6 ตุลาฯ สู่สายธารปฏิวัติ  ตอนที่ 3 ศูนย์กลางฯเห็นด้วยกับการก่อตั้ง “แนวร่วมรักชาติรักประชาธิปไตย”

พิรุณ ฉัตรวนิชกุล

 

 

“สำเร็จ” เป็นนักข่าวเชี่ยวชาญด้านการเมือง เป็นทีมข่าวเฉพาะกิจของหน้า 1 หนังสือพิมพ์ “ไทยรัฐ” รู้จักนักการเมืองมาก ทั้งรุ่นเก่ารุ่นใหม่ พรรคฝ่ายซ้ายฝ่ายขวา พรรครัฐบาลและฝ่ายค้าน ถือเป็นนักข่าวมืออาชีพที่มีความสัมพันธ์กับนักการเมืองกว้างขวาง เขาเคยเป็นนักข่าวสายภูมิภาค ประจำ”หาดใหญ่” จังหวัดสงขลามาก่อน เมื่อย้ายเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ ยังไม่มีบ้านช่องของตนเอง เลย “สิง” อยู่ห้องพักของนักข่าวสายภูมิภาค ที่สำนักงานสำรองไว้ให้นักข่าวเวลาเข้ามาประชุมติดต่องานกับสำนักงานใหญ่


หลัง 6 ตุลาฯ 19 นสพ.ไทยรัฐ ถูกรัฐบาลสั่งปิด เพิกถอนใบอนุญาตพร้อม นสพ. อื่น ๆ อีกหลายฉบับ มีการอุทธรณ์คำสั่ง ขอจดทะเบียนใหม่เพื่อดำเนินการต่ออุตลุดวุ่นวายทีเดียว โดยนายสมัคร สุนทรเวช รมต.กระทรวงมหาดไทย เป็นหัวโจกสำคัญเข้ามาก้าวก่ายควบคุมสื่อมวลชนถึงขั้นวางเงื่อนไขว่า ต้องไม่มีคอลัมนิสต์คนนั้นคนนี้อยู่ในกองบรรณาธิการ หรือเขียนวิจารณ์การเมืองอีก ส่งผลให้ “สามตา” คอลัมนิสต์ข่าวสังคมการเมืองผู้สะบัดปลายปากกาแทนทวน ต้องพรางกายแปลงเพศไปเป็น “แม่ช้อยนางรำ” ชวนชิมอาหารอร่อยไปทุกทิศทั่วไทย โด่งดังยิ่งกว่าเดิมอย่างที่นายสมัครคาดไม่ถึง


ภรรยาของอุดร ทองน้อย อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดยโสธร ทำงานอยู่ฝ่ายบัญชีหรือการเงิน ในสำนักงานของ นสพ.ไทยรัฐ นั่นเอง “สำเร็จ” จึงรู้จักและรับรู้ข่าวคราวของอุดรว่ากำลังร้อนรน เกรงว่าจะถูกเพ่งเล็งและถูกจับกุมในข้อหาเป็น ”ภัยสังคม” สถานการณ์ขณะนั้น ทั้งธานินทร์-สมัคร-ดุสิต ศิริวรรณ ขันแข็งเร่งเร้า กระพือให้ผู้คนกังวลความปลอดภัย คิดหาช่องทางหลบหนีเงื้อมมือกบิลเมืองทมิฬกันทั่วหน้า ที่อีศาน มีข่าวนายสุธีร์ ภูวพันธ์ อดีต ส.ส.จังหวัดสุรินทร์ ผู้เคยได้รับเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงอันดับ 1 ของประเทศ เป็น ส.ส.รุ่นราวคราวเดียวกับนายเปลื้อง วรรณศรี และเป็น “คอมมิวนิสต์ลาดยาว” ร่วมคุกกับทนายทองใบ ทองเปาด์ หลัง ”ฟ้าผ่า” วันที่ 6 ตุลาฯ 19 ทนายทองใบไปติดตามคดีความอยู่ที่สุรินทร์พอดี จึงไปเคาะประตูบ้านนายสุธีร์ ปรึกษาหารือฉุกเฉินกัน แล้วมีข้อสรุปคือ หาทางหนีให้ปลอดภัยไว้ก่อน แต่สุธีร์ยังเสียทีจนได้ คือเตือนภรรยาไม่ทัน ภรรยาถูกจับกุมข้อหาภัยสังคม เป็นที่ร่ำลือโจษจันตามหน้า นสพ. อุดรได้ติดตามข่าวลักษณะนี้ก็ยิ่งไม่สบายใจ


ผมกับอุดร ทองน้อย เคยรู้จักมักคุ้นกันบ้างตอนยังอยู่มหาวิทยาลัย แม้จะต่างสถาบัน เนื่องจากผมไปรับเป็นบรรณาธิการวารสาร “สังคมศาสตร์ปริทัศน์” ฉบับนิสิตนักศึกษา ภายใต้การดูแลของพี่สุชาติ สวัสดิ์ศรี ผมจึงขอให้อุดร ซึ่งเรียนอยู่คณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ รับเป็นตัวแทนในกองบรรณาธิการด้วย เมื่อผมจบจุฬาฯไปก่อนแล้ว ก็เลือกเส้นทางทำหนังสือแนว “เพื่อชีวิต เพื่อประชาชน” และเดินทางไปต่างประเทศพักใหญ่ ส่วนอุดรเรียนจบแล้ว เป็นทนายความช่วงสั้น ๆ


หลัง 14 ตุลาฯ ท้องฟ้าเปิดกว้าง มีรัฐธรรมนูญใหม่ มีการเลือกตั้ง มีพรรคการเมืองแนวทางที่สอดคล้องกับอุดมคติของคนรุ่นใหม่ในยุคนั้น คือพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย อุดรสมัครรับเลือกตั้งที่บ้านเกิดกุดชุมสมัยแรก ก็ได้เป็น ส.ส.จังหวัดยโสธรที่อายุน้อยที่สุดในสภาผู้แทนราษฎร เมื่อผมกลับมาจากต่างประเทศ ก็ทำงานอยู่ นสพ.อธิปัตย์ ไม่ได้ไปทางการเมืองแนวเลือกตั้ง แม้จะมีเพื่อนอยู่ในพรรคสังคมนิยมฯ จำนวนมากก็ตาม


ปัญหาของอุดรก็คือ เคยติดตามพี่ไขแสง สุกใส เข้าป่าที่ดงผาลาด เขตฐานที่มั่นทางทหารภูพานมาแล้ว ทั้งคณะที่เดินทางไป 5 คน ไปถึงเป้าหมายแค่ 2 คน อีก 3 คนขอกลับออกมาก่อน เพราะติดภาระทางครอบครัว และคนหนึ่งป่วยเป็นไข้มาเลเรีย ทั้งหมดไม่ได้อยู่ในจัดตั้งของ พคท. มีแต่พี่ไขแสง เป็นเพื่อนร่วมคุกและร่วมยากกับ วิฑิต จันดาวงศ์ ลูกชายของครูครอง จันดาวงศ์ เท่านั้น หลังกลับออกจากป่าแล้ว อุดรก็ไม่มีการติดต่อใกล้ชิดกับจัดตั้งสายไหนของ พคท.อีก อย่างมากก็จะมีคนมาส่งเมล์หากพี่ไขแสงต้องการติดต่อด้วยเท่านั้น ส่วนกลุ่มก้อนที่มีสายติดต่อกับพี่ไขแสงบ่อยหน่อย คือกลุ่ม สำนักงานทนายความ “ธรรมรังสี” ของ “แสงธรรม” (นามสมมติ) ซึ่งภายหลังได้ย้ายมาเช่าบ้านหลังย่อมแถวสามเสน เป็น “ศูนย์” อาศัยของนักเคลื่อนไหวกิจกรรมการเมืองกลุ่มใหญ่ แต่หลังการนองเลือด มีแกนนำบางคนถูกจับกุมคุมขังที่คุกบางขวาง บางคนติดภารกิจอยู่ต่างจังหวัด คาดว่าไม่น่าปลอดภัยที่จะกลับเข้ามากรุงเทพฯ ส่วน “ศูนย์” ที่สามเสนนั้น ก็เกรงกันว่าจะถูกเจ้าหน้าที่ฝ่ายข่าวกรองจับตามอง ไม่มีใครกล้าเข้ามาพักนอนอีก


ผมแลกเปลี่ยนสถานการณ์คร่าว ๆ กับ “สำเร็จ” แล้ว มีข้อสรุปว่า เรื่องอุดร ทองน้อย ควรขอความเห็นจากทางพรรคสังคมนิยมฯ และ “แสงธรรม” ที่ใกล้ชิดกับทางพี่ไขแสงก่อน และต้องคุยกับอุดรให้มีความมั่นใจว่า หากเข้าป่าอีกครั้ง เขาจะอยู่ได้โดยไม่ติดภาระทางครอบครัว


หลังจากนั้น “สำเร็จ” ก็ชวนผมไปพักด้วยกันที่ห้องพักของผู้สื่อข่าวส่วนภูมิภาค นสพ.ไทยรัฐ ซึ่งว่างอยู่หลายห้อง ทุกเช้าเขามีหน้าที่ต้องออกมาพร้อมรถตระเวนข่าว ผมจะนั่งรถออกมาเพื่อไปติดต่อใครด้วยก็สะดวก การมาอาศัย “ร่มเงา” ของ “ไทยรัฐ” ยามหลบ ๆ ซ่อน ๆ เช่นนี้ จึงเหมาะเจาะเหลือเกิน เรายังวางแผนกันว่า วันรุ่งขึ้น “สำเร็จ” จะลองหาโอกาสคุยกับภรรยาของอุดร สืบสภาพดูว่า อุดรจะตัดสินใจเด็ดเดี่ยวเพียงใด อีกทางหนึ่งก็จะได้ช่วยกันหาลู่ทางจากคนที่ไว้ใจได้ ควานหาตัว “แสงธรรม” และพวกให้พบ ดูว่าจะมีทางหนีทีไล่ต่อไปอย่างไร


ใช้เวลาไม่กี่วัน ผมติดต่อรายงานสภาพของบรรดา “แนวร่วม” ให้ “จัดตั้ง” ทราบ ได้คำชี้แนะที่ค่อนข้างรวดเร็วว่า ทางศูนย์กลางฯ เห็นด้วยกับข้อเสนอให้มีการก่อตั้งองค์กร “แนวร่วมรักชาติรักประชาธิปไตย” ขึ้น ซึ่งขณะนั้นมีผู้นำพรรคการเมืองแนวสังคมนิยมจำนวนหนึ่ง นักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ ผู้นำกรรมกร ชาวนา อีกหลายคนที่เดินทางเข้าสู่เขตป่าเขาตั้งแต่ก่อน 6 ตุลาฯ ทยอยเดินทางไปรวมตัวกันทางภาคเหนือแล้ว เพราะฉะนั้นขอให้มิตรสหายที่เป็น ”แนวร่วม” ไปด้วยกันทางเหนือ อย่าเพิ่งแยกลงไปทางใต้ จะเสียเวลาตามหากันภายหลัง และยุ่งยากกับการเข้าออกเขตป่าเขาไปเปล่า ๆ แต่ทั้งนี้ ให้ปิดลับการจัดตั้งองค์กรแนวร่วมไว้ อย่าให้ทางการทราบความเคลื่อนไหวล่วงหน้า


กรณีผู้นำพรรคสังคมนิยมฯ ทั้งเลขาฯ รองเลขาฯ และกรรมการพรรคหลายคนสมัครใจเข้าไปสมทบกับคุณไขแสงและกรรมการพรรคคนอื่น ๆ ที่เดินทางไปก่อน เป็นเรื่องน่ายินดี เราต้องประสานการเดินทางให้รอบคอบปลอดภัย ขอให้อดใจรอ ส่วนกรณีคุณอุดร ทองน้อย ถือเป็นผู้นำของพรรคสังคมนิยมที่เป็นแนวร่วม หากเห็นว่าอยู่ในเมืองจะไม่ปลอดภัย ต้องการเข้าป่าอีกครั้งเพื่อไปร่วมงานกับมิตรร่วมรบอื่น ๆ เราก็ต้องอำนวยความสะดวกในการเดินทางเต็มที่


(โปรดติดตาม “แนวร่วมและมวลชนขบวนใหญ่ แยกกันเดินทางหลายสาย มุ่งสู่ฐานที่มั่นทางเหนือ” ในตอนต่อไป)

 

สนใจสมัครสมาชิกผู้มีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท. โปรดคลิ๊ก  

whitebanner