รำลึกโชติช่วง
เมื่อโชติช่วง นาดอนกลับมาฉายฉานในวงการสื่อสารมวลชนและวรรณกรรมไทยนั้น ผมถูกจับกุมคุมขังไว้ในเรือนจำชั่วคราวบางเขนแล้ว(2527-2532)
ระหว่างถูกฝากขัง ไม่ได้รับอนุญาตประกันตัวขณะต่อสู้คดีมีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์และเป็นภัยร้ายแรงต่อความมั่นคงทั้งภายในภายนอกราชอาณาจักรนั้น ผมรู้จัักโชติช่วง นาดอนผ่านการอ่านบทกวีของเขาที่ตีพิมพ์ในนิตยสารรายสัปดาห์ข่าวการเมืองบางฉบับ
ชื่นชอบทันทีตั้งแต่อ่านงานชิ้นแรก รู้สึกได้กำลังใจ ได้แรงปลุกปลอบให้คงความฮึกห้าวเหิมหาญไว้
เราเป็นคน"เดือนตุลาฯ"ที่ถูกอำนาจทมิฬปราบปรามไล่เข่นฆ่ากลางเมืองหลวง
เราเคยเข้าเเขตป่าเขา ร่วมต่อสู้ด้วยอาวุธพร้อมกับบรรดาเพื่อนนักศึกษาปัญญาชนร่วมสมัย
เราเคยร่วมทุกข์ร่วมสุขร่วมเป็นร่วมตายกับมวลขนพื้นฐานชาวนาชาวไ่ร่ ชาวเขาชาวดอย
เราเคยร่วมในโศกนาฏกรรมวิกฤติศรัทธาป่าแตกมิตรสหายสับสนอลหม่าน
แล้วเราก็ได้ร่วมกับสหายมิตรร่วมรบจำนวนหนึ่งที่ได้รับโอกาสติดคุกติดตารางหลายปี
ได้ต่อสู่้ ไดีหนีตาย ได้เข้าป่า ได้ติดคุก เจนจบครบถ้วนทุกสมรภูมิ ตั้งแต่ยังหนุ่ม
ชืวิตไม่มีใดน่าเสียดายอีก
ผมตัดสินใจสู้คดีบนศาลทหาร ไม่ยอมจำนน ไม่รับเงื่อนไขไปรับการอบรม"หลักสูตรประชาธิปไตย"ในค่ายการุณยเทพของทหารแทนการติดคุก โดยคิดจะรักษาศักดิ์ศรี"คนตุลาฯ"รุ่นสุดท้ายจากชายป่า ไม่ให้เสียหน้า"คอมมิวนิสต์ลาดยาว"เช่นทองใบ ทองเปาว์ที่มารับเป็นทนายว่าความให้ ไม่ต้องอายขายหน้าคอมมิวนิสต์รุ่นบุกเบิกอย่างลุงธง แจ่มศรี หรือประเสริฐ เอี้ยวฉายฯลฯ
งานเขียนบทกวีของโชติช่วง นาดอนหล่อเลี้ยงขวัญกำลังใจให้ผมสุขนิยม ไม่ซึมเศร้าเหงาหงอยจนจมลงสู่ก้นเหวของความทุกข์ระทมล้มเหลว ปวดร้าวกับจิตจินตนาการที่แตกสลาย หรือหลงไปในดงวรรณกรรมบาดแผลที่เป็นกระแสครอบงำในยามนั้น
ผมเชื่อจากประสบการณ์การอ่านว่า กวีนายนี้ ต้องเป็น"สหายพวกเรา"แน่นอน และเขากำลังลั่นระฆังให้กับการโรมรันยกใหม่
ต่อมาภายหลัง จึงได้ทราบว่า"โชติช่วง นาดอน"คือนามปากกาของทองแถม นาถจำนง นักศึกษาเทคนิคการแพทย์เชียงใหม่ที่เดินเท้าบุกขึ้นไปถึงฐานที่มั่นทางทหารเขตดอยยาว ผาหม่น เชียงราย และเข้าศึกษาโรงเรียนการเมืองการทหารที่นั่น ก่อนเดินทางไปศึกษาต่อที่วิทยาลัยแพทย์เซี่ยงไฮ้
ความจริงวีรกรรมของนักศึกษากลุ่มนี้ ผมเคยได้ยินสหายกล่าวขวัญถึงตลอดเส้นทางที่ผมเดินจากเขาค้อ ข้ามไปภูหินร่องกล้า และเลยไปจนถึงจังหวัดน่าน
ความรู้ความสามารถของทองแถม ทั้งด้านกวี ปรัชญา วัฒนธรรม จีนศึกษา นักหนังสือพิมพ์ นักวิเคราะห์สถานการณ์ทั้งการเมืองและเศรษฐกิจฯลฯ มีเพื่อนๆเขียนถึงมากมาย
มีเรื่องหนึ่งที่ผมได้สัมผัสด้วยตนเอง และประทับใจผมมากคือ วันงานมงคลสมรสของลูกชายทองแถมซึ่งเขาอยากให้ผมกับชลธิราไปร่วมด้วย. ทองแถมต้อนรับผมที่หน้างาน และจูงมือผมไปกระซิบว่า ก่อนจะเข้าไปนั่งประจำโต๊ะด้านใน อยากให้ผมได้พบกับเพื่อนๆกลุ่มหนึ่งที่เขารักมาก แล้วจูงมือผมไปท่ามกลางแสงไฟสลัว
จนถึงโต๊ะหนึ่ง ปรากฏภาพชายหญิงแต่งกายภูมิฐานกลุ่มใหญ่นั่งล้อมวงศ์สรวลเสเฮฮากันมากหน้าหลายตา
ทองแถมส่งเสียงสัญญาน"พวกเรา สหายนำมาเยี่ยม"
แล้วแนะนำว่า ทั้งหมดเป็นเพื่อนนักเรียนแพทย์ที่พรรคคอมมิวนิสต์ส่งไปเรียนที่ประเทศจีน แม้จะไม่มีโอกาสกลับมารับใช้ทหารและประชาชนที่สมรภูมิแนวหน้า แต่ก็ได้กลับมาเป็นแพทย์รับใช้ประชาชนอยู่ตามโรงพยาบาลต่างๆทั่วประเทศ
หลายคนเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชน"
ทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นผลิตผลจากพ.ค.ท.(พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย)
ผมอึ้งไปครู่หนึ่งด้วยความตื้นตัน เมื่อหมอผู้ใหญ่ทั้งกลุ่มยืนขึ้นทักทาย จับไม้จัยมือกันฉันสหาย ใจสัมผัสถึงใจกันอบอุ่นอย่างไม่คาดฝัน
คิดไม่ถึงว่า ทองแถมจะมอบภาพอันน่าประทับใจนี้ให้ผม ทั้งที่แทบไม่เคยคุยเรื่องราวหนหลังเหล่านี้มาก่อนเลย
การพบกันชั่วระยะสั้นๆคืนนั้น ทำผมสว่างวาบ
ความจริงสิ่งที่การต่อสู้ในเขตป่าเขามอบไว้เป็นมรดกตกทอดที่ดีงามแก่สังคมยังมีนับไม่ถ้วน
เฉพาะด้านการแพทย์แผนจีน อดีตผู้ปฏิบัติงานพ.ค.ท.เขตงานต่างๆทั้งอีสาน เหนือ ใต้ เปิดคลีนิคให้การรักษาชาวบ้านทั่วไปมายาวนานตั้งแต่ออกจากป่าและเริ่มตั้งเนื้อตั้งตัวได้
มีการอบรมหมอฝังเข็มเป็นรุ่นๆ
จัดกลุ่มหมออาสาเดินทางเข้าไปในถิ่นทุรกันดารที่เคยเป็นเขตต่อสู้ด้วยอาวุธ ดูแลชาวบ้านมวลชนอย่างถนอมรัก
แม้วางปืนลงแล้ว ยังถือเข็มฉีดยา รับใช้ประชาชน
ที่ยิ่งใหญ่คือ ปราชญ์กวีอย่าง"หมอโชติ" ไม่ใช่พรรคคอมมิวนิสต์เนรมิต สำแดงฤทธิ์ไม่ได้พิสดารระดับนี้
คารวะปฏิวัติ
สนใจสมัครสมาชิกผู้มีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท. โปรดคลิ๊ก