุ่มชนชั้นนำ อำนาจรัฐจึงยังตกอยู่มือฝ่ายอนุรักษ์จารีตนิยม
นักการเมืองและพรรคการเมืองที่มีความคิดใหม่ มีความคิดที่ก้าวหน้า จึงต้องยืนหยัดต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ ยึดมั่นหลักการ กล้าเผชิญอุปสรรคปัญหา รักษาผลประโยชน์ของประชาชน สั่งสมประสบการณ์ บทเรียน เตรียมให้พร้อมเพื่อนำแนวทาง นโยบาย ไปปฏิบัติให้ปรากฏเป็นรูปธรรม.
สนใจสมัครสมาชิกผู้มีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท. โปรดคลิ๊ก