บันทึกส่วนตัวเล็กๆเกี่ยวกับเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ( ในวาระครบรอบ 48 ปี )
เขียนบันทึกโดย คุณวิสูตร - อมธ. (2515-2519)
หลังเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ได้ประมาณ 1 สัปดาห์ ช่วงนั้นผมไปอยู่บ้านพักของเสกสรรค์ ประเสริฐกุล ตรงเชิงสะพานซังฮี้ แทบทุกวัน ในค่ำวันหนึ่ง ผมพูดกับเสกสรรค์ฯว่าผมเชื่อว่า มันต้องหันมาปราบพวกเราสักวัน เราคงต้องเข้าป่ากัน
เสกสรรค์ฯ ได้ยินดังนั้น เขามองหน้าผมด้วยสีหน้าขึงขังพร้อมกับพูดว่า
“อย่าพูดอย่างนั้นนะ”
แล้วเราก็ไม่ได้พูดเรื่องนั้นต่อ จึงไม่ทราบว่า พี่เขาคิดอย่างไร
ผมคุยกับเสกสรรค์ฯมาตั้งแต่พี่เขาอยู่ มธ. ปี 5 ผมเพิ่งเข้าปี 1 แต่บอกตามตรง ผมยังไม่รู้แนวคิดของพี่เขาว่า ลึกๆเป็นอย่างไรกันแน่ เพียงเข้าใจว่า น่าจะโน้มเอียงไปทางลัทธิมาร์กซ แต่จะถึงขั้นเป็นนักลัทธิมาร์กซด้วยหรือไม่ ผมไม่ทราบ เพราะพี่เขาไม่เคยพูด
ต่างจากปรีดี บุญซื่อ ในปี 2517 ตอนที่พี่เขาชวนผมไปบ้านอาจารย์บุญสนอง บุณโยทยาน เพื่อไปพบปะเสวนากับคนในวงการต่างๆ มีทั้ง ดร. บุญสนอง (เจ้าบ้าน) ลุงฟัก ณ สงขลา ลุงแช่ม พรหมยงค์ อาจารย์ ไรน่าน อรุณรังสี พี่ไขแสง สุกใส พี่นพพร สุวรรณพานิช หมอวิชัย โชควิวัฒน์ และใครต่อใคร รวมทั้ง ธีระยุทธ บุญมี ประสาร มฤคพิทักษ์ ฯลฯ ซึ่งต่อมา คนกลุ่มนี้ มีการจัดตั้งเป็นพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย
หน้า 2
ก่อนไปบ้านอาจารย์บุญสนอง เราได้เอ่ยถึง พรรคแนวร่วมสังคมนิยม ปรีดี บุญซื่อ เขาใช้คำว่า นั่นไม่ใช่ สังคมนิยมวิทยาศาสตร์ คำว่า สังคมนิยมวิทยาศาสตร์ ผู้ที่เข้าใจจะรู้ว่า หมายถึง อะไร ต่างจากสังคมนิยมแบบ utopiaอย่างไร
แต่กับเสกสรรค์ ฯ ระบบคิดลึกๆจะเป็นระบบคิดแบบ สังคมนิยมวิทยาศาสตร์ หรือไม่ ตอนนั้นผมไม่ทราบ เพียงแต่รู้ว่า เขาเป็นคนที่รักประชาธิปไตย รักความยุติธรรม รักความเป็นธรรม และศึกษาเกี่ยวกับทฤษฎีการเมืองต่างๆมามากเท่านั้น
เมื่อมองกลับไป ณ วันที่ผมพูดกับเสกสรรค์ ฯ เรื่องเราต้องเข้าป่า แล้วถูกเอ็ดเอาในค่ำวันนั้น ผมคงจะคิดไปล่วงหน้ามากเกินไป และจริงๆแล้ว ผมก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ผมจะเข้าไปได้ยังไง คอมมิวนิสต์ที่ว่าอยู่ในป่า เขาอยู่กันตรงไหน และถ้าเข้าไปจะรู้ได้ยังไงว่า ใครคือ คอมมิวนิสต์ และใครไม่ใช่
แต่ในใจผมเชื่อว่า พวกขวาตกขอบมันต้องเล่นงานพวกเราแน่ แต่ก็ไม่รู้ว่า มันจะออกมาในรูปแบบวิธีการใด อย่างไร และเมื่อใด
ซึ่งต่อมาไม่นานนัก พวกมันก็ค่อยๆตั้งหลักติด และดำเนินการอย่างเป็นระบบเป็นขบวนการ ตั้งแต่โหมการโฆษณาชวนเชื่อ ค่อยๆทำลายความน่าเชื่อถือของขบวนการนักศึกษาในหมู่ประชาชน ที่มีอยู่สูงจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ลงทีละก้าว ค่อยๆแยกสลายขบวนการนักศึกษาและประชาชน โดยแยกอาชีวะออกไป จัดตั้ง
หน้า 3
มวลชนขวาตกขอบ ตั้งแต่ลูกเสือชาวบ้าน กระทิงแดง นวพล ใช้ความรุนแรง คุกคาม ลอบสังหาร และสร้างสถานการณ์เพื่อนำไปสู่การรัฐประหาร
ความจริง ในเวลานั้น โดยเฉพาะเมื่อผ่านเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516
ระยะหนึ่ง ขบวนการนักเรียน นักศึกษาและประชาชน อ่านเกมเหล่านี้ออกหมด เพียงแต่ไม่รู้ว่า บทสุดท้าย มันจะทำอะไร ทำอย่างไร และทำเมื่อไร เท่านั้น เพราะในการพูดคุยตั้งแต่ปี 2518 มีการพูดถึงการรัฐประหารมาโดยตลอด ที่ชัดเจนที่สุด ก็เช่น เหตุการณ์วันที่ 20 สิงหาคม 2518 ที่กระทิงแดงบุกปล้นเผา มธ. ผมก็ฟันธงว่า รัฐประหารแน่ จึงให้มีการถอนออกจาก มธ. ไปปักหลักข้างนอกเตรียมต้านรัฐประหาร เป็นต้น
ในเดือนมกราคม 2516 ฝ่ายก้าวหน้าโดยพรรคพลังธรรม ชนะเลือกตั้ง ยึดหัวหาดสำคัญใน มธ. ได้ ในปีต่อมา พรรคสัจจธรรม ชนะเลือกตั้งในรามคำแหง ยึดหัวหาดใน มร. ได้ และพรรคฝ่ายก้าวหน้าทยอยยึดหัวหาดในสถาบันอุดมศึกษาได้ทั้งหมด โดยพรรคจุฬาประชาชน ชนะเลือกตั้งในจุฬาฯได้ในปี 2519
ในปี 2519 ขบวนการ นร. น.ศ. ในขอบเขตทั่วประเทศเป็นเอกภาพขั้นสูงสุด ระบบคิดที่หล่อเลี้ยงเอกภาพนี้ได้ ก็คือ อุดมการณ์เพื่อมวลชนอันไพศาล โดยมีระบบคิดและทฤษฎีสังคมนิยมวิทยาศาสตร์ เป็นธงนำ นั่นเอง
หน้า 4
ขณะเดียวกัน ฝ่ายจารีตขวาจัดใช้ชมรมวิทยุเสรี 105 สถานี โฆษณาชวนเชื่อโจมตีขบวนการนักศึกษา ทำลายความน่าเชื่อถือ สมัยนี้คงต้องเรียกว่า ปูพรมด้อย
ค่าทุกวันเวลา และแยกสลาย พยายามโดดเดี่ยวขบวนการนักศึกษาประชาชน เพื่อนำไปสู่การทำลายล้างในขั้นสุดท้าย
การแยกสลายและทำลายล้าง เกิดขึ้นทั้งในขบวนการนักศึกษา กรรมกร และชาวนา ซึ่งเวลานั้น มีความเข้มแข็งพอสมควรเลยทีเดียว
เมื่อขบวนการนักศึกษาสามารถยึดป้อมปราการในสถาบันต่างๆได้หมดแล้ว พรรคก้าวหน้าในสถาบันต่างๆได้มีการประชุมหารือกันจนได้ข้อสรุป ให้จัดตั้งองค์กรนำการเคลื่อนไหวต่อสู้ขึ้น เพื่อให้การเคลื่อนไหวต่อสู้ของขบวนการ ถูกต้อง ถูกทาง และเป็นเอกภาพ เรียกว่า แกนม่วง และ แกนเหลือง
แกนม่วง มีหน้าที่ดูแลการเคลื่อนไหวต่อสู้ โดยถือว่า เป็นองค์กรที่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ ( จะว่าเป็นองค์กรนำลับก็ได้ ) โดยที่มี ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (ศนท) เป็นองค์กรนำที่เปิดเผยต่อสาธารณะ ซึ่งในความเป็นจริง เวลานั้น เราสามารถจะกำหนดให้ใครเป็นเลขาธิการ และรองเลขาธิการ ศนท. ได้หมดแล้ว
อย่างเลขาธิการ ศนท. คนสุดท้าย สุธรรม แสงประทุม ในขบวนก็คุยกันเองว่า จะเอาใครเป็นต่อจากเกรียงกมล เลาหไพโรจน์ ดี ระหว่าง สุธรรม แสงประทุม จากจุฬาฯ หรือ สวาย อุดมเจริญชัยกิจ จาก มธ. ผมเห็นว่า ก็ดีเสมอกัน เพียงแต่สุธรรม
หน้า 5
จะมีภาพเปิดต่อสาธารณะที่เหมาะกว่า ผมบอกสุธรรม ที่ชั้น 2 ตึกโดมในส่วนที่รื้อไปแล้ว กลายเป็นตึกอเนกประสงค์ ว่าจะเลือกเขาเป็นเลขาธิการ ศนท. สุธรรม ถึงกับตกใจ
บอกผมว่า ตายละ! ถ้างั้น ผมต้องไปแจ้งเปลี่ยนกับเขา โดยเผยว่า จำต้องบอกความลับกับผมว่า เขามีกำหนดจะเดินทางเข้าป่า “ถ้าอย่างนี้ผมต้องไปบอกเปลี่ยนแปลง” สุธรรม บอกกับผมว่าอย่างนั้น
แกนม่วง ที่ก่อตั้งได้คนจำนวน 5 คน จากจุฬาฯ เกษตรฯ รามฯ มหิดล และ มธ. ในส่วนของ มธ. เขาส่งผมเข้าไป ตอนนั้นผมอยู่ปี 5 ทุกคนจะเรียกผมว่า พี่ปู่ผมเลยกลายเป็นหนึ่งในแกนม่วงที่ดูจะแก่พรรษากว่าใคร รองลงไปน่าจะเป็นหมอมิ้ง ซึ่งตอนนั้นอยู่ ปี 4 โดยหมอมิ้ง รับบทผู้ประสานงานของ แกนม่วง
อย่างที่ว่าไว้ แกนม่วง มีหน้าที่ดูแลตัดสินใจการเคลื่อนไหวต่อสู้ แต่ในทางปฏิบัติ การตัดสินใจ ก็ต้องมีเลขาธิการ ศนท. และรอง มาร่วมประชุมปรึกษาหารือด้วย เพราะเขาต้องออกหน้าปฏิบัติโดยตรงในนามของ ศนท. ซึ่งเราต้องใช้ชื่อ ศนท. ในการเคลื่อนไหว และบางครั้ง ยังมีคนอื่นมานั่งคุยด้วยก็มี เช่น เธียรชัย วงศ์ชัยสุวรรณ หรือ ยุค ศรีอาริยะ วัฒนชัย เวชชยชัย ( ปัจจุบันก็คือ ภูมิธรรม เวชชยชัย ) และอีกหลายๆคน เป็นต้น
การจัดตั้ง แกนม่วง และ แกนเหลือง มีหลักว่า แกนม่วง เป็นองค์กรดูแลตัดสินใจการเคลื่อนไหวของขบวนการ แต่บางครั้งอาจจะขยายวงโดยเอา แกนเหลือง
หน้า 6
มาร่วมประชุมปรึกษาหารือด้วย ซึ่งที่มาของ แกนเหลือง จะมาจากตัวแทนฝ่ายบริหารของนิสิตนักศึกษาในสถาบันต่างๆ ความจริงต้องการให้นายกฯสถาบันต่างๆเข้ามา แต่เห็นว่า นายกฯอาจจะไม่สะดวกนัก จึงให้ตัวแทนเช่น อุปนายก ทำหน้าที่แทน
แกนม่วง มีการพูดคุยกันเป็นประจำ แต่ก็อย่างว่า ในสมัยนั้น การพูดคุยมักจะคุยกันที่ อมธ. ไม่ได้คุยกันในห้องประชุม อมธ. หรอก แต่หาที่ว่างตรงไหนสักแห่งนั่งคุยกันตรงพื้นห้อง ทุกครั้งก็เป็นอย่างนี้
ในช่วงก่อน 6 ตุลาคม 2519 ตั้งแต่เกิดเหตุมือไม้ของอำนาจรัฐป่าเถื่อนจับ 2 ช่างไฟฟ้าไปสังหารและแขวนคอไว้กับประตูแดงที่นครปฐม หลังจากนั้น มีการชุมนุมที่สนามหลวงหลายครั้ง ก่อนที่จะย้ายเข้ามาใน มธ.
การชุมนุมแต่ละครั้ง แกนนำกังวลเป็นอย่างยิ่งก็คือ ฝ่ายขวาจัดจะใช้มือไม้มาก่อความรุนแรง การชุมนุมจึงเป็นไปในรูปแบบ ชุมนุมแล้วสลาย ต่างจากรูปแบบการชุมนุมตั้งแต่พฤศจิกายน 2516 เป็นต้นมา ที่มักจะชุมนุมข้ามคืน ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะ เกรงว่าจะมีอันตรายจากฝ่ายขวาจัด
จากสนามหลวง ต่อมาย้ายการชุมนุมเข้ามาใน มธ. ข้อสำคัญที่สุดก็คือ คิดว่า การชุมนุมที่ท้องสนามหลวงอันเป็นพื้นที่เปิด โอกาสจะมีการสร้างสถานการณ์ก่อความรุนแรง เป็นไปได้สูงมาก เราจึงต้องเลี่ยง เพื่อความปลอดภัย จึงควรย้ายเข้าไปชุมนุมใน มธ. เพื่อป้องกันหรือเพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างสถานการณ์ความรุนแรง
หน้า 7
ต่อมาในภายหลัง คือหลังจากนั้น นานสิบกว่าปี มีการรื้อฟื้นเบื้องหน้าเบื้องหลังกันที่ห้องประชุมชั้น 4 ตึกอเนกประสงค์ มธ. วันนั้นมีผู้เข้าร่วมประมาณ 20-
30 คนเห็นจะได้ มี ธงชัย วินิจจะกูล หมอมิ้ง หมอเลี้ยบ ยุค ศรีอาริยะ เกรียงกมล เลาหไพโรจน์ วิโรจน์ ตั้งวานิช ฯลฯ รวมทั้งผม
ในการทำงาน แกนม่วง มีอยู่ 5 คน แต่ในทางปฏิบัติ การติดต่อสื่อสารกันในสมัยนั้น ไม่ใช่ของง่าย ดังนั้นปัญหาที่ต้องตัดสินใจ ไม่ทราบจะไปเรียกประชุมกันยังไง ในทางปฏิบัติส่วนใหญ่จึงมักเป็นการพูดคุยกันระหว่าง ธงชัย วินิจจะกูล ฝ่ายปฏิบัติการ กับผมซึ่งเป็นตัวแทนของแกนม่วง เป็นอยู่ในลักษณะนี้บ่อยครั้ง
เมื่อมีปัญหา จะเอายังไงดี ธงชัย ก็จะมาหาผม และสาธยายเรื่องแล้ว ก็จะถามผมว่า
“ จะเอายังไงดี”
โดยธงชัย เขาจะเสนอว่า เอางั้นดีมั้ย เอางี้ดีมั้ย
เมื่อผมเห็นดีกับข้อเสนอใดของธงชัย เขาก็จะนำไปทำ เรื่องก็เป็นไปอย่างนี้
จนกระทั่ง มีการแสดงจำลองการแขวนคอ 2 ช่างไฟฟ้า ที่ลานโพธิ์ และ นสพ. ดาวสยาม (น่าจะบางกอกโพสต์อีกฉบับหนึ่ง) นำภาพไปตกแต่งเพื่อสร้าง
หน้า 8
สถานการณ์ พิมพ์ ( 4 หน้าขาวดำ ) แจกจ่ายจำนวน 1 ล้านฉบับ ปลุกฝ่ายขวาอันธพาลมาชุมนุมกันที่ลานพระรูป
เย็นวันที่ 5 ตุลาคม 2519 มีคนมาที่ อมธ. กันมากหน้าหลายตา ผมได้พูดคุยกับหลายๆคน รวมทั้ง อเนก เหล่าธรรมทัศน์ นายกฯจุฬา และ มหินทร์ ตันบุญเพิ่ม นายกฯ รามคำแหง ว่า สถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจ ผมขอให้ไปก่อการชุมนุมขึ้นแถวสามย่าน และที่รามคำแหง เพื่อให้ฝ่ายขวาจัด พะวงในที่อื่นๆ นอกจาก มธ. หากมีการชุมนุมที่อื่นนอกจาก มธ. แล้ว การจะตัดสินใจทำอะไรของฝ่ายจารีตขวาจัด ก็อาจจะต้องคิดมาก เพราะอาจจะควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ ซึ่งนายกฯจุฬา และนายกฯรามคำแหง ก็เห็นด้วยแล้วเดินจาก อมธ. ไป
แต่จนทุกวันนี้ ผมก็ยังไม่ได้ถาม อเนก กับ มหินทร์ ต่อเรื่องดังกล่าว
จนตกกลางคืนของวันที่ 5 ตุลาคม 2519 สถานการณ์ไม่สู้ดี ผมจึงคิดว่า เราจำเป็นต้องสลายการชุมนุม แต่การจะสลายการชุมนุมในเวลากลางคืน น่าจะมีอันตรายมาก ผมจึงคุยกับธงชัย ว่า เราต้องสลายการชุมนุม แต่ต้องเป็นเช้าวันที่ 6 ตุลาคม 2519
โดยค่อยๆสลายทีละส่วน
และแล้ว ลูกระเบิดจาก M79ก็มาลงในที่ชุมนุม แถวๆประตูฟุตบอลด้านตึกโดม ดังสนั่นหวั่นไหว ในราวตี 4 ตี 5 ของเช้าวันที่ 6 ตุลาคม 2519
หน้า 9
ต่อมา ในช่วงเช้ามีการยิงจากอาวุธสงครามจากภายนอกเข้ามาใน มธ. ชนิดหูดับตับไหม้
ประมาณ 6 โมงเช้า บนชั้น 2 ของ อมธ. ผมชวน สุธรรม แสงประทุม เลขาธิการ ศนท. ประยูร อัครบวร รองเลขาฯ สุรชาติ บำรุงสุข และอีก 2-3 คน มานั่งล้อมวงประชุมหารือกันกับพื้นห้อง โดยผมขอให้ สุธรรม แสงประทุม และคณะ เดินทางไปพบกับนายกฯ เสนีย์ ปราโมช ขอให้มีการหยุดยิง โดยให้ไปชี้แจงข้อเท็จจริงกับนายกฯเสนีย์ฯ ว่า อะไรเป็นอะไร
ต่อกรณีดังกล่าวมา ผมเคยได้ยินคนพูดถึงเหตุการณ์เช้าวันนั้นว่า มีการประชุมศูนย์ ( ศนท.) ซึ่งน่าจะคลาดเคลื่อน ที่ถูกเช้านั้น ไม่น่าจะเป็นไปได้ว่า มีการประชุม ศนท.ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนั้น ซึ่งเวลานั้น มีแกนม่วงอยู่ จึงไม่มีความจำเป็นใดๆที่ต้องประชุม ศนท. เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว จะมีก็แต่การประชุมโดยผมตัวแทนแกนม่วงเป็นผู้เรียกประชุม ซึ่งแกนม่วงคนอื่นๆก็ไม่อยู่ จริงๆแล้วผมก็มีจุดประสงค์แต่ประการเดียว นั่นคือ ขอให้เลขาธิการ ศนท. และคณะ ไปพบนายกฯเสนีย์ เพื่อหาทางคลี่คลายความรุนแรงที่กระทำต่อผู่ชุมนุมใน มธ.
ระหว่างประชุมหารือ เห็นจารุพงษ์ ทองสินธุ์ แสดงความไม่พอใจอย่างยิ่งที่ฝ่ายขวาจัดใช้ความป่าเถื่อนยิงเข้ามาใน มธ. อย่างถี่ยิบ เขาเดินอยู่ใกล้ๆกับที่พวกเรานั่ง แล้วก็ได้ระบายอารมณ์ โดยก้มลงใช้ฝ่ามือฟาดลงกับพื้นห้องอย่างแรง ก่อนเดินออกจาก
หน้า 10
ห้องไป ต่อมาเกิดอะไรขึ้นกับจารุพงษ์ ย่อมเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว ส่วนตัวรู้เลยว่า เขาเคียด
แค้นยอมไม่ได้กับความป่าเถื่อนที่กำลังกระทำต่อผู้ชุมนุมที่ต่อสู้เพื่อประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ
เมื่อที่ประชุมหารือเข้าใจตรงกันหมดแล้ว ก่อนที่จะออกเดินทางไปพบนายกฯเสนีย์ ปราโมช ประยูร อัครบวร เขาก็น่าจะร่วมไปกับคณะด้วย แต่ผมขอให้ สุรชาติ บำรุงสุข ไปแทนประยูร เพราะเห็นว่า สุรชาติ น่าจะสันทัดถ้อยทีถ้อยเจรจามากกว่า ซึ่งที่ประชุมก็ไม่มีขัดข้อง จากนั้น สุรชาติ จึงฝากของสำคัญอย่างหนึ่งไว้ที่ผม ก่อนที่สุธรรมและคณะจะเดินทางไป ซึ่งต่อมาอีกประมาณ 1 ชั่วโมง ผมแทบจะเอาชีวิตไม่รอดกับของฝากจำเป็นดังกล่าว โดยสุรชาติ บอกว่า เป็นของที่อเนก เหล่าธรรมทัศน์ ซื้อให้เพื่อความปลอดภัย
จากนั้น พวกเราที่อยู่ตึก อมธ. ทั้งหมด ค่อยๆทยอยลงจากตึก ไปขึ้นตึกวารสาร ซึ่งมีบันไดทางขึ้นห่างออกไปราว 15 เมตร ซึ่งถ้าเดินขึ้นบันไดเตี้ยๆแล้วเดินเลียบห้องทำงานไปเกือบสุดอาคาร ก็จะมีบันไดขึ้นชั้น 2 ชั้น 3 ของตึกวารสาร ผมนั่งอยู่ตรงบันไดขึ้นตึกวารสารอยู่พักใหญ่ เห็นชูศิลป์ วนา ถืออุปกรณ์ป้องกันตัว 357 วิ่งเข้ามาบริเวณนั้น สักครู่ก็เห็น อ้วน วัฒนชัย เวชยชัย ( ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นภูมิธรรม ) ขยับอุปกรณ์ป้องกันตัวในมือสีดำเมื่อมจากเยอรมัน พูดจาทักทายผมด้วยอารมณ์ที่ไม่สู้ดี
หน้า 11
แล้วก็วิ่งจากไป อีกคนที่เข้ามาบริเวณนั้น ก็คือ วัชรพันธ์ จันทรขจร หรือ โป๊ะ เดินเข้ามาหาผม พูดด้วยความขึงขังว่า
“ วิสูตร์ คุณเป็นคนมีคุณภาพ ขอให้หลบไปก่อน”
ผมไม่ได้ตอบอะไร ในใจก็อยากจะบอกว่า ทุกคนก็ล้วนมีคุณภาพที่มีค่ายิ่งทั้งนั้น แล้วผมก็เดินไปขึ้นชั้น 2 และไปชั้น 3 ของตึกวารสาร เห็นพวกเราอยู่กันเต็ม พอดีผมเหลือบไปเห็นโทรศัพท์วางอยู่บนโต๊ะเล็กๆอยู่ตรงหัวบันไดชั้น 3 ผมจึงขอให้พวกเรา ซึ่งตรงนั้น มีคนหนึ่ง ชื่อหมู (ผู้หญิง) อยู่พรรคพลังธรรม และรู้จักกันดี อยู่ตรงนั้นด้วย ผมขอให้ใครช่วยหมุนต่อโทรศัพท์ไปยังทำเนียบรัฐบาล เพื่อจะติดตามสอบถามเรื่องที่ สุธรรม แสงประทุม และคณะ ไปถึงหรือยัง มีความคืบหน้าเป็นประการใด โดยให้หาเบอร์จากองค์การโทรศัพท์ เมื่อได้เบอร์ ก็ให้ต่อไปยังทำเนียบรัฐบาล ปรากฏว่า โทรศัพท์ติด แต่ไม่มีใครรับสายเลย
ถึงตอนนั้น ผมนึกในใจว่า วันนี้วันพุธ เวลา 7 โมงเศษ ทำเนียบกลับไม่มีใครรับสาย สิ่งแรกที่ผมคิดในตอนนั้น ก็คือ
“ อย่างนี้ รัฐประหาร แน่แล้ว ”
ผมจึงรีบบอกให้คนในตึกวารสารออกจากตึก ผ่านตึกโดมไปริมน้ำ เดินลุยน้ำไปขึ้นที่ท่าพระจันทร์ ส่วนผมก็ลงน้ำแล้วขึ้นมาเดินเลียบริมน้ำไปทางท่าพระจันทร์ เมื่อเห็นว่า พวกที่เดินในน้ำจะช้า ผมจึงบอกให้ทำลายรั้วตาข่ายเหล็กลง พอพังรั้วได้
หน้า 12
คนที่เดินในน้ำก็ขึ้นมาเดินข้างบนไปออกตรงมุมซอกเล็กๆ ซึ่งออกไปก็จะเป็นร้านข้าวแกงจั๊วท่าพระจันทร์ ซึ่งพวกเราก็ไปออกทางนั้นกัน
ผมก็ตามไปโผล่ตรงซอกที่ว่านั้นเหมือนกัน แต่พอโผล่หน้าออกไป ผมแทบจะรีบถอยกลับเข้ามา เพราะตรงร้านจั๊ว มีตำรวจอยู่หลายนาย กำลังใช้มือตบตามตัวของพวกเราที่จะผ่านไป ซึ่งก็คือ ตรวจอาวุธ นั่นเอง
ผมซึ่งถลำไปเต็มตัวแล้ว และตำรวจเหล่านั้นก็มองเห็นผมแล้ว ถ้าผมจะถอยหลังกลับ ก็จะเป็นพิรุธชัดแจ้ง ผมจึงต้องทำใจดีสู้เสือ คิดในใจว่า ถ้าผมคิดจะวิ่งผ่านเร็ว ตำรวจเขาต้องเรียกตรวจแน่ แต่ถ้าช้าก็ต้องต่อแถว ก็ต้องโดนตรวจอยู่ดี ผมจึงอาศัยตอนที่มีคนต่อแถวอยู่หลายคน ผมแกล้งวิ่งเหยาะๆ เรียกว่า คิดไว้ว่า เร็วมากก็ผิดสังเกต ช้ามากก็จะโดนตรวจ ผมจึงทำเป็นวิ่งเหยาะๆ ทำหน้ายิ้มระรื่น ออกนอกแถว ซึ่งก็มีคนออกันอยู่พอสมควร แล้วก็มีเสียงตำรวจคนหนึ่งดังขึ้นว่า
“ เร็วๆหน่อย คุณแว่น”
ผมก็วิ่งเหยาะพลางตอบพลางว่า
“ ครับผม ”
เรียกว่า ตอนนั้น หัวใจอยู่ตรงตาตุ่มเลย ช่างบังเอิญจริงๆ หากผมโดนเรียกตรวจ ก็ไม่ทราบว่า อะไรจะเกิดขึ้น
หน้า 13
ผมเดินผ่านเข้าไป เห็นพวกเราอยู่กันนับร้อยเลยทีเดียว โดยไปออกันอยู่ปากซอยศูนย์พระเครื่อง ผมจึงเดินไปดูลาดเลาที่ตรงนั้น คิดว่าจะชวนพวกเราออกทาง
นั้น โดยฝั่งตรงข้าม เยื้องไปทางขวานิดเดียว คือประตูทางเข้าวัดมหาธาตุ แต่ดูจะไปไม่ได้เลย เพราะมีเสียงปืนยิงไม่ขาดระยะเลย โดยที่ยิงจากจุดใดมิทราบได้
ผมจึงถอยกลับเข้ามา และกดกริ่งเรียกตามบ้าน ซึ่งเป็นอาคารพาณิชย์ ซึ่งขณะนั้นปิดตายหมด แต่เช้านั้น พอผมไล่กดกริ่งไปทีละบ้าน มีบ้านที่เปิด จำได้ว่า 3-4 บ้าน ผมขอให้ช่วยรับพวกเราเข้าไปหลบภัย เขาบอกว่าได้ แต่ขอเป็นผู้หญิง ก็เลยมีผู้หญิงเข้าไปหลบภัยบ้านละ 10 กว่าคน
ผมเดินกลับเข้าไปยังแผงขายของของป้าคนหนึ่ง ซึ่งไม่น่าเชื่อว่า เช้านั้น มีเปิดขายของอยู่เจ้าเดียว เป็นเจ้าที่อยู่ริมน้ำเลย ผมจึงขอฝากของสำคัญไว้กับคุณป้า ซึ่งคุณป้าพูดว่า
“ ฝากได้ แต่ต้องมาเอาเองนะ ป้าจำใครไม่ได้นะ”
ผมก็ได้แต่ ครับ ๆ ๆ ขอบคุณคุณป้ามากครับ โดยฝากอุปกรณ์หลักแล้ว ก็มีเศษอีก 2 ตับ ผมก็โยนลงน้ำตรงนั้นเลย
และจากเช้าวันที่ 6 ตุลาคม 2519 จนวันนี้ ผมไม่เคยไป ณ จุดนั้นอีกเลย
เคยเจอกับ สุรชาติ บำรุงสุข ประมาณปี 2523 หลังกลับสู่เมืองแล้ว ก็ไม่ได้ถึงพูดเรื่องนี้
หน้า 14
พอฝากของสำคัญกับคุณป้าแล้ว ผมก็ชวนพวกเราไปที่ปากซอยศูนย์พระเครื่อง คราวนี้ มีแต่เสียงปืนจาก มธ. เสียงปืนบริเวณนั้นเงียบลง ผมจึงถือโอกาสบอกพวกเราว่า เตรียมตัววิ่งนะ
“ วิ่ง”
ผมวิ่งนำหน้าไปทางประตูเข้าวัดมหาธาตุ ในใจนึกเลยว่า พอมันเห็นเรา มันต้องยิงแน่ แล้วผมก็คาดไม่ผิด
พอผมวิ่งไปยังไม่ถึงประตูวัด เรียกว่า พอข้ามเส้นกึ่งกลางถนนไปหน่อย ผมตัดสินใจพุ่งบกเลย ตัวผมก็ไถลไปจนคาตรงประตูเข้าวัดซึ่งขณะนั้น เขากำลังซ่อมทางเข้าอยู่ มีอิฐวางระเกะระกะ คางผมก็เลยไปกระแทกกับอิฐบริเวณนั้นแตกเลือดสาด
ในขณะที่ผมพุ่งบก ก็มีเสียงปืนกระหน่ำยิงมาอีกทันทีทันใด คนที่วิ่งตามหลังผมคนหนึ่ง ถูกยิงล้มลงคาถนน ร้องเสียงดังลั่นเลย แต่หลายคนก็ผ่านเข้าไปทางประตูวัดได้
ขณะนั้นภายในวัด คนมาออกันอยู่ในวัดเต็มไปหมดเลย น่าจะเป็นร้อยๆคนเลยทีเดียว พอผมลุกขึ้นได้ ก็เดินเข้าไปผสมโรงโดยทำไม่รู้ไม่ชี้ ทันใดนั้น มีชายคนหนึ่ง แต่งตัวเรียบร้อย อายุราว 30 ปีเห็นจะได้ เห็นผม เขามองสารรูปผมแล้ว เอ่ยขึ้นว่า
“ ตัวเปียกอย่างนี้ ให้พวกนั้นเห็นไม่ได้เลยนะ เมื่อกี้มาจับออกไปแล้วหลายคน มานี่ ตามผมมา”
หน้า 15
เขาพาผมลัดเลาะไปที่กุฏิพระหนึ่ง ที่อยู่ติดกับกำแพงวัดมหาธาตุด้านตรงข้าง มธ. เลย พบหลวงพ่อซึ่งนั่งอยู่ตรงโต๊ะที่มีข้าวปลาอาหารวางเต็มโต๊ะไปหมด รวมทั้งขนมมากมายก่ายกอง ชายคนดังกล่าวได้ให้คนไปหาเสื้อผ้ามาให้ผมเปลี่ยน จากนั้นก็บอกให้ผมกินข้าว ซึ่งผมจะกินลงไปได้อย่างไร ในเมื่อเสียงปืนดังมาจาก มธ. ยังยิงรัวสนั่นหวั่นไหวไม่หยุด ชายคนดังกล่าว จึงให้เด็กวัดจัดให้ผมเข้าไปซุกตัวในช่องเล็กๆ พอก้มลงแล้วมุดเข้าไป มีที่นอนอยู่ 2 ที่ ปรากฏว่า มีชายหนุ่มนอนอยู่ก่อนผมคนหนึ่ง อายุอานามสัก 20 กว่าปี ผมเข้าไปก็นอนลงยังที่นอนที่ว่าง เสียงปืนจาก มธ. ก็ยังดังสนั่นติดต่อกันไม่ขาดระยะไปอีกนานเป็นชั่วโมงๆ
สักพัก ชายที่นอนข้างๆก็พูดด้วยความโกรธแค้น เขาพูดกับตัวเองย้ำแล้วย้ำอีกว่า
“ ออกจากที่นี่ไปได้ ผมสาบานว่า ผมจะต้องเข้าป่าไปจับปืนยิงสู้กับมัน ”
เขาพูดไปร้องไห้สะอึกสะอื้นไป ส่วนผมก็ได้แต่นอนฟังเขาระบายความคับแค้นโดยไม่กล้าพูดอะไร
จนเสียงปืนเงียบลง ต่อมามีฝนตกลงมาอย่างหนัก
มาทราบว่า มีฝ่ายขวาจัด น่าจะเป็นตำรวจเข้ามาไล่ล่าพวกเราถึงในวัด ได้ตัวไปจำนวนหนึ่ง แต่ผมกับอีกคน ก็รอดมาได้
หน้า 16
ประมาณเที่ยงวันกว่าๆ ผมถึงได้ออกจากวัด เดินจากวัดด้วยกางเกงขาสามส่วน และเสื้อยืดที่ค่อนข้างเล็ก เดินออกมาทางถนนระหว่างวัดมหาธาตุ กับ มธ. ไปสนามหลวง หลายจุดมีน้ำท่วมขังต้องลุยน้ำด้วย จากนั้นก็เดินทางไปหาเพื่อนแถวสะพานเหลือง ขอเสื้อผ้าเขาเปลี่ยน และอาศัยอยู่กับเขาที่นั่นระยะหนึ่ง
จนวันหนึ่ง ได้พบกับคนรู้จักที่เป็น น.ศ. มธ. คนหนึ่ง จากนั้นวันที่ 1 ธันวาคม 2519 ผมจึงได้เดินทางจากหัวลำโพงมุ่งลงใต้ เข้าสู่เขตป่าเขา สฎ. 1 บี 5 ค่าย 508 ต่อมาวันที่ 4 มกราคม 2520 ผมได้ย้ายไปอยู่ สฎ. 2 ดงเคียนซา ค่าย 514 จนวันที่ 14 พฤษภาคม 2521 ออกจากดงเคียนซา ขึ้นรถไฟที่สถานีพุนพิน เข้ากรุงเทพ ฯ และวันที่ 19 พฤษภาคม 2521 ออกเดินทางสู่จังหวัดตาก พักในโรงแรมในเมืองตาก 1 คืน เช้าวันที่ 20 พฤษภาคม 2521 เดินทางสู่เขตงานแม่สอด และเดินทางไปสู่เขตอุ้มผาง ถึงสำนัก 401 แม่จันทะ ในวันที่ 21 มิถุนายน 2521 ตอนอยู่ที่นั่น ได้รับมอบงานให้ติดต่อกับเจ้าของกิจการเหมืองที่ “จะแก” (ชื่อหมู่บ้านทางใต้สุดของตาก น่าจะอยู่ในเขตจังหวัดกาญจนบุรี) ชื่อกำนันตื๊ด หรือ คงศักดิ์ กลีบบัว ( น่าจะเคยเป็น สส. กาญจนบุรี ) ผ่าน ผจก. ของเขาซึ่งบริหารประจำอยู่ที่เหมือง เพื่อขอความสนับสนุนทางการเงินและสิ่งของจำเป็นบางอย่าง และมีหน้าที่ติดต่อกับกองกำลังกระเหรี่ยงอิสระของนายพลโบเมียะ ที่อยู่แถบชายแดน มี “เจอดีน” เป็นหัวหน้า แต่พวกเรามักจะเรียกว่า “จอเต็ง” เพื่อติดต่อซื้อขายในสิ่งที่เราขาดเหลือเป็นประจำ ผมจึงอาศัยไปมาอยู่แถบนั้น
หน้า 17
ข้ามไปมาตรงชายแดนไทย-พม่า และจัดตั้งเคยมอบให้ผมติดต่อกับพรรคมอญด้วย วันดีคืนดี ก็เดินทาง 3-4 วันถึงหมู่บ้านคริตตี้ ผ่านทุ่งใหญ่นเรศวร หรือ เซซ่าโหว่ ( ดินแดนแห่งลูกไม้แดง ) ไปทำภารกิจ แต่ก็ไม่ได้การอะไร มีอยู่ครั้งมีคนจากในเมืองมาเจรจาจะขอสร้างเขื่อน ก็ต้องมาเจรจาขออนุญาตจากพวกเรา จัดตั้งเลขาฯพรรคของเขตงานก็ไปเจรจา โดยให้ผมไปด้วย ความจริงก็ง่ายๆ คือ ไปฟังเขาสาธยาย จากนั้นก็แจ้งว่า ไม่อนุญาต
จนปี 2522 คณะของสหายไท หรือ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ได้แก่ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล จีระนันท์ พิตรปรีชา กับ ลูกน้อย ( ไอ้ช้าง ) วิชัย บำรุงฤทธิ์ รวม 4 ชีวิต เดินทางมาถึงสำนัก 401 จากนั้น ทางจัดตั้ง ได้จัดให้ผม กับคณะดังกล่าว ไปตั้งสำนักพิเศษต่างหาก โดยมีภาระหน้าที่ทางการเมืองสารพัด ทั้งเรื่องเอกสารเผยแพร่ และการเคลื่อนไหวอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวในเมือง แต่จะว่าไปก็ยังมิทันได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน จนกระทั่งวันที่ 12 เมษายน 2523 ผมก็เดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ โดยมาทางเรือเหนือเขื่อนศรีนคินทร์
มาเรียนต่อในปีการศึกษา 2524 จนจบนิติศาสตร์ มธ. โดยใช้เวลาร่วม 10 ปี ( 2515 – 2524 ) น่าจะเป็นสถิติเท่าที่มี ที่ 10 ปี ปริญญาตรี ตั้งแต่สถาปนา มธก. เป็นต้นมา ยังดีที่ปีการศึกษา 2524 ได้เนติบัณฑิต ไปด้วย
ที่ต้องทำสถิติ 10 ปี อันไม่น่าพิสมัย เนื่องจากตอนปี 4 ภาคหลัง ช่วงขับไล่ฐานทัพอเมริกา 20 มีนาคม 2519 ไม่ได้เข้าสอบเลยแม้แต่วิชาเดียว ซึ่งปกติจะหมด
หน้า 18
สภาพนักศึกษาไปแล้ว ตั้งแต่ปีการศึกษา 2520 เพราะไม่ได้ทำเรื่องพักการเรียนไว้ แต่หายหัวไปอย่างไร้ร่องรอย หรืออย่างมากก็ไม่เกิน 7 ปีตามเกณฑ์ ซึ่งต้องหมดสภาพอย่างช้าก็ในปีการศึกษา 2521 แต่ที่ยังมีสิทธิสอบ ก็เป็นเพราะกฎหมายนิรโทษกรรม จากนโยบาย 66/23 ของรัฐบาลเปรมในเวลานั้น
----------------------------
สนใจสมัครสมาชิกผู้มีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท. โปรดคลิ๊ก
บันทึกส่วนตัวเล็กๆเกี่ยวกับเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519
( ในวาระครบรอบ 48 ปี )
หลังเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ได้ประมาณ 1 สัปดาห์ ช่วงนั้นผมไปอยู่บ้านพักของเสกสรรค์ ประเสริฐกุล ตรงเชิงสะพานซังฮี้ แทบทุกวัน ในค่ำวันหนึ่ง ผมพูดกับเสกสรรค์ฯว่าผมเชื่อว่า มันต้องหันมาปราบพวกเราสักวัน เราคงต้องเข้าป่ากัน
เสกสรรค์ฯ ได้ยินดังนั้น เขามองหน้าผมด้วยสีหน้าขึงขังพร้อมกับพูดว่า
“อย่าพูดอย่างนั้นนะ”
แล้วเราก็ไม่ได้พูดเรื่องนั้นต่อ จึงไม่ทราบว่า พี่เขาคิดอย่างไร
ผมคุยกับเสกสรรค์ฯมาตั้งแต่พี่เขาอยู่ มธ. ปี 5 ผมเพิ่งเข้าปี 1 แต่บอกตามตรง ผมยังไม่รู้แนวคิดของพี่เขาว่า ลึกๆเป็นอย่างไรกันแน่ เพียงเข้าใจว่า น่าจะโน้มเอียงไปทางลัทธิมาร์กซ แต่จะถึงขั้นเป็นนักลัทธิมาร์กซด้วยหรือไม่ ผมไม่ทราบ เพราะพี่เขาไม่เคยพูด
ต่างจากปรีดี บุญซื่อ ในปี 2517 ตอนที่พี่เขาชวนผมไปบ้านอาจารย์บุญสนอง บุณโยทยาน เพื่อไปพบปะเสวนากับคนในวงการต่างๆ มีทั้ง ดร. บุญสนอง (เจ้าบ้าน) ลุงฟัก ณ สงขลา ลุงแช่ม พรหมยงค์ อาจารย์ ไรน่าน อรุณรังสี พี่ไขแสง สุกใส พี่นพพร สุวรรณพานิช หมอวิชัย โชควิวัฒน์ และใครต่อใคร รวมทั้ง ธีระยุทธ บุญมี ประสาร มฤคพิทักษ์ ฯลฯ ซึ่งต่อมา คนกลุ่มนี้ มีการจัดตั้งเป็นพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย
หน้า 2
ก่อนไปบ้านอาจารย์บุญสนอง เราได้เอ่ยถึง พรรคแนวร่วมสังคมนิยม ปรีดี บุญซื่อ เขาใช้คำว่า นั่นไม่ใช่ สังคมนิยมวิทยาศาสตร์ คำว่า สังคมนิยมวิทยาศาสตร์ ผู้ที่เข้าใจจะรู้ว่า หมายถึง อะไร ต่างจากสังคมนิยมแบบ utopiaอย่างไร
แต่กับเสกสรรค์ ฯ ระบบคิดลึกๆจะเป็นระบบคิดแบบ สังคมนิยมวิทยาศาสตร์ หรือไม่ ตอนนั้นผมไม่ทราบ เพียงแต่รู้ว่า เขาเป็นคนที่รักประชาธิปไตย รักความยุติธรรม รักความเป็นธรรม และศึกษาเกี่ยวกับทฤษฎีการเมืองต่างๆมามากเท่านั้น
เมื่อมองกลับไป ณ วันที่ผมพูดกับเสกสรรค์ ฯ เรื่องเราต้องเข้าป่า แล้วถูกเอ็ดเอาในค่ำวันนั้น ผมคงจะคิดไปล่วงหน้ามากเกินไป และจริงๆแล้ว ผมก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ผมจะเข้าไปได้ยังไง คอมมิวนิสต์ที่ว่าอยู่ในป่า เขาอยู่กันตรงไหน และถ้าเข้าไปจะรู้ได้ยังไงว่า ใครคือ คอมมิวนิสต์ และใครไม่ใช่
แต่ในใจผมเชื่อว่า พวกขวาตกขอบมันต้องเล่นงานพวกเราแน่ แต่ก็ไม่รู้ว่า มันจะออกมาในรูปแบบวิธีการใด อย่างไร และเมื่อใด
ซึ่งต่อมาไม่นานนัก พวกมันก็ค่อยๆตั้งหลักติด และดำเนินการอย่างเป็นระบบเป็นขบวนการ ตั้งแต่โหมการโฆษณาชวนเชื่อ ค่อยๆทำลายความน่าเชื่อถือของขบวนการนักศึกษาในหมู่ประชาชน ที่มีอยู่สูงจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ลงทีละก้าว ค่อยๆแยกสลายขบวนการนักศึกษาและประชาชน โดยแยกอาชีวะออกไป จัดตั้ง
หน้า 3
มวลชนขวาตกขอบ ตั้งแต่ลูกเสือชาวบ้าน กระทิงแดง นวพล ใช้ความรุนแรง คุกคาม ลอบสังหาร และสร้างสถานการณ์เพื่อนำไปสู่การรัฐประหาร
ความจริง ในเวลานั้น โดยเฉพาะเมื่อผ่านเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516
ระยะหนึ่ง ขบวนการนักเรียน นักศึกษาและประชาชน อ่านเกมเหล่านี้ออกหมด เพียงแต่ไม่รู้ว่า บทสุดท้าย มันจะทำอะไร ทำอย่างไร และทำเมื่อไร เท่านั้น เพราะในการพูดคุยตั้งแต่ปี 2518 มีการพูดถึงการรัฐประหารมาโดยตลอด ที่ชัดเจนที่สุด ก็เช่น เหตุการณ์วันที่ 20 สิงหาคม 2518 ที่กระทิงแดงบุกปล้นเผา มธ. ผมก็ฟันธงว่า รัฐประหารแน่ จึงให้มีการถอนออกจาก มธ. ไปปักหลักข้างนอกเตรียมต้านรัฐประหาร เป็นต้น
ในเดือนมกราคม 2516 ฝ่ายก้าวหน้าโดยพรรคพลังธรรม ชนะเลือกตั้ง ยึดหัวหาดสำคัญใน มธ. ได้ ในปีต่อมา พรรคสัจจธรรม ชนะเลือกตั้งในรามคำแหง ยึดหัวหาดใน มร. ได้ และพรรคฝ่ายก้าวหน้าทยอยยึดหัวหาดในสถาบันอุดมศึกษาได้ทั้งหมด โดยพรรคจุฬาประชาชน ชนะเลือกตั้งในจุฬาฯได้ในปี 2519
ในปี 2519 ขบวนการ นร. น.ศ. ในขอบเขตทั่วประเทศเป็นเอกภาพขั้นสูงสุด ระบบคิดที่หล่อเลี้ยงเอกภาพนี้ได้ ก็คือ อุดมการณ์เพื่อมวลชนอันไพศาล โดยมีระบบคิดและทฤษฎีสังคมนิยมวิทยาศาสตร์ เป็นธงนำ นั่นเอง
หน้า 4
ขณะเดียวกัน ฝ่ายจารีตขวาจัดใช้ชมรมวิทยุเสรี 105 สถานี โฆษณาชวนเชื่อโจมตีขบวนการนักศึกษา ทำลายความน่าเชื่อถือ สมัยนี้คงต้องเรียกว่า ปูพรมด้อย
ค่าทุกวันเวลา และแยกสลาย พยายามโดดเดี่ยวขบวนการนักศึกษาประชาชน เพื่อนำไปสู่การทำลายล้างในขั้นสุดท้าย
การแยกสลายและทำลายล้าง เกิดขึ้นทั้งในขบวนการนักศึกษา กรรมกร และชาวนา ซึ่งเวลานั้น มีความเข้มแข็งพอสมควรเลยทีเดียว
เมื่อขบวนการนักศึกษาสามารถยึดป้อมปราการในสถาบันต่างๆได้หมดแล้ว พรรคก้าวหน้าในสถาบันต่างๆได้มีการประชุมหารือกันจนได้ข้อสรุป ให้จัดตั้งองค์กรนำการเคลื่อนไหวต่อสู้ขึ้น เพื่อให้การเคลื่อนไหวต่อสู้ของขบวนการ ถูกต้อง ถูกทาง และเป็นเอกภาพ เรียกว่า แกนม่วง และ แกนเหลือง
แกนม่วง มีหน้าที่ดูแลการเคลื่อนไหวต่อสู้ โดยถือว่า เป็นองค์กรที่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ ( จะว่าเป็นองค์กรนำลับก็ได้ ) โดยที่มี ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (ศนท) เป็นองค์กรนำที่เปิดเผยต่อสาธารณะ ซึ่งในความเป็นจริง เวลานั้น เราสามารถจะกำหนดให้ใครเป็นเลขาธิการ และรองเลขาธิการ ศนท. ได้หมดแล้ว
อย่างเลขาธิการ ศนท. คนสุดท้าย สุธรรม แสงประทุม ในขบวนก็คุยกันเองว่า จะเอาใครเป็นต่อจากเกรียงกมล เลาหไพโรจน์ ดี ระหว่าง สุธรรม แสงประทุม จากจุฬาฯ หรือ สวาย อุดมเจริญชัยกิจ จาก มธ. ผมเห็นว่า ก็ดีเสมอกัน เพียงแต่สุธรรม
หน้า 5
จะมีภาพเปิดต่อสาธารณะที่เหมาะกว่า ผมบอกสุธรรม ที่ชั้น 2 ตึกโดมในส่วนที่รื้อไปแล้ว กลายเป็นตึกอเนกประสงค์ ว่าจะเลือกเขาเป็นเลขาธิการ ศนท. สุธรรม ถึงกับตกใจ
บอกผมว่า ตายละ! ถ้างั้น ผมต้องไปแจ้งเปลี่ยนกับเขา โดยเผยว่า จำต้องบอกความลับกับผมว่า เขามีกำหนดจะเดินทางเข้าป่า “ถ้าอย่างนี้ผมต้องไปบอกเปลี่ยนแปลง” สุธรรม บอกกับผมว่าอย่างนั้น
แกนม่วง ที่ก่อตั้งได้คนจำนวน 5 คน จากจุฬาฯ เกษตรฯ รามฯ มหิดล และ มธ. ในส่วนของ มธ. เขาส่งผมเข้าไป ตอนนั้นผมอยู่ปี 5 ทุกคนจะเรียกผมว่า พี่ปู่ผมเลยกลายเป็นหนึ่งในแกนม่วงที่ดูจะแก่พรรษากว่าใคร รองลงไปน่าจะเป็นหมอมิ้ง ซึ่งตอนนั้นอยู่ ปี 4 โดยหมอมิ้ง รับบทผู้ประสานงานของ แกนม่วง
อย่างที่ว่าไว้ แกนม่วง มีหน้าที่ดูแลตัดสินใจการเคลื่อนไหวต่อสู้ แต่ในทางปฏิบัติ การตัดสินใจ ก็ต้องมีเลขาธิการ ศนท. และรอง มาร่วมประชุมปรึกษาหารือด้วย เพราะเขาต้องออกหน้าปฏิบัติโดยตรงในนามของ ศนท. ซึ่งเราต้องใช้ชื่อ ศนท. ในการเคลื่อนไหว และบางครั้ง ยังมีคนอื่นมานั่งคุยด้วยก็มี เช่น เธียรชัย วงศ์ชัยสุวรรณ หรือ ยุค ศรีอาริยะ วัฒนชัย เวชชยชัย ( ปัจจุบันก็คือ ภูมิธรรม เวชชยชัย ) และอีกหลายๆคน เป็นต้น
การจัดตั้ง แกนม่วง และ แกนเหลือง มีหลักว่า แกนม่วง เป็นองค์กรดูแลตัดสินใจการเคลื่อนไหวของขบวนการ แต่บางครั้งอาจจะขยายวงโดยเอา แกนเหลือง
หน้า 6
มาร่วมประชุมปรึกษาหารือด้วย ซึ่งที่มาของ แกนเหลือง จะมาจากตัวแทนฝ่ายบริหารของนิสิตนักศึกษาในสถาบันต่างๆ ความจริงต้องการให้นายกฯสถาบันต่างๆเข้ามา แต่เห็นว่า นายกฯอาจจะไม่สะดวกนัก จึงให้ตัวแทนเช่น อุปนายก ทำหน้าที่แทน
แกนม่วง มีการพูดคุยกันเป็นประจำ แต่ก็อย่างว่า ในสมัยนั้น การพูดคุยมักจะคุยกันที่ อมธ. ไม่ได้คุยกันในห้องประชุม อมธ. หรอก แต่หาที่ว่างตรงไหนสักแห่งนั่งคุยกันตรงพื้นห้อง ทุกครั้งก็เป็นอย่างนี้
ในช่วงก่อน 6 ตุลาคม 2519 ตั้งแต่เกิดเหตุมือไม้ของอำนาจรัฐป่าเถื่อนจับ 2 ช่างไฟฟ้าไปสังหารและแขวนคอไว้กับประตูแดงที่นครปฐม หลังจากนั้น มีการชุมนุมที่สนามหลวงหลายครั้ง ก่อนที่จะย้ายเข้ามาใน มธ.
การชุมนุมแต่ละครั้ง แกนนำกังวลเป็นอย่างยิ่งก็คือ ฝ่ายขวาจัดจะใช้มือไม้มาก่อความรุนแรง การชุมนุมจึงเป็นไปในรูปแบบ ชุมนุมแล้วสลาย ต่างจากรูปแบบการชุมนุมตั้งแต่พฤศจิกายน 2516 เป็นต้นมา ที่มักจะชุมนุมข้ามคืน ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะ เกรงว่าจะมีอันตรายจากฝ่ายขวาจัด
จากสนามหลวง ต่อมาย้ายการชุมนุมเข้ามาใน มธ. ข้อสำคัญที่สุดก็คือ คิดว่า การชุมนุมที่ท้องสนามหลวงอันเป็นพื้นที่เปิด โอกาสจะมีการสร้างสถานการณ์ก่อความรุนแรง เป็นไปได้สูงมาก เราจึงต้องเลี่ยง เพื่อความปลอดภัย จึงควรย้ายเข้าไปชุมนุมใน มธ. เพื่อป้องกันหรือเพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างสถานการณ์ความรุนแรง
หน้า 7
ต่อมาในภายหลัง คือหลังจากนั้น นานสิบกว่าปี มีการรื้อฟื้นเบื้องหน้าเบื้องหลังกันที่ห้องประชุมชั้น 4 ตึกอเนกประสงค์ มธ. วันนั้นมีผู้เข้าร่วมประมาณ 20-
30 คนเห็นจะได้ มี ธงชัย วินิจจะกูล หมอมิ้ง หมอเลี้ยบ ยุค ศรีอาริยะ เกรียงกมล เลาหไพโรจน์ วิโรจน์ ตั้งวานิช ฯลฯ รวมทั้งผม
ในการทำงาน แกนม่วง มีอยู่ 5 คน แต่ในทางปฏิบัติ การติดต่อสื่อสารกันในสมัยนั้น ไม่ใช่ของง่าย ดังนั้นปัญหาที่ต้องตัดสินใจ ไม่ทราบจะไปเรียกประชุมกันยังไง ในทางปฏิบัติส่วนใหญ่จึงมักเป็นการพูดคุยกันระหว่าง ธงชัย วินิจจะกูล ฝ่ายปฏิบัติการ กับผมซึ่งเป็นตัวแทนของแกนม่วง เป็นอยู่ในลักษณะนี้บ่อยครั้ง
เมื่อมีปัญหา จะเอายังไงดี ธงชัย ก็จะมาหาผม และสาธยายเรื่องแล้ว ก็จะถามผมว่า
“ จะเอายังไงดี”
โดยธงชัย เขาจะเสนอว่า เอางั้นดีมั้ย เอางี้ดีมั้ย
เมื่อผมเห็นดีกับข้อเสนอใดของธงชัย เขาก็จะนำไปทำ เรื่องก็เป็นไปอย่างนี้
จนกระทั่ง มีการแสดงจำลองการแขวนคอ 2 ช่างไฟฟ้า ที่ลานโพธิ์ และ นสพ. ดาวสยาม (น่าจะบางกอกโพสต์อีกฉบับหนึ่ง) นำภาพไปตกแต่งเพื่อสร้าง
หน้า 8
สถานการณ์ พิมพ์ ( 4 หน้าขาวดำ ) แจกจ่ายจำนวน 1 ล้านฉบับ ปลุกฝ่ายขวาอันธพาลมาชุมนุมกันที่ลานพระรูป
เย็นวันที่ 5 ตุลาคม 2519 มีคนมาที่ อมธ. กันมากหน้าหลายตา ผมได้พูดคุยกับหลายๆคน รวมทั้ง อเนก เหล่าธรรมทัศน์ นายกฯจุฬา และ มหินทร์ ตันบุญเพิ่ม นายกฯ รามคำแหง ว่า สถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจ ผมขอให้ไปก่อการชุมนุมขึ้นแถวสามย่าน และที่รามคำแหง เพื่อให้ฝ่ายขวาจัด พะวงในที่อื่นๆ นอกจาก มธ. หากมีการชุมนุมที่อื่นนอกจาก มธ. แล้ว การจะตัดสินใจทำอะไรของฝ่ายจารีตขวาจัด ก็อาจจะต้องคิดมาก เพราะอาจจะควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ ซึ่งนายกฯจุฬา และนายกฯรามคำแหง ก็เห็นด้วยแล้วเดินจาก อมธ. ไป
แต่จนทุกวันนี้ ผมก็ยังไม่ได้ถาม อเนก กับ มหินทร์ ต่อเรื่องดังกล่าว
จนตกกลางคืนของวันที่ 5 ตุลาคม 2519 สถานการณ์ไม่สู้ดี ผมจึงคิดว่า เราจำเป็นต้องสลายการชุมนุม แต่การจะสลายการชุมนุมในเวลากลางคืน น่าจะมีอันตรายมาก ผมจึงคุยกับธงชัย ว่า เราต้องสลายการชุมนุม แต่ต้องเป็นเช้าวันที่ 6 ตุลาคม 2519
โดยค่อยๆสลายทีละส่วน
และแล้ว ลูกระเบิดจาก M79ก็มาลงในที่ชุมนุม แถวๆประตูฟุตบอลด้านตึกโดม ดังสนั่นหวั่นไหว ในราวตี 4 ตี 5 ของเช้าวันที่ 6 ตุลาคม 2519
หน้า 9
ต่อมา ในช่วงเช้ามีการยิงจากอาวุธสงครามจากภายนอกเข้ามาใน มธ. ชนิดหูดับตับไหม้
ประมาณ 6 โมงเช้า บนชั้น 2 ของ อมธ. ผมชวน สุธรรม แสงประทุม เลขาธิการ ศนท. ประยูร อัครบวร รองเลขาฯ สุรชาติ บำรุงสุข และอีก 2-3 คน มานั่งล้อมวงประชุมหารือกันกับพื้นห้อง โดยผมขอให้ สุธรรม แสงประทุม และคณะ เดินทางไปพบกับนายกฯ เสนีย์ ปราโมช ขอให้มีการหยุดยิง โดยให้ไปชี้แจงข้อเท็จจริงกับนายกฯเสนีย์ฯ ว่า อะไรเป็นอะไร
ต่อกรณีดังกล่าวมา ผมเคยได้ยินคนพูดถึงเหตุการณ์เช้าวันนั้นว่า มีการประชุมศูนย์ ( ศนท.) ซึ่งน่าจะคลาดเคลื่อน ที่ถูกเช้านั้น ไม่น่าจะเป็นไปได้ว่า มีการประชุม ศนท.ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนั้น ซึ่งเวลานั้น มีแกนม่วงอยู่ จึงไม่มีความจำเป็นใดๆที่ต้องประชุม ศนท. เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว จะมีก็แต่การประชุมโดยผมตัวแทนแกนม่วงเป็นผู้เรียกประชุม ซึ่งแกนม่วงคนอื่นๆก็ไม่อยู่ จริงๆแล้วผมก็มีจุดประสงค์แต่ประการเดียว นั่นคือ ขอให้เลขาธิการ ศนท. และคณะ ไปพบนายกฯเสนีย์ เพื่อหาทางคลี่คลายความรุนแรงที่กระทำต่อผู่ชุมนุมใน มธ.
ระหว่างประชุมหารือ เห็นจารุพงษ์ ทองสินธุ์ แสดงความไม่พอใจอย่างยิ่งที่ฝ่ายขวาจัดใช้ความป่าเถื่อนยิงเข้ามาใน มธ. อย่างถี่ยิบ เขาเดินอยู่ใกล้ๆกับที่พวกเรานั่ง แล้วก็ได้ระบายอารมณ์ โดยก้มลงใช้ฝ่ามือฟาดลงกับพื้นห้องอย่างแรง ก่อนเดินออกจาก
หน้า 10
ห้องไป ต่อมาเกิดอะไรขึ้นกับจารุพงษ์ ย่อมเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว ส่วนตัวรู้เลยว่า เขาเคียด
แค้นยอมไม่ได้กับความป่าเถื่อนที่กำลังกระทำต่อผู้ชุมนุมที่ต่อสู้เพื่อประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ
เมื่อที่ประชุมหารือเข้าใจตรงกันหมดแล้ว ก่อนที่จะออกเดินทางไปพบนายกฯเสนีย์ ปราโมช ประยูร อัครบวร เขาก็น่าจะร่วมไปกับคณะด้วย แต่ผมขอให้ สุรชาติ บำรุงสุข ไปแทนประยูร เพราะเห็นว่า สุรชาติ น่าจะสันทัดถ้อยทีถ้อยเจรจามากกว่า ซึ่งที่ประชุมก็ไม่มีขัดข้อง จากนั้น สุรชาติ จึงฝากของสำคัญอย่างหนึ่งไว้ที่ผม ก่อนที่สุธรรมและคณะจะเดินทางไป ซึ่งต่อมาอีกประมาณ 1 ชั่วโมง ผมแทบจะเอาชีวิตไม่รอดกับของฝากจำเป็นดังกล่าว โดยสุรชาติ บอกว่า เป็นของที่อเนก เหล่าธรรมทัศน์ ซื้อให้เพื่อความปลอดภัย
จากนั้น พวกเราที่อยู่ตึก อมธ. ทั้งหมด ค่อยๆทยอยลงจากตึก ไปขึ้นตึกวารสาร ซึ่งมีบันไดทางขึ้นห่างออกไปราว 15 เมตร ซึ่งถ้าเดินขึ้นบันไดเตี้ยๆแล้วเดินเลียบห้องทำงานไปเกือบสุดอาคาร ก็จะมีบันไดขึ้นชั้น 2 ชั้น 3 ของตึกวารสาร ผมนั่งอยู่ตรงบันไดขึ้นตึกวารสารอยู่พักใหญ่ เห็นชูศิลป์ วนา ถืออุปกรณ์ป้องกันตัว 357 วิ่งเข้ามาบริเวณนั้น สักครู่ก็เห็น อ้วน วัฒนชัย เวชยชัย ( ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นภูมิธรรม ) ขยับอุปกรณ์ป้องกันตัวในมือสีดำเมื่อมจากเยอรมัน พูดจาทักทายผมด้วยอารมณ์ที่ไม่สู้ดี
หน้า 11
แล้วก็วิ่งจากไป อีกคนที่เข้ามาบริเวณนั้น ก็คือ วัชรพันธ์ จันทรขจร หรือ โป๊ะ เดินเข้ามาหาผม พูดด้วยความขึงขังว่า
“ วิสูตร์ คุณเป็นคนมีคุณภาพ ขอให้หลบไปก่อน”
ผมไม่ได้ตอบอะไร ในใจก็อยากจะบอกว่า ทุกคนก็ล้วนมีคุณภาพที่มีค่ายิ่งทั้งนั้น แล้วผมก็เดินไปขึ้นชั้น 2 และไปชั้น 3 ของตึกวารสาร เห็นพวกเราอยู่กันเต็ม พอดีผมเหลือบไปเห็นโทรศัพท์วางอยู่บนโต๊ะเล็กๆอยู่ตรงหัวบันไดชั้น 3 ผมจึงขอให้พวกเรา ซึ่งตรงนั้น มีคนหนึ่ง ชื่อหมู (ผู้หญิง) อยู่พรรคพลังธรรม และรู้จักกันดี อยู่ตรงนั้นด้วย ผมขอให้ใครช่วยหมุนต่อโทรศัพท์ไปยังทำเนียบรัฐบาล เพื่อจะติดตามสอบถามเรื่องที่ สุธรรม แสงประทุม และคณะ ไปถึงหรือยัง มีความคืบหน้าเป็นประการใด โดยให้หาเบอร์จากองค์การโทรศัพท์ เมื่อได้เบอร์ ก็ให้ต่อไปยังทำเนียบรัฐบาล ปรากฏว่า โทรศัพท์ติด แต่ไม่มีใครรับสายเลย
ถึงตอนนั้น ผมนึกในใจว่า วันนี้วันพุธ เวลา 7 โมงเศษ ทำเนียบกลับไม่มีใครรับสาย สิ่งแรกที่ผมคิดในตอนนั้น ก็คือ
“ อย่างนี้ รัฐประหาร แน่แล้ว ”
ผมจึงรีบบอกให้คนในตึกวารสารออกจากตึก ผ่านตึกโดมไปริมน้ำ เดินลุยน้ำไปขึ้นที่ท่าพระจันทร์ ส่วนผมก็ลงน้ำแล้วขึ้นมาเดินเลียบริมน้ำไปทางท่าพระจันทร์ เมื่อเห็นว่า พวกที่เดินในน้ำจะช้า ผมจึงบอกให้ทำลายรั้วตาข่ายเหล็กลง พอพังรั้วได้
หน้า 12
คนที่เดินในน้ำก็ขึ้นมาเดินข้างบนไปออกตรงมุมซอกเล็กๆ ซึ่งออกไปก็จะเป็นร้านข้าวแกงจั๊วท่าพระจันทร์ ซึ่งพวกเราก็ไปออกทางนั้นกัน
ผมก็ตามไปโผล่ตรงซอกที่ว่านั้นเหมือนกัน แต่พอโผล่หน้าออกไป ผมแทบจะรีบถอยกลับเข้ามา เพราะตรงร้านจั๊ว มีตำรวจอยู่หลายนาย กำลังใช้มือตบตามตัวของพวกเราที่จะผ่านไป ซึ่งก็คือ ตรวจอาวุธ นั่นเอง
ผมซึ่งถลำไปเต็มตัวแล้ว และตำรวจเหล่านั้นก็มองเห็นผมแล้ว ถ้าผมจะถอยหลังกลับ ก็จะเป็นพิรุธชัดแจ้ง ผมจึงต้องทำใจดีสู้เสือ คิดในใจว่า ถ้าผมคิดจะวิ่งผ่านเร็ว ตำรวจเขาต้องเรียกตรวจแน่ แต่ถ้าช้าก็ต้องต่อแถว ก็ต้องโดนตรวจอยู่ดี ผมจึงอาศัยตอนที่มีคนต่อแถวอยู่หลายคน ผมแกล้งวิ่งเหยาะๆ เรียกว่า คิดไว้ว่า เร็วมากก็ผิดสังเกต ช้ามากก็จะโดนตรวจ ผมจึงทำเป็นวิ่งเหยาะๆ ทำหน้ายิ้มระรื่น ออกนอกแถว ซึ่งก็มีคนออกันอยู่พอสมควร แล้วก็มีเสียงตำรวจคนหนึ่งดังขึ้นว่า
“ เร็วๆหน่อย คุณแว่น”
ผมก็วิ่งเหยาะพลางตอบพลางว่า
“ ครับผม ”
เรียกว่า ตอนนั้น หัวใจอยู่ตรงตาตุ่มเลย ช่างบังเอิญจริงๆ หากผมโดนเรียกตรวจ ก็ไม่ทราบว่า อะไรจะเกิดขึ้น
หน้า 13
ผมเดินผ่านเข้าไป เห็นพวกเราอยู่กันนับร้อยเลยทีเดียว โดยไปออกันอยู่ปากซอยศูนย์พระเครื่อง ผมจึงเดินไปดูลาดเลาที่ตรงนั้น คิดว่าจะชวนพวกเราออกทาง
นั้น โดยฝั่งตรงข้าม เยื้องไปทางขวานิดเดียว คือประตูทางเข้าวัดมหาธาตุ แต่ดูจะไปไม่ได้เลย เพราะมีเสียงปืนยิงไม่ขาดระยะเลย โดยที่ยิงจากจุดใดมิทราบได้
ผมจึงถอยกลับเข้ามา และกดกริ่งเรียกตามบ้าน ซึ่งเป็นอาคารพาณิชย์ ซึ่งขณะนั้นปิดตายหมด แต่เช้านั้น พอผมไล่กดกริ่งไปทีละบ้าน มีบ้านที่เปิด จำได้ว่า 3-4 บ้าน ผมขอให้ช่วยรับพวกเราเข้าไปหลบภัย เขาบอกว่าได้ แต่ขอเป็นผู้หญิง ก็เลยมีผู้หญิงเข้าไปหลบภัยบ้านละ 10 กว่าคน
ผมเดินกลับเข้าไปยังแผงขายของของป้าคนหนึ่ง ซึ่งไม่น่าเชื่อว่า เช้านั้น มีเปิดขายของอยู่เจ้าเดียว เป็นเจ้าที่อยู่ริมน้ำเลย ผมจึงขอฝากของสำคัญไว้กับคุณป้า ซึ่งคุณป้าพูดว่า
“ ฝากได้ แต่ต้องมาเอาเองนะ ป้าจำใครไม่ได้นะ”
ผมก็ได้แต่ ครับ ๆ ๆ ขอบคุณคุณป้ามากครับ โดยฝากอุปกรณ์หลักแล้ว ก็มีเศษอีก 2 ตับ ผมก็โยนลงน้ำตรงนั้นเลย
และจากเช้าวันที่ 6 ตุลาคม 2519 จนวันนี้ ผมไม่เคยไป ณ จุดนั้นอีกเลย
เคยเจอกับ สุรชาติ บำรุงสุข ประมาณปี 2523 หลังกลับสู่เมืองแล้ว ก็ไม่ได้ถึงพูดเรื่องนี้
หน้า 14
พอฝากของสำคัญกับคุณป้าแล้ว ผมก็ชวนพวกเราไปที่ปากซอยศูนย์พระเครื่อง คราวนี้ มีแต่เสียงปืนจาก มธ. เสียงปืนบริเวณนั้นเงียบลง ผมจึงถือโอกาสบอกพวกเราว่า เตรียมตัววิ่งนะ
“ วิ่ง”
ผมวิ่งนำหน้าไปทางประตูเข้าวัดมหาธาตุ ในใจนึกเลยว่า พอมันเห็นเรา มันต้องยิงแน่ แล้วผมก็คาดไม่ผิด
พอผมวิ่งไปยังไม่ถึงประตูวัด เรียกว่า พอข้ามเส้นกึ่งกลางถนนไปหน่อย ผมตัดสินใจพุ่งบกเลย ตัวผมก็ไถลไปจนคาตรงประตูเข้าวัดซึ่งขณะนั้น เขากำลังซ่อมทางเข้าอยู่ มีอิฐวางระเกะระกะ คางผมก็เลยไปกระแทกกับอิฐบริเวณนั้นแตกเลือดสาด
ในขณะที่ผมพุ่งบก ก็มีเสียงปืนกระหน่ำยิงมาอีกทันทีทันใด คนที่วิ่งตามหลังผมคนหนึ่ง ถูกยิงล้มลงคาถนน ร้องเสียงดังลั่นเลย แต่หลายคนก็ผ่านเข้าไปทางประตูวัดได้
ขณะนั้นภายในวัด คนมาออกันอยู่ในวัดเต็มไปหมดเลย น่าจะเป็นร้อยๆคนเลยทีเดียว พอผมลุกขึ้นได้ ก็เดินเข้าไปผสมโรงโดยทำไม่รู้ไม่ชี้ ทันใดนั้น มีชายคนหนึ่ง แต่งตัวเรียบร้อย อายุราว 30 ปีเห็นจะได้ เห็นผม เขามองสารรูปผมแล้ว เอ่ยขึ้นว่า
“ ตัวเปียกอย่างนี้ ให้พวกนั้นเห็นไม่ได้เลยนะ เมื่อกี้มาจับออกไปแล้วหลายคน มานี่ ตามผมมา”
หน้า 15
เขาพาผมลัดเลาะไปที่กุฏิพระหนึ่ง ที่อยู่ติดกับกำแพงวัดมหาธาตุด้านตรงข้าง มธ. เลย พบหลวงพ่อซึ่งนั่งอยู่ตรงโต๊ะที่มีข้าวปลาอาหารวางเต็มโต๊ะไปหมด รวมทั้งขนมมากมายก่ายกอง ชายคนดังกล่าวได้ให้คนไปหาเสื้อผ้ามาให้ผมเปลี่ยน จากนั้นก็บอกให้ผมกินข้าว ซึ่งผมจะกินลงไปได้อย่างไร ในเมื่อเสียงปืนดังมาจาก มธ. ยังยิงรัวสนั่นหวั่นไหวไม่หยุด ชายคนดังกล่าว จึงให้เด็กวัดจัดให้ผมเข้าไปซุกตัวในช่องเล็กๆ พอก้มลงแล้วมุดเข้าไป มีที่นอนอยู่ 2 ที่ ปรากฏว่า มีชายหนุ่มนอนอยู่ก่อนผมคนหนึ่ง อายุอานามสัก 20 กว่าปี ผมเข้าไปก็นอนลงยังที่นอนที่ว่าง เสียงปืนจาก มธ. ก็ยังดังสนั่นติดต่อกันไม่ขาดระยะไปอีกนานเป็นชั่วโมงๆ
สักพัก ชายที่นอนข้างๆก็พูดด้วยความโกรธแค้น เขาพูดกับตัวเองย้ำแล้วย้ำอีกว่า
“ ออกจากที่นี่ไปได้ ผมสาบานว่า ผมจะต้องเข้าป่าไปจับปืนยิงสู้กับมัน ”
เขาพูดไปร้องไห้สะอึกสะอื้นไป ส่วนผมก็ได้แต่นอนฟังเขาระบายความคับแค้นโดยไม่กล้าพูดอะไร
จนเสียงปืนเงียบลง ต่อมามีฝนตกลงมาอย่างหนัก
มาทราบว่า มีฝ่ายขวาจัด น่าจะเป็นตำรวจเข้ามาไล่ล่าพวกเราถึงในวัด ได้ตัวไปจำนวนหนึ่ง แต่ผมกับอีกคน ก็รอดมาได้
หน้า 16
ประมาณเที่ยงวันกว่าๆ ผมถึงได้ออกจากวัด เดินจากวัดด้วยกางเกงขาสามส่วน และเสื้อยืดที่ค่อนข้างเล็ก เดินออกมาทางถนนระหว่างวัดมหาธาตุ กับ มธ. ไปสนามหลวง หลายจุดมีน้ำท่วมขังต้องลุยน้ำด้วย จากนั้นก็เดินทางไปหาเพื่อนแถวสะพานเหลือง ขอเสื้อผ้าเขาเปลี่ยน และอาศัยอยู่กับเขาที่นั่นระยะหนึ่ง
จนวันหนึ่ง ได้พบกับคนรู้จักที่เป็น น.ศ. มธ. คนหนึ่ง จากนั้นวันที่ 1 ธันวาคม 2519 ผมจึงได้เดินทางจากหัวลำโพงมุ่งลงใต้ เข้าสู่เขตป่าเขา สฎ. 1 บี 5 ค่าย 508 ต่อมาวันที่ 4 มกราคม 2520 ผมได้ย้ายไปอยู่ สฎ. 2 ดงเคียนซา ค่าย 514 จนวันที่ 14 พฤษภาคม 2521 ออกจากดงเคียนซา ขึ้นรถไฟที่สถานีพุนพิน เข้ากรุงเทพ ฯ และวันที่ 19 พฤษภาคม 2521 ออกเดินทางสู่จังหวัดตาก พักในโรงแรมในเมืองตาก 1 คืน เช้าวันที่ 20 พฤษภาคม 2521 เดินทางสู่เขตงานแม่สอด และเดินทางไปสู่เขตอุ้มผาง ถึงสำนัก 401 แม่จันทะ ในวันที่ 21 มิถุนายน 2521 ตอนอยู่ที่นั่น ได้รับมอบงานให้ติดต่อกับเจ้าของกิจการเหมืองที่ “จะแก” (ชื่อหมู่บ้านทางใต้สุดของตาก น่าจะอยู่ในเขตจังหวัดกาญจนบุรี) ชื่อกำนันตื๊ด หรือ คงศักดิ์ กลีบบัว ( น่าจะเคยเป็น สส. กาญจนบุรี ) ผ่าน ผจก. ของเขาซึ่งบริหารประจำอยู่ที่เหมือง เพื่อขอความสนับสนุนทางการเงินและสิ่งของจำเป็นบางอย่าง และมีหน้าที่ติดต่อกับกองกำลังกระเหรี่ยงอิสระของนายพลโบเมียะ ที่อยู่แถบชายแดน มี “เจอดีน” เป็นหัวหน้า แต่พวกเรามักจะเรียกว่า “จอเต็ง” เพื่อติดต่อซื้อขายในสิ่งที่เราขาดเหลือเป็นประจำ ผมจึงอาศัยไปมาอยู่แถบนั้น
หน้า 17
ข้ามไปมาตรงชายแดนไทย-พม่า และจัดตั้งเคยมอบให้ผมติดต่อกับพรรคมอญด้วย วันดีคืนดี ก็เดินทาง 3-4 วันถึงหมู่บ้านคริตตี้ ผ่านทุ่งใหญ่นเรศวร หรือ เซซ่าโหว่ ( ดินแดนแห่งลูกไม้แดง ) ไปทำภารกิจ แต่ก็ไม่ได้การอะไร มีอยู่ครั้งมีคนจากในเมืองมาเจรจาจะขอสร้างเขื่อน ก็ต้องมาเจรจาขออนุญาตจากพวกเรา จัดตั้งเลขาฯพรรคของเขตงานก็ไปเจรจา โดยให้ผมไปด้วย ความจริงก็ง่ายๆ คือ ไปฟังเขาสาธยาย จากนั้นก็แจ้งว่า ไม่อนุญาต
จนปี 2522 คณะของสหายไท หรือ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ได้แก่ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล จีระนันท์ พิตรปรีชา กับ ลูกน้อย ( ไอ้ช้าง ) วิชัย บำรุงฤทธิ์ รวม 4 ชีวิต เดินทางมาถึงสำนัก 401 จากนั้น ทางจัดตั้ง ได้จัดให้ผม กับคณะดังกล่าว ไปตั้งสำนักพิเศษต่างหาก โดยมีภาระหน้าที่ทางการเมืองสารพัด ทั้งเรื่องเอกสารเผยแพร่ และการเคลื่อนไหวอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวในเมือง แต่จะว่าไปก็ยังมิทันได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน จนกระทั่งวันที่ 12 เมษายน 2523 ผมก็เดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ โดยมาทางเรือเหนือเขื่อนศรีนคินทร์
มาเรียนต่อในปีการศึกษา 2524 จนจบนิติศาสตร์ มธ. โดยใช้เวลาร่วม 10 ปี ( 2515 – 2524 ) น่าจะเป็นสถิติเท่าที่มี ที่ 10 ปี ปริญญาตรี ตั้งแต่สถาปนา มธก. เป็นต้นมา ยังดีที่ปีการศึกษา 2524 ได้เนติบัณฑิต ไปด้วย
ที่ต้องทำสถิติ 10 ปี อันไม่น่าพิสมัย เนื่องจากตอนปี 4 ภาคหลัง ช่วงขับไล่ฐานทัพอเมริกา 20 มีนาคม 2519 ไม่ได้เข้าสอบเลยแม้แต่วิชาเดียว ซึ่งปกติจะหมด
หน้า 18
สภาพนักศึกษาไปแล้ว ตั้งแต่ปีการศึกษา 2520 เพราะไม่ได้ทำเรื่องพักการเรียนไว้ แต่หายหัวไปอย่างไร้ร่องรอย หรืออย่างมากก็ไม่เกิน 7 ปีตามเกณฑ์ ซึ่งต้องหมดสภาพอย่างช้าก็ในปีการศึกษา 2521 แต่ที่ยังมีสิทธิสอบ ก็เป็นเพราะกฎหมายนิรโทษกรรม จากนโยบาย 66/23 ของรัฐบาลเปรมในเวลานั้น
----------------------------