“สหายผู้เฒ่าเล่าความหลัง”.........“เขต ทปท.ห้ามเข้า”

โดย….“เฒ่าตะวัน”

 1. เฮ ฮาฮา ที่เขตงานคุณศรี..

 

 

" ม่าย ม้าย.. กูไม่เห็น กูไม่รู้ มันบอก ไม่ให้ แหลง.."

 หลัง 6 ตุลา 2519.. กลุ่ม นักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 6 คน.. จะไปเข้าป่า.. โดยการชักชวนจากคุณสาทร (เอียด).. เดินทางโดยรถไฟจากเชียงใหม่-หัวลำโพง ต่อรถไฟสายใต้ ลงที่หาดใหญ่ แล้วต่อรถบัสโดยสารประจำทาง ผ่านอำเภอทุ่งหว้า จ.สตูล เริ่มเข้าพื้นที่จังหวัดตรัง ลงรถที่นั่น.. ทุ่งยาว ตำบลลิพัง อำเภอปะเหลียน

สมัยนั้น ทุ่งยาวเป็นหมู่บ้านชนบทขนาดกลาง มีบ้านหลายหลัง มองเห็นทิวเขา ป่าทึบข้างหน้าไม่ไกลนัก..
ผมจินตนาการ.. คิดในใจว่า.. สหายคงจะอยู่อีกไกล ๆ ลึก ๆ บนภูเขาสูง กลางป่า พู้น..
ขณะกำลังเดิน ๆ ลงจากถนน .. ก็มีชาวบ้านชาย-หญิงวัยกลางคน และหญิงสาวนุ่งผ้าซิ่น เดินยิ้ม ยื่นมือเข้ามาหา ..จับมือพวกเราทีละคน ๆ จับมือและเขย่ามือ พร้อมพูด.. "บายดี บายดี" จนครบทุกคน..
คุณสาทร.. แนะนำผู้หญิงวัยกลางคนที่เข้ามาหาว่า.. คือ คุณศรี.. สหายอยู่ที่นี่..
หา.. ! สหาย..
..สหาย ซึ่งผมเคยจินตนาการว่า สหาย ทหารประชาชนคงเคร่งขรึม ดูดุ ๆ อยู่ไกล ๆ ป่าดงดิบลึก แต่ที่พบนี่อยู่ ริม ๆ ถนน กลางหมู่บ้าน.. แถมสหายที่พบยังยิ้มแย้ม ดูหน้าตาดีออกสวย ออกหล่อทั้งนั้น (ผมคิดในใจ)
.. เราเดินพ้นหมู่บ้าน เข้าป่าขึ้นภูแค่อึดใจ.. ก็ถึงที่พักสหายงานมวลชนที่นี่ เราเรียกตรงนี้ว่า “เขตงานของคุณศรี” คนที่พาสหายไปรับพวกเรา ..สหายที่นี่ มีคุณประเทือง.. ร่างหนาหุ่นนักรบ คุณผจญ.. หล่อเข้มมาดนักรบกล้าเช่นกัน คุณมานพสหายนักศึกษาที่เข้ามาร่วมกับพรรคก่อน 6 ตุลา สหายหญิงมีคุณดาว คุณจารึก.. เป็นสหายหญิงที่สวยงามทั้งคู่.. (อดีต พูดคำว่าสวย ว่างาม.. จะโดนตำหนิ ความคิดกดขี่ทางเพศ)
.. อยู่ป่า เป็นสหายต้องมีกฎ ระเบียบ วินัย หลายอย่าง เช่นการปิดลับ เป็นใครมาจากไหน ก็ต้องปิดลับ ดังนั้นคณะเราจึงถูกตั้งชื่อใหม่ ..
.. ผมชื่อตะวัน.. คุณสาทร ชื่อสายันห์ คนอื่น ๆ ก็มีคุณธันวา สมัย โชคดี อดุลย์..
.. วันนั้น คุณศรี คงกลัวเราเครียด.. ช่วงหนึ่งที่ได้ให้ความรู้ สภาพต่าง ๆ ที่นี่ จึงได้เล่าถึงชนเผ่าที่เร่ร่อนในป่าแถบภูบรรทัดนี้ ..คุณศรีเรียก "ชาวป่า" หรือคนทั่วไปเรียกว่าเงาะป่า..
.. ชาวป่า.. เป็นชนเผ่าที่ซื่อ ๆ เสื้อผ้าไม่ค่อยจะมีสวมใส่ บางครั้งให้เสื้อผ้าไปก็ไม่สวมใส่เป็นเสื้อ เป็นกระโปรง เป็นกางเกง แต่เอาไปฉีกเป็นชิ้น ๆ แบ่งปันกัน ใช้แค่พอห่อตัว ห่มตัว.. ชาวป่าจะอยู่แบบเป็นกลุ่ม ๆ เร่ร่อนไปมาในป่าภูบรรทัด.. ทำให้บางครั้งก็เจอะเจอกับสหาย.. ทหารนักรบประชาชน..
.. เพื่อเป็นการปิดลับทางการทหาร.. สหายก็จะเจรจากับกลุ่มชาวป่านี้ แบบย้ำนักย้ำหนาว่า..
"พวกสู .. อย่าไปแหลงใครนะ .. ว่าเจอ สหาย"
.. ชาวป่า.. ก็จะตอบรับเป็นอย่างดี ตอบรับอย่างแข็งขันกันทุกคน . : "เออ.. เออ.. กูไม่แหลง .. กูไม่แหลง ใคร .. "
.. สงคราม.. คือความขัดแย้งทางการเมืองที่มิอาจประนีประนอมกันได้.. ภาวะสงคราม ก็ต้องมีการต่อสู้ ต่อสู้ที่หลั่งเลือดโลมดิน..
.. ทหารฝ่ายรัฐ.. ก็มีการลาดตระเวน เคลื่อนไหวเข้าไปในป่า เพื่อหวังติดตาม ทำลายกองทัพประชาชนบนภูบรรทัดเช่นกัน ..
.. เหตุบังเอิญของหน่วยทหารรัฐ.. ได้พบชาวป่ากลุ่มนี้เข้า.. จึงได้ส่งภาษา.. ซักถาม..ชาวป่า เงาะป่า.. : "สู.. สูอยู่ป่า สูเจอพวกคอม บ้าง ม่าย.. ?"

 


.. ชาวป่า.. : .. " ม่าย ม้าย.. กู. หม่ายเห็น กูหม้ายรู้ .. . มันบอก.. หม๊ายให้. .แหลง.."
!!?? !!?? !!?? !!??

 


.. ที่พักผู้ปฏิบัติงานมวลชน เขตงานคุณศรีนี้ตั้งอยู่บนภูห่างจากหมู่บ้านไม่ไกล การตั้งที่พักคงยึดหลักการทางทหาร คืออยู่บนที่ชันสูง มีร่องน้ำธรรมชาติอยู่ด้านล่างไม่ไกลนัก มีแคร่ไม้ไผ่ หลังคาผ้ายางสีกลมกลืนผืนป่าให้เราได้พักพิง หลับนอน
ภาพประทับใจแรก ๆ สำหรับผมคือคุณประเทือง หุ่นนักรบ ร่างหนาบึกบึน มาดเข้ม เคร่งขรึม จิตใจรับใช้ เสียสละสูง คุณประเทืองแบกไม้ไผ่ลำใหญ่ บรรจุน้ำเต็ม ๆ ทีเดียว 2 ลำ ขึ้นภูมาจากลำห้วยข้างล่าง เพื่อใช้ในที่พัก .. ผมมองแล้วทึ่ง.. มันใช่เลย.. คนอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ในจินตนาการ ..ผู้หล่อหลอมตนเป็นชนชั้นกรรมาชีพ นึกไปถึงจางซือเต๋อ ที่เคยอ่าน สหายนักรบจีนผู้ทำงานหนักรับใช้ประชาชนโดยไม่คำนึงถึงความทุกข์ยากลำบาก..
และคุณประเทือง ก็คงมีจิตใจจะหล่อหลอมตนเป็นชนชั้นกรรมาชีพให้ได้ อย่างจริงจัง สุดจิตสุดใจ
ช่วงที่คณะเรา นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ทั้ง 6 คน อยู่ที่ค่ายพักงานมวลชนเพื่อรอขึ้นไปกองทัพ ก็มีคุณมานพ สหายทำงานมวลชนที่นี่ เป็นอดีตนักศึกษาเข้าร่วมกองทัพก่อนเหตุการณ์ 6 ตุลา สอนเพลงปฏิวัติใหม่ ๆ ที่นิยมร้องกันในกองทัพให้แก่พวกเรา เช่น เพลงควนกาหลง .. บ้านเราหลังคามุงจาก ปูพื้นด้วยฟากไม้ไผ่ ฝากั้นด้วยเปลือกไม้ พออาศัยหลายคนหลับนอน.. และเพลงคนกับตะเกียง.. เป็นต้น
เราก็ฟังกันไปอย่างสนุก.. โดยเฉพาะเมื่อคุณจารึกสหายหญิงในเขตงาน มาร้องเพลงควนกาหลง. โอ้ว. ! .. เสียงไพเราะกังวานใส .ปานนกการะเวก. ระเรื่อยแจ้ว เสนาะโสต ทีเดียว .. ผมว่านักร้องอาชีพ หาคนเสียงดี ๆ เท่าคุณจารึกคงมีไม่กี่คน ..
คุณสมัย นักศึกษาคณะเกษตร ก็ร้องเพลงเพื่อชีวิตในเมืองให้สหายฟัง เพลงแดนตะราง.. เสียงอ้อยสร้อย ซึมเศร้า ซึ้งได้อารมณ์ ..เสียงเพลงเสียงปรบมือดังในที่พัก .. ส่วนคุณประเทืองนั่งถือปืนยาวได้แต่อมยิ้มหน่อย ๆ แต่ครั้นพอสหายร้องเพลง ..
เราเป็นทหารของประชา มีจิตใจห้าวหาญ
ไม่สะทกสะท้านเมื่อเผชิญผองภัย
หนึ่งไม่กลัวลำบาก สองไม่กลัวตาย
ต่อสู้เอาชัย เพื่อมวลประชา..
กดขวัญศัตรูลงไป ปลุกขวัญมวลชนขึ้นมา
สร้างความฮึกห้าวเหิมหาญ
แข็งแกร่งดั่งภูพานให้กองทหารของเรา..
คุณประเทือง.. ก็พรวดเข้ามาร่วมวงทันที .. พร้อมกล่าวว่า.. ผมชอบเพลงบู๊ บู๊..
วันต่อมา ผมเห็นคุณประเทืองเตรียมตัวไปทำงานมวลชน จากที่เคยสวมใส่ชุดทหารที่ดูเข้มขลัง ก็ดูเป็นเสี่ยหนุ่มหล่อ .. ผมยิ้มทัก.. คุณประเทือง วันนี้หล่อ.. แต่งแบบนี้ เหมือนเสี่ย เลย..
การทักทายของผมแบบนั้น ปรากฏว่า .. คุณประเทืองแสดงสีหน้าไม่สู้ดี.. กล่าวตอบแบบไม่พอใจ.. คุณดูถูกผม.. หาว่าผมเป็นนายทุน..
ผมคิดในใจ.. โอ๊ะ คอมมิวนิสต์ นี้ พูดด้วยยากแท้ .. ตีความเจตนาคนพูดไม่เหมือนชาวบ้านชาวเมืองเขา สมัยอยู่มหา’ลัยก็เหมือนกัน ไปชมน้อง ๆ นักกิจกรรมว่าสวย ว่างาม ก็โดนด่า เป็นพวกกดขี่ทางเพศ..
ก็ได้แต่ขอโทษกันไป ที่นี่ก็เช่นกัน ผมต้องขอโทษคุณประเทือง ผมมิบังอาจคิดไปแบบนั้น ไม่ได้คิดว่าสหายเป็นนายทุน.. เล้ย ..
ค่ำคืนก่อนนอน คุณประเทืองจะบอกหลักการทางทหารเมื่อมีเหตุการณ์ทางทหาร ใครจะมีหน้าที่อย่างไร จุดนัดพบที่ไหน คำสั่งเป็นรหัส.. การส่งสัญญาณต่าง ๆ
ส่วนใหญ่คำสั่งบัญชาการรบ ก็จะเป็นปีกซ้าย ปีกขวาตีโอบ .. คือให้ถอย เสือเผ่น .. จุดนัดพบจะอยู่ที่หนาน คือเดินไปด้านเหนือจะเจอหนานหรือน้ำตก ให้รอกันที่นั่น ถ้าสหายหลง ให้หักไม้ไว้แล้วไปอยู่ปลายไม้ .. สัญญาณเมื่อเข้าค่ายให้ส่งเสียงนกกลางคืน .ตู๊ก ตู๊ก ตู๊ก .. สามที เสียงตอบ กวัก กวัก สองที .. ทำนองนี้..
คุณศรี ก็มาเสริม ขำ ๆ นักศึกษา.. กทม. รุ่นก่อนพวกผม .. จะเข้าค่ายพักตอนกลางคืน ส่งสัญญาณเลียนเสียงสัตว์ อย่างดี .. แต่ด้วยความสุภาพ จึงลงท้าย "ค่ะ" ทุกครั้ง.. "ตู๊กค่ะ .. ตู๊กค่ะ ..ตู๊กค่ะ".!!??
รอยยิ้มและเสียงฮาในชายป่า เขตงานคุณศรี ก็ดังอีกครั้งครัน
ปล. ด้วยมารยาท และปิดลับคุณศรีไม่ยอมบอกว่าสหายนักศึกษาคนนั้นคือใคร จนทุกวันนี้.. สารภาพมาเถอะครับผมอยากรู้.. ตู๊กค่ะ.. คือไผ ?

 

 

 


2. ขึ้นสู่ภูบรรทัด

 


พวกเราเดินบนทางสายใหญ่ด้วยจิตใจสู้รบอันเหี้ยมหาญ... ประธานเหมาเจ๋อตงนำขบวนปฏิวัติก้าวสง่าฝ่าฟันดั้นด้นไป..
* ..ก้าวหน้าไป ก้าวหน้าไป ด้วยจิตใจปฏิวัติมิอาจต้าน ก้าวหน้าไป ก้าวไปบนหนทางแห่งชัย..
ธงแดงเด่นสามผืนงามตา ปวงประชามานะพยายาม เราสร้างสรรค์บ้านเมืองให้เรืองรุ่ง สุขแสนเหมือนแดนวิมาน..
* ..ก้าวหน้าไป... .... .... ...
ทางของเรากว้างใหญ่ไพศาล อนาคตรุ่งโรจน์ชัชวาล เราอุทิศภารกิจสุดเกียรติสุดเปรียบปาน
* ..ก้าวหน้าไป... .... .... ...
มิตรเรามีทั่วทั้งสากล ทุกแห่งหนเพลงชัยก้องกังวาล มรสุมปฏิวัติพัดธรณี พวกปีศาจพลันกลัวระรัวสั่น..
* ..ก้าวหน้าไป... .... .... ...
ในช่วง 2-3 วันที่เราอยู่เขตงานคุณศรี ชายป่าภูบรรทัด หลังหมู่บ้านทุ่งยาว ตำบลลิพัง อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง คุณมานพจะเล่าเรื่องชีวิตในป่า และนำเพลงใหม่ ๆ มาให้เราได้ร้อง เนื้อเพลงด้านบนนี้ เป็นเพลงการเดินทัพทางไกลของจีน .. ธงแดงเด่นสามผืนงามตา คือธงพรรค ธงกองทัพ และธงมวลชนแนวร่วม
.. เช่นเคย ให้ได้อรรถรสก็ต้องคุณจารึกมาร้องนำ มีคุณดาวคลอ ..คุณสายันห์เคาะแคร่ให้จังหวะ คุณประเทืองยิ้มปลื้ม.. ประเภทเพลงมาร์ช เพลงทำนองสนุก คึกคักเนื้อหาสู้รบ สหายทั้งคุณประเทือง คุณสมนึก คุณผจญจะชอบ แต่พอเพลงช้า ๆ เนิบ ๆ เย็น ๆ แบบ "แดนตะราง"ของคุรุชน ที่นักศึกษาชอบร้องด้วยเนื้อหากินใจ สหายไม่ค่อยชอบ..
วันสองวันนี้เรามีเยาวชนสองคนเข้ามาร่วมกับเรา เพื่อที่จะขึ้นไปบนกองทัพด้วย มีคุณธารเยาวชนหญิง คุณต้อยเยาวชนชาย ดูท่าทางน่าจะเป็นนักเรียน ม.ต้น-ม.ปลาย ..อัธยาศัยดี ..คงผ่านการเรียนรู้เกี่ยวกับโลกทัศน์ ชีวทัศน์เยาวชนปฏิวัติมาบ้างแล้ว
อากาศที่นี่จะต่างกันมากกับทางภาคเหนือ ภาคอีสาน เรามาปลายปีช่วงฤดูหนาว แต่ที่นี่ฝนพรำตลอด พื้นดินเปียกแฉะ เดินคลุมผ้ายางไปมากัน และเป็นครั้งแรกที่ผมได้กินลูกมะม่วงหิมพานต์สุก ฝาดนิด ๆ หวานชุ่มคอดี อาหารที่เขตงานเราได้กินข้าว กับข้าวส่วนใหญ่จะเป็นปลากระป๋องนำมาใส่แกง รสเผ็ด คุณโชคดีนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ที่มีผิวขาวแบบคนจีน ทานเข้าไปถึงกับปากแดง แก้มแดงขึ้นมาเลย
ประมาณ 4-5 วันที่เราพักอยู่ในเขตงาน ..หน่วยขนส่งจากกองทัพก็ลงมาที่เขตงาน..
นักรบ ทปท. ทหารของมวลชนชาย-หญิง ถือปืนประจำกาย ประมาณ 30 กว่าคน เดินคลุมผ้ายางสีเข้มฝ่าสายฝนหน้าเปื้อนยิ้ม เข้ามาจับมือด้วยมิตรไมตรี ทักทาย .. "บายดี" "บายดี" คนแล้วคนเล่า .. ความรู้สึกผม ..ตื่นเต้น ตื้นตันใจมาก ที่เห็นทหารประชาชนจำนวนมาก
รุ่งเช้า เราต้องเดินทางขึ้นภูบรรทัด สู่กองทัพพัทลุง ตรัง สตูล ..
การเดินทาง เราต้องรับทราบรหัสป่า คำสั่งต่าง ๆ เมื่อเกิดการสู้รบ การปะทะระหว่างทาง ..กำหนดแบ่งกำลังคน ยุทธวิธีต่อสู้ จุดนัดพบ
เรา สายันห์ ตะวัน ธันวา สมัย โชคดี อดุลย์ ธาร และต้อย ..เดินทางด้วยความกระฉับกระเฉง ด้วยไม่ได้ขนสัมภาระอะไรมาก แต่นักรบประชาชนที่ลงมาขนส่งต่างเป้ข้าว กะปิ เคย บรรจุเป้ถุงผ้าสูงท่วมหัว เดินถือปืนยาว ทุกคนเดินกันได้อย่างเข้มแข็งรวดเร็ว
เรานักศึกษาเชียงใหม่ ..คุยกันว่าพวกเราไม่ต่างกันกับลูกบ่าวชาวเขา ดอยอินทนนท์สูงเสียดฟ้าก็เคยพิชิตกันมาแล้ว คิดกันว่าภูบรรทัดก็คงไม่ยากลำบากนักหรอก..
แท้จริงแล้ว ที่เดินป่าเดินดอยของนักศึกษาน่ะ มันเดินแบบลากขา ท่องเที่ยว เอ้อระเหย ลอยชายไปเรื่อย ๆ เมื่อยก็พัก
เมื่อเจอการเดินแบบทหารป่า ที่ทรหดแข็งแกร่งเร่งรีบ ทำเวลา ฝ่าสายฝน บางครั้งต้องปีนป่ายขึ้นภู บางคราก็ลงห้วยท่องไปตามลำธาร เหยียบหินพลิกคว่ำพลิกหงาย ขึ้นมาบนฝั่งเป็นพื้นป่าดิบ ทากเกาะเท้า เกาะน่อง เดินดึงทากออกไปเกือบตลอดทาง พอได้พักนั่งบางที่ก็เป็นโคลนเปียก
พวกลูกบ่าวชาวเขา หมดฤทธิ์ เดินขาลาก ต้องพักยาวเป็นช่วง ๆ ..
การเดินทางของเรามีฝ่ายทหารคอยช่วยเหลือดูแล บ้างก็ช่วยถือ หิ้ว กระเป๋าให้พวกเราบางคน ที่หมดแรงจริง ๆ ไม่เคยเดินแบบเร็ว ๆ ติดต่อกันเป็นชั่วโมง ชั่วโมง ตั้งแต่เช้ายันเย็น แม้จะได้พักสั้น ๆ เป็นระยะก็ตาม
.. ทหารป่าที่มาขนส่งส่วนใหญ่เดินล่วงหน้าไปไกล..
ประมาณ 4-5 โมงเย็น เราก็มาถึงกองทัพ เสียงเพลงประกอบเสียงกลองดังต้อนรับ ทหารประชาชนในกองทัพต่างมายืนเป็นแถวรอต้อนรับ ส่งมือมาจับกระชับแน่น ยิ้ม ทักทาย "บายดี" "บายดี" "บายดี" คนแล้วคนเล่า ..
เรามาถึงแล้วกองทัพประชาชน หรือกองทัพปลดแอกประชาชนไทย เขตพัทลุง ตรัง สตูล
มองไปรอบ ๆ..มีเรือนไม้ใหญ่ยาวหลังคามุงใบไม้ หลายหลังซุกซ่อนใต้ร่มไม้ใหญ่ของป่าดงดิบ หน้าห้องประชุมใหญ่มีธงแดงของพรรคประดับติดไว้ สนามพื้นราบเตียนกว้างขนาดสนามบาสเกตบอล เป็นที่ออกกำลังกาย และฝึกภาคสนามใต้ร่มไม้. ..มีนักรบชาย-หญิง นับร้อย..
.. ความเมื่อยล้าของพวกเราหายไปด้วยความรู้สึกปลื้มปิติเข้ามาทดแทน
.. กองทัพปลดแอกประชาชนไทยเกรียงไกรเกริกฟ้า ..

 

 

 


3.. วันแรกที่กองทัพพัทลุง ตรัง สตูล

 


เราเป็นทหารของประชา
จับอาวุธขึ้นมาปลดปล่อยไทย
จะอยู่ป่าอยู่เขาลำเนาไพร
มือของเราจะไม่ทอดทิ้งปืน
ในป่าเขาเราถือว่าเป็นบ้าน
ทหารหาญของประชาถ้วนหน้าชื่น
ความเป็นธรรมอยู่กับเราทุกวันคืน
เราจะยืนหยัดสู้เพื่อประชา
ต่อพี่น้องประชาเรารักยิ่ง
อุทิศทุกสิ่ง.. รับใช้มวลประชา
ต่อศัตรูสู้ไม่ถอยทุกเวลา
ทหารประชาชนไทยใจอาจอง
... เมื่อเราเดินทางมาถึง กองทัพประชาชน ที่ตั้งอยู่บนภูบรรทัด พื้นที่รอยต่อสามจังหวัด พัทลุง ตรัง สตูล เราได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น จากมิตรสหาย นักรบผู้อยู่ก่อน.. คณะเราทั้ง 6 คนได้ไปพักที่แคร่นอนในโรงเหล็ก ซึ่งเป็นเสมือนโรงงานซ่อมแซมเครื่องใช้ เครื่องมือต่าง ๆ ร่วมทั้งปืน และผลิตทุ่นระเบิด ที่โรงเหล็กมีคุณอำนวย นอนอยู่ประจำ และคุณอำนวยก็เป็นเสมือนพี่เลี้ยง ดูแล แนะนำวิถีชีวิตการใช้ชีวิตที่ค่ายให้เรา .. เริ่มแรกก็พาไปอาบน้ำที่ลำคลองใกล้ ๆ โรงครัว ..คลองโต๊ะหัง .. คือชื่อคลอง สายน้ำหล่อเลี้ยงกองทัพ
คลองโต๊ะหัง.. ที่อาบน้ำส่วนของสหายชาย เป็นที่น้ำตื้น สายน้ำที่สงบ ไหลเอื่อย เย็นใสสะอาด ขนาดกว้างใหญ่พอประมาณ แต่มองไกลออกไป กลับเห็นสภาพน้ำไหลค่อนข้างเชี่ยวแรงผ่านโขดหินใหญ่ น้อย ที่มีทั่วบริเวณ สหายเราจึงเล่นน้ำอาบน้ำเฉพาะบริเวณที่น้ำตื้นไหลเฉื่อย ..
อาบน้ำเสร็จ แต่งตัวเรียบร้อยก็ได้เวลากินอาหาร นักรบใหม่อย่างเราก็ใส่กางเกงขายาว สวมเสื้อยืดที่ติดตัวมา ไปโรงอาหารกัน
ที่โรงอาหาร เป็นโรงเรือนขนาดใหญ่โล่งกว้าง โครงไม้ เสาเป็นต้นไม้ขนาดท่อนขา หลังคามุงด้วยใบไม้ พื้นดินแข็ง มีโต๊ะไม้ยาว เก้าอี้ไม้ยาวให้นั่ง
ผมรู้สึกตื่นตา ตื่นใจกับภาพเหล่านักรบปฏิวัติ ที่มันเคยอยู่แค่ในจินตนาการ ตื่นใจที่วันนี้ได้มาเห็น ได้มาเจอ นักรบชายหญิงจำนวนร่วมร้อย ในชุดทหารป่า สีเขียวแบบทหารทั่วไป หลายคนมีปืนประจำกาย มีเข็มขัดใส่กระสุน บ้างก็พกระเบิดมือ ทุกคนยิ้มแย้ม ร่าเริง คึกคัก ดูมีพลัง ทำให้ผมผู้มาใหม่มีจิตใจฮึกเหิม มั่นใจในกองทัพประชาชน
อาหารมื้อแรกในกองทัพ ข้าวปนหัวมัน กับแกงที่มีแต่น้ำต้มใส่พริกแกงและวิญญาณปลากระป๋อง ทุกคนจะมีโคมข้าว (ถ้วยขนาดใหญ่) และช้อนส่วนตัว กินข้าวด้วยใจเบิกบาน คณะผู้มาใหม่ต่างก็กินข้าวปนหัวมันและแกงนี้ด้วยความสุข รวมทั้งคุณโชคดี (จากคณะวิทยาศาสตร์ มช.) ที่กินเผ็ดไป เป่าปากไป ปากแดง แก้มแดงด้วยความเผ็ดร้อน ทว่าหน้ายิ้มกริ่มเปี่ยมสุขตลอดเวลา
ที่โรงอาหาร ผมได้เป็นตัวแทนกล่าวแทนคณะถึงเจตนารมณ์ในการขึ้นมากองทัพ เพื่อเข้าร่วมกองทัพประชาชน ต่อสู้กับอำนาจรัฐเผด็จการ ทำการปฏิวัติประชาชาติประชาธิปไตย
หลังกินข้าว ทุกคนก็จะล้างถ้วยช้อนของตนที่ท่าน้ำคลองโต๊ะหัง ใกล้โรงครัวนั่นแหละ ได้เห็นนากน้ำ สัตว์ป่าแสนเชื่องสองตัว ลอยคอมาในคลอง แล้วคลานต้วมเตี้ยมขึ้นฝั่งมาหากินเศษข้าว.. เศษอาหาร
ระหว่างเดินกลับไปโรงเหล็ก ได้ยินเสียงร้องเพลงและเสียงกลองดัง .. คุณอำนวย บอกเป็นรายการบันเทิง และฟังข่าว สถานการณ์จาก สปท.
การบันเทิงจะมีสหายมือกลองตีกลองทอม และนักร้องจำนวนหลายคนยืนเป็นกลุ่มร้องหมู่ด้วยเสียงเพลงปฎิวัติ เพลงปฏิวัติและการเต้นบันเทิงของกองทัพที่นี่ มีความเป็นอัตลักษณ์นักรบแดนใต้ มีเพลงทำนองรองแง็ง .. ที่ผู้เต้นจะยืนเป็นแถวหน้ากระดาน หากจำนวนคนเยอะแถวก็จะโค้ง เต้น จังหวะรองแง็ง .. ไปด้วย .. อีกเพลงที่นิยมกัน ทั้งร้องและเต้น คือ "ดวงตะวันแดง" เป็นการเต้นที่ยืนกันเป็นแถวหน้ากระดาน หรือรูปโค้งครึ่งวงกลมกัน.. ดูแปลกตา สวยงาม .. สลับด้วยเพลงรำวงปฏิวัติ อย่างเช่นเพลงภูสระดอกบัว..
การบันเทิงเป็นการสันทนาการหลังกินข้าวมื้อเย็นก่อนฟังข่าว สถานการณ์.. จาก สปท.
โดยเปิดวิทยุให้ฟัง ผมจำได้ว่าเป็นวิทยุของคุณสมพงษ์ ที่อยู่โรงเหล็กนำมาเปิด ช่วงเวลา 18.15-19.00 น. ด้วยเป็นคลื่นสั้น ฟังไปบางทีก็เสียงขาด ๆ หาย ๆ ไม่ชัดเจน ด้วยทักษะของคุณสมพงษ์ ก็จะหมุนปรับคลื่น พร้อมเดินไปซ้ายที ขวาที แบบเดินหาคลื่นไปตลอด.. บางครั้งกว่าจะหาคลื่นเจอเสียงดังฟังชัด ข่าวก็จบไปแล้ว
จบข่าว ก็มีรายการบันเทิงต่อเล็กน้อย แล้วต่างก็แยกย้ายกันไปที่พัก
คืนวันแรก ชีวิตใหม่ในกองทัพประชาชนไทย เขตพัทลุง ตรัง สตูล.. แม้อากาศในป่าใหญ่บนภูสูงที่ฝนพรำเกือบตลอดทั้งวันทั้งคืนจะหนาวเย็น แต่ผมรู้สึกอบอุ่นยิ่งนัก

 


4. ปัญญาชนปฏิวัติที่กองทัพพัทลุง ตรัง สตูล

 


"นักศึกษาปัญญาชน พลีตนเพื่อชาติประชา
เคียงข้างกรรมกรชาวนาเพื่อคว้าเอาชัย ปีใหม่ ไชโย"
เสียงนกหวีดยาว ในเวลาตีห้า.. ในป่าใหญ่ ขณะที่มันยังเป็นเช้ามืด อากาศเย็น คือสัญญาณให้ตื่นนอน ความเพลียที่ต้องเดินป่าขึ้นภูทั้งวัน ในการเดินทางมากองทัพพัทลุง ตรัง สตูล ยังมีอยู่ แต่ด้วยจิตใจที่อยากดัดแปลงตนให้เป็นนักปฏิวัติ พวกเราทุกคนต่างสลัดความง่วง ความเพลีย ลุกขึ้นคว้าขัน สบู่ แปรงสีฟัน ทำการล้างหน้าแปรงฟัน
ตีห้าครึ่ง.. พวกเราไปรวมพลเพื่อออกกำลังกายกันที่สนามของค่าย ที่มีพื้นที่ราบโล่ง ขนาดสนามบาสเกตบอล มีฝ่ายทหารเป็นผู้นำออกกำลังกาย จำได้ว่าคุณกานต์ นำออกกำลังกายท่าต่าง ๆ ที่ทำให้อวัยวะ มือ แขน ขา ไหล่ เอว คอ แข็งแรง ยืดหยุ่น ร่างกายตื่นตัว หัวใจสูบฉีด
เสร็จจากการออกกำลังกายก็จะไปอาบน้ำ บ้างก็เดินขึ้นเนินไปปลดทุกข์ ด้วยสถานที่ปลดทุกข์จะต้องเดินขึ้นไปบนเนินสูง .. คุณประยูร (ผู้นำนักศึกษาจากจุฬาฯ) จะเรียกว่าไปดอยสุเทพ .. สหายบางคนเมื่อปลดทุกข์เสร็จก็จะเดินเลาะเลือกหายอดไม้ที่กินได้ใกล้ ๆ ถือติดมือมาเป็นผักเหนาะกินกับข้าว
วันนี้คณะเราได้รู้จักเพื่อนนักศึกษา ปัญญาชนที่ขึ้นมากองทัพก่อนเราไม่นาน บางคนก็ขึ้นมาจากเขตงานคุณศรี ที่เคยส่งเสียงสัญญาณ.. "ตู๊กค่ะ.. ตู๊กค่ะ" แต่ผมไม่ทราบว่าเป็นใคร
ด้วยการมีมนุษยสัมพันธ์อันดี ทักทาย สร้างมิตรไมตรีกับสหายใหม่ ของคุณตุลา และคุณวันดี ปัญญาชนปฎิวัติ ทำให้เราได้รู้จักคุณยุทธ์ คุณสิงหา คุณประยูร คุณเมษา คุณมีนา คุณพะยอม และคุณปรีดา พร้อมทั้งคุณวินปัญญาชนปฏิวัติที่เข้าป่าร่วมการปฏิวัติก่อนเหตุการณ์ 6 ตุลา.. และต่อมาอีกไม่นานมีคุณอวบ (ผู้นำนักศึกษาจากรามคำแหง) คุณดิษฐ์ พระมหาเปรียญคนดัง
ปัญญาชนปฏิวัติกลุ่มนี้ ดูลักษณะเป็นนักศึกษาเมืองกรุง คงเรียนแพทย์ พยาบาลกันเป็นส่วนใหญ่ เพราะคุณปรีดาจะทำหน้าที่หมอในกองทัพ และคนอื่น ๆ ก็จะทำหน้าที่ในโรงหมอเป็นส่วนใหญ่ ส่วนคุณวินนั้นอยู่โรงพิมพ์ ทำหน้าที่พิมพ์และโรเนียวเอกสาร
คงด้วยพื้นฐานการเป็นนักศึกษาที่มาคล้าย ๆ กัน เราจึงคุ้นเคยกันได้ง่าย ผมประทับใจในจิตใจที่ดีงามของปัญญาชนปฏิวัติทุก ๆ คน
คุณปรีดา ทำหน้าที่หมอ อาจารย์หมอในกองทัพ ดัดแปลงตนอย่างเข้มงวด ทุกข์อยู่หน้า สุขอยู่หลัง รับใช้มิตรสหายอย่างสุดจิตสุดใจ โอบอ้อมอารี มีมิตรไมตรี อารมณ์ดี.. สุนทรียะทั้งเพลง และดนตรี มีฝีมือในการเล่นดนตรีหลายชนิด
คุณตุลา รอบรู้เรื่องการเมือง ร่วมทุกข์สุขกันไม่นานก็ย้าย
คุณเมษา พูดช้า ๆ สุภาพเรียบร้อย ท่าทางผู้ดี เธอย้ายไปพร้อม ๆ คุณตุลา
คุณวันดี มนุษยสัมพันธ์ดีมาก การเมืองดี ในวันงานของกองทัพจะเป็นพิธีกรหญิงภาษาใต้ที่เสียงหวาน เมื่ออยู่บนเวทีของงานเสียงหวาน ๆ ทว่ามีพลัง ชวนฟัง เป็นพิธีกรหญิง โฆษกหญิงที่เก่งหาตัวจับยาก
คุณมีนา คุณพะยอม แฝดคนละฝา สวยคนละแบบ คุณมีนาผิวขาว คุณพะยอมผิวคล้ำ ทำหน้าที่พยาบาล ยิ้มแย้มแจ่มใสน้ำเสียงไพเราะ สุภาพ อ่อนโยน เรียบร้อย ใจดี โอบอ้อมอารี ดัดแปลงตนอย่างอดทน เข้มแข็ง
คุณสิงหา.. แบบอย่างของปัญญาชนปฏิวัติ อดทน เสียสละ ทำงานอย่างรับผิดชอบ จริงจังในทุก ๆ สิ่ง ไปขนส่งเป้ของทีเลือกของหนักยัดลงเป้ถุงผ้า สูงท่วมหัว เดินเหงื่อหยดไหลอาบหน้า อาบตัวไม่เคยบ่น เสมือนคู่หูคุณปรีดา ทำหน้าที่หมอเหมือนกัน เล่นดนตรี ร้องเพลงได้ดีเช่นกัน มนุษย์สัมพันธ์ดี ถ่อมตน ไม่เย่อหยิ่ง
คุณยุทธ์ ทำหน้าที่หมอในกองทัพ มีความพยายามดัดแปลงเป็นนักปฏิวัติที่ดี บุคลิกภาพคล่องแคล่ว รับใช้มิตรสหายในการดูแลรักษา ด้วยท่วงทำนองถนอมรัก ดีงาม ..แต่การทำหน้าที่หมอก็เคยป่วยไข้นะ ผมเคยแวะหาคุณยุทธ์ตอนป่วยบนค่าย คุณยุทธ์.. บอกว่า "จะว่าอะไรผม มั๊ย.? ..ผมอยากกินแอปเปิ้ล.." !!??
.. ตอนนั้นผม (ตะวัน) เอง.. ก็อยากบอกว่าเห็นสหายเอาน้ำตาลทรายมาใส่น้ำข้าวกิน บ้างฝากขนส่งซื้อนมข้นหวานกระป๋องมากิน.. ผมก็อยากกินเหมือนกัน.. ?? ??
คุณประยูร ..ผู้นำนักศึกษาจากจุฬาฯ ร่างสูงใหญ่ นอกจากช่วยทำหน้าที่หมอ ด้วยความรอบรู้ทางการเมืองจึงได้ทำหน้าที่วิเคราะห์ข่าว เล่าข่าว สรุปสถานการณ์ และพิธีกรปลุกเร้าทางการเมืองในวันงานต่าง ๆ คงด้วยการเป็นคนเหนือ จึงได้คุยเสวนากันอย่างถูกคอกับเหล่านักศึกษาจากเชียงใหม่ เช้า ๆ เจอกัน คุณประยูรมักจะทักทายแกมเชิญชวน .."คุณตะวัน ..ไป .. ขึ้นดอยสุเทพ" ชวนไปปลดทุกข์ด้วยกันนั่นเอง ขณะนั่งปล่อยและเล็งสามจุดเป็นแนว ก็คุยเสวนาเฮฮากันไปด้วย ..เราเคยคุยกันว่า.. คนข้างนอกที่ไม่ได้เข้าป่า คงคิดว่าพวกเรานี้เคร่งเครียดกันตลอดนะ .. เขาคงไม่รู้ว่าพวกเราก็มีเรื่องสนุก ๆ ฮา ๆ ขำ ๆ..เหมือนกัน
ลามะลิลา ขึ้นต้นเป็นมะลิซ้อน พอแตกใบอ่อน.. เป็นอวบ พลา .. 55555 คุณอวบ ผู้นำนักศึกษารามคำแหง ทำหน้าที่เล่าสถานการณ์ และพิธีกรปลุกเร้าทางการเมืองด้วยภาษาใต้ กระแทกอารมณ์ ปกติแล้วคุณอวบเป็นนักคิด คิดแบบสร้างสรรค์ไม่หยุดนิ่ง และกล้าแสดงออกในความคิดเห็น ฉายาอวบ พลา.. หรือจริง ๆ ก็คือการที่สหายร่วมกองทัพยกให้คุณอวบเป็นพลาธิการ..
เหตุพัฒนาจาก.. สหายยิงหมูเถื่อน และหามหมูเถื่อนเข้ามาในโรงครัว สหายโรงครัวทำการชำแหละหมู ..คุณอวบเห็นก็ดีใจ.. คิดในใจอาหารมื้อเย็นคงได้กินเนื้อหมูป่ากัน .. เย็นนั้นคุณอวบต้องผิดหวัง อาหารเย็นยังเป็นแกงน้ำเคยเช่นเดิม..
หมูเถื่อนตัวนั้น สหายโรงครัวชำแหละเนื้อเป็นชิ้น ๆ ด้วยความชำนาญ แล้วนำไปคลุกเกลือ เอือบเกลือ ฝ่ายพลาธิการนำไปเก็บใส่ไห เป็นการถนอมอาหารเก็บไว้กินในกองทัพเมื่อยามขาดแคลน
ที่โรงครัว จะได้กินเฉพาะส่วนหัวหมู และกระดูกที่มีเนื้อติด ที่มีไม่มากนัก..
เกือบทุกวัน จะมีหมูเถื่อนเอามาชำแหละเนื้อ หมักเกลือเก็บใส่ไห โดยที่สหายในกองทัพ แทบจะไม่ได้กินเนื้อหมูเถื่อนนั้นเลย
ด้วยในป่าภูบรรทัดมีสัตว์ป่าชุกชุม สหายที่ออกเดินทางไปมา มักพบสัตว์ป่า โดยเฉพาะค่าง หมูเถื่อน ก็จะยิงนำมาทำอาหารได้บ่อย ทั้งยังมีวิธีการจทำจั่นห้าวดักสัตว์ จั่นห้าวเป็นกับดักชนิดหนึ่ง ประกอบด้วยปืนและลวดขึงจากไกปืนขวางทางเดินของสัตว์ เมื่อสัตว์สะดุด ลวดจะไปกระตุกไก ทำให้ปืนลั่นใส่.. เสียงปืนจากจั่นห้าวดัง.. เช้า ๆ ก็จะมีการหามสัตว์ป่าที่เป็นเหยื่อ เช่น เก้ง หมูเถื่อน บางครั้งก็เป็นกวาง เป็นหมีก็เคยมี
แต่เนื้อหมูเถื่อนที่ได้มา มักนำไปถนอมอาหาร ไม่ค่อยได้กินเนื้อสด ๆ กัน
คุณอวบ อดีตผู้นำนักศึกษารามคำแหง ยุค 14 ตุลา 2516 เป็นนักการเมืองพรรคสังคมนิยม คงจะรู้สึกขัด ๆ กับหลักคิด วิธีการของพลาธิการในกองทัพ ที่ได้หมูเถื่อนแต่ละครั้งก็นำไปถนอมอาหาร และเก็บใส่ไห แทนที่จะได้เนื้อสดมาทำอาหาร แต่จะได้กินหมูเถื่อนแต่ละทีก็เป็นเนื้อหมูเอือบเกลือบ้าง หนางหมูบ้าง เป็นหมูที่มีกลิ่น รสเพี้ยน..
ความเป็นนักเสรีประชาธิปไตย กล้าพูด กล้าเสนอแนะ กล้าแสดงความคิดเห็น และมีความคิดสร้างสรรค์ของคุณอวบ ทำให้คุณอวบนำเรื่องหมูเถื่อนนี้มาอภิปรายแสดงความคิดเห็น เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนจากวิธีเดิม ๆ สหายในกองทัพควรได้กินอาหารที่ปรุงจากเนื้อหมูใหม่ ๆ บ้าง ที่เหลือจึงจะนำไปถนอมอาหาร
การแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนเพื่อให้เกิดการพัฒนาการกินอยู่ที่ดีขึ้น ทำนองนี้ ของคุณอวบมักทำเป็นประจำ จนคุณอวบได้รับฉายาจากสหายว่า.. "อวบ พลา" หรืออวบพลาธิการนั้นเอง
กองทัพพัทลุง ตรัง สตูล เรามีความเป็นประชาธิปไตย ในที่ประชุมจะมีการวิพากษ์วิจารณ์ แสดงความคิดเห็น ด้วยท่าทีที่เรียกว่าสามัคคี-วิจารณ์-สามัคคี การวิจารณ์แสดงความคิดเห็นที่ถือประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ท่วงทำนองถนอมรัก มิใช่การต่อว่า เป็นการแนะนำ แสดงความเห็นที่สร้างสรรค์ เกิดการยอมรับพัฒนาสู่สิ่งดี
ผลพลอยได้ เราก็ได้กินอาหารที่ปรุงจากเนื้อสัตว์สด ๆ บ่อยขึ้น
เรื่องราวส่วนของปัญญาชนปฏิวัติ.. บางครั้งก็เป็นเรื่องของความรู้ที่ไม่สอดคล้องกับบริบท การที่มีความรู้แต่ขาดประสบการณ์ผ่านการกระทำที่เป็นจริงก็มีบ้าง
ครั้งที่แยกออกมาทำที่พักนอน สหายที่มาจากมวลชนคนพื้นถิ่นจะมีความสามารถและทักษะการใช้มีด ขวาน ตัดไม้ไผ่ทำแคร่โรงนอน ตัดใบไม้มาพับเอาหวายร้อยต่อ ๆ เป็นหลังคา สหายทั่วไปก็ทำที่พักโรงนอนเป็นหลังคาทรงหน้าจั่ว ผมเองไปคิดได้ไงไม่ทราบไปออกแบบหลังคาที่พัก เป็นทรงหมาแหงนแบน ๆ
ครั้นนอนกลางคืน ฝนตกลงมา น้ำหยดรั่วทั่วไปหมด ด้วยหลังคาใบไม้ที่รูปทรงแบบนั้น น้ำไหลผ่านได้ไม่เร็ว จึงซึมผ่านใบไม้หยดตลอด ไม่ได้หลับได้นอน ของเปียกต่างหาก ถือเป็นประสบการณ์อันหนึ่ง
รวมทั้งการเลี้ยงหมูในกองทัพ
เรามีนักศึกษาเกษตรหลายคน และนักศึกษาที่สนใจอยากจะเลี้ยงหมูในกองทัพ ทางสหายนำก็สนองเจตนารมณ์ หาหมูพันธ์ุ เอามาจากหมู่บ้านพื้นราบขึ้นมาให้สหายนักศึกษาเลี้ยง
ที่เลี้ยงหมู.. จำได้หลัก ๆ มีคุณธันวา รัฐศาสตร์ มช. คุณรมย์ นักศึกษาเกษตรจากอีสาน โดยคุณสมัย คุณอดุลย์ คุณสายันห์ นักศึกษาเกษตร มช. คอยสนับสนุน..
ผลก็เป็นที่ขำ ๆ กันครับ .. เลี้ยงหมูพันธ์ุเนื้อบนป่าภูบรรทัดไปหลายเดือน หมูโตวันโตคืนแบบตัวผอม ๆ ยาว ๆ .. แต่สหายนักศึกษาที่เลี้ยงหมู กลับตัวอ้วน แก้มป่อง พุงกลม ..
..เฮ้อ.. ไส สิ เป็น พัน นี้ .. !!

 


5. นักเรียนน้อยบนภูบรรทัด (1)

 


"พวกเราเป็นนักเรียนของประชา
เกิดขึ้นมาท่ามกลางการต่อสู้
หาวิชาความรู้สู้ศัตรู
เพื่อกอบกู้เอกราชของชาติไทย
พรรคสอนเรารับรู้ทางปลดแอก
รู้จำแนกศัตรู มิตร คือใคร
รู้ทิศทางสร้างสรรค์ชีวิตใหม่
ให้อำไพไปทั่วพสุธา
ตราบใดที่ดวงตะวันยังแดงฉาน
ทั้งภูพานยังอยู่คู่นภา
ตรายนั้นเราเยาวชนมั่นศรัทธา
ก้าวรุดหน้าฝ่าฟันตามพรรคไป”
หลัง 6 ตุลา 2519 เฉพาะที่กองทัพพัทลุง ตรัง สตูล เขต 2 นี้ มีนักศึกษา ประชาชน ได้เข้ามาร่วมใหม่ร่วม 80-90 คน ทางกองทัพจึงได้จัดตั้งโรงเรียนการเมืองการทหาร เพื่อให้สหายใหม่ได้เรียนรู้แนวทาง ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีของพรรค
ทางกองทัพได้จัดแบ่งให้เป็นหมู่ หมู่ละ 8-9 คน แต่ละหมู่จะมีนายหมู่ รองนายหมู่ ผมได้ตำแหน่งรองนายหมู่ มีคุณเทียน น่าจะเป็นครูสอนหนังสือมาก่อน เป็นหัวหน้าหมู่ สมาชิกในหมู่ส่วนใหญ่เป็นเยาวชนในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ จำได้บางคนคือคุณเหม คุณฤทธิ์ คุณเร
คุณเทียนเป็นคนสุขุม ใจเย็น นิ่ง ๆ พูดน้อย แต่ทำงานหนัก เป็นแบบอย่างที่ดีของการเสียสละ ที่อุทิศตนแบกรับงานไม่เอาเปรียบใคร คุณเหมเยาวชนชายหล่อสำอาง หวีผมเรียบตลอดเวลา แต่ก็รับผิดชอบสูง มีทักษะในการทำงาน ปฏิภาณไหวพริบดี ฉลาด คุณเร เยาวชนหญิงงามเรียบ เรียบร้อย พูดน้อย ทำงานเข้มแข็ง อดทน งานหนักไม่เคยบ่น
การทหารส่วนใหญ่จะเรียนและฝึก ที่สนามบาสเกตบอล ในตอนเช้า ..พวกเราที่เป็นนักเรียนจะมีท่อนไม้คนล่ะท่อนแทนปืน.. ฝึกเล็งปืน ยิงปืนท่าต่าง ๆ ยืนยิง นั่งยิง นอนยิง .. จะจำได้แม่น.. "สามจุดเป็นแนว" หลักการเล็งปืนสู่เป้าหมาย
.. ครูฝึก บางวันก็คุณกานต์ บางวันก็คุณณรงค์.. รูปร่างสูงใหญ่ หล่อเข้ม สมชายชาตินักรบทั้งคู่..ให้หลักการเบื้องต้น..การยิงปืน.. คือ "สามจุดเป็นแนว.." .. ศูนย์หลัง ศูนย์หน้า เป้า..
ครูฝึก ถือปืนนาโต้ แม็กฯกระสุนรอบเอว ก็ทำท่าประกอบอย่างทะมัดทะแมง ยกปืนนาโต้ขึ้นประทับ เล็งไปข้างหน้า .. ให้สหายได้ดูเป็นตัวอย่าง
สหายใหม่ นักเรียนการเมืองการทหารรุ่นหลัง 6 ตุลา.. ก็ฝึกภาคปฏิบัติในแต่ละหมู่ .. ยกท่อนไม้ยาวนั้นแหละขึ้นมาเล็งกัน. .. เล็งโดยที่ท่อนไม้ไม่มีทั้งศูนย์หลัง ศูนย์หน้า .. แถมบางหมู่มีการถกเถียงภายในว่า เวลาเล็งต้องหลับตาแบบไหนจึงจะถูกต้อง..
หลับตาซ้าย เล็งตาขวา หรือหลับตาขวา เล็งตาซ้าย .. บ้างก็ว่าแล้วแต่ถนัด จะลืมตาทั้งสองข้างก็ได้ .. ข้อสำคัญอย่าหลับตาพร้อมกันทั้งคู่.. เป็นพอ !?
หลังจากได้เรียนรู้หลักการ.. ..สหายก็ฝึกกับท่อนไม้ยาวของตนอย่างช่ำชอง
แถม นำหลักการ "สามจุดเป็นแนว" ไปประยุกต์ใช้ในการขับถ่าย ปลดทุกข์ ..
หากใครปลดทุกข์แล้วทำสกปรก ไม่ลงหลุมอย่างหมดจด ก็จะถูกวิจารณ์ถึงการไม่ยึดกุมหลักการ.. "สามจุดเป็นแนว"
.. นักเรียนการเมืองการทหารรุ่นนี้ เมื่อมีการเอ่ยถึง "สามจุดเป็นแนว" ไม่มีใครคิดถึงหลักการยิงปืนเลย .. กลับไปคิดถึง หลักการขับถ่าย ไปโน้น..
.. จากการฝึกยิง ก็สู่ท่าวิ่ง ท่ากระโดด ท่าคลาน นอนคลาน .. ท่าแทงดาบ .. เรียนรู้เรื่องระเบิด การขว้างระเบิด การดูแลรักษาปืน การถอดและประกอบปืน
.. การซุ่มโจมตี การเดินทัพกลางคืน
.. ช่วงกลางวัน เป็นการเรียนการเมือง การประยุกต์ลัทธิมาร์กซเป็นรูปธรรมในเรื่องใครสร้างใครทำ นโยบายของพรรค วินัยพรรค ..
.. ทหารคือเครื่องมือในการทำสงคราม ..
.. สงครามคือความขัดแย้งทางการเมืองสูงสุดที่มิอาจประนีประนอมกันได้..
.. ทางการทหารจึงมีความสัมพันธ์กับการเมือง ฉนั้นทหารจึงมิอาจแยกจากการเมืองได้ ต้องมีวินัยอยู่ภายใต้การนำพาทางการเมือง ภายใต้การนำพาของพรรค.
ธงดาวแดงขอบทอง.. หรือเหลืองนั้น สื่อถึง ดาวแดงอยู่ภายในดาวทอง
.. ดาวทองคือพรรค ดาวแดงคือกองทัพ.. จึงมีความหมายว่ากองทัพภายใต้การนำพาของพรรค
นโยบายพรรค.. เราศึกษาโดยการเสวนาในหมู่ อภิปราย ถกแถลงแสดงความคิดเห็น เริ่มจากการวิเคราะห์สังคมไทย ทางการเมือง ยุทธศาสตร์ คือสังคมประชาชาติประชาธิปไตย
.. การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ให้สู่ความสำเร็จ เราจึงต้องทำการปฏิวัติประชาชาติประชาธิปไตย
ยุทธวิธีของการปฏิวัติประชาชาติประชาธิปไตย คือการจำแนกมิตร จำแนกศัตรู สามัคคีมิตรต่อสู้กับศัตรู โดยใช้หลักการวิเคราะห์ความขัดแย้ง ความขัดแย้งหลัก ความขัดแย้งรอง ความขัดแย้งที่มีจุดร่วมประนีประนอมกันได้
มิตรเราคือกรรมกร ชาวนา นายทุนน้อย นายทุนชาติผู้รักความเป็นธรรม ชาติพันธ์ุทุกชาติพันธ์ุ เหล่านี้ล้วนเป็นประชาชาติของประเทศ ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมทางความสัมพันธ์การผลิต ถูกเอารัดเอาเปรียบทางเศรษฐกิจ ขาดความเท่าเทียมทางสังคม ไม่เป็นประชาธิปไตยทางการเมือง
พวกเขาเหล่านี้คือมิตรในการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมใหม่ ที่ประชาชาติมีความเท่าเทียมเสมอภาคทางสังคม มีความเป็นประชาธิปไตยทางการเมือง
ท่าที ท่วงทำนองต่อมิตร เพื่อการสามัคคีมิตร คือ "แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง" จึงจะเกิดมวลชนอันไพศาล .. นโยบายข้อที่ 1 ของพรรคจึงกำหนดให้.. สามัคคีประชาชาติ ชาติพันธุ์ และชนชั้นต่าง ๆ
.. ในระหว่างเรียน เราก็ทำงาน ทำมาหากิน ไปด้วย
เช่นการไปขนส่ง คือการเดินทางลงจากกองทัพไปเขตงานมวลชนเพื่อขนเสบียงอาหาร วัสดุอุปกรณ์ เวชภัณฑ์.. ขึ้นมาใช้ในกองทัพ

 


6. นักเรียนน้อยบนภูบรรทัด (2)

 


ช่วงเรียนนี้เราได้ลงไปลำเลียงขนส่งหลายครั้ง ส่วนใหญ่จะไปที่เขตงานคุณศรี จะมีข้าวสาร กะปิ เคย งานขนส่งนี้เอง ที่ผมได้เห็นถึงจิตใจของเพื่อนนักรบ ที่มุ่งมั่นดัดแปลงตนเองให้เป็นนักปฏิวัติที่ดี คือแสดงน้ำใจการเสียสละ การช่วยเหลือ แบ่งปัน ความอดทน แทบจะทุกคนถือคติ "ทุกข์อยู่หน้า สุขอยู่หลัง" ยอมรับภาระที่ยากลำบากเอง ขนของหนัก เดินขึ้นภู ลุยน้ำคลอง ผ่านป่าทึบดงทาก ตากฝน เดินเป็นวัน ๆ ไม่ปริปากบ่น ได้มองเห็นนายแพทย์ปฏิวัติอย่างคุณหมอปรีดา คุณสิงหา คุณยุทธ์ ที่เป้ยัดของหนักจนเป้โป่งพองสูงท่วมหัว รวมทั้งภาพนักรบหญิงน้องใหม่ที่มาจากในเมือง อดีตนักศึกษาหญิง อดีตนักเรียนหญิง อย่างคุณพะยอม คุณมีนา คุณเมษา คุณวันดี คุณเอื้อ คุณเร ที่แค่เดินธรรมดาในป่าขึ้นเขา ลงคลอง ไต่ขอนก็ไม่ถนัด แต่เธอก็พยายามที่จะบรรจุของลงไปให้มาก มากแบบเกินกำลัง ผมมองมิตรสหายร่วมทางทุก ๆ คนด้วยความประทับใจ ศรัทธายิ่ง
เราเดินจากเขตงานคุณศรีมาไม่นาน จะมีป้ายเตือน ป้ายห้ามชาวบ้าน .. เป็นรูปหัวกะโหลก.. พร้อมตัวหนังสือเขียนว่า.. "เขต ทปท. ห้ามเข้า" ทำให้พื้นที่ป่าเขาต่อแต่นี้ ไม่มีชาวบ้านล่วงล้ำเข้ามาล่าสัตว์ หาของป่า สัตว์ป่านานาชนิด รวมทั้งปลาในคลอง ลำธาร อุดมสมบูรณ์ ในเส้นทางจะเห็นรอยเท้าสัตว์ มูลสัตว์ และเสียงสัตว์ป่า ชะนี ค่าง ดังตลอดเวลา แม้กระทั่งบนท้องฟ้า กาฮัง หรือนกเงือกฝูงใหญ่ กระพือปีกบินผ่าน เสียงดังพับ ๆ ๆ ชัดเจน สหายบางคนถึงกับล้อว่า.. ไอ้อู๊กมา ไอ้อู๊กมา
ไอ้อู๊ก.. คือคำเรียกเครื่องบินรบ OV.10 ของฝ่ายรัฐบาล ที่เวียนหาเป้าหมาย บอมบ์ค่าย ที่พัก สาดกระสุนยิงนักรบปฏิวัติ ..
เส้นทางนี้เป็นครั้งแรกที่ผมเดินผ่าน ฝนที่ตกหนักแทบจะลืมตาไม่ขึ้น บางขณะมีฝูงหมูป่า 8-9 ตัววิ่งสวนทางในช่องเขา ห่างกันไม่กี่เมตร
ช่วงครึ่งทาง เราจะพักกันที่ลานนกหว้า ที่มีพื้นดินเรียบใต้ร่มไม้ใหญ่เป็นลานกว้าง ด้วยเป็นที่นกหว้าตัวผู้มารำแพนหางเดินโชว์อวดนกหว้าสาวไปมา จนบริเวณนี้เป็นที่ราบเรียบเตียน เหมือนมีคนมากวาดพื้นไว้ ใต้ต้นไม้ใหญ่นี้จะมีปีกรากไม้กว้างสูง เราจะเข้าไปนั่งพิงพักเหนื่อย ขณะนั่งพักเจ้าทากน้อยก็ดึ๊บดั๊บ กระดึ๊บ เข้าหาพวกเรา บางคนก็โดนทากเกาะไปแล้วแกะออกโยนทิ้ง แต่เลือดไหลไม่หยุด ทุกคนเริ่มตั้งแต่ขยะขะแหยง กลัว บ่อย ๆ เราก็ชาชินกับมัน ..
สำหรับนักศึกษาที่เพิ่งเดินป่าขนส่ง แล้วเจอทาก.. ทากน้อยจะตัวเล็ก ๆ จิ๋ว ๆ เคลื่อนมาแบบ ยืดตัวออก แล้วโค้งตัว ยืดตัวออก มุ่งมาหาคนเพื่อเกาะดูดเลือด
นักศึกษาหญิงมองดูทากด้วยความน่ารัก เอ็นดู ชี้ชวนเพื่อนนักศึกษาหญิงด้วยกันดู สัตว์ตัวเล็ก ๆ ดูประหลาดผอม ๆ เป็นเส้นขนาดนิ้วก้อย จะว่าหนอนก็ไม่ใช่ ที่คืบตัวด้วยการยืดตัวขึ้นส่ายไปมา แล้วก็โก่งตัวลงพื้นดินกระดึ้บ ยืดตัว เข้ามา ..นักศึกษาหญิงมองแบบมีความสุข .. ถามนักรบเก่า.. : ตัวอะไร นิ น่ารัก จัง.. ?
ครั้นได้ยินคำตอบว่า.. : ทาก .. นักศึกษาหญิงเต้นโหยง หวีดลั่น ไม่รู้ตัว ..
ลานนกหว้านี้จะอยู่ริมคลอง พักเหนื่อยได้ที่ก็ลงเดินล่องน้ำไปตามลำคลองไกล จึงจะขึ้นฝั่ง ขึ้นได้ไม่นาน บางครั้งก็จะต้องข้ามคลองที่ลึกเชี่ยวด้วยการเดินไต่บนขอนไม้ใหญ่ที่ล้มพาดข้ามคลอง.. ขณะที่เดินไต่ขอนก็รู้สึกเสียว ๆ ทั้งที่เดินบนขอนไม้ใหญ่ เดินต่อลงน้ำบ้าง ขึ้นภูบ้าง ข้ามขอนบ้าง ในป่าทึบ
ช่วงบ่าย ๆ เราจะเดินใกล้แนวป่าที่เป็นช่องเขา ทุกคนต้องหยุดรอ ให้ฝ่ายทหารไปค้นหาจุดไว้จดหมาย เพื่อทราบแผนที่แผนผังการฝังทุ่นระเบิด กับระเบิด บริเวณนั้น ฝ่ายทหารจะไปกำกับไว้ไม่ให้เดินผิดแนวไปเหยีบบกับระเบิด
บ่าย 3 บ่าย 4 เราจึงจะเดินทางขึ้นถึงกองทัพกัน เสร็จภารกิจก็ไปอาบน้ำ .. ทานข้าว ..
ต่อรายการบันเทิง.. เต้นร็องแง็ง ..เต้นดวงตะวันแดง รำวงกัน
เส้นทางขนส่งอีกที่ที่ผมเคยเดินทาง คือทางไปสตูล นับว่าวิบากสุด ๆ
เส้นทางนี้จะมีช่วงที่ไต่ผาชัน ผ่านหนานหรือน้ำตก .. ในแอ่งน้ำตกนี้มีคำเล่าลือว่ามีปลาตูหน่ายักษ์ กินเด็กลูกเงาะป่า เงาะป่าถึงกับเอาเขากวางมาทำเป็นตัวเบ็ด เอาต้นหลาโอนซึ่งคล้ายต้นหมากต้นมะพร้าว.. มาทำเป็นคันเบ็ด..
การไต่ผาชันที่นี่ บางทีก็วางทุ่นระเบิดไว้เช่นกัน

 


7. นักเรียนน้อยบนภูบรรทัด (3)

 


เราเดินขนส่งเป้ข้าวสารไต่ผาขึ้นไป ยินเสียงน้ำตกดัง มองเบื้องล่างเห็นสายน้ำลัดเลาะใต้ผาชันลิบ ๆ น่าเสียวไส้ บางคนร้องเพลงปฏิวัติปลุกปลอบใจตน และสร้างพลังวิริยะภาพให้แก่กันและกัน บ้างเดินไปคุยไปด้วยความเริงร่า หาเรื่องเล่าสนุก ขำ ๆ คนที่ถูกหยอกล้อมากที่สุดมักจะเป็นคุณอวบ พลา.. บ้างก็ถึงกับแต่งเพลง ร้องเพลงล้อ ..
ลามะลิลา ขึ้นต้นเป็นมะลิซ้อน พอแตกใบอ่อนเป็นอวบพลา.. 5555
คุณอวบ พลอยสนุกไปด้วย หัวเราะเสียงดัง เป็นการทำงานที่ยากลำบากด้วยท่วงทำนอง.. "สามัคคี เคร่งครัด เร่งรีบ ร่าเริง" อย่างเป็นรูปธรรม
การเดินทางแบบยากลำบากและอันตรายนี้ คุณโชคดี อดีตนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ ลูกเจ้าสัว ถึงกับเอ่ยปากว่า ถ้าคุณแม่ อะเตี่ย อะม่า ของเขาได้มาเห็นเขาเดินไต่ผาแบบนี้ คงหัวใจวายแน่ ๆ ขนาดอยู่ที่บ้านในเมืองกรุง แค่ปีนต้นฝรั่งเตี้ย ๆ คุณแม่ อะม่า ถึงกับตกอกตกใจ โวยวายหนัก กลัวลูกชายตกต้นไม้ เรียกให้ลงมา ลงมา.. คุณโชคดีนี้เมื่อคืนสู่เมืองทางบ้านก็ส่งไปศึกษาต่อยังต่างประเทศทันที
และเส้นทางขนส่งนี้เอง ที่มีเส้นทางเดินลำบาก ชัน แคบ ทำให้สหายรุ่น 6 ตุลาของเราคนหนึ่ง จำได้ไม่แน่ชัดว่าชื่อคุณก้าว หรือคุณกล้า เกิดอุบัติเหตุถูกกับระเบิดบาดเจ็บสาหัส ถูกหามมายังกองทัพ ทางแพทย์ มีคุณหมอปรีดา และสหายอดีตนักเรียนแพทย์เช่นคุณสิงหา คุณยุทธ คุณประยูร และอดีตนักศึกษาพยาบาลคุณมีนา คุณพะยอม ร่วมดูแลอย่างสุดความสามารถ ผ่านการห้ามเลือด ผ่าตัด จนปลอดภัย แต่สหายก็มีสภาพร่างกายที่แขนและมือไม่สมบูรณ์ดังเดิม ใจทรหดของคุณก้าว ยังร่วมทำการปฏิวัติกับมิตรสหายในกองทัพต่อไป
เส้นทางนี้ นอกจากไต่ผาชันเกือบจะ 80-90 องศาแล้ว เราต้องเดินไต่เขาเกือบตลอด แม้เป็นเส้นทางที่ใกล้กว่าการเดินทางไปเขตงานตรังของคุณศรี แต่ลำบากกว่ากันมาก และของที่ขนส่งจะมีแต่ข้าวสารเป็นส่วนใหญ่ ส่วนที่เขตงานตรังจะมีทั้งข้าวสาร กะปิ เกลือ ขนมจากในเมือง ผ้าตัดชุดทหาร ยา เวชภัณฑ์.. เครื่องใช้ต่าง ๆ
ยังมีเส้นทางขนส่งระหว่างกองทัพไปสตูลอีกเส้นก็ลำบากแบบน่าพิศวงมาก เป็นการเดินทางข้ามคลอง ลำธาร เข้าไปในถ้ำ เดินทะลุถ้ำใต้ภูเขาอีกฟากไปโผล่ลำธารอีกฟากของภูเขา บางครั้งน้ำมาก การเดินลุยน้ำเข้าไปในถ้ำ ก็ต้องกระทำโดยวิธีมุดน้ำที่ปิดหน้าถ้ำเข้าไป เมื่อเข้าไปในถ้ำก็จะนำไม้ไผ่แห้งที่หาเตรียมไว้ภายในถ้ำทุบ ๆ ทำเป็นคบเพลิงให้แสงสว่างในการเดินในถ้ำ บ้างก็ใช้ไฟฉายเดิน ถ้ำนี้เป็นถ้ำหินปูน ที่มีทางน้ำไหลผ่าน มีหินงอก หินย้อย สีขาวสะท้อนแสงไฟระยิบระยับ เราต้องเดินบนพื้นที่แห้ง สลับกับการลงเดินย่ำทางน้ำ แสงไฟส่องสะท้อนดวงตาแดงวาวกลม ๆ ส่องไฟฉายมองดูชัด ๆ เป็นงูที่อยู่ในถ้ำ ตัวขนาดวากว่า ๆ ก็ไม่ทราบคืองูอะไร เราก็เดินเลี่ยงอๆ ไป ถ้ำนี้ลึกยาวหลายกิโล เดินกันร่วมชั่วโมงจึงทะลุถ้ำ ปากถ้ำฝั่งสตูลโผล่สถานที่ที่เรียกว่าป่าพน ถ้ำนี้เราเรียกว่าถ้ำคุณช่วง ด้วยมีไร่ ที่อยู่อาศัยของคุณช่วง อยู่ลึกในเขตพื้นที่มะนัง และควนกาหลง
อดีตมะนังเป็นสถานที่หนึ่ง ที่มีการขนส่งข้าวสาร ด้วยเป็นเขตงานมวลชน มีโรงสีขนาดเล็กในชุมชน เป็นชุมชนชายป่าที่อุดมสมบูรณ์ มีคลองละงู คลองมะนังไหลผ่าน แม้จะอยู่ในพื้นที่จังหวัดสตูล แต่มวลชนที่มะนังส่วนใหญ่เป็นคนพัทลุงมาอาศัยอยู่ จึงเป็นที่พักพิงหนึ่งของเขตงานมวลชนในเขตสตูล

 


8. นักเรียนน้อยบนภูบรรทัด (4)

 


เมื่อเป็นนักเรียนโรงเรียนการเมืองการทหาร ชีวิตกึ่ง ๆ ทหารในกองทัพแต่ละวันเป็นระบบมากขึ้น ใช้ชีวิตในหมู่ แบบหมู่ทหาร ตั้งแต่เช้าตลอดทั้งวัน เราจะอยู่ด้วยกัน ทำหน้าที่เวรต่าง ๆ เช่น เวรครัว ขนฟืน ฝึกการทหาร เสวนา ถกแถลง เรียนรู้การเมืองร่วมกันภายในหมู่เดียวกัน
ปกติเช้ามืดประมาณ ตี 5.30 เสียงนกหวีดยาว ๆ จะดังเป็นสัญญาณให้ตื่นนอน ..เราจะล้างหน้า แปรงฟัน แล้วมารวมพลที่สนามออกกำลังกาย บางวันก็ทำการฝึกทหาร ท่าต่าง ๆ หมอบ คลานไปกับพื้นนั่นแหละ เสร็จแล้วก็อาบน้ำที่คลองโต๊ะหัง หรือไปปล่อยหนัก เบา บนเนินไม่ไกลนัก แล้วกลับมากระท่อมที่พัก แต่งตัวไปรอทานข้าวที่โรงครัว
บางครั้งมีภารกิจขนฟืน เราก็จะไปขนฟืนแทนการออกกำลังกาย ค่อยกลับมาอาบน้ำ แต่งตัวทานข้าว แล้วก็ประจำหมู่ศึกษา หรือปฏิบัติตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย
การอาบน้ำ แรก ๆ เราใช้สบู่เปลือย คือสบู่ก้อนแท่งยาว ๆ แล้วพลาธิการมาตัดแบ่งเป็นก้อน ๆ ให้สหายแต่ละคน เป็นสบู่ที่ไม่มีกลิ่นหอม ใช้สารพัดประโยชน์ ถูตัว สระผม ซักผ้า
เราเรียกสบู่เปลือย ด้วยที่แจกให้เป็นก้อนมีแต่เนื้อสบู่ ไม่มีการบรรจุภัณฑ์ หรือกระดาษห่อแบบสบู่ที่ขายตามท้องตลาดมียี่ห้อ อย่างสบู่ลักซ์ ไลฟ์บอย สหายนักรบรุ่นเก่าก่อน บอกว่าชีวิตนักรบในป่า การใช้สบู่มีกลิ่นหอมทำให้เสียลับได้จากร่องรอยกลิ่น
แต่ด้วยสหายนักเรียนโรงเรียนการเมืองการทหารที่เข้าใหม่รุ่น 6 ตุลานี้ มาจากในเมือง หรือมาจากชนบท มีวิถีชีวิตที่คุ้นชินต่างกันไป อย่างสหายบางคนขึ้นมาจากครอบครัวในเขตงาน คนในครอบครัวก็จะฝากสิ่งของ ของกิน ของใช้ ไปกับสหายเขตงาน ฝากสหายขนส่งขึ้นไปให้ลูกหลานที่อยู่บนกองทัพ บางคนที่มีเงินติดตัวมาก็ฝากสหายที่ลงไปขนส่ง ซื้อสิ่งของที่ตนต้องการนำมาใช้ในกองทัพ ในกองทัพจึงมีสหายบางคนที่ใช้สบู่หอม ใช้แชมพู ใช้ผงซักฟอก มีน้ำตาล ขนม นม รองเท้ายาง ของใช้จากตลาด ห้างร้าน เมืองตรัง มาใช้ มากินกัน
ผมได้เห็นการต้มนมข้นหวานกระป๋องกิน เป็นการต้มทั้งกระป๋อง แล้วมาเปิดฝากระป๋องด้วยวิธีถูไถด้านบนกระป๋องแรง ๆ ไปบนหินจนโลหะส่วนฝากระป๋องสึกหลุดออก เมื่อเอาช้อนงัดฝาออก เนื้อนมข้นหวานกระป๋องที่ถูกต้มจะมีสภาพข้นเป็นก้อนเหมือนเนื้อสังขยา ตักกินกันเปล่า ๆ รสชาติเป็นเช่นไร ไม่ทราบ ได้แต่กลืนน้ำลายมองดู
ที่มีน้ำตาลส่วนตัว ก็จะเอาโคม หรือถ้วยไปตักเอาน้ำข้าวมาผสมน้ำตาลกินกัน ท่าทางอร่อย ก็ได้แค่มอง
งานในหมู่ครั้งแรกก็คือการสร้างกระท่อมที่พักของหมู่ แยกชาย-หญิง .. เราต้องไปตัดไม้ไผ่มาเฉาะสับ ให้ไม้ไผ่แผ่ออกเป็นแผ่นทำพื้นแคร่นอน ตัดลูกไม้ทำเสา ทำโครงหลังคากระท่อม .. ลูกไม้คือไม้ที่ไม่ใช่ต้นไม้ขนาดใหญ่ที่แผ่ร่มเงา แต่จะเป็นไม้ยืนต้นรองลงมามีขนาดเท่าน่อง เท่าโคนขา ลูกไม้จะสูงเหยียดตรงขึ้นไปเพื่อหาแสง จึงเป็นไม้ขนาดพอดีในการมาทำเสากระท่อม ทำโครงต่าง ๆ ..หาหวายมามัดโครงกระท่อม มัดแคร่ ร้อยหลังคา ตัวหลังคาเราใช้ใบจากจำ ต้นเตี้ย ๆ ติดพื้น ใบจะคล้ายก้านหมาก ก้านมะพร้าว เรานำมาใช้ทั้งก้านพับไขว้ใบให้เป็นแนวทับซ้อนกัน นำแต่ละก้านมาผูกร้อยด้วยริ้วหวาย ซ้อน ๆ แต่ละก้านใบเหลื่อมกันเล็กน้อยเป็นแผ่นยาว เอาไปวางผูกครอบบนโครงหลังคาคลุมลงเกือบจรดพื้นแคร่ แทนฝาไปในตัว เริ่มแรกเราทำกระท่อมมีหลังคาทรงหมาแหงน ปรากฏว่าป่าทางใต้มีฝนเกือบตลอดทั้งปี หลังคาทรงหมาแหงนความลาดเอียงน้อย น้ำไม่สามารถผ่านแบบรวดเร็วได้ จึงมีน้ำซึมหยด ลงที่แคร่นอน ต้องเปลี่ยนเป็นหลังคาทรงจั่วตามวิถีภูมิปัญญาชาวบ้าน ที่เหมาะสมกับภูมิอากาศ
เราจะต้องไปเป็นหมู่ หาลูกไม้ ไม้ไผ่ ก้านใบจากจำ หาหวาย ในป่าให้ห่างจากที่ตั้งกองทัพพอประมาณ บนเขาบรรทัดที่เป็นป่าดิบชื้นที่สมบูรณ์ จึงหาได้ไม่ลำบากนัก
การทำงานใด ๆ ใช่แค่มีแรงก็ทำ ๆ ไป ทุก ๆ งานล้วนต้องมีทักษะ ประสบการณ์ ความรู้ การสร้างกระท่อมของหมู่เรามีคุณเทียนหัวหน้าหมู่ ผู้มีทักษะชีวิตในการใช้แรงงาน งานช่างฝีมือ ตัดหวาย ปอกหวายที่หุ้มด้วยเปลือกหนาม และจักเป็นเส้น ๆ ได้คล่อง มีคุณเหม คุณฤทธิ์ คุณช่วง วัยรุ่นหนุ่มฉกรรจ์แข็งแรง มีจิตใจเสียสละ อดทน มีทักษะในการฟันไม้ตัดไม้ สามารถแบกไม้ไผ่ แบกลูกไม้ ได้ทีละมาก ๆ จากป่ามาถึงที่สร้างกระท่อม ไปมารวดเร็วอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย คุณเร สหายหญิงร่างเล็กก็อดทนเข้มแข็งเหลือเกิน จึงนำพาให้งานทำกระท่อมสำเร็จด้วยดี
ผมเองไร้ทักษะ ไม่เคยผ่านการทำงานเช่นนี้จริงๆ เมื่อฟันไม้วันแรกมือจะแตก กำมีด กำขวานฟัน จะเจ็บ ปวด .. แบกไม้ขึ้นบ่าได้ไม่มาก แถมต้องกัดฟันเดิน เจ็บบ่ามาก ด้วยอุดมการณ์ปลุกปลอบใจให้สู้ต่ออุปสรรค
งานขนฟืนเช่นกัน .. เราต้องแบกท่อนฟืน ที่เลื่อยจากขอนไม้ในป่า มายังกองทัพ ท่อนไม้ใหญ่แข็งตะปุ่มตะป่ำ หนักกดลงบนบ่า แบกเดินในป่าที่ไม่ราบเรียบ เดี๋ยวขึ้น เดี๋ยวลง ไกลร่วมกิโล รู้สึกเจ็บบ่า ปวดไหล่เป็นอย่างมาก ด้วยไม่เคยหาบ แบกของหนัก ผมเคยเห็นบ่าของคุณประเทืองที่แบกของหนัก ๆ ด้วยสีหน้าสบาย ๆ นั้น บ่าหนาเป็นสันหนอกขึ้นมา.. ผิดกับบ่าของผมที่เป็นเพียงเนื้อหนังบาง ๆ หุ้มกระดูกบ่า

 


9. นักเรียนน้อยบนภูบรรทัด (5)

 


งานครัว เป็นงานที่ทุกหมู่จะต้องมีหน้าที่ทำครัวสลับเวรกันไป ผมเองก็ได้เรียนรู้การหุงข้าวด้วยกระทะใบบัว เตาดิน ฟืนไม้ป่า จนสามารถหุงข้าวแบบนี้ได้
เริ่มแรกเราจะล้างข้าวและนำข้าวใส่ในกระทะ เทน้ำให้ท่วมข้าวพอประมาณ การก่อไฟ ให้ฟืนไม้ป่าลุกโชติกล้าก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนักหรอกกับคนที่ไม่เคยใช้ชีวิตแบบนี้
ก่อไฟหุงข้าวให้น้ำข้าวเดือด น้ำในกระทะหุงข้าวเริ่มเดือดเราจะเอามันสำปะหลังที่ฝานเป็นชิ้นบาง ๆ ในกะละมังโรยลงไป ค่อยคนให้เข้ากัน รอเดือดได้ที่ค่อย ๆ ราไฟ เอาฟืนไฟออกทีละน้อย เป็นการดงข้าวอย่างเหมาะสม ราไฟลดฟืนเร็วไปข้าวก็จะดิบ ดึงไฟออกช้าไปข้าวก็จะไหม้ น้ำไม่พอดี ไฟไม่เหมาะสมก็จะดิบ ๆ แฉะ ๆ ไหม้ ๆ เราต้องใช้ทักษะของประสาทจมูก และหู ในการสัมผัสกลิ่นความหอมพอดีของข้าวสุก หรือกลิ่นข้าวจะไหม้ ทักษะฟังเสียงน้ำที่เดือดดัง ฟอด ๆ ฟด ๆ เราจะรู้ด้วยทักษะปฏิบัติ เสียงน้ำแบบนี้คือน้ำกำลังเหือดแห้งลงไป ช่วงนี้เราจะนำใบตองป่ามาปิดบนแทนฝาหม้อ ให้ไอความร้อนระอุอบอวลให้ข้าวสุกสวย
กับข้าว.. แกงในกองทัพลักษณะทั่ว ๆ ไป เราจะต้มน้ำใส่พริกแกงที่พลาธิการทำไว้ ต้มจนเดือด ใส่เนื้อ ใส่ผัก ส่วนใหญ่ก็หยวกกล้วยเถื่อน
ถ้าเป็นต้มน้ำพริกแกงเปล่า ๆ ไม่มีผัก ไม่มีเนื้อสัตว์ใด ๆ หรือถ้ามีก็วิญญาณปลากระป๋อง แบบนี้ เราเรียกว่าแกงโหรงเหรง
แกงโหรงเรง ก็ใช่จะโหรงเหรงเสียทีเดียว เราจะมียอดไม้ป่านานา มาเป็นผักเหนาะ วางกันเต็มโต๊ะ กินอร่อยกันไปอีกแบบ
พริกแกงใต้บนกองทัพที่ทำน้ำแกงนี้ ขอบอกว่า เผ็ดจังหู ! แต่ก็หอมสมุนไพร เค็มนัว กลมกล่อม พร้อมความเผ็ดจัดจ้านนี้แหละ คืออัตลักษณ์นักรบแดนใต้ .. เมื่อคุ้นชินรสชาติแล้วมัน หร่อยนักแล..
ส่วนแกงน้ำเคยก็จะเป็นน้ำต้มเดือดมีแค่เคย กะปิเปล่า ๆ จริง ๆ แล้ว เราไม่เคยอดถึงกับต้องกินแบบนี้ จึงเป็นแต่ชื่อเรียก .. และเคยในกองทัพ เมื่อนำไปบีบโอบกับกิ่งไม้นำไปเผาไฟให้สุกกรอบหอม เรียกว่าเคยจี่ หรือนำเคยไปผัดกับน้ำมัน เรียกว่าเคยเจี้ยน ทั้งเคยจี่ เคยเจี้ยน นำมากินคลุกกับข้าวสวยปนหัวมันร้อน ๆ ก็แสนอร่อยเช่นกัน
ห่อข้าวกับเคยจี่ เคยเจี้ยน นี้แหละคืออาหารติดตัวของนักรบยามจรยุทธ์ เดินทัพ เดินทางไปเขตงาน ไปขนส่ง
ความเป็นจริงแล้ว ชีวิตความเป็นอยู่ในกองทัพปฏิวัติที่นี่ ก็ไม่อดอยากอะไรนัก เรามีข้าวปนหัวมันกินทุกมื้อ บางคนพอได้กินข้าวสวยเปล่า ๆ กลับบ่นว่า ไม่หร่อยเหมือนกินข้าวปนหัวมัน เนื้อสัตว์เราก็มีกินเกือบประจำทุกวัน มากบ้างน้อยบ้าง
เรื่องเนื้อสัตว์ โปรตีนในอาหารการกิน .. เรามีคุณพฤกษ์.. เป็นพระเอกของเรา
การเข้าป่า ขึ้นมายังกองทัพร่วมปฏิวัติในช่วงหลัง 6 ตุลา 2519 นอกจากมวลชนในเขตงาน นักศึกษา ประชาชนจากในเมือง ที่กองทัพพัทลุง ตรัง สตูล ของเรา ยังมีนักรบชาติพันธ์ุซาไก หรือเซมัง ที่คนทั่วไปเรียกเงาะป่าเข้ามาอยู่ด้วย คือ คุณพฤกษ์
คุณพฤกษ์ ซาไกที่เคยล่าสัตว์ป่าอย่างชำนาญ ย่องเดินในพื้นป่า ได้เงียบกริบ เข้าหาเป้าหมาย สังหารด้วยการเป่าลูกดอกผ่านเลาไม้ไผ่ เมื่ออยู่กองทัพ คุณพฤกษ์ได้ปืนลูกซองยาวออกล่าสัตว์ให้โรงครัว.. แทบจะทุกวัน คุณพฤกษ์ไม่ทำให้ผิดหวัง
หมูป่า กระจง ฟาน (เก้ง) ค่าง .. จึงเป็นส่วนประกอบของอาหารเราในแต่ละวัน ..
คุณพฤกษ์ซาไกวัยประมาณ 20 กว่าปี จะตื่นแต่เช้ามืดออกไปจากที่พักในกองทัพ เข้าป่าหาล่าสัตว์ เมื่อยิงเสร็จแล้วก็จะกลับมาบอกตำแหน่งให้สหายออกไปหามหมูป่า ฟาน เก้ง มาให้สหายเวรโรงครัวจัดการต่อไป
เกือบทุกเช้า คุณพฤกษ์กลับมาจากล่าสัตว์ นั่งพัก มวนยา สูบบุหรี่ ยิ้มอย่างสบายอารมณ์ แถวหน้าโรงครัว จะเป็นภาพชินตาของเรา เกือบทุกคนที่เดินผ่านจะทักทายคุณพฤกษ์ ด้วยมิตรไมตรีที่ดีต่อกัน
เรื่องของคุณพฤกษ์นั้น เป็นตำนานที่สหายเราได้จดจำ บ้างก็นำไปเล่าสู่ลูกหลาน
..ลูกสหายท่านหนึ่งเล่ามาว่า.. : .. "พ่อบอกว่าคุณพฤกษ์ยิงปืนแม่นมาก ถ้ายิงค่างสามารถกำหนดได้เลยว่าให้ถูกตาข้างไหนของค่าง"
.. "พ่อบอกว่าคุณพฤกษ์ถูกนายยิงตายเพราะแกไม่ยอมจำนน พ่อว่าแกไม่ยอมออกตัวครับ ผมนับถือหัวใจแกครับ ..”
.. "ตอนเสียชีวิต คุณพฤกษ์ไปยิงหมูแล้วบังเอิญเจอนาย นายบอกให้ยอมจำนน.. แกจะต่อสู้ .. โดนนายยิงเสียชีวิต ผมรู้มาประมาณนี้ครับน้า.."
.. "คารวะ คุณพฤกษ์" ..

 


10. นักเรียนน้อยบนภูบรรทัด (6)

 


อาหารที่พิเศษอย่างหนึ่งของเรา คือปลาหวดเนื้อนุ่มมัน อร่อย อร่อยมาก
ปลาหวดเป็นปลาน้ำจืดมีเกล็ด ปกติตัวใหญ่ประมาณเท่าลำแขน ยาวขนาดหนึ่งศอก หนักเกือบหนึ่งกิโล แต่ก็เคยมีสหายจับได้ตัวขนาดใหญ่หนักหลายกิโล อาศัยในคลอง ลำธารที่มีน้ำไหล ในป่าเขาบรรทัด ดูช่างคล้ายกับชีวิตของปลาเทร้าของต่างประเทศ ที่นำมาเลี้ยงในแหล่งน้ำไหลบนดอยอินทนนท์
เราจะได้กินปลาชนิดนี้ค่อนข้างบ่อย สหายที่ชอบหาปลาในคลองโต๊ะหัง จะได้ปลาหวดมาประจำมากบ้างน้อยบ้าง
ปลาหวดส่วนใหญ่จะนำไปทำเป็นอาหารให้สหายที่ป่วย และสหายอาวุโส เมนูปลาหวดผัดน้ำผึ้ง เคี่ยวน้ำผึ้ง เป็นเมนูเด็ด น้ำผึ้งในที่นี้คือน้ำตาลอ้อยที่สหายในกองทัพหีบอ้อย เอาน้ำอ้อยไปเคี่ยวจนเหนียวข้นเก็บไว้ นำมาปรุงรสอาหาร
กองทัพเราได้มีการทำไร่ปลูกข้าว คงหรือข้าวโพด มันสำปะหลัง อ้อย นักเรียนการเมืองการทหารทุกคนได้ไปใช้ชีวิตที่นั่น
ผมออกไปทำไร่ครั้งแรก ที่เป็นที่โล่ง ได้ยินเสียงสหายบอกต่อ ๆ กัน .. "เรือมา .. เรือมา.. เรือมา".. สหายต่างวิ่งหลบ เข้าไปในป่าใหญ่ ผมเมื่อวิ่งตามสหายเข้าไปในป่าแล้ว ก็พยายามมองหาแม่น้ำ หรือที่ลำคลอง ด้วยเข้าใจว่าเรือ ก็คือเรือในแม่น้ำ ลำคลอง .. โอละพ่อ.. เรือ .. ที่นี้ หมายถึงเรือบิน เครื่องบิน.. ชาวใต้จะใช้คำสั้น ๆ ว่า เรือ .. "เรือมา".. หมายถึง เครื่องบิน.. มา สหายได้ยินเสียงเครื่องบินรบ เครื่องบินลาดตระเวน .. ที่มาประจำ จะเป็นเครื่องบินรบ OV.10 ..สหายมักเรียกไอ้อู๊ก..
การทำไร่ เริ่มตั้งแต่ตัดลูกไม้ โค่นไม้ใหญ่ การโค่นไม้ใหญ่จะทำโดยสหายที่มาจากมวลชนพื้นบ้าน ผู้มีความชำนาญในการใช้ขวาน บากหน้าไม้ หลังไม้ของลูกไม้ ไม้เล็ก ไม้ขนาดรอง ๆ ไว้แบบพอดีหลาย ๆ ต้น ให้มีทิศทางในแนวเดียวกัน ซึ่งต้องทำด้วยความระมัดระวัง สหายคนอื่น ๆ ห้ามเข้าไปในบริเวณที่กำลังฟันไม้ โดยเฉพาะด้านที่บากหน้าไม้ เมื่อได้ที่ก็จะบากหลังไม้ต้นใหญ่ด้านหลังสุด ให้ล้มลงแบบไปกระแทกชนต้นไม้รอง ลูกไม้อื่น ๆ ที่ฟันบากไม้ไว้ ทำให้แนวไม้นั้นโค่นล้มแบบต่อ ๆ กัน เป็นแบบโดมิโน 3-4 ต้น เสียงไม้ใหญ่ล้มกระแทกพื้นดังกัมปนาทดินสะเทือน ระรัว ดั่งปืนกล สนั่นติดต่อกัน สะใจกองเชียร์สหายที่รอลุ้น .. แล้วสหายใหม่อย่างพวกเรา ก็ทำหน้าที่ไปฟันกิ่งเล็กกิ่งน้อย ลากไปกองสุมขอนไม้ใหญ่ ส่วนกิ่งไม้ขนาดใหญ่ ๆ ก็เป็นหน้าที่ของสหายผู้ชำนาญนำขวานไปจัดการฟัน
ต่อจากการตัดไม้ทำไร่ก็เป็นการเผาปรน สุมขอนไม้ใหญ่ ได้พื้นที่ไร่ปลูกข้าว และพืชไร่อื่น ๆ
ที่นี่หยอดพันธ์ุข้าว ด้วยการเดินถือไม้ท่อนยาว ๆ แต่งปลายไม้ให้แหลมมน ทรงกรวย 2 ท่อน ถือซ้ายขวา เดินยกกระแทกเป็นระยะ ๆ ที่เหมาะสมลงพื้นดินเพื่อให้เกิดหลุมเล็ก ๆ สหายน้องใหม่ก็ถือภาชนะใส่เมล็ดพันธ์ุข้าวเดินตามหยอดเมล็ดพันธ์ุข้าวลงไปในหลุม
ดินที่นี่จะมีความนุ่ม อ่อน ชุ่มน้ำ ด้วยมีฝนตกพรำ ๆ ถึงระดับปานกลาง เกือบทุกวัน การนำไม้ไปกระแทกดินให้เป็นหลุม ที่เรียกว่าใช้ไม้สักดิน ..จึงทำได้ง่าย ๆ
ในไร่ข้าวนี้ เราได้ปลูกคงหรือข้าวโพด และพืชสวนครัว ไว้ด้วย
นอกจากนั้นเรายังมีการทำไร่ปลูกมันสำปะหลัง และอ้อย
เมื่อข้าวออกรวง รวงข้าวสุกเหลืองอร่าม เราทุกคนก็ได้ไปทำหน้าที่เกี่ยวข้าว โดยใช้แกระ
แกระเป็นแผ่นไม้ขนาดฝ่ามือ มีใบมีดคม ใช้ถือตัดรวงข้าว เป็นลักษณะเฉพาะของชาวใต้ เกี่ยวข้าวโดยวิธีใช้แกระ
เกี่ยวข้าวแล้วก็จะช่วยกันขนรวงข้าวไปไว้ที่ถ้ำใกล้ๆ ไร่ เราจะเอาผ้ายางปูนอนกันบนกองฟอนข้าว
การนวดข้าวที่นี่ เราใช้วิธีเหยียบ สองเท้าเหยียบ ขยี้เท้าคลึงนวดที่รวงข้าวไปมาจนเมล็ดข้าวร่วงหล่นจากรวงหมด
นอกจากเราทำไร่เพื่อผลิตผลเป็นอาหารในกองทัพแล้ว บริเวณใกล้ ๆ ที่กองทัพเราตั้งอยู่ เป็นหมู่บ้านขนาดเล็กเก่าแก่ ที่ชาวบ้านอพยพออกไปด้วยเป็นเขตที่อันตราย มีการปราบปราม เราเรียกว่าบ้านตระ มีพืชสวนผลไม้ กล้วย มะพร้าว ขนุน ทุเรียน ยางพารา อื่น ๆ ซึ่งฝ่ายพลาฯนำมาทำอาหาร และแปรรูปถนอมอาหาร มีทั้งเรียนเคี่ยวหรือทุเรียนกวน กล้วยตากแบบย่างบนไฟอ่อน ๆ ย่างไว้เป็นวัน ๆ แทนการตาก เพราะแดดมีน้อย และการนำไปตากในที่แจ้ง อาจทำให้เสียลับทางอากาศได้ จากเครื่องบินที่มักจะบินวนสำรวจเป็นประจำ

 


11. นักเรียนน้อยบนภูบรรทัด (7)

 


นอกจากการเรียนรู้เสวนาทางการเมือง และฝึกการทหาร บางวันหมู่ของเราได้รับหน้าที่ไปช่วยงานที่ไร่ การไปไร่ของกองทัพ ดูจะเป็นอะไรที่พิเศษกว่างานประจำอย่างการไปแบกฟืน ด้วยอาหาร ผลไม้ที่ไร่ มีค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ เช่น ถั่วฝักยาว แตง ข้าวโพด กล้วยสุก กล้วยตากซึ่งเป็นกล้วยในไร่ในสวนสุกแล้วสหายประจำที่นั่น นำมาตากแดด ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีแดด จึงนำกระจาดใส่กล้วยที่เรียงไปวางไว้สูง ๆ เหนือถ่านไฟอ่อน ๆ ให้ได้รับความร้อนแทนแสงแดด กล้วยตากที่นี่จะนุ่มหนึบหวานและหอมกลิ่นควัน
ที่นี่ทำให้ผมรู้รสชาติคงหรือข้าวโพดที่หักมาจากไร่สด ๆ จะมีความหวานอร่อย แต่เมื่อนำมาเก็บไว้ข้ามคืน ข้ามวัน รสจะชืดลง ต่างไปไม่เหมือนฝักสด ๆ ที่ไร่
ใกล้กันกับที่ไร่จะมีที่หีบอ้อย โดยสหายหมวดทหารประมาณหนึ่งหมู่ มาทำหน้าที่หีบอ้อย นำต้นอ้อยในไร่มาหีบเอาน้ำอ้อย ต้มเคี่ยวจนน้ำอ้อยเหนียวหนืดข้นเป็นน้ำตาล ทำเก็บไว้ใช้ในโรงครัว และเป็นเสบียงภายหน้า พวกเราที่ไปช่วยงานพลอยได้กินน้ำอ้อยที่เคี่ยวจนเหนียวข้นคนละเล็กละน้อย คุณเหมพาเรียก.. กินตังเม ..
เราได้กินน้ำอ้อยที่หีบจากต้นอ้อยทั้งลำ สด ๆ ความโหยหาของหวานที่ไม่ค่อยได้กินบ่อยนัก ทำให้ผมกินเกินพอดี .. คือกินจนล้นพุง สำรอกน้ำอ้อยพุ่งออกมาจากปาก .. อับอายขายหน้าที่สุดเลย.. คุณเหมเองก็ขำ หัวเราะดัง พูดล้อ ย้ำไม่หยุด ..
กล่าวถึงแผนกต่าง ๆ ในกองทัพ เรามีโรงพิมพ์ คำว่าโรงพิมพ์ดูจะใหญ่โตไป แท้จริงแล้วก็คือกระท่อมเล็ก ๆ หลังหนึ่ง ที่มีพิมพ์ดีดไม่กี่ตัว และเครื่องโรเนียว ไว้ทำหนังสือ เอกสารเพื่อการศึกษา ใบปลิว แถลงการณ์
คุณวินอดีตนักศึกษา ที่เข้าป่าก่อนเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ทำงานประจำที่โรงพิมพ์นี้
อุปกรณ์พิมพ์ อย่างพิมพ์ดีดใหม่ เครื่องโรเนียว ของที่นี่หลายอย่างได้มาไม่เมื่อนานนัก เดือนธันวาคม 2519 นี้เอง เป็นสินสงคราม จากชัยชนะในการโจมตีโรงพัก อำเภอละงู จังหวัดสตูล ที่ได้มาทั้งอาวุธปืน และเครื่องใช้ต่าง ๆ ของสำนักงาน เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นช่วงเวลาที่ผมเพิ่งขึ้นมาอยู่บนกองทัพ ในตอนสายของวันนั้นเห็นภาพนักรบจรยุทธ์ชาย-หญิงร่วมร้อย ทยอยเดินเข้ามาค่าย ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พร้อมเป้ และหามสิ่งของ ที่เป็นสินสงครามขึ้นมาไว้ยังกองทัพ
สหายบนกองทัพทุกคนที่เห็น ต่างวิ่งไปยืนรอต้อนรับ ปรบมือ จับมือทักทายอย่างตื่นเต้นดีใจ ที่เห็นศักยภาพของกำลัง ทปท. พร้อมข่าวชัยชนะในการสู้รบ
ทราบว่า ปฏิบัติการนี้ได้รวมศูนย์กำลังสหายหมวดทหาร สหายนักรบ ผู้ปฏิบัติงานในเขตงานมวลชนทั้งพัทลุง ตรังและสตูล เคลื่อนกำลังโดยรถยนต์เข้าไปในตัวเมืองอำเภอละงู เพื่อโอบล้อมโจมตีโรงพัก และอำเภอ ตามแผนที่กำหนด
เสียงปืนปัง ปัง ของผู้บัญชาการรบ ส่งกระสุนพุ่งตรงเป้าหมายตัดสายไฟพาดบนเสาสูง ขาดอย่างแม่นยำ ทำให้แสงไฟฟ้าทั่วบริเวณรอบ ๆ มืดมิดทันที เป็นสัญญาณของการเข้าโจมตี ปฏิบัติการรบ สหายนักรบทุกคนวิ่งเข้าประจำพื้นที่รายรอบอาคารโรงพัก และอำเภอ ตามแผน ปืนรบประจำกายลั่นดังรัว ได้กดขวัญตำรวจ อส. ที่ประจำอยู่ต้องผวาหวาดหวั่น
การต่อสู้โต้ตอบผ่านไปชั่วครู่
เสียงประกาศผ่านโทรโข่ง.. ให้ตำรวจ อส. ยอมจำนน เพียงไม่นาน ตำรวจ อส.ประจำที่นั้นก็ยอมจำนน
หลังประกาศชัยชนะให้ชาวบ้านละแวกใกล้รับรู้.. ก็มีการอบรมทางการเมือง ประชาสัมพันธ์นโยบายพรรคให้แก่เชลยศึกฟัง แล้วปล่อย โดยไม่มีการทารุณทำร้าย นี่เป็นแนวปฏิบัติตามวินัยของ ทปท. "ไม่ทารุณเชลย" ..ผู้แพ้อย่าฆ่า..
เมื่อเสร็จสิ้นการยุทธ์ นักรบ ทปท. ก็ขึ้นรถกลับมายังจุดหมาย ขนสินสงครามเดินขึ้นไปบนกองทัพ
ก็มีเรื่องเล่าเหตุการณ์ในการรบ โจมตี ที่แห่งหนึ่งไม่ทราบที่ใด และเป็นใคร แบบชวนยิ้ม ขำ ๆ ว่า
.. ขณะบุกเข้าโจมตีที่ว่าการอำเภอนั้น สหายนักรบผู้กล้าคนหนึ่งวิ่งถือปืนนำหน้าบุกเข้าประชิดตัวอาคาร และพุ่งตัวเข้าไปข้างในห้องข้างหน้า แต่เพียงครู่เดียวก็ถลันกลับออกมาอย่างเร็วพลัน สหายที่กำลังวิ่งตามไปจึงต้องชะงัก ถอยออกมาหาที่กำบัง ถือปืนกระชับมั่นมองออกไปข้างหน้าด้วยความตึงเครียด ...
ปรากฏว่า การที่สหายผู้วิ่งนำบุกเข้าไป คนนั้น ถอยกลับออกมาเพียงแค่.. เพื่อถอดรองเท้า ..!?
ด้วยความเป็นไปอย่างอัตโนมัติของจิตใต้สำนึก ผู้มีมารยาทที่ดี ไม่ควรสวมรองเท้าสกปรก เหยียบย่ำเข้าไปในห้อง..
ที่โรงพิมพ์.. เมื่อมีนักรบเข้ามาเพิ่ม บ้างก็เคยทำงานเกี่ยวกับการทำหนังสือพิมพ์ เอกสาร หนังสือมาก่อน บ้างก็เก่งงานศิลปะวาดรูป จึงทำให้มีการพัฒนาจัดทำวารสารของกองทัพพัทลุง ตรัง สตูล ขึ้น ในชื่อวารสารตะวันแดง เป็นวารสารพิมพ์ดีดลงไข วาดภาพด้วยปากกาเขียนไข พัฒนาการใช้เข็มจิ้ม ๆ ให้ภาพมีมิติแสงเงาอย่างประณีต แล้วนำไปโรเนียว ระยะหลังพัฒนาการทำปกด้วยวิธีซิลค์สกรีน เหมือนการทำโปสเตอร์ การทำวารสารตะวันแดงนอกจากคุณวินแล้ว ที่จำได้มีผู้ทำกันหลายคน เช่นคุณวันดี อดีตนักศึกษาหญิงจากธรรมศาสตร์ ที่มากประสบการณ์ ดูเหมือนว่าเคยร่วมทำหนังสือพิมพ์อธิปัตย์ คุณแสง ธรรมดา อดีตนักศึกษาสถาปัตย์ผู้มากทักษะเป็นทั้งนักเขียน นักวาดการ์ตูน นักดนตรี นักร้อง ผู้แต่งเพลง รวมทั้งคุณอวบ และคุณประยูร ก็ได้เข้าไปร่วมคิด ร่วมทำ
ผมเองอยู่วงนอก นึกสนุกก็วาดการ์ตูนน้าเท่ง ประกอบเรื่องสั้น การ์ตูนตัวแบบจากหนังตะลุงที่จำ ๆ จากคุณแสง เขียนส่งเป็นบางฉบับ
ไป ไป มา มา ก็เลยเขียน "นิทานน้าเท่ง" เรื่องเล่าที่ใช้สำนวนภาษาใต้ ส่งเป็นตอน ๆ แรกก็เขียนการ์ตูนประกอบเนื้อเรื่องที่เกี่ยวกับเพลงภาษาใต้ ที่ฮิตของคุณแสงแต่งนั้นแหละ เช่น "ไส สิ เป็นพันนี้" "ตีงูให้กากิน".. นำมาเขียนเป็นเรื่องเล่าภาษาท้องถิ่นปักษ์ใต้ แบบสนุก ๆ พร้อมให้แง่คิดทางการเมือง
เสียงตอบรับที่ดี ได้เป็นแรงจูงใจให้เขียน นิทานน้าเท่ง เป็นตอน ๆ ในเวลาต่อมา
เมื่อได้ลงไปปฏิบัติหน้าที่งานมวลชนที่สตูล ก็นำเรื่องราวของวิถีชีวิตมวลชนที่สัมผัส อย่างเช่น การลงแขกยกเริน หรือการยกบ้าน หามบ้านไม้หลังใหญ่ทั้งหลังย้ายไปตั้งที่แห่งใหม่ เห็นแล้วมันเป็นรูปธรรมที่มวลชนเคยเห็น รับรู้สัมผัส ชัดเจนกว่า "ลุงโง่ย้ายภูเขา" จึงมาพล็อตเขียนเป็น "นิทานน้าเท่ง" เพื่อสะท้อนถึงพลังประชาชน เมื่อได้ความร่วมแรงร่วมใจ รวมพลังกันนั้นก็สามารถทำในสิ่งที่ยากลำบากให้สำเร็จได้ อุปมาอุปมัยพลังมวลชนในการต่อสู้ปฏิวัติ
วารสารตะวันแดง .. เป็นวารสารที่จัดทำสอดคล้องกับมวลชนในเขตงาน คือทำรูปเล่มน่าอ่าน ปกซิลค์สกรีนสีแม้เงื่อนไขในป่านั้นจำกัด เนื้อหาภายในเล่มมีภาพวาดแทรกด้วยทักษะฝีมืออย่างมีศิลปะ มีเนื้อหาทางการเมือง มีการ์ตูน มีข่าวท้องถิ่น มีนิทาน เรื่องสั้น ทำให้มวลชนอ่านสนุก ชื่นชอบ นิยมอ่านกัน จนผลิตไม่เพียงพอกับความต้องการ มวลชนในเขตงานจึงใช้วิธีการอ่านแล้วก็ส่งต่อ ๆ กันไป
คุณอวบ เคยบอกกับผมว่า.. "คุณตะวัน.. . ตะวันแดง.. ของเรา มีผู้นำส่งไปให้แนวร่วมถึงต่างประเทศ และนำเรื่องจากตะวันแดงที่พวกเราเขียน ไปแปลเป็นภาษาต่างประเทศด้วยนะ.."
อั๊ย.. โยะ !! พวกเรามีงานเขียนระดับอินเตอร์ ..

 


12. นักเรียนน้อยบนภูบรรทัด (8)

 


มีข่าวมาบอก .. ข่าวดี.. พวกเราจะได้ตัดชุดใหม่ .. ชุดทหาร ทปท. หมวกดาวแดง
คุณเทียนนายหมู่ของเราแจ้งข่าวว่า ช่วงพักหลังกินข้าวเช้าหรือเย็นวันนี้ ให้พวกเราไปวัดตัวที่โรงจักร์
โรงจักร์คือกระท่อม ที่มีจักร์เย็บผ้าประมาณ 3-4 ตัว คุณมิตรเป็นผู้รับผิดชอบที่นั่น และมีสหายอีกประมาณ 2 คน จำได้คือคุณโอ คุณนาสหายวัยรุ่นหญิง ที่เรียบร้อย ตั้งใจทำงานไม่พูดไม่จา ก้มหน้าก้มตาตัดเย็บ ซ่อมแซม เสื้อผ้า เป้ ให้สหายอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย
แรกนั้นพวกเราสหายใหม่ที่ขึ้นมากองทัพทุกคน ยังสวมชุดตามที่นำติดตัวมา บางคนก็ได้ใหม่จากสินสงคราม เป็นชุด อส. ทหาร ที่ขาดก็นำมาปะกันเอาเอง ปะแล้วปะอีก เป็นส่วนใหญ่
ด้วยความคิดที่อดทน เสียสละ มุ่งมั่นหล่อหลอมตน ของนักรบปฏิวัติ จึงไม่นำพาเรื่องการแต่งกาย การกินอยู่ ทุกคนพากันใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายกัน สวมใส่ตามแต่จะหาได้
แต่ลึก ๆ แล้ว เมื่อจะได้ชุดใหม่ก็ดีใจ พากันไปวัดตัวตามกำหนด
ชุด ทปท. ที่นั่นใช้ผ้าโทเร สีเขียวขี้ม้า นำมาตัดเย็บเป็นเสื้อ มีแถบสี่เหลี่ยมสีแดงติดบนปกด้านนอกทั้งสองข้าง แขนยาว ปลายแขนไม่มีกระดุม กระเป๋าบนสองข้าง กางเกงขายาวทรงหลวม ๆ หมวกปักดาวแดงขอบเหลือง รองเท้ายางสีน้ำตาล
ชุดใหม่ เสร็จทันสวมใส่ฉลองงานวันพรรค 1 ธันวาคม แต่จริง ๆ แล้วการจัดงาน เราจะจัดหลังวันพรรค 1 ธันวา หลายวัน ด้วยอยู่ในสภาวะสงคราม ช่วงวันพรรค เครื่องบินรบมักเวียนมาบนท้องฟ้าประจำ หากจัดงาน แสงสว่างของการจัดงานจะทำให้เสียลับได้ ดังนั้นงานวันพรรคจึงจัดในภาวะที่ปลอดภัย หลังจากวันจริง 2-3 อาทิตย์
งานวันพรรค .. หรือวันคล้ายวันก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เป็นงานเฉลิมฉลองใหญ่ในกองทัพ งานแรกที่ผมได้เห็นได้สัมผัส ..
ชัยชนะของการโจมตีโรงพัก อำเภอละงู จังหวัดสตูล ในช่วงเดือนธันวา ก็เป็นเสมือนของขวัญแก่พรรค ในงานวันพรรค ผลงานแห่งชัยชนะ สร้างผลสะเทือนทางการเมือง เป็นการปลุกขวัญมวลชน ข่มขวัญศัตรู
มวลชนในเขตงาน แนวร่วมในเมือง สหายเขตงาน สหายนักรบ ต่างทยอยเดินทางขึ้นมาร่วมงานบนกองทัพ สหายหลายคนคุ้นเคยกับมวลชน และสหายตามเขตงาน จับมือ ทักทายกัน สหายอาวุโสก็มีผู้มาเยี่ยมเยียนได้รับของฝาก กินดื่มกัน เป็นบรรยากาศที่คึกคัก สุขสันต์
การหุงข้าวในวันงานที่ถือว่าเป็นวันพิเศษ จึงใช้ข้าวล้วน ๆ หุงไม่ปนหัวมัน มีการนำเนื้อหมูจำนวนมากขึ้นมาจากเขตงาน นำเนื้อสัตว์ป่าที่เราเก็บไว้โดยวิธีถนอมอาหาร เช่นหนางที่เป็นภูมิปัญญาพื้นบ้านทำการดองเปรี้ยวเนื้อสัตว์ มาปรุงอาหาร วันนั้นผมได้กินหนางตะพาบน้ำ เคี้ยวกรึ๊บ ๆ รสชาติเปรี้ยว อร่อย แต่หลังจากกินไปไม่นาน ผมต้องอาเจียนด้วยเกิดอาการแพ้อาหาร
มีของหวาน สาคูบวดใส่ข้าวโพด และเรียนเคี่ยว (ทุเรียนกวน) เป็นของหวานอร่อยสุดในชีวิต คงด้วยไม่ค่อยได้กินของหวานมานาน
แต่ก็อร่อยจริง ๆ สูตรการบวดสาคูที่นำมาจากเขตงาน ข้าวโพดสดจากไร่ของเรา ทุเรียนกวนที่ทำเอง มะพร้าวจากสวนผลไม้บ้านตระ มันจึงหวานมันกลมกล่อม มีรสชาติความหอมทุเรียนกวนแทรก
การได้กินขนมหวานเช่นนี้ ปกติอยู่ในเมืองก็คงจะกินคนละถ้วยหวานเล็ก ๆ สำหรับที่นี่ สหายแต่ละคนจะตักกินกันเป็นโคม ตักกินกันแบบบุฟเฟ่ต์ บางคนกิน 3 โคม
.. โคมคือถ้วยขนาดย่อม ๆ ใหญ่กว่าถ้วยก๋วยเตี๋ยว เกือบเท่าชามกะละมังล้างผักตามบ้าน..

 

 

 


กองทัพปลดแอกประชาชนไทยเกียรติไกรเกริกฟ้า
พรรคปลุกมวลตื่นตัวมาจับอาวุธลุกฮือ
ประสานมือแกร่งไกร
พรรคชี้นำสงครามปลดแอกประชาชาติไทย
ก้าวตามพรรคไปใจเชื่อมั่นอาจหาญ
ถือปืนยืนหยัดรุดหน้าไป ขับไล่จักรพรรดินิยม
โค่นล้มเผด็จการกู้ชาติเพื่อประชา
เราเริ่มจากสองมือเปล่า แย่งเอาอาวุธปืนปฏิกิริยา
เด็ดเดี่ยวเอาอาวุธมันล้างมันแหลกลาญ
วินัยเหล็กเพชรทรหดรอบคอบอดทน
ทำสงครามยาวนานเสียสละกล้าหาญ
ทยานล้างโจรทมิฬ ..
.. ..ฟังเสียงปืนก้องฟ้า ..
.. ปืนปฏิวัติประกาศท้า.. พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน..
งานวันพรรค สหายทุกคนแต่งชุด ทปท. หมวกดาวแดง ที่เท่สุด ๆ หมวดทหาร ถืออาวุธปืน ทั้งนาโต้ M.16 ปืนยิงหัวระเบิด M.79 ..และปืนเอ็มดำ หรือปืน M.16 ควบ M.79 ผูกสายซองแม็กกระสุนปืนรอบเอวรอบตัว พ่วงระเบิดมือแขวนที่เข็มขัด ดูน่าเกรงขาม
หลังอาหารเช้า เป็นการเดินสวนสนามที่สนามบาส.. ของหมวดทหาร นำโดยคุณบรรจง มีดุริยางค์ตีกลองแต๊ก เป่าเครื่องเสียงประกอบ บรรเลงเพลงมาร์ชกองทัพปลดแอกประชาชนไทย.. ที่ปรับจากเนื้อทำนองเพลงเดิมของจิตร ภูมิศักดิ์ แต่งให้พลพรรคที่ภูพาน ก่อนการมีกองทัพปลดแอกประชาชนไทย
สวนสนามเสร็จก็เข้าห้องประชุม มีคุณโรจน์ สหายนำของกองทัพเป็นประธานในพิธี และปราศรัยทางการเมือง
มีการกล่าวถึงสถานการณ์ วิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมือง ที่มีคุณอวบ อดีตผู้นำนักศึกษารามคำแหงยุค 14 ตุลา ..อดีตนักการเมืองพรรคสังคมนิยม.. คุณประยูร ผู้นำนักศึกษา อดีตนายกจุฬาฯ.. ..คุณดิษฐ์ พระมหาชื่อดังแห่งพิราบเหลือง แต่ล่ะท่านระดับขุนพลบนเวทีการเมือง ทั้งนั้น
ตลอดทั้งวัน มีพิธีกรงานการเมือง คือคุณวันดี อดีตนักศึกษาหญิงธรรมศาสตร์ ที่เป็นพิธีกรภาษาปักษ์ใต้ น้ำเสียงหวานระรื่น แต่ก็เฉียบขาด ได้อารมณ์ พูดเก่ง มาสร้างบรรยากาศการเมืองในห้องประชุมตลอดทั้งวัน
กลางคืนเป็นรายการบันเทิง มีการแสดงวงดนตรีของสหายบนกองทัพ และแต่ละหน่วยงาน เขตงาน หมู่ กลุ่มต่าง ๆ สรรหามาแสดงกันทั้งละคร โนรา ลิเกป่า สลับกับกองเชียร์ที่ช่วยกันร้องเพลงปฏิวัติที่เป็นจังหวะรำวง หรือทำนองพื้นบ้าน ให้สหายและมวลชนได้ออกไปเต้นรำ ฟ้อน กันอย่างสนุกสนาน
สหายเขตงานหลายท่านมีฝีมือในการแสดงศิลปะพื้นบ้าน เช่นคุณธรรม คุณจำ.. การแสดงลิเกป่า โนรา คุณจารึก นักร้องเสียงใส เป็นที่ชื่นชอบของสหายยิ่งนัก
การแสดงละคร ส่วนใหญ่จะเป็นสหายบนกองทัพ ละครสะท้อนสังคม ผมนึกย้อนหลังก็ขำทุกที .. คุณสมัย อดีตนักศึกษาคณะเกษตร มช. เล่นละครในบทเศรษฐีใหญ่ ที่เอาเปรียบ คดโกงชาวบ้าน .. ในเรื่อง คุณสมัย เดินออกมาในชุดกางเกงขายาวเสื้อลายดอกสีสด ก็แสดงดีนะ สีหน้า น้ำเสียง ใช่เลย ..
แต่ครั้นตอนเดินกลับเข้าฉากนี้สิ จึงได้เห็นกางเกงเจ้าพ่อเศรษฐีใหญ่ ตูดขาดแถมรอยปะแทบจะเต็มก้น .. จึงเกิดเสียงฮากันตรึม.. โดยมิได้นัดหมาย
ในภาคกลางคืน ผมตะวัน ได้รับมอบหมายให้เป็นหนึ่งในพิธีกร สร้างความบันเทิง ปลุกเร้าให้สหายแต่ละเขตงาน สหายนักรบ ทหาร ทุกฝ่ายได้หมุนเวียนออกมาร่วมสนุก ฟ้อน เต้น
เต้นดวงตะวันแดง เต้นร็องแง็ง ออกมารำวงกันให้เปรี๊ยะปร๊ะ ตึงตัง.. จนย่ำรุ่งไก่เขี่ยแกลบ .. ..
เปรี๊ยะปร๊ะ ตึงตัง เปรี๊ยะปร๊ะ ตึงตัง สหายนั่งกันอยู่ทำไม
ออกมารำวงเร็วไว มารำวงให้เปรี๊ยะปร๊ะ ตึงตัง
ฉันจะเป็นคนร้อง สหายต้องเป็นคนรำ
รำวงสามัคคีชื่นบาน .. รำวงสามัคคีชื่นบาน
รำแบบทหาร ต้องเเปรี๊ยะปร๊ะ ตึงตัง
เอ้า.. เปรี๊ยะปร๊ะ เปรี้ยะปร๊ะ ตึงตัง
รอบนี้ .. ขอเชิญหมวดทหาร.. และสหายงานมวลชนเขตพัทลุง .. ออกมารำวง .. ครับ
.. เชิญออกมารำวงให้ เปรี๊ยะปร๊ะ ตึงตัง .. ..

 


13. นักเรียนน้อยบนภูบรรทัด (9)

 


บนกองทัพ นักเรียนน้อยรุ่น 6 ตุลา .. มีหลายคนเก่งด้านดนตรี เพลง นักร้องน้องใหม่เยอะมาก บางคนก็แต่งเพลงใหม่ ๆ และก็มีหลายเพลงเป็นที่นิยม นำไปร้องในการบันเทิงตอนเย็นกัน พอจำได้ว่ามีเพลงดาบปลายปืน เพลงเปรี๊ยะปร๊ะตึงตัง ที่ฮิตในหมวดทหาร
บางกลุ่มถึงกับรวมตัวกันทำวงดนตรี เช่น คุณแสง คุณสายันห์ คุณสิงหา คุณหมอปรีดา คุณธันวา แรก ๆ ก็เอากีต้าร์ เม้าท์ออแกน รวมตัวกันเล่น ร้องเพลงสนุก ๆ และนำไปแสดงในวันงานวันสำคัญ อย่างวันแรงงาน ผมก็จับพลัดจับผลูไปเป็นโฆษกสมัครเล่นด้วย ตอนเย็นรายการบันเทิงเข้าไปร่วมกับกองเชียร์ บอกกล่าวเชิญสหายออกมาเต้น ออกมารำ สำเนียงพูดภาษาใต้ของผมมันแปร่ง ๆ เพี้ยน ๆ เป็นภาษาใต้ที่มีสำเนียงออกลาวอีสานแถมปนเหนือซะอีกด้วย สหายที่ฟังก็ยิ้มขำ ๆ หัวเราะกัน นัยว่าเหมือนฟังเสียงตัวตลกในหนังตะลุง ที่ชื่อ "สะม้อ" จึงต้องได้เป็นโฆษกร่วมในงานบ่อย ๆ เพื่อความหรรษาของสหาย
หลังจากงานวันพรรคในเดือนธันวาคมที่เป็นงานใหญ่มีสหายเขตงานและมวลชนขึ้นมาร่วมแล้ว
ก็ยังมีงานวันสำคัญอื่นอีกที่จัดกันเฉพาะภายในคนบนกองทัพ เช่น 7 มีนา วันสตรีสากล 1 พฤษภา วันแรงงาน ในวันงานก็จะทำอาหารพิเศษ และมีของหวาน ช่วงกลางวันก็จะมีพิธีการทางการเมือง และรายการบันเทิง
ในวันสตรีสากล สหายหญิงเป็นผู้รับผิดชอบงาน รวมทั้งงานกิจวัตรประจำวันอื่น ๆ ด้วย เพื่อเป็นการส่งเสริมบทบาทสตรี ..
ทางกองทัพ คงเห็นความสำคัญของวงดนตรี ของงานศิลปะบันเทิงในแนวรบทางวัฒนธรรม จึงได้เรียกตัวรวบรวมสหายที่มีประวัติ ความสามารถทางดนตรี ร้องเพลง และนักแสดงศิลปะเพื่อชีวิตจากกองทัพพัทลุง ตรัง สตูล ทั้งเขต 1 และเขต 2 มารวมกัน พัฒนาเป็นวงดนตรีจรยุทธ์ ที่มีคุณแสง หรือแสง ธรรมดา คุณชาลี (จากวงดนตรีคุรุชน) คุณพจน์ คุณเอื้อย คุณขวัญ คุณอุ้ม นักแสดงศิลปะ นาฏศิลป์ ส่วนคุณหมอปรีดา คุณสิงหา คุณสายันห์ คุณธันวา นั้นมีภารกิจงานอื่นเป็นหลัก จึงได้ร่วมเป็นบางขณะ ..
ผลงานของวงดนตรีจรยุทธ์นั้นสร้างความสะเทือนเลื่อนลั่น ต่องานการเมืองในเขตงานมวลชนยิ่ง ด้วยมีเพลงปฏิวัติที่เป็นภาษาใต้ ทำนองสนุก ๆ หลายเพลง รวมทั้งเพลงอื่นๆ ที่ถูกอกถูกใจมวลชน จนมวลชนในภาคใต้ เขตสามจังหวัด และตลอดเขตงานภาคใต้ ร้องเพลงปฏิวัติของวงจรยุทธ์ได้อย่างติดปากหลายเพลง..
ตัวอย่าง เพลงวงจรยุทธ์ยอดฮิต..
ที่มีเนื้อร้องเป็นภาษาใต้ เช่น เพลง.. "ตีงูให้กากิน". .."ไสที่เป็นพันนี้". .."เสือกระดาษ"..
ทำนอง.. โนรา ก็มีเพลง "ใครสร้าง ใครเลี้ยง"
ทำนอง ที่เป็นของวัฒนธรรมกลิ่นอายปักษ์ใต้ เพลง "คนกับตะเกียง" "ปักษ์ใต้แดนทอง" "ควนกาหลง"
ทำนองเพลงมาร์ช คึกคัก เร้าใจ.. เพลง "ภูบรรทัดปฏิวัติ" "จรยุทธ์" "ไม่รบนายก็ไม่หายจน" "ความเป็นธรรมนั้นอยู่ที่ไหน"
เพลงซึ้งตรึงใจ.. "จากวนาสู่นาคร" "นักรบเชื้อวีรชนของมวลประชา" เป็นต้น
วงดนตรีจรยุทธ์ นอกจากจะใช้แสดงในวันงานต่าง ๆ บนกองทัพแล้ว ยังได้ลงไปแสดงตามเขตงานมวลชนต่าง ๆ ที่อยู่ในพื้นราบ มีการตั้งเวทีจัดการแสดงละคร ดนตรี ร้องเพลง แสดงนาฏศิลป ทั้งสวย ทั้งเก่ง อย่างคุณเอื้อย คุณอุ้ม คุณขวัญ เป็นกำลังหลัก นำการแสดงพื้นบ้านภาคกลาง เช่น เต้นกำรำเคียว เพลงดอกไม้ เพลงลามะลิลา ร้องโต้ตอบสหายหญิง-สหายชาย อย่างมีเนื้อหาสาระ สอดแทรกมุขฮา สนุก ฝ่ายชายจะมีคุณพจน์ เป็นนักแสดงหลัก และคุณธันวาจากรัฐศาสตร์ มช. ก็เห็น ๆ ร่วมแสดงหลายครั้ง
แถมมี คณะละครจากหมวดทหารร่วมเมื่อลงไปเล่นตามเขตงาน ก็เป็นภารกิจควบของหมวดทหาร ทั้งดูแลรักษาความปลอดภัย ทั้งแสดงละครประชาสัมพันธ์งานการเมือง
คณะวัฒนธรรมปฏิวัติจรยุทธ์นี้มีคุณพจน์เป็นโฆษก สุดหล่อ อารมณ์ดี
คุณพจน์ สุดหล่อ.. โฆษกของวงดนตรีจรยุทธ์นี้นะ ที่รู้มาตอนเป็นนักศึกษาก่อนเข้าป่าเขาเคยถูกผู้กำกับภาพยนตร์คนดังทาบทามให้ไปเป็นพระเอกหนังมาแล้ว.. นะจะบอกให้

 


14. นักเรียนน้อยบนภูบรรทัด (10)

 


ใต้แสงแห่งดาว ท่ามกลางป่าเขาเราสู้
แบกปืนเป้อู่ กอบกู้ชีวิตประชา
พวกเราเป็นหมอของประชาชน...
โรงพยาบาลบนกองทัพ เป็นสถานที่พยาบาลตั้งแต่การจ่ายยาคนเจ็บไข้ ป่วยเล็กน้อย ทายาแดงทากกัด น้ำกัดเท้า แทงเข็มรักษาอาการปวดขา ปวดหลัง จนถึงการผ่าตัดเล็ก ผ่าตัดใหญ่ ให้สหาย นักรบบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ และจากการสู้รบ
โรงพยาบาลนี้จะมีพื้นที่ใหญ่กว่าโรงพิมพ์ มีแผนกทันตกรรมด้วยนะ พร้อมทั้งเปิดเป็นโรงเรียนหมอมวลชน ที่มีสหายจากเขตงานขึ้นมาเรียน มาอบรม เรียนรู้แบบแพทย์แผนปัจจุบัน และการฝังเข็มแบบจีน
อาจารย์หมอ ผสมผสานกันระหว่างสหายหมอดั้งเดิมในกองทัพ เช่น คุณเพลิน คุณขวัญ และสหายหมอ-พยาบาลรุ่นใหม่ เช่น คุณปรีดา คุณยุทธ์ คุณประยูร คุณสิงหา คุณมีนา และคุณพะยอม ที่จบแพทย์ปริญญา อดีตนักศึกษาแพทย์มหิดล แพทย์จุฬาฯ และอดีตนักศึกษาพยาบาล..
ต่อมาในช่วงหลัง ๆ ก็มีคุณขวัญ ที่เรียนจบศัลยกรรมแพทย์ จากเหวินซาน ได้เดินทางกลับมาร่วมภารกิจอย่างเอาการเอางาน
ในโรงเรียนแพทย์บนกองทัพ นอกจากสหายจากเขตงานมวลชนขึ้นมาศึกษา ก็มีการคัดเลือกนักเรียนการเมืองการทหารรุ่นหลัง 6 ตุลา .. เข้าร่วมศึกษาด้วย ส่วนใหญ่จะเป็นเยาวชนหญิง
การเรียนคึกคักมาก สหายที่ขึ้นมาเรียนมีความตั้งอกตั้งใจสูง แม้จะยากลำบากกับการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ที่จำเป็นเพื่อจะได้อ่านสลากยาเข้าใจตัวยาได้ เรียน Anatomy ~ อนาโตมี อวัยวะของร่างกาย อุปกรณ์.. สื่อการเรียนรู้ มีลิง ค่าง เป็นอาจารย์ใหญ่ หยวกกล้วยเป็นที่ฝึกฉีดยา แทงเข็ม หรือสหายที่ปวดหัว ปวดเมื่อย ก็มาเป็นหุ่นให้ฝึกปัก จิ้ม แทงเข็ม
เมื่อจบหลักสูตรมีบ้างเข้าร่วมกับหมวดทหาร ที่ขยายตัวเป็นกองร้อยทหาร และเป็นกองพันทหารในเวลาต่อมา
นักเรียนโรงเรียนแพทย์รุ่นนี้เกือบทั้งหมดลงไปปฏิบัติงานมวลชนในเขตงานที่อยู่ในหมู่บ้าน ชุมชน พัทลุง ตรัง สตูลทั้งสามจังหวัดรอบ ๆ พื้นที่ภูบรรทัด
ในหน่วยงานมวลชน ที่อยู่เป็นหน่วยย่อยๆ 4-5 คน อาศัยสวนปาล์ม สวนยาง สวนผลไม้ ชายป่ารอบหมู่บ้าน จะมีผู้ปฏิบัติงานที่มีความรู้ความสามารถทางการแพทย์ แต่ละหน่วย 1 ถึง 2 คน .. หน่วยที่ชุมชนหนาแน่น ก็จะมีถึง 3 คน นอกจากนั้นยังมีระบบส่งเมล์ ส่งข้อมูลผู้ป่วยที่มีอาการผิดปรกติ ไม่สามารถวินิจฉัยโรค แนวทางรักษาโรคได้ ไปถามไปปรึกษาเหล่าท่านอาจารย์หมอ ..หรือคุณหมอปรีดา ให้คำตอบ บางกรณีที่มีอาการหนัก หรือจะต้องผ่าตัด คุณหมอจากโรงพยาบาลกองทัพก็จะลงมาเอง..
ขอกล่าวถึงเหตุการณ์ที่สหายบาดเจ็บ ถึงขั้นการรักษาต้องใช้วิธีผ่าตัด เมื่อข่าวไปถึงกองทัพ .. คุณหมอปรีดา และคุณสิงหา ทราบเรื่องก็รีบจัดยา และเครื่องมือทางการแพทย์ เดินทางจากกองทัพลงสู่เขตงาน โดยเร่งรีบอย่างไม่ยอมหยุดพัก
เมื่อตรวจดูอาการคนป่วย บาดแผลสาหัสที่ขาเสียเลือดมากจำเป็นต้องให้เลือด ก็จัดการตรวจกรุ๊ปเลือดและตรวจความเข้ากันได้ของเลือด (cross matching) แล้วก็สูบเอาเลือดของสหายแพทย์ คุณสิงหาใส่ถุง แล้วถ่ายต่อให้คนป่วยทันที
การผ่าตัดเป็นไปด้วยดี .. แต่ทั้งคุณหมอปรีดา และคุณสิงหา ก็แทบหมดแรง .. กับการรักษาผ่าตัด การให้เลือด และการเดินลงเขาระยะยาวนานอย่างไม่หยุดพัก
ด้วยจิตใจรับใช้ประชาชนของสหาย ที่อุทิศตนเป็นหมอของประชาชน ทำการดูแลรักษา มวลชนชนบทผู้ขาดแคลนสวัสดิการทางสาธารณสุขจากรัฐ จึงพึ่งพาอาศัยหมอมวลชนของ ทปท. ที่เข้าไปรักษาถึงในบ้าน โดยไม่คิดค่ารักษา มวลชนที่มีอาการเรื้อรังเช่นโรคปอดอักเสบ หมอมวลชนก็จดชื่อยากิน ยาฉีดให้ญาติผู้ป่วยไปซื้อจากร้านขายยาในเมือง แล้วสหายจะมาฉีดให้ตามกำหนด
บ่อยครั้งเราจะรักษาด้วยวิธีแทงเข็ม ผลการรักษาเป็นที่ชื่นชอบ ยอมรับว่าหายจากอาการเจ็บป่วย หรือดีขึ้นมาก การรักษาของเราจึงเป็นที่ต้องการของมวลชน ผลตอบแทนที่ได้มักจะเป็นผลผลิตจากไร่ สวน บางทีก็มีของฝากอาหาร ขนม จากตลาด
งานหมอมวลชน เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขตงานมวลชนขยายกว้างไกลออกไปถึงชุมชนในเมือง ใกล้ ๆ หรือติดกับตัวเมืองของอำเภอ
ชีวิตผมตอนหลัง ๆ เมื่อไปทำงานมวลชน ก็ด้วยคุณรินนักเรียนหลักสูตรหมอที่ศึกษาจากที่นี่แหละดูแลรักษา ครั้งป่วยเป็นไทฟอยด์จนหาย จึงได้อยู่รอดปลอดภัย..

 


15. งานมวลชน (1)

 


.. เสียงลือกันว่าที่ประเทศพม่า มีดารา นางงาม นางแบบ นายแบบ เข้าร่วมกองทัพประชาชน เป็นนักรบปฏิวัติต่อสู้กับรัฐบาลเผด็จการทหาร
ย้อนอดีตครั้งเป็นนักรบปฏิวัติไทย ที่เขตงานมวลชนสตูล มวลชนก็ชุบชิบกันว่า สหายแต่ล่ะคนมีแต่สวย ๆ หล่อ ๆ สหายคนนั้นเหมือนดาราชื่อนั้น ชื่อนี้ กันเลยล่ะ
คุณเวช.. วัยรุ่นชายยกยอว่าหล่อเข้มเหมือน ดาม ดัสกร
คุณเหม นั้นก็ผมหยิกหยัก จมูกโด่งเค้าหน้าเหมือน ไพโรจน์ ใจสิงห์
คุณสายันต์ก็ดั่งพระเอกหนังจีน
คุณเรือง ยิ้มเก่มีเขี้ยวคล้าย ไพโรจน์ สังวริบุตร
คุณริน ขวัญใจเยาวชนหญิงเป็นคู่เหมือน มลฤดี ยมาภัย .. ว่าซ๊าน..
หน้าตาดี ทำงานดี มวลชนชื่นชมครับ สหายจังหวัดสตูล
ผมสหายตะวัน เรียนจบโรงเรียนการเมืองการทหาร จากสถาบันบ้านตระ ภูบรรทัด กองทัพพัทลุง ตรัง สตูล ได้รับคำสั่งให้ไปปฏิบัติงานมวลชนที่จังหวัดสตูล ลงไปทำงานมวลชนครั้งแรกตั้งที่พักแรมอยู่ตามชายป่า บ้านทุ่งนางแก้ว ตำบลเขาขาว อำเภอละงู
เคลื่อนไหวแบบจรยุทธ์ ตั้งค่ายพักชั่วคราว ย้ายที่ไปเรื่อย ๆ ในพื้นที่อำเภอละงู แถบตำบลเขาขาว และมะนังเป็นส่วนใหญ่ สหายร่วมหน่วยงานที่จำได้ มีคุณญา คุณอ้น คุณระเบียบ คุณริน คุณเผียน คุณเรือง คุณชำนิ คุณเวช คุณฉ่ำ คุณรักธรรม ซึ่งในบางครั้งคุณชำนิ คุณฉ่ำ คุณรักธรรม คุณระเบียบ ก็ออกไปเป็นหน่วยย่อย ๆ เพื่อขยายเขตงานมวลชนไปจนถึงนิคมควนกาหลง และเชื่อมกับบ้านเขตงานพื้นที่อำเภอทุ่งหว้า ที่มีคุณสมบัติเป็นสหายนำ มีคุณมัย คุณเหม คุณพัน คุณสายันต์ ร่วมหน่วยงานเคลื่อนไหวอยู่ทางนั้น
ผมลงมาปฏิบัติงานมวลชนไม่นาน มีมวลชนมาบอกสหายในหน่วยว่า วันนี้ที่โรงเรียนทุ่งนางแก้ว มีครูสาวจากที่อื่นมาบรรจุใหม่ พักที่บ้านพักครูในโรงเรียน
ปกติที่โรงเรียนบ้านทุ่งนางแก้วนี้ ครูที่อยู่ก็คุ้นเคยกับสหาย เป็นแนวร่วม เป็นมวลชน ที่สหายเราแวะไปทำงานการเมืองอยู่บ่อย ๆ
คุณเผียนสหายนำ.. เห็นว่าครูนั้นคือปัญญาชน และเห็นว่าผมก็เป็นอดีตนักศึกษา พวกปัญญาชนด้วยกันน่าจะเสวนา พูดคุยกันได้ถูกคอ เข้ากันได้ดี จึงมอบหมายให้ผมเป็นคนไปพบครูสาวที่มาบรรจุใหม่เพื่อทำงานมวลชน งานการเมือง สร้างภาพลักษณ์ที่ดีของพรรค โดยให้ไปกับคุณเวช ซึ่งเป็นสหายฝ่ายทหาร
เมื่อทานข้าวเย็นเสร็จ.. ค่ำ ๆ เราสองคน ก็พากันเดินลัดเลาะตามแนวป่า และถนนทางไปโรงเรียน ผมในชุด ทปท. เต็มยศ สะพายปืนคาร์บิน ส่วนคุณเวชก็ชุด ทปท. สะพาย M.16
.. ผมเองแหละที่ชวนคุณเวชแต่งอย่างนี้ ไปแบบนี้.. มวลชนเห็นจะได้ชื่นชอบมั่นใจในพรรค. .. คือเอาความคิดตนเอง สมัยเป็นนักศึกษา.. ที่ใฝ่ฝันอยากเห็น ทหารป่า ทหารประชาชนในชุดดาวแดง .. แบบชาวบ้านของจีนในหนังสือเรื่องดาวแดงอันแวววับ ที่ประชาชนจีนรอคอยกองกำลังทหารประชาชน ผู้จะมาขจัดพวกเจ้าที่ดิน อันธพาลท้องถิ่น พวกขุนศึกชั่วร้าย พวกรังแกประชาชน เมื่อประชาชนได้เห็นทหารของพรรคต่างยินดี โห่ร้องไชโย อบอุ่นใจ
จึงคิดไปว่าครูสาวบรรจุใหม่ เห็นนักรบประชาชนอย่างเรา คงตื่นเต้นดีใจ ชื่นชมแน่ ๆ เลย..
เราเดินฝ่าความมืดไป คุณเวชสหายฝ่ายทหาร ที่ไปด้วยรูปร่างลักษณะผิวคล้ำแบบคนใต้ หล่อเข้มหนวดเคราเขียวจางบนใบหน้า มีแววตากล้าของนักสู้
ครั้นเดินเข้าไปในโรงเรียน มองไปที่บ้านพักครู มีแสงไฟฟ้าส่องสว่าง เห็นครูเก่าครูใหม่ กำลังคุยกันที่ข้างล่างใต้ถุนบ้าน
เราสองคนเดินยิ้มเข้าไปหา เพื่อทักทาย คิดว่าคุณครูสาวคงจะดีใจที่ได้เห็นสหายตัวเป็น ๆ .. ..
ที่ไหนได้ คุณครูสาวที่เพิ่งมาบรรจุใหม่เป็นคนท้องถิ่นอื่น ไม่ได้มีพื้นความคิดการเมืองที่ก้าวหน้า ไม่ประสีประสาเรื่องการเมืองอะไรเลย มีแต่ความคิดฝังใจที่ติดตัวมาแบบกลัวคอมมิวนิสต์.. .. เมื่อเห็นเรามาแบบชุดทหารป่า สะพายปืนสงคราม เธอก็ตัวสั่นหน้าซีดตกใจ .. วิ่งหนีขึ้นบันไดเข้าไปในห้อง ล็อคประตู .. พร้อมเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น ..
ครูเก่ารุ่นพี่ ขึ้นไปเคาะประตูห้องและพูดปลอบก็ไม่ยอมฟัง ไม่ยอมเปิดประตูเอาแต่ร้องไห้เสียงสั่น
ผมและคุณเวชอยู่ต่อไม่นาน ดูสภาพมันไม่ดีขึ้นก็กลับ คิดว่าวันหลังจะไปใหม่
รุ่งเช้า.. ครูสาวขนของกลับเข้าเมือง ไม่มาอีกเลย.. ไม่รู้ลาออกเลย หรือทางการเยียวยาให้ไปอยู่ที่อื่นไม่ทราบ..

 


ต่อด้วยเฮฮา ประสาแม่ครัวหัวป่าก์ในเขตงาน
บริเวณเคลื่อนไหวงานมวลชนของเรา คือพื้นที่จากป่าภูบรรทัด ถ้ำเจ็ดคด ป่าพน น้ำตกวังสายทอง ลงไปตำบลมะนัง ตำบลเขาขาว จนถึงในตัวอำเภอละงู ..
พื้นที่เขตป่า ที่เป็นป่าดงดิบ สมัยนั้นยังมีการทำไม้ พรรคเรา กองทัพประชาชนเราได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มนายทุนทำไม้ ผู้ได้รับสัมปทานป่า ทั้งเงินสนับสนุนพรรค เสบียง และของฝากอื่น รวมทั้งการรับฝากซื้อ ส่งเสบียง วัสดุ เวชภัณฑ์..
เหตุการณ์สนุก ๆ ขำ ๆ เกิดขึ้น..
ในวันหนึ่ง เราได้ของฝากจากแนวร่วมที่ทำกิจการป่าไม้ ได้ทั้งปลากระป๋อง เครื่องกระป๋องอื่น ๆ ขนม ผลไม้ หลายห่อ หลายถุง..
สหายทางใต้เราก็ล้วนมาจากมวลชนในเขตงาน ซึ่งอยู่ตามชนบท และที่ทำมาหากินเขตแนวป่าเขา
สหายหญิงในเขตงานส่วนใหญ่จะปฏิบัติหน้าที่หมอมวลชน ขณะเดียวกันเมื่ออยู่ในที่พัก เธอก็จะเป็นผู้จัดการเรื่องอาหารการกิน.. ดังนั้นเมื่อได้ของฝาก สหายหญิง คุณญา คุณอ้น คุณริน ก็ทำการตรวจดูของฝาก วัตถุดิบแล้วก็คิดทำเมนูเด็ด ๆ ให้สหายได้กินกัน ..
สุดท้าย เมนูเด็ดที่สหายคิดไว้.. เป็นอันล้มเหลว .. นั่งขำ หัวเราะกัน .. ในความเฉิ่ม ในความไม่รู้..
ความที่เบื่อปลากระป๋อง ด้วยได้มาบ่อย เหลือบไปเห็นกระป๋องที่มีรูปวัวสีแดง เขียนเป็นภาษาอังกฤษ และภาษาแขก อ่านไม่ออกแปลไม่เป็น จึงคิดไปเองว่า ต้องเป็นเนื้อวัวกระป๋องแน่ ๆ.. คิดเมนู.. แกงเนื้อวัวกระป๋อง.. ว่างั้นเถอะ ..
มีดงัดแงะ เปิดฝากระป๋องออกมา ที่ไหนได้มันเป็นใบชา ชาสำหรับชงดื่ม.. Tea.. ใบชาบรรจุกระป๋อง.. ก็นั่งขำ ๆ กัน
ยังไม่หายขำ..
ก็ต้องมาขำกลิ้งกันอีก.. สหายหญิง แม่ครัวหัวป่าก์เราเตรียมอีกเมนู ด้วยการทำปลา และเตรียมเครื่องแกงส้ม .. ว่าจะทำแกงส้มปลา .. สหายคิดว่าในถุงที่ยัดกันเป็นก้อน ๆ ของผลไม้ บี้แบนสีน้ำตาลในถุงของฝากมันคือมะขามเปียก
เมื่อจะทำแกงส้ม.. หยิบเอาออกมา
เอ้า.. เอ้.. ดูแปลก ๆ ไม่เหมือนมะขามเปียกทั่วไป ชิมดูมะขามเปียกของฝากจากแนวร่วมทำไมมันหวาน ๆ..
โอล่ะพ่อ.. ที่เขาให้มานั้นนะ.. มันคืออินทผาลัม.. !!??
55555

 


16. วันเจ็ดสิงหา

 


ค่ำคืนนี้ที่หน้าบ้าน ซึ่งเป็นศาลจังหวัดอุบลราชธานี ..กำลังเตรียมสถานที่จัดงานวันรพี ..ซึ่งตรงกับวันที่ 7 สิงหา..
.. เราผู้เฒ่าย้อนคิดไปถึงอดีต เมื่อ 40 กว่าปีก่อนโน้น วัน 7 สิงหา ก็ถือเป็นวันสำคัญให้ระลึกถึงเช่นกัน ..เรียกว่า “วันเสียงปืนแตก”
.. ที่บ้านนาบัว อำเภอเรณูนคร วันที่ 7 สิงหาคม 2508 กระสุนปืนปฏิวัตินัดแรกได้ดังขึ้น
.. กาลต่อมา 6 ตุลา 2519 เกิดเหตุการณ์ล้อมปราบ นักศึกษาประชาชนที่รวมตัวกันในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นักศึกษาประชาชนถูกฝ่ายอำนาจเถื่อน จับขัง ทำร้าย เข่นฆ่า อย่างโหดเหี้ยม พร้อมกับการทำรัฐประหารยึดอำนาจประเทศ
.. แนวทางสันติวิธี ถูกปิดกั้น
.. หลังเหตุการณ์ 6 ตุลา ปี 2519 ประชาชน นักศึกษา ต่างเข้าร่วมการต่อสู้แนวทางใหม่ ..ได้เข้าสู่เขตจรยุทธ์ ฐานที่มั่นของกองทัพประชาชน ที่อยู่ตามป่าเขา ภูดอย ..
.. เพลานี้ ย้อนคิดถึงวันงาน "7 สิงหา" ..ที่ภูบรรทัด กองทัพพัทลุง ตรัง สตูล งานวัน 7 สิงหา นับว่าเป็นงานใหญ่งานหนึ่งของกองทัพประชาชน
.. สหาย และมวลชนในเขตงานทั้งสามจังหวัด เดินทางขึ้นมาร่วมฉลองงานที่กองทัพ บรรยากาศกองทัพช่วงนี้ช่างคึกคักยิ่ง มวลชนเดินทางมาร่วมร้อย
สหายงานมวลชนตามเขตงานต่าง ๆ สหายนักรบกองร้อย ทยอยขึ้นมากัน เสียงทักทาย จับมือเมื่อเจอะเจอกันด้วยความยินดี และคิดถึง เสียงบทเพลงแห่งอุดมการณ์ดังก้องกังวานภูบรรทัด สหายนักรบประจำค่าย มายืนหน้าเปื้อนยิ้ม รอเรียงแถวกันพร้อมจับมือประสานมือต้อนรับการขึ้นมาร่วมงานของสหายนักรบ มวลชน และแขกที่ขึ้นมาเยือน
.. วันงานมาถึง แบ่งภารกิจ โดยมีนักรบบางส่วนประจำการเฝ้าระวังตามเส้นทาง และคอยส่งสัญญาณหากมีเหตุร้าย หรือเครื่องบินจะมาโจมตี พร้อมการวางแผนกับสถานการณ์ฉุกเฉิน การแบ่งกำลังสกัดกั้น ปีกซ้าย-ขวา สัญญาณ รหัสต่าง ๆ จนถึงวิธีการถอยสู่จุดนัดพบที่ปลอดภัย
.. ผู้คนหลั่งไหล ล้นพื้นที่เดิมของกองทัพ ..เป็นงานเลี้ยงใหญ่แม้จะอยู่ในป่าเขา.. มีอาหารเลี้ยงอย่างดี ล้มวัว ..กินของหวานบวดสาคูผสมทุเรียนป่ากวน ที่สำคัญได้กินข้าวล้วน ๆ ไม่ปนหัวมัน
.. ภาคเช้า ..เพลงมาร์ชกองทัพ.. ถูกบรรเลงดังกระหึ่ม เหล่านักรบโดยเฉพาะกองร้อยทหารเดินสวนสนาม ที่มีคุณบรรจง และนักรบในชุด ทปท. หมวกดาวแดง พิเศษผูกผ้าพันคอ อาวุธประจำกายนาโต้ เอ็มสิบหก ครบเดินพร้อมเพรียงสง่างาม
.. เสร็จพิธีสวนสนาม ..ทั้งสหายจากเขตงาน มวลชน เหล่านักรบ เข้าสู่ห้องประชุม.. คุณโรจน์สหายนำกล่าวเปิดงาน มีการเล่าสถานการณ์ การปลุกเร้าให้ยึดมั่นแนวทางการต่อสู้ "อำนาจรัฐได้มาด้วยปืน" ยึดมั่นหลักคิดทฤษฎีการเมือง การอภิปรายเน้นการเมือง โดยสหายนำ และนักรบรุ่นใหม่ เช่น คุณอวบ คุณประยูร คุณดิษฐ์ โดยมีคุณวันดี ที่เข้ามาจากเหตุการณ์ 6 ตุลา เป็นพิธีกร
..ภาคค่ำบันเทิง ศิลปะการแสดงจากหน่วยงานมวลชน จากกองร้อยทหาร จากหน่วยงานพลาธิการ การแสดงดนตรีที่มีคุณหมอปรีดา คุณสิงหา คุณสายันห์ วงจรยุทธ์โดยคุณแสง คุณชาลี คุณพจน์ การแสดงนาฏศิลป์ปฏิวัติโดยคุณอุ้ม คุณเอื้อย คุณขวัญ..
สลับกองเชียร์ร้องเพลง มีสหายมวลชนร่วมร้องรำทำเพลง เต้นโหรงเหรง เต้นดวงตะวันแดง ตลอดคืน มวลชน นักรบทุกหมู่เหล่า หมุนเวียนกันออกมาร่วมเต้น ร่วมรำวง ด้วยเพลงปฏิวัติอย่างคึกคัก..
.. แม้ว่าบางครั้งในค่ำคืนนั้น เสียงนกหวีดสัญญาณเหตุร้ายดังยาว สลับสั้น ถี่ ๆ ต่อทอดเข้ามา พร้อมเสียงตะโกน ..เรือมา.. เรือมา (เครื่องบินรบมา) .. ไฟฟ้าทุกดวง ตะเกียงน้ำมัน ไฟฉาย ทุกอันจะดับปิดสนิท เราอยู่ในความมืด ค่ำคืนกลางป่าเขา ใจระทึกกับเสียงเครื่องบินรบที่บินอยู่ไม่ไกล จะยิง ทิ้งระเบิดบอมบ์ หรือไม่ ?
.. ไม่นานเสียงเครื่องบินรบผ่านเงียบไป เสียงนกหวีดลากยาวห่าง ๆ สัญญาณความปลอดภัยดังขึ้น.. ไฟฟ้าส่องสว่างอีกครั้ง.. พร้องเสียงเพลงปฏิวัติท่วงทำนองคึกคัก ทั้งมาร์ช ทั้งจังหวะรำวง
.. ปัง ปัง ปัง เสียงปืนดังเจ็ดสิงหา..
.. เสียงเหล่านักรบร้องเพลง เสียงกลองระรัว พิธีกรเชิญมวลชน นักรบหน่วยต่าง ๆ ออกไปเต้น ไปรำฟ้อน ก็เป็นไปอย่างคึกคัก สนุกคะนองใจกันต่อไป.. ..จนฟ้าแจ้ง ไก่ออกมาเขี่ยแกลบ
.. อดีตความหลัง .. เป็นความเศร้าของแผ่นดิน
.. แลปัจจุบัน .. วงจรอุบาทว์ เหลือบการเมืองจ้องฉกอำนาจเพื่อฉ้อ โกง อีกขุนทหารยังยึดอำนาจ ส่งผ่านหมู่พวกวนเวียนกัน ..
กาลข้างหน้า.. ฟ้าใหม่ ประชาไทยจะสดใส มั้ยหนอ ? คำตอบอยู่ที่ประชาชน พลังชน !!

 

จบ

คอลัมน์ “สหายผู้เฒ่าเล่าความหลัง”
“เขต ทปท.ห้ามเข้า”
โดย….“เฒ่าตะวัน”


1. เฮ ฮาฮา ที่เขตงานคุณศรี..


" ม่าย ม้าย.. กูไม่เห็น กูไม่รู้ มันบอก ไม่ให้ แหลง.."


หลัง 6 ตุลา 2519.. กลุ่ม นักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 6 คน.. จะไปเข้าป่า.. โดยการชักชวนจากคุณสาทร (เอียด).. เดินทางโดยรถไฟจากเชียงใหม่-หัวลำโพง ต่อรถไฟสายใต้ ลงที่หาดใหญ่ แล้วต่อรถบัสโดยสารประจำทาง ผ่านอำเภอทุ่งหว้า จ.สตูล เริ่มเข้าพื้นที่จังหวัดตรัง ลงรถที่นั่น.. ทุ่งยาว ตำบลลิพัง อำเภอปะเหลียน
สมัยนั้น ทุ่งยาวเป็นหมู่บ้านชนบทขนาดกลาง มีบ้านหลายหลัง มองเห็นทิวเขา ป่าทึบข้างหน้าไม่ไกลนัก..
ผมจินตนาการ.. คิดในใจว่า.. สหายคงจะอยู่อีกไกล ๆ ลึก ๆ บนภูเขาสูง กลางป่า พู้น..
ขณะกำลังเดิน ๆ ลงจากถนน .. ก็มีชาวบ้านชาย-หญิงวัยกลางคน และหญิงสาวนุ่งผ้าซิ่น เดินยิ้ม ยื่นมือเข้ามาหา ..จับมือพวกเราทีละคน ๆ จับมือและเขย่ามือ พร้อมพูด.. "บายดี บายดี" จนครบทุกคน..
คุณสาทร.. แนะนำผู้หญิงวัยกลางคนที่เข้ามาหาว่า.. คือ คุณศรี.. สหายอยู่ที่นี่..
หา.. ! สหาย..
..สหาย ซึ่งผมเคยจินตนาการว่า สหาย ทหารประชาชนคงเคร่งขรึม ดูดุ ๆ อยู่ไกล ๆ ป่าดงดิบลึก แต่ที่พบนี่อยู่ ริม ๆ ถนน กลางหมู่บ้าน.. แถมสหายที่พบยังยิ้มแย้ม ดูหน้าตาดีออกสวย ออกหล่อทั้งนั้น (ผมคิดในใจ)
.. เราเดินพ้นหมู่บ้าน เข้าป่าขึ้นภูแค่อึดใจ.. ก็ถึงที่พักสหายงานมวลชนที่นี่ เราเรียกตรงนี้ว่า “เขตงานของคุณศรี” คนที่พาสหายไปรับพวกเรา ..สหายที่นี่ มีคุณประเทือง.. ร่างหนาหุ่นนักรบ คุณผจญ.. หล่อเข้มมาดนักรบกล้าเช่นกัน คุณมานพสหายนักศึกษาที่เข้ามาร่วมกับพรรคก่อน 6 ตุลา สหายหญิงมีคุณดาว คุณจารึก.. เป็นสหายหญิงที่สวยงามทั้งคู่.. (อดีต พูดคำว่าสวย ว่างาม.. จะโดนตำหนิ ความคิดกดขี่ทางเพศ)
.. อยู่ป่า เป็นสหายต้องมีกฎ ระเบียบ วินัย หลายอย่าง เช่นการปิดลับ เป็นใครมาจากไหน ก็ต้องปิดลับ ดังนั้นคณะเราจึงถูกตั้งชื่อใหม่ ..
.. ผมชื่อตะวัน.. คุณสาทร ชื่อสายันห์ คนอื่น ๆ ก็มีคุณธันวา สมัย โชคดี อดุลย์..
.. วันนั้น คุณศรี คงกลัวเราเครียด.. ช่วงหนึ่งที่ได้ให้ความรู้ สภาพต่าง ๆ ที่นี่ จึงได้เล่าถึงชนเผ่าที่เร่ร่อนในป่าแถบภูบรรทัดนี้ ..คุณศรีเรียก "ชาวป่า" หรือคนทั่วไปเรียกว่าเงาะป่า..
.. ชาวป่า.. เป็นชนเผ่าที่ซื่อ ๆ เสื้อผ้าไม่ค่อยจะมีสวมใส่ บางครั้งให้เสื้อผ้าไปก็ไม่สวมใส่เป็นเสื้อ เป็นกระโปรง เป็นกางเกง แต่เอาไปฉีกเป็นชิ้น ๆ แบ่งปันกัน ใช้แค่พอห่อตัว ห่มตัว.. ชาวป่าจะอยู่แบบเป็นกลุ่ม ๆ เร่ร่อนไปมาในป่าภูบรรทัด.. ทำให้บางครั้งก็เจอะเจอกับสหาย.. ทหารนักรบประชาชน..
.. เพื่อเป็นการปิดลับทางการทหาร.. สหายก็จะเจรจากับกลุ่มชาวป่านี้ แบบย้ำนักย้ำหนาว่า..
"พวกสู .. อย่าไปแหลงใครนะ .. ว่าเจอ สหาย"
.. ชาวป่า.. ก็จะตอบรับเป็นอย่างดี ตอบรับอย่างแข็งขันกันทุกคน . : "เออ.. เออ.. กูไม่แหลง .. กูไม่แหลง ใคร .. "
.. สงคราม.. คือความขัดแย้งทางการเมืองที่มิอาจประนีประนอมกันได้.. ภาวะสงคราม ก็ต้องมีการต่อสู้ ต่อสู้ที่หลั่งเลือดโลมดิน..
.. ทหารฝ่ายรัฐ.. ก็มีการลาดตระเวน เคลื่อนไหวเข้าไปในป่า เพื่อหวังติดตาม ทำลายกองทัพประชาชนบนภูบรรทัดเช่นกัน ..
.. เหตุบังเอิญของหน่วยทหารรัฐ.. ได้พบชาวป่ากลุ่มนี้เข้า.. จึงได้ส่งภาษา.. ซักถาม..ชาวป่า เงาะป่า.. : "สู.. สูอยู่ป่า สูเจอพวกคอม บ้าง ม่าย.. ?"


.. ชาวป่า.. : .. " ม่าย ม้าย.. กู. หม่ายเห็น กูหม้ายรู้ .. . มันบอก.. หม๊ายให้. .แหลง.."
!!?? !!?? !!?? !!??


.. ที่พักผู้ปฏิบัติงานมวลชน เขตงานคุณศรีนี้ตั้งอยู่บนภูห่างจากหมู่บ้านไม่ไกล การตั้งที่พักคงยึดหลักการทางทหาร คืออยู่บนที่ชันสูง มีร่องน้ำธรรมชาติอยู่ด้านล่างไม่ไกลนัก มีแคร่ไม้ไผ่ หลังคาผ้ายางสีกลมกลืนผืนป่าให้เราได้พักพิง หลับนอน
ภาพประทับใจแรก ๆ สำหรับผมคือคุณประเทือง หุ่นนักรบ ร่างหนาบึกบึน มาดเข้ม เคร่งขรึม จิตใจรับใช้ เสียสละสูง คุณประเทืองแบกไม้ไผ่ลำใหญ่ บรรจุน้ำเต็ม ๆ ทีเดียว 2 ลำ ขึ้นภูมาจากลำห้วยข้างล่าง เพื่อใช้ในที่พัก .. ผมมองแล้วทึ่ง.. มันใช่เลย.. คนอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ในจินตนาการ ..ผู้หล่อหลอมตนเป็นชนชั้นกรรมาชีพ นึกไปถึงจางซือเต๋อ ที่เคยอ่าน สหายนักรบจีนผู้ทำงานหนักรับใช้ประชาชนโดยไม่คำนึงถึงความทุกข์ยากลำบาก..
และคุณประเทือง ก็คงมีจิตใจจะหล่อหลอมตนเป็นชนชั้นกรรมาชีพให้ได้ อย่างจริงจัง สุดจิตสุดใจ
ช่วงที่คณะเรา นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ทั้ง 6 คน อยู่ที่ค่ายพักงานมวลชนเพื่อรอขึ้นไปกองทัพ ก็มีคุณมานพ สหายทำงานมวลชนที่นี่ เป็นอดีตนักศึกษาเข้าร่วมกองทัพก่อนเหตุการณ์ 6 ตุลา สอนเพลงปฏิวัติใหม่ ๆ ที่นิยมร้องกันในกองทัพให้แก่พวกเรา เช่น เพลงควนกาหลง .. บ้านเราหลังคามุงจาก ปูพื้นด้วยฟากไม้ไผ่ ฝากั้นด้วยเปลือกไม้ พออาศัยหลายคนหลับนอน.. และเพลงคนกับตะเกียง.. เป็นต้น
เราก็ฟังกันไปอย่างสนุก.. โดยเฉพาะเมื่อคุณจารึกสหายหญิงในเขตงาน มาร้องเพลงควนกาหลง. โอ้ว. ! .. เสียงไพเราะกังวานใส .ปานนกการะเวก. ระเรื่อยแจ้ว เสนาะโสต ทีเดียว .. ผมว่านักร้องอาชีพ หาคนเสียงดี ๆ เท่าคุณจารึกคงมีไม่กี่คน ..
คุณสมัย นักศึกษาคณะเกษตร ก็ร้องเพลงเพื่อชีวิตในเมืองให้สหายฟัง เพลงแดนตะราง.. เสียงอ้อยสร้อย ซึมเศร้า ซึ้งได้อารมณ์ ..เสียงเพลงเสียงปรบมือดังในที่พัก .. ส่วนคุณประเทืองนั่งถือปืนยาวได้แต่อมยิ้มหน่อย ๆ แต่ครั้นพอสหายร้องเพลง ..
เราเป็นทหารของประชา มีจิตใจห้าวหาญ
ไม่สะทกสะท้านเมื่อเผชิญผองภัย
หนึ่งไม่กลัวลำบาก สองไม่กลัวตาย
ต่อสู้เอาชัย เพื่อมวลประชา..
กดขวัญศัตรูลงไป ปลุกขวัญมวลชนขึ้นมา
สร้างความฮึกห้าวเหิมหาญ
แข็งแกร่งดั่งภูพานให้กองทหารของเรา..
คุณประเทือง.. ก็พรวดเข้ามาร่วมวงทันที .. พร้อมกล่าวว่า.. ผมชอบเพลงบู๊ บู๊..
วันต่อมา ผมเห็นคุณประเทืองเตรียมตัวไปทำงานมวลชน จากที่เคยสวมใส่ชุดทหารที่ดูเข้มขลัง ก็ดูเป็นเสี่ยหนุ่มหล่อ .. ผมยิ้มทัก.. คุณประเทือง วันนี้หล่อ.. แต่งแบบนี้ เหมือนเสี่ย เลย..
การทักทายของผมแบบนั้น ปรากฏว่า .. คุณประเทืองแสดงสีหน้าไม่สู้ดี.. กล่าวตอบแบบไม่พอใจ.. คุณดูถูกผม.. หาว่าผมเป็นนายทุน..
ผมคิดในใจ.. โอ๊ะ คอมมิวนิสต์ นี้ พูดด้วยยากแท้ .. ตีความเจตนาคนพูดไม่เหมือนชาวบ้านชาวเมืองเขา สมัยอยู่มหา’ลัยก็เหมือนกัน ไปชมน้อง ๆ นักกิจกรรมว่าสวย ว่างาม ก็โดนด่า เป็นพวกกดขี่ทางเพศ..
ก็ได้แต่ขอโทษกันไป ที่นี่ก็เช่นกัน ผมต้องขอโทษคุณประเทือง ผมมิบังอาจคิดไปแบบนั้น ไม่ได้คิดว่าสหายเป็นนายทุน.. เล้ย ..
ค่ำคืนก่อนนอน คุณประเทืองจะบอกหลักการทางทหารเมื่อมีเหตุการณ์ทางทหาร ใครจะมีหน้าที่อย่างไร จุดนัดพบที่ไหน คำสั่งเป็นรหัส.. การส่งสัญญาณต่าง ๆ
ส่วนใหญ่คำสั่งบัญชาการรบ ก็จะเป็นปีกซ้าย ปีกขวาตีโอบ .. คือให้ถอย เสือเผ่น .. จุดนัดพบจะอยู่ที่หนาน คือเดินไปด้านเหนือจะเจอหนานหรือน้ำตก ให้รอกันที่นั่น ถ้าสหายหลง ให้หักไม้ไว้แล้วไปอยู่ปลายไม้ .. สัญญาณเมื่อเข้าค่ายให้ส่งเสียงนกกลางคืน .ตู๊ก ตู๊ก ตู๊ก .. สามที เสียงตอบ กวัก กวัก สองที .. ทำนองนี้..
คุณศรี ก็มาเสริม ขำ ๆ นักศึกษา.. กทม. รุ่นก่อนพวกผม .. จะเข้าค่ายพักตอนกลางคืน ส่งสัญญาณเลียนเสียงสัตว์ อย่างดี .. แต่ด้วยความสุภาพ จึงลงท้าย "ค่ะ" ทุกครั้ง.. "ตู๊กค่ะ .. ตู๊กค่ะ ..ตู๊กค่ะ".!!??
รอยยิ้มและเสียงฮาในชายป่า เขตงานคุณศรี ก็ดังอีกครั้งครัน
ปล. ด้วยมารยาท และปิดลับคุณศรีไม่ยอมบอกว่าสหายนักศึกษาคนนั้นคือใคร จนทุกวันนี้.. สารภาพมาเถอะครับผมอยากรู้.. ตู๊กค่ะ.. คือไผ ?

 


2. ขึ้นสู่ภูบรรทัด


พวกเราเดินบนทางสายใหญ่ด้วยจิตใจสู้รบอันเหี้ยมหาญ... ประธานเหมาเจ๋อตงนำขบวนปฏิวัติก้าวสง่าฝ่าฟันดั้นด้นไป..
* ..ก้าวหน้าไป ก้าวหน้าไป ด้วยจิตใจปฏิวัติมิอาจต้าน ก้าวหน้าไป ก้าวไปบนหนทางแห่งชัย..
ธงแดงเด่นสามผืนงามตา ปวงประชามานะพยายาม เราสร้างสรรค์บ้านเมืองให้เรืองรุ่ง สุขแสนเหมือนแดนวิมาน..
* ..ก้าวหน้าไป... .... .... ...
ทางของเรากว้างใหญ่ไพศาล อนาคตรุ่งโรจน์ชัชวาล เราอุทิศภารกิจสุดเกียรติสุดเปรียบปาน
* ..ก้าวหน้าไป... .... .... ...
มิตรเรามีทั่วทั้งสากล ทุกแห่งหนเพลงชัยก้องกังวาล มรสุมปฏิวัติพัดธรณี พวกปีศาจพลันกลัวระรัวสั่น..
* ..ก้าวหน้าไป... .... .... ...
ในช่วง 2-3 วันที่เราอยู่เขตงานคุณศรี ชายป่าภูบรรทัด หลังหมู่บ้านทุ่งยาว ตำบลลิพัง อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง คุณมานพจะเล่าเรื่องชีวิตในป่า และนำเพลงใหม่ ๆ มาให้เราได้ร้อง เนื้อเพลงด้านบนนี้ เป็นเพลงการเดินทัพทางไกลของจีน .. ธงแดงเด่นสามผืนงามตา คือธงพรรค ธงกองทัพ และธงมวลชนแนวร่วม
.. เช่นเคย ให้ได้อรรถรสก็ต้องคุณจารึกมาร้องนำ มีคุณดาวคลอ ..คุณสายันห์เคาะแคร่ให้จังหวะ คุณประเทืองยิ้มปลื้ม.. ประเภทเพลงมาร์ช เพลงทำนองสนุก คึกคักเนื้อหาสู้รบ สหายทั้งคุณประเทือง คุณสมนึก คุณผจญจะชอบ แต่พอเพลงช้า ๆ เนิบ ๆ เย็น ๆ แบบ "แดนตะราง"ของคุรุชน ที่นักศึกษาชอบร้องด้วยเนื้อหากินใจ สหายไม่ค่อยชอบ..
วันสองวันนี้เรามีเยาวชนสองคนเข้ามาร่วมกับเรา เพื่อที่จะขึ้นไปบนกองทัพด้วย มีคุณธารเยาวชนหญิง คุณต้อยเยาวชนชาย ดูท่าทางน่าจะเป็นนักเรียน ม.ต้น-ม.ปลาย ..อัธยาศัยดี ..คงผ่านการเรียนรู้เกี่ยวกับโลกทัศน์ ชีวทัศน์เยาวชนปฏิวัติมาบ้างแล้ว
อากาศที่นี่จะต่างกันมากกับทางภาคเหนือ ภาคอีสาน เรามาปลายปีช่วงฤดูหนาว แต่ที่นี่ฝนพรำตลอด พื้นดินเปียกแฉะ เดินคลุมผ้ายางไปมากัน และเป็นครั้งแรกที่ผมได้กินลูกมะม่วงหิมพานต์สุก ฝาดนิด ๆ หวานชุ่มคอดี อาหารที่เขตงานเราได้กินข้าว กับข้าวส่วนใหญ่จะเป็นปลากระป๋องนำมาใส่แกง รสเผ็ด คุณโชคดีนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ที่มีผิวขาวแบบคนจีน ทานเข้าไปถึงกับปากแดง แก้มแดงขึ้นมาเลย
ประมาณ 4-5 วันที่เราพักอยู่ในเขตงาน ..หน่วยขนส่งจากกองทัพก็ลงมาที่เขตงาน..
นักรบ ทปท. ทหารของมวลชนชาย-หญิง ถือปืนประจำกาย ประมาณ 30 กว่าคน เดินคลุมผ้ายางสีเข้มฝ่าสายฝนหน้าเปื้อนยิ้ม เข้ามาจับมือด้วยมิตรไมตรี ทักทาย .. "บายดี" "บายดี" คนแล้วคนเล่า .. ความรู้สึกผม ..ตื่นเต้น ตื้นตันใจมาก ที่เห็นทหารประชาชนจำนวนมาก
รุ่งเช้า เราต้องเดินทางขึ้นภูบรรทัด สู่กองทัพพัทลุง ตรัง สตูล ..
การเดินทาง เราต้องรับทราบรหัสป่า คำสั่งต่าง ๆ เมื่อเกิดการสู้รบ การปะทะระหว่างทาง ..กำหนดแบ่งกำลังคน ยุทธวิธีต่อสู้ จุดนัดพบ
เรา สายันห์ ตะวัน ธันวา สมัย โชคดี อดุลย์ ธาร และต้อย ..เดินทางด้วยความกระฉับกระเฉง ด้วยไม่ได้ขนสัมภาระอะไรมาก แต่นักรบประชาชนที่ลงมาขนส่งต่างเป้ข้าว กะปิ เคย บรรจุเป้ถุงผ้าสูงท่วมหัว เดินถือปืนยาว ทุกคนเดินกันได้อย่างเข้มแข็งรวดเร็ว
เรานักศึกษาเชียงใหม่ ..คุยกันว่าพวกเราไม่ต่างกันกับลูกบ่าวชาวเขา ดอยอินทนนท์สูงเสียดฟ้าก็เคยพิชิตกันมาแล้ว คิดกันว่าภูบรรทัดก็คงไม่ยากลำบากนักหรอก..
แท้จริงแล้ว ที่เดินป่าเดินดอยของนักศึกษาน่ะ มันเดินแบบลากขา ท่องเที่ยว เอ้อระเหย ลอยชายไปเรื่อย ๆ เมื่อยก็พัก
เมื่อเจอการเดินแบบทหารป่า ที่ทรหดแข็งแกร่งเร่งรีบ ทำเวลา ฝ่าสายฝน บางครั้งต้องปีนป่ายขึ้นภู บางคราก็ลงห้วยท่องไปตามลำธาร เหยียบหินพลิกคว่ำพลิกหงาย ขึ้นมาบนฝั่งเป็นพื้นป่าดิบ ทากเกาะเท้า เกาะน่อง เดินดึงทากออกไปเกือบตลอดทาง พอได้พักนั่งบางที่ก็เป็นโคลนเปียก
พวกลูกบ่าวชาวเขา หมดฤทธิ์ เดินขาลาก ต้องพักยาวเป็นช่วง ๆ ..
การเดินทางของเรามีฝ่ายทหารคอยช่วยเหลือดูแล บ้างก็ช่วยถือ หิ้ว กระเป๋าให้พวกเราบางคน ที่หมดแรงจริง ๆ ไม่เคยเดินแบบเร็ว ๆ ติดต่อกันเป็นชั่วโมง ชั่วโมง ตั้งแต่เช้ายันเย็น แม้จะได้พักสั้น ๆ เป็นระยะก็ตาม
.. ทหารป่าที่มาขนส่งส่วนใหญ่เดินล่วงหน้าไปไกล..
ประมาณ 4-5 โมงเย็น เราก็มาถึงกองทัพ เสียงเพลงประกอบเสียงกลองดังต้อนรับ ทหารประชาชนในกองทัพต่างมายืนเป็นแถวรอต้อนรับ ส่งมือมาจับกระชับแน่น ยิ้ม ทักทาย "บายดี" "บายดี" "บายดี" คนแล้วคนเล่า ..
เรามาถึงแล้วกองทัพประชาชน หรือกองทัพปลดแอกประชาชนไทย เขตพัทลุง ตรัง สตูล
มองไปรอบ ๆ..มีเรือนไม้ใหญ่ยาวหลังคามุงใบไม้ หลายหลังซุกซ่อนใต้ร่มไม้ใหญ่ของป่าดงดิบ หน้าห้องประชุมใหญ่มีธงแดงของพรรคประดับติดไว้ สนามพื้นราบเตียนกว้างขนาดสนามบาสเกตบอล เป็นที่ออกกำลังกาย และฝึกภาคสนามใต้ร่มไม้. ..มีนักรบชาย-หญิง นับร้อย..
.. ความเมื่อยล้าของพวกเราหายไปด้วยความรู้สึกปลื้มปิติเข้ามาทดแทน
.. กองทัพปลดแอกประชาชนไทยเกรียงไกรเกริกฟ้า ..

 


3.. วันแรกที่กองทัพพัทลุง ตรัง สตูล


เราเป็นทหารของประชา
จับอาวุธขึ้นมาปลดปล่อยไทย
จะอยู่ป่าอยู่เขาลำเนาไพร
มือของเราจะไม่ทอดทิ้งปืน
ในป่าเขาเราถือว่าเป็นบ้าน
ทหารหาญของประชาถ้วนหน้าชื่น
ความเป็นธรรมอยู่กับเราทุกวันคืน
เราจะยืนหยัดสู้เพื่อประชา
ต่อพี่น้องประชาเรารักยิ่ง
อุทิศทุกสิ่ง.. รับใช้มวลประชา
ต่อศัตรูสู้ไม่ถอยทุกเวลา
ทหารประชาชนไทยใจอาจอง
... เมื่อเราเดินทางมาถึง กองทัพประชาชน ที่ตั้งอยู่บนภูบรรทัด พื้นที่รอยต่อสามจังหวัด พัทลุง ตรัง สตูล เราได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น จากมิตรสหาย นักรบผู้อยู่ก่อน.. คณะเราทั้ง 6 คนได้ไปพักที่แคร่นอนในโรงเหล็ก ซึ่งเป็นเสมือนโรงงานซ่อมแซมเครื่องใช้ เครื่องมือต่าง ๆ ร่วมทั้งปืน และผลิตทุ่นระเบิด ที่โรงเหล็กมีคุณอำนวย นอนอยู่ประจำ และคุณอำนวยก็เป็นเสมือนพี่เลี้ยง ดูแล แนะนำวิถีชีวิตการใช้ชีวิตที่ค่ายให้เรา .. เริ่มแรกก็พาไปอาบน้ำที่ลำคลองใกล้ ๆ โรงครัว ..คลองโต๊ะหัง .. คือชื่อคลอง สายน้ำหล่อเลี้ยงกองทัพ
คลองโต๊ะหัง.. ที่อาบน้ำส่วนของสหายชาย เป็นที่น้ำตื้น สายน้ำที่สงบ ไหลเอื่อย เย็นใสสะอาด ขนาดกว้างใหญ่พอประมาณ แต่มองไกลออกไป กลับเห็นสภาพน้ำไหลค่อนข้างเชี่ยวแรงผ่านโขดหินใหญ่ น้อย ที่มีทั่วบริเวณ สหายเราจึงเล่นน้ำอาบน้ำเฉพาะบริเวณที่น้ำตื้นไหลเฉื่อย ..
อาบน้ำเสร็จ แต่งตัวเรียบร้อยก็ได้เวลากินอาหาร นักรบใหม่อย่างเราก็ใส่กางเกงขายาว สวมเสื้อยืดที่ติดตัวมา ไปโรงอาหารกัน
ที่โรงอาหาร เป็นโรงเรือนขนาดใหญ่โล่งกว้าง โครงไม้ เสาเป็นต้นไม้ขนาดท่อนขา หลังคามุงด้วยใบไม้ พื้นดินแข็ง มีโต๊ะไม้ยาว เก้าอี้ไม้ยาวให้นั่ง
ผมรู้สึกตื่นตา ตื่นใจกับภาพเหล่านักรบปฏิวัติ ที่มันเคยอยู่แค่ในจินตนาการ ตื่นใจที่วันนี้ได้มาเห็น ได้มาเจอ นักรบชายหญิงจำนวนร่วมร้อย ในชุดทหารป่า สีเขียวแบบทหารทั่วไป หลายคนมีปืนประจำกาย มีเข็มขัดใส่กระสุน บ้างก็พกระเบิดมือ ทุกคนยิ้มแย้ม ร่าเริง คึกคัก ดูมีพลัง ทำให้ผมผู้มาใหม่มีจิตใจฮึกเหิม มั่นใจในกองทัพประชาชน
อาหารมื้อแรกในกองทัพ ข้าวปนหัวมัน กับแกงที่มีแต่น้ำต้มใส่พริกแกงและวิญญาณปลากระป๋อง ทุกคนจะมีโคมข้าว (ถ้วยขนาดใหญ่) และช้อนส่วนตัว กินข้าวด้วยใจเบิกบาน คณะผู้มาใหม่ต่างก็กินข้าวปนหัวมันและแกงนี้ด้วยความสุข รวมทั้งคุณโชคดี (จากคณะวิทยาศาสตร์ มช.) ที่กินเผ็ดไป เป่าปากไป ปากแดง แก้มแดงด้วยความเผ็ดร้อน ทว่าหน้ายิ้มกริ่มเปี่ยมสุขตลอดเวลา
ที่โรงอาหาร ผมได้เป็นตัวแทนกล่าวแทนคณะถึงเจตนารมณ์ในการขึ้นมากองทัพ เพื่อเข้าร่วมกองทัพประชาชน ต่อสู้กับอำนาจรัฐเผด็จการ ทำการปฏิวัติประชาชาติประชาธิปไตย
หลังกินข้าว ทุกคนก็จะล้างถ้วยช้อนของตนที่ท่าน้ำคลองโต๊ะหัง ใกล้โรงครัวนั่นแหละ ได้เห็นนากน้ำ สัตว์ป่าแสนเชื่องสองตัว ลอยคอมาในคลอง แล้วคลานต้วมเตี้ยมขึ้นฝั่งมาหากินเศษข้าว.. เศษอาหาร
ระหว่างเดินกลับไปโรงเหล็ก ได้ยินเสียงร้องเพลงและเสียงกลองดัง .. คุณอำนวย บอกเป็นรายการบันเทิง และฟังข่าว สถานการณ์จาก สปท.
การบันเทิงจะมีสหายมือกลองตีกลองทอม และนักร้องจำนวนหลายคนยืนเป็นกลุ่มร้องหมู่ด้วยเสียงเพลงปฎิวัติ เพลงปฏิวัติและการเต้นบันเทิงของกองทัพที่นี่ มีความเป็นอัตลักษณ์นักรบแดนใต้ มีเพลงทำนองรองแง็ง .. ที่ผู้เต้นจะยืนเป็นแถวหน้ากระดาน หากจำนวนคนเยอะแถวก็จะโค้ง เต้น จังหวะรองแง็ง .. ไปด้วย .. อีกเพลงที่นิยมกัน ทั้งร้องและเต้น คือ "ดวงตะวันแดง" เป็นการเต้นที่ยืนกันเป็นแถวหน้ากระดาน หรือรูปโค้งครึ่งวงกลมกัน.. ดูแปลกตา สวยงาม .. สลับด้วยเพลงรำวงปฏิวัติ อย่างเช่นเพลงภูสระดอกบัว..
การบันเทิงเป็นการสันทนาการหลังกินข้าวมื้อเย็นก่อนฟังข่าว สถานการณ์.. จาก สปท.
โดยเปิดวิทยุให้ฟัง ผมจำได้ว่าเป็นวิทยุของคุณสมพงษ์ ที่อยู่โรงเหล็กนำมาเปิด ช่วงเวลา 18.15-19.00 น. ด้วยเป็นคลื่นสั้น ฟังไปบางทีก็เสียงขาด ๆ หาย ๆ ไม่ชัดเจน ด้วยทักษะของคุณสมพงษ์ ก็จะหมุนปรับคลื่น พร้อมเดินไปซ้ายที ขวาที แบบเดินหาคลื่นไปตลอด.. บางครั้งกว่าจะหาคลื่นเจอเสียงดังฟังชัด ข่าวก็จบไปแล้ว
จบข่าว ก็มีรายการบันเทิงต่อเล็กน้อย แล้วต่างก็แยกย้ายกันไปที่พัก
คืนวันแรก ชีวิตใหม่ในกองทัพประชาชนไทย เขตพัทลุง ตรัง สตูล.. แม้อากาศในป่าใหญ่บนภูสูงที่ฝนพรำเกือบตลอดทั้งวันทั้งคืนจะหนาวเย็น แต่ผมรู้สึกอบอุ่นยิ่งนัก


4. ปัญญาชนปฏิวัติที่กองทัพพัทลุง ตรัง สตูล


"นักศึกษาปัญญาชน พลีตนเพื่อชาติประชา
เคียงข้างกรรมกรชาวนาเพื่อคว้าเอาชัย ปีใหม่ ไชโย"
เสียงนกหวีดยาว ในเวลาตีห้า.. ในป่าใหญ่ ขณะที่มันยังเป็นเช้ามืด อากาศเย็น คือสัญญาณให้ตื่นนอน ความเพลียที่ต้องเดินป่าขึ้นภูทั้งวัน ในการเดินทางมากองทัพพัทลุง ตรัง สตูล ยังมีอยู่ แต่ด้วยจิตใจที่อยากดัดแปลงตนให้เป็นนักปฏิวัติ พวกเราทุกคนต่างสลัดความง่วง ความเพลีย ลุกขึ้นคว้าขัน สบู่ แปรงสีฟัน ทำการล้างหน้าแปรงฟัน
ตีห้าครึ่ง.. พวกเราไปรวมพลเพื่อออกกำลังกายกันที่สนามของค่าย ที่มีพื้นที่ราบโล่ง ขนาดสนามบาสเกตบอล มีฝ่ายทหารเป็นผู้นำออกกำลังกาย จำได้ว่าคุณกานต์ นำออกกำลังกายท่าต่าง ๆ ที่ทำให้อวัยวะ มือ แขน ขา ไหล่ เอว คอ แข็งแรง ยืดหยุ่น ร่างกายตื่นตัว หัวใจสูบฉีด
เสร็จจากการออกกำลังกายก็จะไปอาบน้ำ บ้างก็เดินขึ้นเนินไปปลดทุกข์ ด้วยสถานที่ปลดทุกข์จะต้องเดินขึ้นไปบนเนินสูง .. คุณประยูร (ผู้นำนักศึกษาจากจุฬาฯ) จะเรียกว่าไปดอยสุเทพ .. สหายบางคนเมื่อปลดทุกข์เสร็จก็จะเดินเลาะเลือกหายอดไม้ที่กินได้ใกล้ ๆ ถือติดมือมาเป็นผักเหนาะกินกับข้าว
วันนี้คณะเราได้รู้จักเพื่อนนักศึกษา ปัญญาชนที่ขึ้นมากองทัพก่อนเราไม่นาน บางคนก็ขึ้นมาจากเขตงานคุณศรี ที่เคยส่งเสียงสัญญาณ.. "ตู๊กค่ะ.. ตู๊กค่ะ" แต่ผมไม่ทราบว่าเป็นใคร
ด้วยการมีมนุษยสัมพันธ์อันดี ทักทาย สร้างมิตรไมตรีกับสหายใหม่ ของคุณตุลา และคุณวันดี ปัญญาชนปฎิวัติ ทำให้เราได้รู้จักคุณยุทธ์ คุณสิงหา คุณประยูร คุณเมษา คุณมีนา คุณพะยอม และคุณปรีดา พร้อมทั้งคุณวินปัญญาชนปฏิวัติที่เข้าป่าร่วมการปฏิวัติก่อนเหตุการณ์ 6 ตุลา.. และต่อมาอีกไม่นานมีคุณอวบ (ผู้นำนักศึกษาจากรามคำแหง) คุณดิษฐ์ พระมหาเปรียญคนดัง
ปัญญาชนปฏิวัติกลุ่มนี้ ดูลักษณะเป็นนักศึกษาเมืองกรุง คงเรียนแพทย์ พยาบาลกันเป็นส่วนใหญ่ เพราะคุณปรีดาจะทำหน้าที่หมอในกองทัพ และคนอื่น ๆ ก็จะทำหน้าที่ในโรงหมอเป็นส่วนใหญ่ ส่วนคุณวินนั้นอยู่โรงพิมพ์ ทำหน้าที่พิมพ์และโรเนียวเอกสาร
คงด้วยพื้นฐานการเป็นนักศึกษาที่มาคล้าย ๆ กัน เราจึงคุ้นเคยกันได้ง่าย ผมประทับใจในจิตใจที่ดีงามของปัญญาชนปฏิวัติทุก ๆ คน
คุณปรีดา ทำหน้าที่หมอ อาจารย์หมอในกองทัพ ดัดแปลงตนอย่างเข้มงวด ทุกข์อยู่หน้า สุขอยู่หลัง รับใช้มิตรสหายอย่างสุดจิตสุดใจ โอบอ้อมอารี มีมิตรไมตรี อารมณ์ดี.. สุนทรียะทั้งเพลง และดนตรี มีฝีมือในการเล่นดนตรีหลายชนิด
คุณตุลา รอบรู้เรื่องการเมือง ร่วมทุกข์สุขกันไม่นานก็ย้าย
คุณเมษา พูดช้า ๆ สุภาพเรียบร้อย ท่าทางผู้ดี เธอย้ายไปพร้อม ๆ คุณตุลา
คุณวันดี มนุษยสัมพันธ์ดีมาก การเมืองดี ในวันงานของกองทัพจะเป็นพิธีกรหญิงภาษาใต้ที่เสียงหวาน เมื่ออยู่บนเวทีของงานเสียงหวาน ๆ ทว่ามีพลัง ชวนฟัง เป็นพิธีกรหญิง โฆษกหญิงที่เก่งหาตัวจับยาก
คุณมีนา คุณพะยอม แฝดคนละฝา สวยคนละแบบ คุณมีนาผิวขาว คุณพะยอมผิวคล้ำ ทำหน้าที่พยาบาล ยิ้มแย้มแจ่มใสน้ำเสียงไพเราะ สุภาพ อ่อนโยน เรียบร้อย ใจดี โอบอ้อมอารี ดัดแปลงตนอย่างอดทน เข้มแข็ง
คุณสิงหา.. แบบอย่างของปัญญาชนปฏิวัติ อดทน เสียสละ ทำงานอย่างรับผิดชอบ จริงจังในทุก ๆ สิ่ง ไปขนส่งเป้ของทีเลือกของหนักยัดลงเป้ถุงผ้า สูงท่วมหัว เดินเหงื่อหยดไหลอาบหน้า อาบตัวไม่เคยบ่น เสมือนคู่หูคุณปรีดา ทำหน้าที่หมอเหมือนกัน เล่นดนตรี ร้องเพลงได้ดีเช่นกัน มนุษย์สัมพันธ์ดี ถ่อมตน ไม่เย่อหยิ่ง
คุณยุทธ์ ทำหน้าที่หมอในกองทัพ มีความพยายามดัดแปลงเป็นนักปฏิวัติที่ดี บุคลิกภาพคล่องแคล่ว รับใช้มิตรสหายในการดูแลรักษา ด้วยท่วงทำนองถนอมรัก ดีงาม ..แต่การทำหน้าที่หมอก็เคยป่วยไข้นะ ผมเคยแวะหาคุณยุทธ์ตอนป่วยบนค่าย คุณยุทธ์.. บอกว่า "จะว่าอะไรผม มั๊ย.? ..ผมอยากกินแอปเปิ้ล.." !!??
.. ตอนนั้นผม (ตะวัน) เอง.. ก็อยากบอกว่าเห็นสหายเอาน้ำตาลทรายมาใส่น้ำข้าวกิน บ้างฝากขนส่งซื้อนมข้นหวานกระป๋องมากิน.. ผมก็อยากกินเหมือนกัน.. ?? ??
คุณประยูร ..ผู้นำนักศึกษาจากจุฬาฯ ร่างสูงใหญ่ นอกจากช่วยทำหน้าที่หมอ ด้วยความรอบรู้ทางการเมืองจึงได้ทำหน้าที่วิเคราะห์ข่าว เล่าข่าว สรุปสถานการณ์ และพิธีกรปลุกเร้าทางการเมืองในวันงานต่าง ๆ คงด้วยการเป็นคนเหนือ จึงได้คุยเสวนากันอย่างถูกคอกับเหล่านักศึกษาจากเชียงใหม่ เช้า ๆ เจอกัน คุณประยูรมักจะทักทายแกมเชิญชวน .."คุณตะวัน ..ไป .. ขึ้นดอยสุเทพ" ชวนไปปลดทุกข์ด้วยกันนั่นเอง ขณะนั่งปล่อยและเล็งสามจุดเป็นแนว ก็คุยเสวนาเฮฮากันไปด้วย ..เราเคยคุยกันว่า.. คนข้างนอกที่ไม่ได้เข้าป่า คงคิดว่าพวกเรานี้เคร่งเครียดกันตลอดนะ .. เขาคงไม่รู้ว่าพวกเราก็มีเรื่องสนุก ๆ ฮา ๆ ขำ ๆ..เหมือนกัน
ลามะลิลา ขึ้นต้นเป็นมะลิซ้อน พอแตกใบอ่อน.. เป็นอวบ พลา .. 55555 คุณอวบ ผู้นำนักศึกษารามคำแหง ทำหน้าที่เล่าสถานการณ์ และพิธีกรปลุกเร้าทางการเมืองด้วยภาษาใต้ กระแทกอารมณ์ ปกติแล้วคุณอวบเป็นนักคิด คิดแบบสร้างสรรค์ไม่หยุดนิ่ง และกล้าแสดงออกในความคิดเห็น ฉายาอวบ พลา.. หรือจริง ๆ ก็คือการที่สหายร่วมกองทัพยกให้คุณอวบเป็นพลาธิการ..
เหตุพัฒนาจาก.. สหายยิงหมูเถื่อน และหามหมูเถื่อนเข้ามาในโรงครัว สหายโรงครัวทำการชำแหละหมู ..คุณอวบเห็นก็ดีใจ.. คิดในใจอาหารมื้อเย็นคงได้กินเนื้อหมูป่ากัน .. เย็นนั้นคุณอวบต้องผิดหวัง อาหารเย็นยังเป็นแกงน้ำเคยเช่นเดิม..
หมูเถื่อนตัวนั้น สหายโรงครัวชำแหละเนื้อเป็นชิ้น ๆ ด้วยความชำนาญ แล้วนำไปคลุกเกลือ เอือบเกลือ ฝ่ายพลาธิการนำไปเก็บใส่ไห เป็นการถนอมอาหารเก็บไว้กินในกองทัพเมื่อยามขาดแคลน
ที่โรงครัว จะได้กินเฉพาะส่วนหัวหมู และกระดูกที่มีเนื้อติด ที่มีไม่มากนัก..
เกือบทุกวัน จะมีหมูเถื่อนเอามาชำแหละเนื้อ หมักเกลือเก็บใส่ไห โดยที่สหายในกองทัพ แทบจะไม่ได้กินเนื้อหมูเถื่อนนั้นเลย
ด้วยในป่าภูบรรทัดมีสัตว์ป่าชุกชุม สหายที่ออกเดินทางไปมา มักพบสัตว์ป่า โดยเฉพาะค่าง หมูเถื่อน ก็จะยิงนำมาทำอาหารได้บ่อย ทั้งยังมีวิธีการจทำจั่นห้าวดักสัตว์ จั่นห้าวเป็นกับดักชนิดหนึ่ง ประกอบด้วยปืนและลวดขึงจากไกปืนขวางทางเดินของสัตว์ เมื่อสัตว์สะดุด ลวดจะไปกระตุกไก ทำให้ปืนลั่นใส่.. เสียงปืนจากจั่นห้าวดัง.. เช้า ๆ ก็จะมีการหามสัตว์ป่าที่เป็นเหยื่อ เช่น เก้ง หมูเถื่อน บางครั้งก็เป็นกวาง เป็นหมีก็เคยมี
แต่เนื้อหมูเถื่อนที่ได้มา มักนำไปถนอมอาหาร ไม่ค่อยได้กินเนื้อสด ๆ กัน
คุณอวบ อดีตผู้นำนักศึกษารามคำแหง ยุค 14 ตุลา 2516 เป็นนักการเมืองพรรคสังคมนิยม คงจะรู้สึกขัด ๆ กับหลักคิด วิธีการของพลาธิการในกองทัพ ที่ได้หมูเถื่อนแต่ละครั้งก็นำไปถนอมอาหาร และเก็บใส่ไห แทนที่จะได้เนื้อสดมาทำอาหาร แต่จะได้กินหมูเถื่อนแต่ละทีก็เป็นเนื้อหมูเอือบเกลือบ้าง หนางหมูบ้าง เป็นหมูที่มีกลิ่น รสเพี้ยน..
ความเป็นนักเสรีประชาธิปไตย กล้าพูด กล้าเสนอแนะ กล้าแสดงความคิดเห็น และมีความคิดสร้างสรรค์ของคุณอวบ ทำให้คุณอวบนำเรื่องหมูเถื่อนนี้มาอภิปรายแสดงความคิดเห็น เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนจากวิธีเดิม ๆ สหายในกองทัพควรได้กินอาหารที่ปรุงจากเนื้อหมูใหม่ ๆ บ้าง ที่เหลือจึงจะนำไปถนอมอาหาร
การแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนเพื่อให้เกิดการพัฒนาการกินอยู่ที่ดีขึ้น ทำนองนี้ ของคุณอวบมักทำเป็นประจำ จนคุณอวบได้รับฉายาจากสหายว่า.. "อวบ พลา" หรืออวบพลาธิการนั้นเอง
กองทัพพัทลุง ตรัง สตูล เรามีความเป็นประชาธิปไตย ในที่ประชุมจะมีการวิพากษ์วิจารณ์ แสดงความคิดเห็น ด้วยท่าทีที่เรียกว่าสามัคคี-วิจารณ์-สามัคคี การวิจารณ์แสดงความคิดเห็นที่ถือประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ท่วงทำนองถนอมรัก มิใช่การต่อว่า เป็นการแนะนำ แสดงความเห็นที่สร้างสรรค์ เกิดการยอมรับพัฒนาสู่สิ่งดี
ผลพลอยได้ เราก็ได้กินอาหารที่ปรุงจากเนื้อสัตว์สด ๆ บ่อยขึ้น
เรื่องราวส่วนของปัญญาชนปฏิวัติ.. บางครั้งก็เป็นเรื่องของความรู้ที่ไม่สอดคล้องกับบริบท การที่มีความรู้แต่ขาดประสบการณ์ผ่านการกระทำที่เป็นจริงก็มีบ้าง
ครั้งที่แยกออกมาทำที่พักนอน สหายที่มาจากมวลชนคนพื้นถิ่นจะมีความสามารถและทักษะการใช้มีด ขวาน ตัดไม้ไผ่ทำแคร่โรงนอน ตัดใบไม้มาพับเอาหวายร้อยต่อ ๆ เป็นหลังคา สหายทั่วไปก็ทำที่พักโรงนอนเป็นหลังคาทรงหน้าจั่ว ผมเองไปคิดได้ไงไม่ทราบไปออกแบบหลังคาที่พัก เป็นทรงหมาแหงนแบน ๆ
ครั้นนอนกลางคืน ฝนตกลงมา น้ำหยดรั่วทั่วไปหมด ด้วยหลังคาใบไม้ที่รูปทรงแบบนั้น น้ำไหลผ่านได้ไม่เร็ว จึงซึมผ่านใบไม้หยดตลอด ไม่ได้หลับได้นอน ของเปียกต่างหาก ถือเป็นประสบการณ์อันหนึ่ง
รวมทั้งการเลี้ยงหมูในกองทัพ
เรามีนักศึกษาเกษตรหลายคน และนักศึกษาที่สนใจอยากจะเลี้ยงหมูในกองทัพ ทางสหายนำก็สนองเจตนารมณ์ หาหมูพันธ์ุ เอามาจากหมู่บ้านพื้นราบขึ้นมาให้สหายนักศึกษาเลี้ยง
ที่เลี้ยงหมู.. จำได้หลัก ๆ มีคุณธันวา รัฐศาสตร์ มช. คุณรมย์ นักศึกษาเกษตรจากอีสาน โดยคุณสมัย คุณอดุลย์ คุณสายันห์ นักศึกษาเกษตร มช. คอยสนับสนุน..
ผลก็เป็นที่ขำ ๆ กันครับ .. เลี้ยงหมูพันธ์ุเนื้อบนป่าภูบรรทัดไปหลายเดือน หมูโตวันโตคืนแบบตัวผอม ๆ ยาว ๆ .. แต่สหายนักศึกษาที่เลี้ยงหมู กลับตัวอ้วน แก้มป่อง พุงกลม ..
..เฮ้อ.. ไส สิ เป็น พัน นี้ .. !!


5. นักเรียนน้อยบนภูบรรทัด (1)


"พวกเราเป็นนักเรียนของประชา
เกิดขึ้นมาท่ามกลางการต่อสู้
หาวิชาความรู้สู้ศัตรู
เพื่อกอบกู้เอกราชของชาติไทย
พรรคสอนเรารับรู้ทางปลดแอก
รู้จำแนกศัตรู มิตร คือใคร
รู้ทิศทางสร้างสรรค์ชีวิตใหม่
ให้อำไพไปทั่วพสุธา
ตราบใดที่ดวงตะวันยังแดงฉาน
ทั้งภูพานยังอยู่คู่นภา
ตรายนั้นเราเยาวชนมั่นศรัทธา
ก้าวรุดหน้าฝ่าฟันตามพรรคไป”
หลัง 6 ตุลา 2519 เฉพาะที่กองทัพพัทลุง ตรัง สตูล เขต 2 นี้ มีนักศึกษา ประชาชน ได้เข้ามาร่วมใหม่ร่วม 80-90 คน ทางกองทัพจึงได้จัดตั้งโรงเรียนการเมืองการทหาร เพื่อให้สหายใหม่ได้เรียนรู้แนวทาง ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีของพรรค
ทางกองทัพได้จัดแบ่งให้เป็นหมู่ หมู่ละ 8-9 คน แต่ละหมู่จะมีนายหมู่ รองนายหมู่ ผมได้ตำแหน่งรองนายหมู่ มีคุณเทียน น่าจะเป็นครูสอนหนังสือมาก่อน เป็นหัวหน้าหมู่ สมาชิกในหมู่ส่วนใหญ่เป็นเยาวชนในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ จำได้บางคนคือคุณเหม คุณฤทธิ์ คุณเร
คุณเทียนเป็นคนสุขุม ใจเย็น นิ่ง ๆ พูดน้อย แต่ทำงานหนัก เป็นแบบอย่างที่ดีของการเสียสละ ที่อุทิศตนแบกรับงานไม่เอาเปรียบใคร คุณเหมเยาวชนชายหล่อสำอาง หวีผมเรียบตลอดเวลา แต่ก็รับผิดชอบสูง มีทักษะในการทำงาน ปฏิภาณไหวพริบดี ฉลาด คุณเร เยาวชนหญิงงามเรียบ เรียบร้อย พูดน้อย ทำงานเข้มแข็ง อดทน งานหนักไม่เคยบ่น
การทหารส่วนใหญ่จะเรียนและฝึก ที่สนามบาสเกตบอล ในตอนเช้า ..พวกเราที่เป็นนักเรียนจะมีท่อนไม้คนล่ะท่อนแทนปืน.. ฝึกเล็งปืน ยิงปืนท่าต่าง ๆ ยืนยิง นั่งยิง นอนยิง .. จะจำได้แม่น.. "สามจุดเป็นแนว" หลักการเล็งปืนสู่เป้าหมาย
.. ครูฝึก บางวันก็คุณกานต์ บางวันก็คุณณรงค์.. รูปร่างสูงใหญ่ หล่อเข้ม สมชายชาตินักรบทั้งคู่..ให้หลักการเบื้องต้น..การยิงปืน.. คือ "สามจุดเป็นแนว.." .. ศูนย์หลัง ศูนย์หน้า เป้า..
ครูฝึก ถือปืนนาโต้ แม็กฯกระสุนรอบเอว ก็ทำท่าประกอบอย่างทะมัดทะแมง ยกปืนนาโต้ขึ้นประทับ เล็งไปข้างหน้า .. ให้สหายได้ดูเป็นตัวอย่าง
สหายใหม่ นักเรียนการเมืองการทหารรุ่นหลัง 6 ตุลา.. ก็ฝึกภาคปฏิบัติในแต่ละหมู่ .. ยกท่อนไม้ยาวนั้นแหละขึ้นมาเล็งกัน. .. เล็งโดยที่ท่อนไม้ไม่มีทั้งศูนย์หลัง ศูนย์หน้า .. แถมบางหมู่มีการถกเถียงภายในว่า เวลาเล็งต้องหลับตาแบบไหนจึงจะถูกต้อง..
หลับตาซ้าย เล็งตาขวา หรือหลับตาขวา เล็งตาซ้าย .. บ้างก็ว่าแล้วแต่ถนัด จะลืมตาทั้งสองข้างก็ได้ .. ข้อสำคัญอย่าหลับตาพร้อมกันทั้งคู่.. เป็นพอ !?
หลังจากได้เรียนรู้หลักการ.. ..สหายก็ฝึกกับท่อนไม้ยาวของตนอย่างช่ำชอง
แถม นำหลักการ "สามจุดเป็นแนว" ไปประยุกต์ใช้ในการขับถ่าย ปลดทุกข์ ..
หากใครปลดทุกข์แล้วทำสกปรก ไม่ลงหลุมอย่างหมดจด ก็จะถูกวิจารณ์ถึงการไม่ยึดกุมหลักการ.. "สามจุดเป็นแนว"
.. นักเรียนการเมืองการทหารรุ่นนี้ เมื่อมีการเอ่ยถึง "สามจุดเป็นแนว" ไม่มีใครคิดถึงหลักการยิงปืนเลย .. กลับไปคิดถึง หลักการขับถ่าย ไปโน้น..
.. จากการฝึกยิง ก็สู่ท่าวิ่ง ท่ากระโดด ท่าคลาน นอนคลาน .. ท่าแทงดาบ .. เรียนรู้เรื่องระเบิด การขว้างระเบิด การดูแลรักษาปืน การถอดและประกอบปืน
.. การซุ่มโจมตี การเดินทัพกลางคืน
.. ช่วงกลางวัน เป็นการเรียนการเมือง การประยุกต์ลัทธิมาร์กซเป็นรูปธรรมในเรื่องใครสร้างใครทำ นโยบายของพรรค วินัยพรรค ..
.. ทหารคือเครื่องมือในการทำสงคราม ..
.. สงครามคือความขัดแย้งทางการเมืองสูงสุดที่มิอาจประนีประนอมกันได้..
.. ทางการทหารจึงมีความสัมพันธ์กับการเมือง ฉนั้นทหารจึงมิอาจแยกจากการเมืองได้ ต้องมีวินัยอยู่ภายใต้การนำพาทางการเมือง ภายใต้การนำพาของพรรค.
ธงดาวแดงขอบทอง.. หรือเหลืองนั้น สื่อถึง ดาวแดงอยู่ภายในดาวทอง
.. ดาวทองคือพรรค ดาวแดงคือกองทัพ.. จึงมีความหมายว่ากองทัพภายใต้การนำพาของพรรค
นโยบายพรรค.. เราศึกษาโดยการเสวนาในหมู่ อภิปราย ถกแถลงแสดงความคิดเห็น เริ่มจากการวิเคราะห์สังคมไทย ทางการเมือง ยุทธศาสตร์ คือสังคมประชาชาติประชาธิปไตย
.. การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ให้สู่ความสำเร็จ เราจึงต้องทำการปฏิวัติประชาชาติประชาธิปไตย
ยุทธวิธีของการปฏิวัติประชาชาติประชาธิปไตย คือการจำแนกมิตร จำแนกศัตรู สามัคคีมิตรต่อสู้กับศัตรู โดยใช้หลักการวิเคราะห์ความขัดแย้ง ความขัดแย้งหลัก ความขัดแย้งรอง ความขัดแย้งที่มีจุดร่วมประนีประนอมกันได้
มิตรเราคือกรรมกร ชาวนา นายทุนน้อย นายทุนชาติผู้รักความเป็นธรรม ชาติพันธ์ุทุกชาติพันธ์ุ เหล่านี้ล้วนเป็นประชาชาติของประเทศ ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมทางความสัมพันธ์การผลิต ถูกเอารัดเอาเปรียบทางเศรษฐกิจ ขาดความเท่าเทียมทางสังคม ไม่เป็นประชาธิปไตยทางการเมือง
พวกเขาเหล่านี้คือมิตรในการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมใหม่ ที่ประชาชาติมีความเท่าเทียมเสมอภาคทางสังคม มีความเป็นประชาธิปไตยทางการเมือง
ท่าที ท่วงทำนองต่อมิตร เพื่อการสามัคคีมิตร คือ "แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง" จึงจะเกิดมวลชนอันไพศาล .. นโยบายข้อที่ 1 ของพรรคจึงกำหนดให้.. สามัคคีประชาชาติ ชาติพันธุ์ และชนชั้นต่าง ๆ
.. ในระหว่างเรียน เราก็ทำงาน ทำมาหากิน ไปด้วย
เช่นการไปขนส่ง คือการเดินทางลงจากกองทัพไปเขตงานมวลชนเพื่อขนเสบียงอาหาร วัสดุอุปกรณ์ เวชภัณฑ์.. ขึ้นมาใช้ในกองทัพ


6. นักเรียนน้อยบนภูบรรทัด (2)


ช่วงเรียนนี้เราได้ลงไปลำเลียงขนส่งหลายครั้ง ส่วนใหญ่จะไปที่เขตงานคุณศรี จะมีข้าวสาร กะปิ เคย งานขนส่งนี้เอง ที่ผมได้เห็นถึงจิตใจของเพื่อนนักรบ ที่มุ่งมั่นดัดแปลงตนเองให้เป็นนักปฏิวัติที่ดี คือแสดงน้ำใจการเสียสละ การช่วยเหลือ แบ่งปัน ความอดทน แทบจะทุกคนถือคติ "ทุกข์อยู่หน้า สุขอยู่หลัง" ยอมรับภาระที่ยากลำบากเอง ขนของหนัก เดินขึ้นภู ลุยน้ำคลอง ผ่านป่าทึบดงทาก ตากฝน เดินเป็นวัน ๆ ไม่ปริปากบ่น ได้มองเห็นนายแพทย์ปฏิวัติอย่างคุณหมอปรีดา คุณสิงหา คุณยุทธ์ ที่เป้ยัดของหนักจนเป้โป่งพองสูงท่วมหัว รวมทั้งภาพนักรบหญิงน้องใหม่ที่มาจากในเมือง อดีตนักศึกษาหญิง อดีตนักเรียนหญิง อย่างคุณพะยอม คุณมีนา คุณเมษา คุณวันดี คุณเอื้อ คุณเร ที่แค่เดินธรรมดาในป่าขึ้นเขา ลงคลอง ไต่ขอนก็ไม่ถนัด แต่เธอก็พยายามที่จะบรรจุของลงไปให้มาก มากแบบเกินกำลัง ผมมองมิตรสหายร่วมทางทุก ๆ คนด้วยความประทับใจ ศรัทธายิ่ง
เราเดินจากเขตงานคุณศรีมาไม่นาน จะมีป้ายเตือน ป้ายห้ามชาวบ้าน .. เป็นรูปหัวกะโหลก.. พร้อมตัวหนังสือเขียนว่า.. "เขต ทปท. ห้ามเข้า" ทำให้พื้นที่ป่าเขาต่อแต่นี้ ไม่มีชาวบ้านล่วงล้ำเข้ามาล่าสัตว์ หาของป่า สัตว์ป่านานาชนิด รวมทั้งปลาในคลอง ลำธาร อุดมสมบูรณ์ ในเส้นทางจะเห็นรอยเท้าสัตว์ มูลสัตว์ และเสียงสัตว์ป่า ชะนี ค่าง ดังตลอดเวลา แม้กระทั่งบนท้องฟ้า กาฮัง หรือนกเงือกฝูงใหญ่ กระพือปีกบินผ่าน เสียงดังพับ ๆ ๆ ชัดเจน สหายบางคนถึงกับล้อว่า.. ไอ้อู๊กมา ไอ้อู๊กมา
ไอ้อู๊ก.. คือคำเรียกเครื่องบินรบ OV.10 ของฝ่ายรัฐบาล ที่เวียนหาเป้าหมาย บอมบ์ค่าย ที่พัก สาดกระสุนยิงนักรบปฏิวัติ ..
เส้นทางนี้เป็นครั้งแรกที่ผมเดินผ่าน ฝนที่ตกหนักแทบจะลืมตาไม่ขึ้น บางขณะมีฝูงหมูป่า 8-9 ตัววิ่งสวนทางในช่องเขา ห่างกันไม่กี่เมตร
ช่วงครึ่งทาง เราจะพักกันที่ลานนกหว้า ที่มีพื้นดินเรียบใต้ร่มไม้ใหญ่เป็นลานกว้าง ด้วยเป็นที่นกหว้าตัวผู้มารำแพนหางเดินโชว์อวดนกหว้าสาวไปมา จนบริเวณนี้เป็นที่ราบเรียบเตียน เหมือนมีคนมากวาดพื้นไว้ ใต้ต้นไม้ใหญ่นี้จะมีปีกรากไม้กว้างสูง เราจะเข้าไปนั่งพิงพักเหนื่อย ขณะนั่งพักเจ้าทากน้อยก็ดึ๊บดั๊บ กระดึ๊บ เข้าหาพวกเรา บางคนก็โดนทากเกาะไปแล้วแกะออกโยนทิ้ง แต่เลือดไหลไม่หยุด ทุกคนเริ่มตั้งแต่ขยะขะแหยง กลัว บ่อย ๆ เราก็ชาชินกับมัน ..
สำหรับนักศึกษาที่เพิ่งเดินป่าขนส่ง แล้วเจอทาก.. ทากน้อยจะตัวเล็ก ๆ จิ๋ว ๆ เคลื่อนมาแบบ ยืดตัวออก แล้วโค้งตัว ยืดตัวออก มุ่งมาหาคนเพื่อเกาะดูดเลือด
นักศึกษาหญิงมองดูทากด้วยความน่ารัก เอ็นดู ชี้ชวนเพื่อนนักศึกษาหญิงด้วยกันดู สัตว์ตัวเล็ก ๆ ดูประหลาดผอม ๆ เป็นเส้นขนาดนิ้วก้อย จะว่าหนอนก็ไม่ใช่ ที่คืบตัวด้วยการยืดตัวขึ้นส่ายไปมา แล้วก็โก่งตัวลงพื้นดินกระดึ้บ ยืดตัว เข้ามา ..นักศึกษาหญิงมองแบบมีความสุข .. ถามนักรบเก่า.. : ตัวอะไร นิ น่ารัก จัง.. ?
ครั้นได้ยินคำตอบว่า.. : ทาก .. นักศึกษาหญิงเต้นโหยง หวีดลั่น ไม่รู้ตัว ..
ลานนกหว้านี้จะอยู่ริมคลอง พักเหนื่อยได้ที่ก็ลงเดินล่องน้ำไปตามลำคลองไกล จึงจะขึ้นฝั่ง ขึ้นได้ไม่นาน บางครั้งก็จะต้องข้ามคลองที่ลึกเชี่ยวด้วยการเดินไต่บนขอนไม้ใหญ่ที่ล้มพาดข้ามคลอง.. ขณะที่เดินไต่ขอนก็รู้สึกเสียว ๆ ทั้งที่เดินบนขอนไม้ใหญ่ เดินต่อลงน้ำบ้าง ขึ้นภูบ้าง ข้ามขอนบ้าง ในป่าทึบ
ช่วงบ่าย ๆ เราจะเดินใกล้แนวป่าที่เป็นช่องเขา ทุกคนต้องหยุดรอ ให้ฝ่ายทหารไปค้นหาจุดไว้จดหมาย เพื่อทราบแผนที่แผนผังการฝังทุ่นระเบิด กับระเบิด บริเวณนั้น ฝ่ายทหารจะไปกำกับไว้ไม่ให้เดินผิดแนวไปเหยีบบกับระเบิด
บ่าย 3 บ่าย 4 เราจึงจะเดินทางขึ้นถึงกองทัพกัน เสร็จภารกิจก็ไปอาบน้ำ .. ทานข้าว ..
ต่อรายการบันเทิง.. เต้นร็องแง็ง ..เต้นดวงตะวันแดง รำวงกัน
เส้นทางขนส่งอีกที่ที่ผมเคยเดินทาง คือทางไปสตูล นับว่าวิบากสุด ๆ
เส้นทางนี้จะมีช่วงที่ไต่ผาชัน ผ่านหนานหรือน้ำตก .. ในแอ่งน้ำตกนี้มีคำเล่าลือว่ามีปลาตูหน่ายักษ์ กินเด็กลูกเงาะป่า เงาะป่าถึงกับเอาเขากวางมาทำเป็นตัวเบ็ด เอาต้นหลาโอนซึ่งคล้ายต้นหมากต้นมะพร้าว.. มาทำเป็นคันเบ็ด..
การไต่ผาชันที่นี่ บางทีก็วางทุ่นระเบิดไว้เช่นกัน


7. นักเรียนน้อยบนภูบรรทัด (3)


เราเดินขนส่งเป้ข้าวสารไต่ผาขึ้นไป ยินเสียงน้ำตกดัง มองเบื้องล่างเห็นสายน้ำลัดเลาะใต้ผาชันลิบ ๆ น่าเสียวไส้ บางคนร้องเพลงปฏิวัติปลุกปลอบใจตน และสร้างพลังวิริยะภาพให้แก่กันและกัน บ้างเดินไปคุยไปด้วยความเริงร่า หาเรื่องเล่าสนุก ขำ ๆ คนที่ถูกหยอกล้อมากที่สุดมักจะเป็นคุณอวบ พลา.. บ้างก็ถึงกับแต่งเพลง ร้องเพลงล้อ ..
ลามะลิลา ขึ้นต้นเป็นมะลิซ้อน พอแตกใบอ่อนเป็นอวบพลา.. 5555
คุณอวบ พลอยสนุกไปด้วย หัวเราะเสียงดัง เป็นการทำงานที่ยากลำบากด้วยท่วงทำนอง.. "สามัคคี เคร่งครัด เร่งรีบ ร่าเริง" อย่างเป็นรูปธรรม
การเดินทางแบบยากลำบากและอันตรายนี้ คุณโชคดี อดีตนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ ลูกเจ้าสัว ถึงกับเอ่ยปากว่า ถ้าคุณแม่ อะเตี่ย อะม่า ของเขาได้มาเห็นเขาเดินไต่ผาแบบนี้ คงหัวใจวายแน่ ๆ ขนาดอยู่ที่บ้านในเมืองกรุง แค่ปีนต้นฝรั่งเตี้ย ๆ คุณแม่ อะม่า ถึงกับตกอกตกใจ โวยวายหนัก กลัวลูกชายตกต้นไม้ เรียกให้ลงมา ลงมา.. คุณโชคดีนี้เมื่อคืนสู่เมืองทางบ้านก็ส่งไปศึกษาต่อยังต่างประเทศทันที
และเส้นทางขนส่งนี้เอง ที่มีเส้นทางเดินลำบาก ชัน แคบ ทำให้สหายรุ่น 6 ตุลาของเราคนหนึ่ง จำได้ไม่แน่ชัดว่าชื่อคุณก้าว หรือคุณกล้า เกิดอุบัติเหตุถูกกับระเบิดบาดเจ็บสาหัส ถูกหามมายังกองทัพ ทางแพทย์ มีคุณหมอปรีดา และสหายอดีตนักเรียนแพทย์เช่นคุณสิงหา คุณยุทธ คุณประยูร และอดีตนักศึกษาพยาบาลคุณมีนา คุณพะยอม ร่วมดูแลอย่างสุดความสามารถ ผ่านการห้ามเลือด ผ่าตัด จนปลอดภัย แต่สหายก็มีสภาพร่างกายที่แขนและมือไม่สมบูรณ์ดังเดิม ใจทรหดของคุณก้าว ยังร่วมทำการปฏิวัติกับมิตรสหายในกองทัพต่อไป
เส้นทางนี้ นอกจากไต่ผาชันเกือบจะ 80-90 องศาแล้ว เราต้องเดินไต่เขาเกือบตลอด แม้เป็นเส้นทางที่ใกล้กว่าการเดินทางไปเขตงานตรังของคุณศรี แต่ลำบากกว่ากันมาก และของที่ขนส่งจะมีแต่ข้าวสารเป็นส่วนใหญ่ ส่วนที่เขตงานตรังจะมีทั้งข้าวสาร กะปิ เกลือ ขนมจากในเมือง ผ้าตัดชุดทหาร ยา เวชภัณฑ์.. เครื่องใช้ต่าง ๆ
ยังมีเส้นทางขนส่งระหว่างกองทัพไปสตูลอีกเส้นก็ลำบากแบบน่าพิศวงมาก เป็นการเดินทางข้ามคลอง ลำธาร เข้าไปในถ้ำ เดินทะลุถ้ำใต้ภูเขาอีกฟากไปโผล่ลำธารอีกฟากของภูเขา บางครั้งน้ำมาก การเดินลุยน้ำเข้าไปในถ้ำ ก็ต้องกระทำโดยวิธีมุดน้ำที่ปิดหน้าถ้ำเข้าไป เมื่อเข้าไปในถ้ำก็จะนำไม้ไผ่แห้งที่หาเตรียมไว้ภายในถ้ำทุบ ๆ ทำเป็นคบเพลิงให้แสงสว่างในการเดินในถ้ำ บ้างก็ใช้ไฟฉายเดิน ถ้ำนี้เป็นถ้ำหินปูน ที่มีทางน้ำไหลผ่าน มีหินงอก หินย้อย สีขาวสะท้อนแสงไฟระยิบระยับ เราต้องเดินบนพื้นที่แห้ง สลับกับการลงเดินย่ำทางน้ำ แสงไฟส่องสะท้อนดวงตาแดงวาวกลม ๆ ส่องไฟฉายมองดูชัด ๆ เป็นงูที่อยู่ในถ้ำ ตัวขนาดวากว่า ๆ ก็ไม่ทราบคืองูอะไร เราก็เดินเลี่ยงอๆ ไป ถ้ำนี้ลึกยาวหลายกิโล เดินกันร่วมชั่วโมงจึงทะลุถ้ำ ปากถ้ำฝั่งสตูลโผล่สถานที่ที่เรียกว่าป่าพน ถ้ำนี้เราเรียกว่าถ้ำคุณช่วง ด้วยมีไร่ ที่อยู่อาศัยของคุณช่วง อยู่ลึกในเขตพื้นที่มะนัง และควนกาหลง
อดีตมะนังเป็นสถานที่หนึ่ง ที่มีการขนส่งข้าวสาร ด้วยเป็นเขตงานมวลชน มีโรงสีขนาดเล็กในชุมชน เป็นชุมชนชายป่าที่อุดมสมบูรณ์ มีคลองละงู คลองมะนังไหลผ่าน แม้จะอยู่ในพื้นที่จังหวัดสตูล แต่มวลชนที่มะนังส่วนใหญ่เป็นคนพัทลุงมาอาศัยอยู่ จึงเป็นที่พักพิงหนึ่งของเขตงานมวลชนในเขตสตูล


8. นักเรียนน้อยบนภูบรรทัด (4)


เมื่อเป็นนักเรียนโรงเรียนการเมืองการทหาร ชีวิตกึ่ง ๆ ทหารในกองทัพแต่ละวันเป็นระบบมากขึ้น ใช้ชีวิตในหมู่ แบบหมู่ทหาร ตั้งแต่เช้าตลอดทั้งวัน เราจะอยู่ด้วยกัน ทำหน้าที่เวรต่าง ๆ เช่น เวรครัว ขนฟืน ฝึกการทหาร เสวนา ถกแถลง เรียนรู้การเมืองร่วมกันภายในหมู่เดียวกัน
ปกติเช้ามืดประมาณ ตี 5.30 เสียงนกหวีดยาว ๆ จะดังเป็นสัญญาณให้ตื่นนอน ..เราจะล้างหน้า แปรงฟัน แล้วมารวมพลที่สนามออกกำลังกาย บางวันก็ทำการฝึกทหาร ท่าต่าง ๆ หมอบ คลานไปกับพื้นนั่นแหละ เสร็จแล้วก็อาบน้ำที่คลองโต๊ะหัง หรือไปปล่อยหนัก เบา บนเนินไม่ไกลนัก แล้วกลับมากระท่อมที่พัก แต่งตัวไปรอทานข้าวที่โรงครัว
บางครั้งมีภารกิจขนฟืน เราก็จะไปขนฟืนแทนการออกกำลังกาย ค่อยกลับมาอาบน้ำ แต่งตัวทานข้าว แล้วก็ประจำหมู่ศึกษา หรือปฏิบัติตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย
การอาบน้ำ แรก ๆ เราใช้สบู่เปลือย คือสบู่ก้อนแท่งยาว ๆ แล้วพลาธิการมาตัดแบ่งเป็นก้อน ๆ ให้สหายแต่ละคน เป็นสบู่ที่ไม่มีกลิ่นหอม ใช้สารพัดประโยชน์ ถูตัว สระผม ซักผ้า
เราเรียกสบู่เปลือย ด้วยที่แจกให้เป็นก้อนมีแต่เนื้อสบู่ ไม่มีการบรรจุภัณฑ์ หรือกระดาษห่อแบบสบู่ที่ขายตามท้องตลาดมียี่ห้อ อย่างสบู่ลักซ์ ไลฟ์บอย สหายนักรบรุ่นเก่าก่อน บอกว่าชีวิตนักรบในป่า การใช้สบู่มีกลิ่นหอมทำให้เสียลับได้จากร่องรอยกลิ่น
แต่ด้วยสหายนักเรียนโรงเรียนการเมืองการทหารที่เข้าใหม่รุ่น 6 ตุลานี้ มาจากในเมือง หรือมาจากชนบท มีวิถีชีวิตที่คุ้นชินต่างกันไป อย่างสหายบางคนขึ้นมาจากครอบครัวในเขตงาน คนในครอบครัวก็จะฝากสิ่งของ ของกิน ของใช้ ไปกับสหายเขตงาน ฝากสหายขนส่งขึ้นไปให้ลูกหลานที่อยู่บนกองทัพ บางคนที่มีเงินติดตัวมาก็ฝากสหายที่ลงไปขนส่ง ซื้อสิ่งของที่ตนต้องการนำมาใช้ในกองทัพ ในกองทัพจึงมีสหายบางคนที่ใช้สบู่หอม ใช้แชมพู ใช้ผงซักฟอก มีน้ำตาล ขนม นม รองเท้ายาง ของใช้จากตลาด ห้างร้าน เมืองตรัง มาใช้ มากินกัน
ผมได้เห็นการต้มนมข้นหวานกระป๋องกิน เป็นการต้มทั้งกระป๋อง แล้วมาเปิดฝากระป๋องด้วยวิธีถูไถด้านบนกระป๋องแรง ๆ ไปบนหินจนโลหะส่วนฝากระป๋องสึกหลุดออก เมื่อเอาช้อนงัดฝาออก เนื้อนมข้นหวานกระป๋องที่ถูกต้มจะมีสภาพข้นเป็นก้อนเหมือนเนื้อสังขยา ตักกินกันเปล่า ๆ รสชาติเป็นเช่นไร ไม่ทราบ ได้แต่กลืนน้ำลายมองดู
ที่มีน้ำตาลส่วนตัว ก็จะเอาโคม หรือถ้วยไปตักเอาน้ำข้าวมาผสมน้ำตาลกินกัน ท่าทางอร่อย ก็ได้แค่มอง
งานในหมู่ครั้งแรกก็คือการสร้างกระท่อมที่พักของหมู่ แยกชาย-หญิง .. เราต้องไปตัดไม้ไผ่มาเฉาะสับ ให้ไม้ไผ่แผ่ออกเป็นแผ่นทำพื้นแคร่นอน ตัดลูกไม้ทำเสา ทำโครงหลังคากระท่อม .. ลูกไม้คือไม้ที่ไม่ใช่ต้นไม้ขนาดใหญ่ที่แผ่ร่มเงา แต่จะเป็นไม้ยืนต้นรองลงมามีขนาดเท่าน่อง เท่าโคนขา ลูกไม้จะสูงเหยียดตรงขึ้นไปเพื่อหาแสง จึงเป็นไม้ขนาดพอดีในการมาทำเสากระท่อม ทำโครงต่าง ๆ ..หาหวายมามัดโครงกระท่อม มัดแคร่ ร้อยหลังคา ตัวหลังคาเราใช้ใบจากจำ ต้นเตี้ย ๆ ติดพื้น ใบจะคล้ายก้านหมาก ก้านมะพร้าว เรานำมาใช้ทั้งก้านพับไขว้ใบให้เป็นแนวทับซ้อนกัน นำแต่ละก้านมาผูกร้อยด้วยริ้วหวาย ซ้อน ๆ แต่ละก้านใบเหลื่อมกันเล็กน้อยเป็นแผ่นยาว เอาไปวางผูกครอบบนโครงหลังคาคลุมลงเกือบจรดพื้นแคร่ แทนฝาไปในตัว เริ่มแรกเราทำกระท่อมมีหลังคาทรงหมาแหงน ปรากฏว่าป่าทางใต้มีฝนเกือบตลอดทั้งปี หลังคาทรงหมาแหงนความลาดเอียงน้อย น้ำไม่สามารถผ่านแบบรวดเร็วได้ จึงมีน้ำซึมหยด ลงที่แคร่นอน ต้องเปลี่ยนเป็นหลังคาทรงจั่วตามวิถีภูมิปัญญาชาวบ้าน ที่เหมาะสมกับภูมิอากาศ
เราจะต้องไปเป็นหมู่ หาลูกไม้ ไม้ไผ่ ก้านใบจากจำ หาหวาย ในป่าให้ห่างจากที่ตั้งกองทัพพอประมาณ บนเขาบรรทัดที่เป็นป่าดิบชื้นที่สมบูรณ์ จึงหาได้ไม่ลำบากนัก
การทำงานใด ๆ ใช่แค่มีแรงก็ทำ ๆ ไป ทุก ๆ งานล้วนต้องมีทักษะ ประสบการณ์ ความรู้ การสร้างกระท่อมของหมู่เรามีคุณเทียนหัวหน้าหมู่ ผู้มีทักษะชีวิตในการใช้แรงงาน งานช่างฝีมือ ตัดหวาย ปอกหวายที่หุ้มด้วยเปลือกหนาม และจักเป็นเส้น ๆ ได้คล่อง มีคุณเหม คุณฤทธิ์ คุณช่วง วัยรุ่นหนุ่มฉกรรจ์แข็งแรง มีจิตใจเสียสละ อดทน มีทักษะในการฟันไม้ตัดไม้ สามารถแบกไม้ไผ่ แบกลูกไม้ ได้ทีละมาก ๆ จากป่ามาถึงที่สร้างกระท่อม ไปมารวดเร็วอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย คุณเร สหายหญิงร่างเล็กก็อดทนเข้มแข็งเหลือเกิน จึงนำพาให้งานทำกระท่อมสำเร็จด้วยดี
ผมเองไร้ทักษะ ไม่เคยผ่านการทำงานเช่นนี้จริงๆ เมื่อฟันไม้วันแรกมือจะแตก กำมีด กำขวานฟัน จะเจ็บ ปวด .. แบกไม้ขึ้นบ่าได้ไม่มาก แถมต้องกัดฟันเดิน เจ็บบ่ามาก ด้วยอุดมการณ์ปลุกปลอบใจให้สู้ต่ออุปสรรค
งานขนฟืนเช่นกัน .. เราต้องแบกท่อนฟืน ที่เลื่อยจากขอนไม้ในป่า มายังกองทัพ ท่อนไม้ใหญ่แข็งตะปุ่มตะป่ำ หนักกดลงบนบ่า แบกเดินในป่าที่ไม่ราบเรียบ เดี๋ยวขึ้น เดี๋ยวลง ไกลร่วมกิโล รู้สึกเจ็บบ่า ปวดไหล่เป็นอย่างมาก ด้วยไม่เคยหาบ แบกของหนัก ผมเคยเห็นบ่าของคุณประเทืองที่แบกของหนัก ๆ ด้วยสีหน้าสบาย ๆ นั้น บ่าหนาเป็นสันหนอกขึ้นมา.. ผิดกับบ่าของผมที่เป็นเพียงเนื้อหนังบาง ๆ หุ้มกระดูกบ่า


9. นักเรียนน้อยบนภูบรรทัด (5)


งานครัว เป็นงานที่ทุกหมู่จะต้องมีหน้าที่ทำครัวสลับเวรกันไป ผมเองก็ได้เรียนรู้การหุงข้าวด้วยกระทะใบบัว เตาดิน ฟืนไม้ป่า จนสามารถหุงข้าวแบบนี้ได้
เริ่มแรกเราจะล้างข้าวและนำข้าวใส่ในกระทะ เทน้ำให้ท่วมข้าวพอประมาณ การก่อไฟ ให้ฟืนไม้ป่าลุกโชติกล้าก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนักหรอกกับคนที่ไม่เคยใช้ชีวิตแบบนี้
ก่อไฟหุงข้าวให้น้ำข้าวเดือด น้ำในกระทะหุงข้าวเริ่มเดือดเราจะเอามันสำปะหลังที่ฝานเป็นชิ้นบาง ๆ ในกะละมังโรยลงไป ค่อยคนให้เข้ากัน รอเดือดได้ที่ค่อย ๆ ราไฟ เอาฟืนไฟออกทีละน้อย เป็นการดงข้าวอย่างเหมาะสม ราไฟลดฟืนเร็วไปข้าวก็จะดิบ ดึงไฟออกช้าไปข้าวก็จะไหม้ น้ำไม่พอดี ไฟไม่เหมาะสมก็จะดิบ ๆ แฉะ ๆ ไหม้ ๆ เราต้องใช้ทักษะของประสาทจมูก และหู ในการสัมผัสกลิ่นความหอมพอดีของข้าวสุก หรือกลิ่นข้าวจะไหม้ ทักษะฟังเสียงน้ำที่เดือดดัง ฟอด ๆ ฟด ๆ เราจะรู้ด้วยทักษะปฏิบัติ เสียงน้ำแบบนี้คือน้ำกำลังเหือดแห้งลงไป ช่วงนี้เราจะนำใบตองป่ามาปิดบนแทนฝาหม้อ ให้ไอความร้อนระอุอบอวลให้ข้าวสุกสวย
กับข้าว.. แกงในกองทัพลักษณะทั่ว ๆ ไป เราจะต้มน้ำใส่พริกแกงที่พลาธิการทำไว้ ต้มจนเดือด ใส่เนื้อ ใส่ผัก ส่วนใหญ่ก็หยวกกล้วยเถื่อน
ถ้าเป็นต้มน้ำพริกแกงเปล่า ๆ ไม่มีผัก ไม่มีเนื้อสัตว์ใด ๆ หรือถ้ามีก็วิญญาณปลากระป๋อง แบบนี้ เราเรียกว่าแกงโหรงเหรง
แกงโหรงเรง ก็ใช่จะโหรงเหรงเสียทีเดียว เราจะมียอดไม้ป่านานา มาเป็นผักเหนาะ วางกันเต็มโต๊ะ กินอร่อยกันไปอีกแบบ
พริกแกงใต้บนกองทัพที่ทำน้ำแกงนี้ ขอบอกว่า เผ็ดจังหู ! แต่ก็หอมสมุนไพร เค็มนัว กลมกล่อม พร้อมความเผ็ดจัดจ้านนี้แหละ คืออัตลักษณ์นักรบแดนใต้ .. เมื่อคุ้นชินรสชาติแล้วมัน หร่อยนักแล..
ส่วนแกงน้ำเคยก็จะเป็นน้ำต้มเดือดมีแค่เคย กะปิเปล่า ๆ จริง ๆ แล้ว เราไม่เคยอดถึงกับต้องกินแบบนี้ จึงเป็นแต่ชื่อเรียก .. และเคยในกองทัพ เมื่อนำไปบีบโอบกับกิ่งไม้นำไปเผาไฟให้สุกกรอบหอม เรียกว่าเคยจี่ หรือนำเคยไปผัดกับน้ำมัน เรียกว่าเคยเจี้ยน ทั้งเคยจี่ เคยเจี้ยน นำมากินคลุกกับข้าวสวยปนหัวมันร้อน ๆ ก็แสนอร่อยเช่นกัน
ห่อข้าวกับเคยจี่ เคยเจี้ยน นี้แหละคืออาหารติดตัวของนักรบยามจรยุทธ์ เดินทัพ เดินทางไปเขตงาน ไปขนส่ง
ความเป็นจริงแล้ว ชีวิตความเป็นอยู่ในกองทัพปฏิวัติที่นี่ ก็ไม่อดอยากอะไรนัก เรามีข้าวปนหัวมันกินทุกมื้อ บางคนพอได้กินข้าวสวยเปล่า ๆ กลับบ่นว่า ไม่หร่อยเหมือนกินข้าวปนหัวมัน เนื้อสัตว์เราก็มีกินเกือบประจำทุกวัน มากบ้างน้อยบ้าง
เรื่องเนื้อสัตว์ โปรตีนในอาหารการกิน .. เรามีคุณพฤกษ์.. เป็นพระเอกของเรา
การเข้าป่า ขึ้นมายังกองทัพร่วมปฏิวัติในช่วงหลัง 6 ตุลา 2519 นอกจากมวลชนในเขตงาน นักศึกษา ประชาชนจากในเมือง ที่กองทัพพัทลุง ตรัง สตูล ของเรา ยังมีนักรบชาติพันธ์ุซาไก หรือเซมัง ที่คนทั่วไปเรียกเงาะป่าเข้ามาอยู่ด้วย คือ คุณพฤกษ์
คุณพฤกษ์ ซาไกที่เคยล่าสัตว์ป่าอย่างชำนาญ ย่องเดินในพื้นป่า ได้เงียบกริบ เข้าหาเป้าหมาย สังหารด้วยการเป่าลูกดอกผ่านเลาไม้ไผ่ เมื่ออยู่กองทัพ คุณพฤกษ์ได้ปืนลูกซองยาวออกล่าสัตว์ให้โรงครัว.. แทบจะทุกวัน คุณพฤกษ์ไม่ทำให้ผิดหวัง
หมูป่า กระจง ฟาน (เก้ง) ค่าง .. จึงเป็นส่วนประกอบของอาหารเราในแต่ละวัน ..
คุณพฤกษ์ซาไกวัยประมาณ 20 กว่าปี จะตื่นแต่เช้ามืดออกไปจากที่พักในกองทัพ เข้าป่าหาล่าสัตว์ เมื่อยิงเสร็จแล้วก็จะกลับมาบอกตำแหน่งให้สหายออกไปหามหมูป่า ฟาน เก้ง มาให้สหายเวรโรงครัวจัดการต่อไป
เกือบทุกเช้า คุณพฤกษ์กลับมาจากล่าสัตว์ นั่งพัก มวนยา สูบบุหรี่ ยิ้มอย่างสบายอารมณ์ แถวหน้าโรงครัว จะเป็นภาพชินตาของเรา เกือบทุกคนที่เดินผ่านจะทักทายคุณพฤกษ์ ด้วยมิตรไมตรีที่ดีต่อกัน
เรื่องของคุณพฤกษ์นั้น เป็นตำนานที่สหายเราได้จดจำ บ้างก็นำไปเล่าสู่ลูกหลาน
..ลูกสหายท่านหนึ่งเล่ามาว่า.. : .. "พ่อบอกว่าคุณพฤกษ์ยิงปืนแม่นมาก ถ้ายิงค่างสามารถกำหนดได้เลยว่าให้ถูกตาข้างไหนของค่าง"
.. "พ่อบอกว่าคุณพฤกษ์ถูกนายยิงตายเพราะแกไม่ยอมจำนน พ่อว่าแกไม่ยอมออกตัวครับ ผมนับถือหัวใจแกครับ ..”
.. "ตอนเสียชีวิต คุณพฤกษ์ไปยิงหมูแล้วบังเอิญเจอนาย นายบอกให้ยอมจำนน.. แกจะต่อสู้ .. โดนนายยิงเสียชีวิต ผมรู้มาประมาณนี้ครับน้า.."
.. "คารวะ คุณพฤกษ์" ..


10. นักเรียนน้อยบนภูบรรทัด (6)


อาหารที่พิเศษอย่างหนึ่งของเรา คือปลาหวดเนื้อนุ่มมัน อร่อย อร่อยมาก
ปลาหวดเป็นปลาน้ำจืดมีเกล็ด ปกติตัวใหญ่ประมาณเท่าลำแขน ยาวขนาดหนึ่งศอก หนักเกือบหนึ่งกิโล แต่ก็เคยมีสหายจับได้ตัวขนาดใหญ่หนักหลายกิโล อาศัยในคลอง ลำธารที่มีน้ำไหล ในป่าเขาบรรทัด ดูช่างคล้ายกับชีวิตของปลาเทร้าของต่างประเทศ ที่นำมาเลี้ยงในแหล่งน้ำไหลบนดอยอินทนนท์
เราจะได้กินปลาชนิดนี้ค่อนข้างบ่อย สหายที่ชอบหาปลาในคลองโต๊ะหัง จะได้ปลาหวดมาประจำมากบ้างน้อยบ้าง
ปลาหวดส่วนใหญ่จะนำไปทำเป็นอาหารให้สหายที่ป่วย และสหายอาวุโส เมนูปลาหวดผัดน้ำผึ้ง เคี่ยวน้ำผึ้ง เป็นเมนูเด็ด น้ำผึ้งในที่นี้คือน้ำตาลอ้อยที่สหายในกองทัพหีบอ้อย เอาน้ำอ้อยไปเคี่ยวจนเหนียวข้นเก็บไว้ นำมาปรุงรสอาหาร
กองทัพเราได้มีการทำไร่ปลูกข้าว คงหรือข้าวโพด มันสำปะหลัง อ้อย นักเรียนการเมืองการทหารทุกคนได้ไปใช้ชีวิตที่นั่น
ผมออกไปทำไร่ครั้งแรก ที่เป็นที่โล่ง ได้ยินเสียงสหายบอกต่อ ๆ กัน .. "เรือมา .. เรือมา.. เรือมา".. สหายต่างวิ่งหลบ เข้าไปในป่าใหญ่ ผมเมื่อวิ่งตามสหายเข้าไปในป่าแล้ว ก็พยายามมองหาแม่น้ำ หรือที่ลำคลอง ด้วยเข้าใจว่าเรือ ก็คือเรือในแม่น้ำ ลำคลอง .. โอละพ่อ.. เรือ .. ที่นี้ หมายถึงเรือบิน เครื่องบิน.. ชาวใต้จะใช้คำสั้น ๆ ว่า เรือ .. "เรือมา".. หมายถึง เครื่องบิน.. มา สหายได้ยินเสียงเครื่องบินรบ เครื่องบินลาดตระเวน .. ที่มาประจำ จะเป็นเครื่องบินรบ OV.10 ..สหายมักเรียกไอ้อู๊ก..
การทำไร่ เริ่มตั้งแต่ตัดลูกไม้ โค่นไม้ใหญ่ การโค่นไม้ใหญ่จะทำโดยสหายที่มาจากมวลชนพื้นบ้าน ผู้มีความชำนาญในการใช้ขวาน บากหน้าไม้ หลังไม้ของลูกไม้ ไม้เล็ก ไม้ขนาดรอง ๆ ไว้แบบพอดีหลาย ๆ ต้น ให้มีทิศทางในแนวเดียวกัน ซึ่งต้องทำด้วยความระมัดระวัง สหายคนอื่น ๆ ห้ามเข้าไปในบริเวณที่กำลังฟันไม้ โดยเฉพาะด้านที่บากหน้าไม้ เมื่อได้ที่ก็จะบากหลังไม้ต้นใหญ่ด้านหลังสุด ให้ล้มลงแบบไปกระแทกชนต้นไม้รอง ลูกไม้อื่น ๆ ที่ฟันบากไม้ไว้ ทำให้แนวไม้นั้นโค่นล้มแบบต่อ ๆ กัน เป็นแบบโดมิโน 3-4 ต้น เสียงไม้ใหญ่ล้มกระแทกพื้นดังกัมปนาทดินสะเทือน ระรัว ดั่งปืนกล สนั่นติดต่อกัน สะใจกองเชียร์สหายที่รอลุ้น .. แล้วสหายใหม่อย่างพวกเรา ก็ทำหน้าที่ไปฟันกิ่งเล็กกิ่งน้อย ลากไปกองสุมขอนไม้ใหญ่ ส่วนกิ่งไม้ขนาดใหญ่ ๆ ก็เป็นหน้าที่ของสหายผู้ชำนาญนำขวานไปจัดการฟัน
ต่อจากการตัดไม้ทำไร่ก็เป็นการเผาปรน สุมขอนไม้ใหญ่ ได้พื้นที่ไร่ปลูกข้าว และพืชไร่อื่น ๆ
ที่นี่หยอดพันธ์ุข้าว ด้วยการเดินถือไม้ท่อนยาว ๆ แต่งปลายไม้ให้แหลมมน ทรงกรวย 2 ท่อน ถือซ้ายขวา เดินยกกระแทกเป็นระยะ ๆ ที่เหมาะสมลงพื้นดินเพื่อให้เกิดหลุมเล็ก ๆ สหายน้องใหม่ก็ถือภาชนะใส่เมล็ดพันธ์ุข้าวเดินตามหยอดเมล็ดพันธ์ุข้าวลงไปในหลุม
ดินที่นี่จะมีความนุ่ม อ่อน ชุ่มน้ำ ด้วยมีฝนตกพรำ ๆ ถึงระดับปานกลาง เกือบทุกวัน การนำไม้ไปกระแทกดินให้เป็นหลุม ที่เรียกว่าใช้ไม้สักดิน ..จึงทำได้ง่าย ๆ
ในไร่ข้าวนี้ เราได้ปลูกคงหรือข้าวโพด และพืชสวนครัว ไว้ด้วย
นอกจากนั้นเรายังมีการทำไร่ปลูกมันสำปะหลัง และอ้อย
เมื่อข้าวออกรวง รวงข้าวสุกเหลืองอร่าม เราทุกคนก็ได้ไปทำหน้าที่เกี่ยวข้าว โดยใช้แกระ
แกระเป็นแผ่นไม้ขนาดฝ่ามือ มีใบมีดคม ใช้ถือตัดรวงข้าว เป็นลักษณะเฉพาะของชาวใต้ เกี่ยวข้าวโดยวิธีใช้แกระ
เกี่ยวข้าวแล้วก็จะช่วยกันขนรวงข้าวไปไว้ที่ถ้ำใกล้ๆ ไร่ เราจะเอาผ้ายางปูนอนกันบนกองฟอนข้าว
การนวดข้าวที่นี่ เราใช้วิธีเหยียบ สองเท้าเหยียบ ขยี้เท้าคลึงนวดที่รวงข้าวไปมาจนเมล็ดข้าวร่วงหล่นจากรวงหมด
นอกจากเราทำไร่เพื่อผลิตผลเป็นอาหารในกองทัพแล้ว บริเวณใกล้ ๆ ที่กองทัพเราตั้งอยู่ เป็นหมู่บ้านขนาดเล็กเก่าแก่ ที่ชาวบ้านอพยพออกไปด้วยเป็นเขตที่อันตราย มีการปราบปราม เราเรียกว่าบ้านตระ มีพืชสวนผลไม้ กล้วย มะพร้าว ขนุน ทุเรียน ยางพารา อื่น ๆ ซึ่งฝ่ายพลาฯนำมาทำอาหาร และแปรรูปถนอมอาหาร มีทั้งเรียนเคี่ยวหรือทุเรียนกวน กล้วยตากแบบย่างบนไฟอ่อน ๆ ย่างไว้เป็นวัน ๆ แทนการตาก เพราะแดดมีน้อย และการนำไปตากในที่แจ้ง อาจทำให้เสียลับทางอากาศได้ จากเครื่องบินที่มักจะบินวนสำรวจเป็นประจำ


11. นักเรียนน้อยบนภูบรรทัด (7)


นอกจากการเรียนรู้เสวนาทางการเมือง และฝึกการทหาร บางวันหมู่ของเราได้รับหน้าที่ไปช่วยงานที่ไร่ การไปไร่ของกองทัพ ดูจะเป็นอะไรที่พิเศษกว่างานประจำอย่างการไปแบกฟืน ด้วยอาหาร ผลไม้ที่ไร่ มีค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ เช่น ถั่วฝักยาว แตง ข้าวโพด กล้วยสุก กล้วยตากซึ่งเป็นกล้วยในไร่ในสวนสุกแล้วสหายประจำที่นั่น นำมาตากแดด ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีแดด จึงนำกระจาดใส่กล้วยที่เรียงไปวางไว้สูง ๆ เหนือถ่านไฟอ่อน ๆ ให้ได้รับความร้อนแทนแสงแดด กล้วยตากที่นี่จะนุ่มหนึบหวานและหอมกลิ่นควัน
ที่นี่ทำให้ผมรู้รสชาติคงหรือข้าวโพดที่หักมาจากไร่สด ๆ จะมีความหวานอร่อย แต่เมื่อนำมาเก็บไว้ข้ามคืน ข้ามวัน รสจะชืดลง ต่างไปไม่เหมือนฝักสด ๆ ที่ไร่
ใกล้กันกับที่ไร่จะมีที่หีบอ้อย โดยสหายหมวดทหารประมาณหนึ่งหมู่ มาทำหน้าที่หีบอ้อย นำต้นอ้อยในไร่มาหีบเอาน้ำอ้อย ต้มเคี่ยวจนน้ำอ้อยเหนียวหนืดข้นเป็นน้ำตาล ทำเก็บไว้ใช้ในโรงครัว และเป็นเสบียงภายหน้า พวกเราที่ไปช่วยงานพลอยได้กินน้ำอ้อยที่เคี่ยวจนเหนียวข้นคนละเล็กละน้อย คุณเหมพาเรียก.. กินตังเม ..
เราได้กินน้ำอ้อยที่หีบจากต้นอ้อยทั้งลำ สด ๆ ความโหยหาของหวานที่ไม่ค่อยได้กินบ่อยนัก ทำให้ผมกินเกินพอดี .. คือกินจนล้นพุง สำรอกน้ำอ้อยพุ่งออกมาจากปาก .. อับอายขายหน้าที่สุดเลย.. คุณเหมเองก็ขำ หัวเราะดัง พูดล้อ ย้ำไม่หยุด ..
กล่าวถึงแผนกต่าง ๆ ในกองทัพ เรามีโรงพิมพ์ คำว่าโรงพิมพ์ดูจะใหญ่โตไป แท้จริงแล้วก็คือกระท่อมเล็ก ๆ หลังหนึ่ง ที่มีพิมพ์ดีดไม่กี่ตัว และเครื่องโรเนียว ไว้ทำหนังสือ เอกสารเพื่อการศึกษา ใบปลิว แถลงการณ์
คุณวินอดีตนักศึกษา ที่เข้าป่าก่อนเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ทำงานประจำที่โรงพิมพ์นี้
อุปกรณ์พิมพ์ อย่างพิมพ์ดีดใหม่ เครื่องโรเนียว ของที่นี่หลายอย่างได้มาไม่เมื่อนานนัก เดือนธันวาคม 2519 นี้เอง เป็นสินสงคราม จากชัยชนะในการโจมตีโรงพัก อำเภอละงู จังหวัดสตูล ที่ได้มาทั้งอาวุธปืน และเครื่องใช้ต่าง ๆ ของสำนักงาน เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นช่วงเวลาที่ผมเพิ่งขึ้นมาอยู่บนกองทัพ ในตอนสายของวันนั้นเห็นภาพนักรบจรยุทธ์ชาย-หญิงร่วมร้อย ทยอยเดินเข้ามาค่าย ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พร้อมเป้ และหามสิ่งของ ที่เป็นสินสงครามขึ้นมาไว้ยังกองทัพ
สหายบนกองทัพทุกคนที่เห็น ต่างวิ่งไปยืนรอต้อนรับ ปรบมือ จับมือทักทายอย่างตื่นเต้นดีใจ ที่เห็นศักยภาพของกำลัง ทปท. พร้อมข่าวชัยชนะในการสู้รบ
ทราบว่า ปฏิบัติการนี้ได้รวมศูนย์กำลังสหายหมวดทหาร สหายนักรบ ผู้ปฏิบัติงานในเขตงานมวลชนทั้งพัทลุง ตรังและสตูล เคลื่อนกำลังโดยรถยนต์เข้าไปในตัวเมืองอำเภอละงู เพื่อโอบล้อมโจมตีโรงพัก และอำเภอ ตามแผนที่กำหนด
เสียงปืนปัง ปัง ของผู้บัญชาการรบ ส่งกระสุนพุ่งตรงเป้าหมายตัดสายไฟพาดบนเสาสูง ขาดอย่างแม่นยำ ทำให้แสงไฟฟ้าทั่วบริเวณรอบ ๆ มืดมิดทันที เป็นสัญญาณของการเข้าโจมตี ปฏิบัติการรบ สหายนักรบทุกคนวิ่งเข้าประจำพื้นที่รายรอบอาคารโรงพัก และอำเภอ ตามแผน ปืนรบประจำกายลั่นดังรัว ได้กดขวัญตำรวจ อส. ที่ประจำอยู่ต้องผวาหวาดหวั่น
การต่อสู้โต้ตอบผ่านไปชั่วครู่
เสียงประกาศผ่านโทรโข่ง.. ให้ตำรวจ อส. ยอมจำนน เพียงไม่นาน ตำรวจ อส.ประจำที่นั้นก็ยอมจำนน
หลังประกาศชัยชนะให้ชาวบ้านละแวกใกล้รับรู้.. ก็มีการอบรมทางการเมือง ประชาสัมพันธ์นโยบายพรรคให้แก่เชลยศึกฟัง แล้วปล่อย โดยไม่มีการทารุณทำร้าย นี่เป็นแนวปฏิบัติตามวินัยของ ทปท. "ไม่ทารุณเชลย" ..ผู้แพ้อย่าฆ่า..
เมื่อเสร็จสิ้นการยุทธ์ นักรบ ทปท. ก็ขึ้นรถกลับมายังจุดหมาย ขนสินสงครามเดินขึ้นไปบนกองทัพ
ก็มีเรื่องเล่าเหตุการณ์ในการรบ โจมตี ที่แห่งหนึ่งไม่ทราบที่ใด และเป็นใคร แบบชวนยิ้ม ขำ ๆ ว่า
.. ขณะบุกเข้าโจมตีที่ว่าการอำเภอนั้น สหายนักรบผู้กล้าคนหนึ่งวิ่งถือปืนนำหน้าบุกเข้าประชิดตัวอาคาร และพุ่งตัวเข้าไปข้างในห้องข้างหน้า แต่เพียงครู่เดียวก็ถลันกลับออกมาอย่างเร็วพลัน สหายที่กำลังวิ่งตามไปจึงต้องชะงัก ถอยออกมาหาที่กำบัง ถือปืนกระชับมั่นมองออกไปข้างหน้าด้วยความตึงเครียด ...
ปรากฏว่า การที่สหายผู้วิ่งนำบุกเข้าไป คนนั้น ถอยกลับออกมาเพียงแค่.. เพื่อถอดรองเท้า ..!?
ด้วยความเป็นไปอย่างอัตโนมัติของจิตใต้สำนึก ผู้มีมารยาทที่ดี ไม่ควรสวมรองเท้าสกปรก เหยียบย่ำเข้าไปในห้อง..
ที่โรงพิมพ์.. เมื่อมีนักรบเข้ามาเพิ่ม บ้างก็เคยทำงานเกี่ยวกับการทำหนังสือพิมพ์ เอกสาร หนังสือมาก่อน บ้างก็เก่งงานศิลปะวาดรูป จึงทำให้มีการพัฒนาจัดทำวารสารของกองทัพพัทลุง ตรัง สตูล ขึ้น ในชื่อวารสารตะวันแดง เป็นวารสารพิมพ์ดีดลงไข วาดภาพด้วยปากกาเขียนไข พัฒนาการใช้เข็มจิ้ม ๆ ให้ภาพมีมิติแสงเงาอย่างประณีต แล้วนำไปโรเนียว ระยะหลังพัฒนาการทำปกด้วยวิธีซิลค์สกรีน เหมือนการทำโปสเตอร์ การทำวารสารตะวันแดงนอกจากคุณวินแล้ว ที่จำได้มีผู้ทำกันหลายคน เช่นคุณวันดี อดีตนักศึกษาหญิงจากธรรมศาสตร์ ที่มากประสบการณ์ ดูเหมือนว่าเคยร่วมทำหนังสือพิมพ์อธิปัตย์ คุณแสง ธรรมดา อดีตนักศึกษาสถาปัตย์ผู้มากทักษะเป็นทั้งนักเขียน นักวาดการ์ตูน นักดนตรี นักร้อง ผู้แต่งเพลง รวมทั้งคุณอวบ และคุณประยูร ก็ได้เข้าไปร่วมคิด ร่วมทำ
ผมเองอยู่วงนอก นึกสนุกก็วาดการ์ตูนน้าเท่ง ประกอบเรื่องสั้น การ์ตูนตัวแบบจากหนังตะลุงที่จำ ๆ จากคุณแสง เขียนส่งเป็นบางฉบับ
ไป ไป มา มา ก็เลยเขียน "นิทานน้าเท่ง" เรื่องเล่าที่ใช้สำนวนภาษาใต้ ส่งเป็นตอน ๆ แรกก็เขียนการ์ตูนประกอบเนื้อเรื่องที่เกี่ยวกับเพลงภาษาใต้ ที่ฮิตของคุณแสงแต่งนั้นแหละ เช่น "ไส สิ เป็นพันนี้" "ตีงูให้กากิน".. นำมาเขียนเป็นเรื่องเล่าภาษาท้องถิ่นปักษ์ใต้ แบบสนุก ๆ พร้อมให้แง่คิดทางการเมือง
เสียงตอบรับที่ดี ได้เป็นแรงจูงใจให้เขียน นิทานน้าเท่ง เป็นตอน ๆ ในเวลาต่อมา
เมื่อได้ลงไปปฏิบัติหน้าที่งานมวลชนที่สตูล ก็นำเรื่องราวของวิถีชีวิตมวลชนที่สัมผัส อย่างเช่น การลงแขกยกเริน หรือการยกบ้าน หามบ้านไม้หลังใหญ่ทั้งหลังย้ายไปตั้งที่แห่งใหม่ เห็นแล้วมันเป็นรูปธรรมที่มวลชนเคยเห็น รับรู้สัมผัส ชัดเจนกว่า "ลุงโง่ย้ายภูเขา" จึงมาพล็อตเขียนเป็น "นิทานน้าเท่ง" เพื่อสะท้อนถึงพลังประชาชน เมื่อได้ความร่วมแรงร่วมใจ รวมพลังกันนั้นก็สามารถทำในสิ่งที่ยากลำบากให้สำเร็จได้ อุปมาอุปมัยพลังมวลชนในการต่อสู้ปฏิวัติ
วารสารตะวันแดง .. เป็นวารสารที่จัดทำสอดคล้องกับมวลชนในเขตงาน คือทำรูปเล่มน่าอ่าน ปกซิลค์สกรีนสีแม้เงื่อนไขในป่านั้นจำกัด เนื้อหาภายในเล่มมีภาพวาดแทรกด้วยทักษะฝีมืออย่างมีศิลปะ มีเนื้อหาทางการเมือง มีการ์ตูน มีข่าวท้องถิ่น มีนิทาน เรื่องสั้น ทำให้มวลชนอ่านสนุก ชื่นชอบ นิยมอ่านกัน จนผลิตไม่เพียงพอกับความต้องการ มวลชนในเขตงานจึงใช้วิธีการอ่านแล้วก็ส่งต่อ ๆ กันไป
คุณอวบ เคยบอกกับผมว่า.. "คุณตะวัน.. . ตะวันแดง.. ของเรา มีผู้นำส่งไปให้แนวร่วมถึงต่างประเทศ และนำเรื่องจากตะวันแดงที่พวกเราเขียน ไปแปลเป็นภาษาต่างประเทศด้วยนะ.."
อั๊ย.. โยะ !! พวกเรามีงานเขียนระดับอินเตอร์ ..


12. นักเรียนน้อยบนภูบรรทัด (8)


มีข่าวมาบอก .. ข่าวดี.. พวกเราจะได้ตัดชุดใหม่ .. ชุดทหาร ทปท. หมวกดาวแดง
คุณเทียนนายหมู่ของเราแจ้งข่าวว่า ช่วงพักหลังกินข้าวเช้าหรือเย็นวันนี้ ให้พวกเราไปวัดตัวที่โรงจักร์
โรงจักร์คือกระท่อม ที่มีจักร์เย็บผ้าประมาณ 3-4 ตัว คุณมิตรเป็นผู้รับผิดชอบที่นั่น และมีสหายอีกประมาณ 2 คน จำได้คือคุณโอ คุณนาสหายวัยรุ่นหญิง ที่เรียบร้อย ตั้งใจทำงานไม่พูดไม่จา ก้มหน้าก้มตาตัดเย็บ ซ่อมแซม เสื้อผ้า เป้ ให้สหายอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย
แรกนั้นพวกเราสหายใหม่ที่ขึ้นมากองทัพทุกคน ยังสวมชุดตามที่นำติดตัวมา บางคนก็ได้ใหม่จากสินสงคราม เป็นชุด อส. ทหาร ที่ขาดก็นำมาปะกันเอาเอง ปะแล้วปะอีก เป็นส่วนใหญ่
ด้วยความคิดที่อดทน เสียสละ มุ่งมั่นหล่อหลอมตน ของนักรบปฏิวัติ จึงไม่นำพาเรื่องการแต่งกาย การกินอยู่ ทุกคนพากันใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายกัน สวมใส่ตามแต่จะหาได้
แต่ลึก ๆ แล้ว เมื่อจะได้ชุดใหม่ก็ดีใจ พากันไปวัดตัวตามกำหนด
ชุด ทปท. ที่นั่นใช้ผ้าโทเร สีเขียวขี้ม้า นำมาตัดเย็บเป็นเสื้อ มีแถบสี่เหลี่ยมสีแดงติดบนปกด้านนอกทั้งสองข้าง แขนยาว ปลายแขนไม่มีกระดุม กระเป๋าบนสองข้าง กางเกงขายาวทรงหลวม ๆ หมวกปักดาวแดงขอบเหลือง รองเท้ายางสีน้ำตาล
ชุดใหม่ เสร็จทันสวมใส่ฉลองงานวันพรรค 1 ธันวาคม แต่จริง ๆ แล้วการจัดงาน เราจะจัดหลังวันพรรค 1 ธันวา หลายวัน ด้วยอยู่ในสภาวะสงคราม ช่วงวันพรรค เครื่องบินรบมักเวียนมาบนท้องฟ้าประจำ หากจัดงาน แสงสว่างของการจัดงานจะทำให้เสียลับได้ ดังนั้นงานวันพรรคจึงจัดในภาวะที่ปลอดภัย หลังจากวันจริง 2-3 อาทิตย์
งานวันพรรค .. หรือวันคล้ายวันก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เป็นงานเฉลิมฉลองใหญ่ในกองทัพ งานแรกที่ผมได้เห็นได้สัมผัส ..
ชัยชนะของการโจมตีโรงพัก อำเภอละงู จังหวัดสตูล ในช่วงเดือนธันวา ก็เป็นเสมือนของขวัญแก่พรรค ในงานวันพรรค ผลงานแห่งชัยชนะ สร้างผลสะเทือนทางการเมือง เป็นการปลุกขวัญมวลชน ข่มขวัญศัตรู
มวลชนในเขตงาน แนวร่วมในเมือง สหายเขตงาน สหายนักรบ ต่างทยอยเดินทางขึ้นมาร่วมงานบนกองทัพ สหายหลายคนคุ้นเคยกับมวลชน และสหายตามเขตงาน จับมือ ทักทายกัน สหายอาวุโสก็มีผู้มาเยี่ยมเยียนได้รับของฝาก กินดื่มกัน เป็นบรรยากาศที่คึกคัก สุขสันต์
การหุงข้าวในวันงานที่ถือว่าเป็นวันพิเศษ จึงใช้ข้าวล้วน ๆ หุงไม่ปนหัวมัน มีการนำเนื้อหมูจำนวนมากขึ้นมาจากเขตงาน นำเนื้อสัตว์ป่าที่เราเก็บไว้โดยวิธีถนอมอาหาร เช่นหนางที่เป็นภูมิปัญญาพื้นบ้านทำการดองเปรี้ยวเนื้อสัตว์ มาปรุงอาหาร วันนั้นผมได้กินหนางตะพาบน้ำ เคี้ยวกรึ๊บ ๆ รสชาติเปรี้ยว อร่อย แต่หลังจากกินไปไม่นาน ผมต้องอาเจียนด้วยเกิดอาการแพ้อาหาร
มีของหวาน สาคูบวดใส่ข้าวโพด และเรียนเคี่ยว (ทุเรียนกวน) เป็นของหวานอร่อยสุดในชีวิต คงด้วยไม่ค่อยได้กินของหวานมานาน
แต่ก็อร่อยจริง ๆ สูตรการบวดสาคูที่นำมาจากเขตงาน ข้าวโพดสดจากไร่ของเรา ทุเรียนกวนที่ทำเอง มะพร้าวจากสวนผลไม้บ้านตระ มันจึงหวานมันกลมกล่อม มีรสชาติความหอมทุเรียนกวนแทรก
การได้กินขนมหวานเช่นนี้ ปกติอยู่ในเมืองก็คงจะกินคนละถ้วยหวานเล็ก ๆ สำหรับที่นี่ สหายแต่ละคนจะตักกินกันเป็นโคม ตักกินกันแบบบุฟเฟ่ต์ บางคนกิน 3 โคม
.. โคมคือถ้วยขนาดย่อม ๆ ใหญ่กว่าถ้วยก๋วยเตี๋ยว เกือบเท่าชามกะละมังล้างผักตามบ้าน..

 


กองทัพปลดแอกประชาชนไทยเกียรติไกรเกริกฟ้า
พรรคปลุกมวลตื่นตัวมาจับอาวุธลุกฮือ
ประสานมือแกร่งไกร
พรรคชี้นำสงครามปลดแอกประชาชาติไทย
ก้าวตามพรรคไปใจเชื่อมั่นอาจหาญ
ถือปืนยืนหยัดรุดหน้าไป ขับไล่จักรพรรดินิยม
โค่นล้มเผด็จการกู้ชาติเพื่อประชา
เราเริ่มจากสองมือเปล่า แย่งเอาอาวุธปืนปฏิกิริยา
เด็ดเดี่ยวเอาอาวุธมันล้างมันแหลกลาญ
วินัยเหล็กเพชรทรหดรอบคอบอดทน
ทำสงครามยาวนานเสียสละกล้าหาญ
ทยานล้างโจรทมิฬ ..
.. ..ฟังเสียงปืนก้องฟ้า ..
.. ปืนปฏิวัติประกาศท้า.. พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน..
งานวันพรรค สหายทุกคนแต่งชุด ทปท. หมวกดาวแดง ที่เท่สุด ๆ หมวดทหาร ถืออาวุธปืน ทั้งนาโต้ M.16 ปืนยิงหัวระเบิด M.79 ..และปืนเอ็มดำ หรือปืน M.16 ควบ M.79 ผูกสายซองแม็กกระสุนปืนรอบเอวรอบตัว พ่วงระเบิดมือแขวนที่เข็มขัด ดูน่าเกรงขาม
หลังอาหารเช้า เป็นการเดินสวนสนามที่สนามบาส.. ของหมวดทหาร นำโดยคุณบรรจง มีดุริยางค์ตีกลองแต๊ก เป่าเครื่องเสียงประกอบ บรรเลงเพลงมาร์ชกองทัพปลดแอกประชาชนไทย.. ที่ปรับจากเนื้อทำนองเพลงเดิมของจิตร ภูมิศักดิ์ แต่งให้พลพรรคที่ภูพาน ก่อนการมีกองทัพปลดแอกประชาชนไทย
สวนสนามเสร็จก็เข้าห้องประชุม มีคุณโรจน์ สหายนำของกองทัพเป็นประธานในพิธี และปราศรัยทางการเมือง
มีการกล่าวถึงสถานการณ์ วิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมือง ที่มีคุณอวบ อดีตผู้นำนักศึกษารามคำแหงยุค 14 ตุลา ..อดีตนักการเมืองพรรคสังคมนิยม.. คุณประยูร ผู้นำนักศึกษา อดีตนายกจุฬาฯ.. ..คุณดิษฐ์ พระมหาชื่อดังแห่งพิราบเหลือง แต่ล่ะท่านระดับขุนพลบนเวทีการเมือง ทั้งนั้น
ตลอดทั้งวัน มีพิธีกรงานการเมือง คือคุณวันดี อดีตนักศึกษาหญิงธรรมศาสตร์ ที่เป็นพิธีกรภาษาปักษ์ใต้ น้ำเสียงหวานระรื่น แต่ก็เฉียบขาด ได้อารมณ์ พูดเก่ง มาสร้างบรรยากาศการเมืองในห้องประชุมตลอดทั้งวัน
กลางคืนเป็นรายการบันเทิง มีการแสดงวงดนตรีของสหายบนกองทัพ และแต่ละหน่วยงาน เขตงาน หมู่ กลุ่มต่าง ๆ สรรหามาแสดงกันทั้งละคร โนรา ลิเกป่า สลับกับกองเชียร์ที่ช่วยกันร้องเพลงปฏิวัติที่เป็นจังหวะรำวง หรือทำนองพื้นบ้าน ให้สหายและมวลชนได้ออกไปเต้นรำ ฟ้อน กันอย่างสนุกสนาน
สหายเขตงานหลายท่านมีฝีมือในการแสดงศิลปะพื้นบ้าน เช่นคุณธรรม คุณจำ.. การแสดงลิเกป่า โนรา คุณจารึก นักร้องเสียงใส เป็นที่ชื่นชอบของสหายยิ่งนัก
การแสดงละคร ส่วนใหญ่จะเป็นสหายบนกองทัพ ละครสะท้อนสังคม ผมนึกย้อนหลังก็ขำทุกที .. คุณสมัย อดีตนักศึกษาคณะเกษตร มช. เล่นละครในบทเศรษฐีใหญ่ ที่เอาเปรียบ คดโกงชาวบ้าน .. ในเรื่อง คุณสมัย เดินออกมาในชุดกางเกงขายาวเสื้อลายดอกสีสด ก็แสดงดีนะ สีหน้า น้ำเสียง ใช่เลย ..
แต่ครั้นตอนเดินกลับเข้าฉากนี้สิ จึงได้เห็นกางเกงเจ้าพ่อเศรษฐีใหญ่ ตูดขาดแถมรอยปะแทบจะเต็มก้น .. จึงเกิดเสียงฮากันตรึม.. โดยมิได้นัดหมาย
ในภาคกลางคืน ผมตะวัน ได้รับมอบหมายให้เป็นหนึ่งในพิธีกร สร้างความบันเทิง ปลุกเร้าให้สหายแต่ละเขตงาน สหายนักรบ ทหาร ทุกฝ่ายได้หมุนเวียนออกมาร่วมสนุก ฟ้อน เต้น
เต้นดวงตะวันแดง เต้นร็องแง็ง ออกมารำวงกันให้เปรี๊ยะปร๊ะ ตึงตัง.. จนย่ำรุ่งไก่เขี่ยแกลบ .. ..
เปรี๊ยะปร๊ะ ตึงตัง เปรี๊ยะปร๊ะ ตึงตัง สหายนั่งกันอยู่ทำไม
ออกมารำวงเร็วไว มารำวงให้เปรี๊ยะปร๊ะ ตึงตัง
ฉันจะเป็นคนร้อง สหายต้องเป็นคนรำ
รำวงสามัคคีชื่นบาน .. รำวงสามัคคีชื่นบาน
รำแบบทหาร ต้องเเปรี๊ยะปร๊ะ ตึงตัง
เอ้า.. เปรี๊ยะปร๊ะ เปรี้ยะปร๊ะ ตึงตัง
รอบนี้ .. ขอเชิญหมวดทหาร.. และสหายงานมวลชนเขตพัทลุง .. ออกมารำวง .. ครับ
.. เชิญออกมารำวงให้ เปรี๊ยะปร๊ะ ตึงตัง .. ..


13. นักเรียนน้อยบนภูบรรทัด (9)


บนกองทัพ นักเรียนน้อยรุ่น 6 ตุลา .. มีหลายคนเก่งด้านดนตรี เพลง นักร้องน้องใหม่เยอะมาก บางคนก็แต่งเพลงใหม่ ๆ และก็มีหลายเพลงเป็นที่นิยม นำไปร้องในการบันเทิงตอนเย็นกัน พอจำได้ว่ามีเพลงดาบปลายปืน เพลงเปรี๊ยะปร๊ะตึงตัง ที่ฮิตในหมวดทหาร
บางกลุ่มถึงกับรวมตัวกันทำวงดนตรี เช่น คุณแสง คุณสายันห์ คุณสิงหา คุณหมอปรีดา คุณธันวา แรก ๆ ก็เอากีต้าร์ เม้าท์ออแกน รวมตัวกันเล่น ร้องเพลงสนุก ๆ และนำไปแสดงในวันงานวันสำคัญ อย่างวันแรงงาน ผมก็จับพลัดจับผลูไปเป็นโฆษกสมัครเล่นด้วย ตอนเย็นรายการบันเทิงเข้าไปร่วมกับกองเชียร์ บอกกล่าวเชิญสหายออกมาเต้น ออกมารำ สำเนียงพูดภาษาใต้ของผมมันแปร่ง ๆ เพี้ยน ๆ เป็นภาษาใต้ที่มีสำเนียงออกลาวอีสานแถมปนเหนือซะอีกด้วย สหายที่ฟังก็ยิ้มขำ ๆ หัวเราะกัน นัยว่าเหมือนฟังเสียงตัวตลกในหนังตะลุง ที่ชื่อ "สะม้อ" จึงต้องได้เป็นโฆษกร่วมในงานบ่อย ๆ เพื่อความหรรษาของสหาย
หลังจากงานวันพรรคในเดือนธันวาคมที่เป็นงานใหญ่มีสหายเขตงานและมวลชนขึ้นมาร่วมแล้ว
ก็ยังมีงานวันสำคัญอื่นอีกที่จัดกันเฉพาะภายในคนบนกองทัพ เช่น 7 มีนา วันสตรีสากล 1 พฤษภา วันแรงงาน ในวันงานก็จะทำอาหารพิเศษ และมีของหวาน ช่วงกลางวันก็จะมีพิธีการทางการเมือง และรายการบันเทิง
ในวันสตรีสากล สหายหญิงเป็นผู้รับผิดชอบงาน รวมทั้งงานกิจวัตรประจำวันอื่น ๆ ด้วย เพื่อเป็นการส่งเสริมบทบาทสตรี ..
ทางกองทัพ คงเห็นความสำคัญของวงดนตรี ของงานศิลปะบันเทิงในแนวรบทางวัฒนธรรม จึงได้เรียกตัวรวบรวมสหายที่มีประวัติ ความสามารถทางดนตรี ร้องเพลง และนักแสดงศิลปะเพื่อชีวิตจากกองทัพพัทลุง ตรัง สตูล ทั้งเขต 1 และเขต 2 มารวมกัน พัฒนาเป็นวงดนตรีจรยุทธ์ ที่มีคุณแสง หรือแสง ธรรมดา คุณชาลี (จากวงดนตรีคุรุชน) คุณพจน์ คุณเอื้อย คุณขวัญ คุณอุ้ม นักแสดงศิลปะ นาฏศิลป์ ส่วนคุณหมอปรีดา คุณสิงหา คุณสายันห์ คุณธันวา นั้นมีภารกิจงานอื่นเป็นหลัก จึงได้ร่วมเป็นบางขณะ ..
ผลงานของวงดนตรีจรยุทธ์นั้นสร้างความสะเทือนเลื่อนลั่น ต่องานการเมืองในเขตงานมวลชนยิ่ง ด้วยมีเพลงปฏิวัติที่เป็นภาษาใต้ ทำนองสนุก ๆ หลายเพลง รวมทั้งเพลงอื่นๆ ที่ถูกอกถูกใจมวลชน จนมวลชนในภาคใต้ เขตสามจังหวัด และตลอดเขตงานภาคใต้ ร้องเพลงปฏิวัติของวงจรยุทธ์ได้อย่างติดปากหลายเพลง..
ตัวอย่าง เพลงวงจรยุทธ์ยอดฮิต..
ที่มีเนื้อร้องเป็นภาษาใต้ เช่น เพลง.. "ตีงูให้กากิน". .."ไสที่เป็นพันนี้". .."เสือกระดาษ"..
ทำนอง.. โนรา ก็มีเพลง "ใครสร้าง ใครเลี้ยง"
ทำนอง ที่เป็นของวัฒนธรรมกลิ่นอายปักษ์ใต้ เพลง "คนกับตะเกียง" "ปักษ์ใต้แดนทอง" "ควนกาหลง"
ทำนองเพลงมาร์ช คึกคัก เร้าใจ.. เพลง "ภูบรรทัดปฏิวัติ" "จรยุทธ์" "ไม่รบนายก็ไม่หายจน" "ความเป็นธรรมนั้นอยู่ที่ไหน"
เพลงซึ้งตรึงใจ.. "จากวนาสู่นาคร" "นักรบเชื้อวีรชนของมวลประชา" เป็นต้น
วงดนตรีจรยุทธ์ นอกจากจะใช้แสดงในวันงานต่าง ๆ บนกองทัพแล้ว ยังได้ลงไปแสดงตามเขตงานมวลชนต่าง ๆ ที่อยู่ในพื้นราบ มีการตั้งเวทีจัดการแสดงละคร ดนตรี ร้องเพลง แสดงนาฏศิลป ทั้งสวย ทั้งเก่ง อย่างคุณเอื้อย คุณอุ้ม คุณขวัญ เป็นกำลังหลัก นำการแสดงพื้นบ้านภาคกลาง เช่น เต้นกำรำเคียว เพลงดอกไม้ เพลงลามะลิลา ร้องโต้ตอบสหายหญิง-สหายชาย อย่างมีเนื้อหาสาระ สอดแทรกมุขฮา สนุก ฝ่ายชายจะมีคุณพจน์ เป็นนักแสดงหลัก และคุณธันวาจากรัฐศาสตร์ มช. ก็เห็น ๆ ร่วมแสดงหลายครั้ง
แถมมี คณะละครจากหมวดทหารร่วมเมื่อลงไปเล่นตามเขตงาน ก็เป็นภารกิจควบของหมวดทหาร ทั้งดูแลรักษาความปลอดภัย ทั้งแสดงละครประชาสัมพันธ์งานการเมือง
คณะวัฒนธรรมปฏิวัติจรยุทธ์นี้มีคุณพจน์เป็นโฆษก สุดหล่อ อารมณ์ดี
คุณพจน์ สุดหล่อ.. โฆษกของวงดนตรีจรยุทธ์นี้นะ ที่รู้มาตอนเป็นนักศึกษาก่อนเข้าป่าเขาเคยถูกผู้กำกับภาพยนตร์คนดังทาบทามให้ไปเป็นพระเอกหนังมาแล้ว.. นะจะบอกให้


14. นักเรียนน้อยบนภูบรรทัด (10)


ใต้แสงแห่งดาว ท่ามกลางป่าเขาเราสู้
แบกปืนเป้อู่ กอบกู้ชีวิตประชา
พวกเราเป็นหมอของประชาชน...
โรงพยาบาลบนกองทัพ เป็นสถานที่พยาบาลตั้งแต่การจ่ายยาคนเจ็บไข้ ป่วยเล็กน้อย ทายาแดงทากกัด น้ำกัดเท้า แทงเข็มรักษาอาการปวดขา ปวดหลัง จนถึงการผ่าตัดเล็ก ผ่าตัดใหญ่ ให้สหาย นักรบบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ และจากการสู้รบ
โรงพยาบาลนี้จะมีพื้นที่ใหญ่กว่าโรงพิมพ์ มีแผนกทันตกรรมด้วยนะ พร้อมทั้งเปิดเป็นโรงเรียนหมอมวลชน ที่มีสหายจากเขตงานขึ้นมาเรียน มาอบรม เรียนรู้แบบแพทย์แผนปัจจุบัน และการฝังเข็มแบบจีน
อาจารย์หมอ ผสมผสานกันระหว่างสหายหมอดั้งเดิมในกองทัพ เช่น คุณเพลิน คุณขวัญ และสหายหมอ-พยาบาลรุ่นใหม่ เช่น คุณปรีดา คุณยุทธ์ คุณประยูร คุณสิงหา คุณมีนา และคุณพะยอม ที่จบแพทย์ปริญญา อดีตนักศึกษาแพทย์มหิดล แพทย์จุฬาฯ และอดีตนักศึกษาพยาบาล..
ต่อมาในช่วงหลัง ๆ ก็มีคุณขวัญ ที่เรียนจบศัลยกรรมแพทย์ จากเหวินซาน ได้เดินทางกลับมาร่วมภารกิจอย่างเอาการเอางาน
ในโรงเรียนแพทย์บนกองทัพ นอกจากสหายจากเขตงานมวลชนขึ้นมาศึกษา ก็มีการคัดเลือกนักเรียนการเมืองการทหารรุ่นหลัง 6 ตุลา .. เข้าร่วมศึกษาด้วย ส่วนใหญ่จะเป็นเยาวชนหญิง
การเรียนคึกคักมาก สหายที่ขึ้นมาเรียนมีความตั้งอกตั้งใจสูง แม้จะยากลำบากกับการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ที่จำเป็นเพื่อจะได้อ่านสลากยาเข้าใจตัวยาได้ เรียน Anatomy ~ อนาโตมี อวัยวะของร่างกาย อุปกรณ์.. สื่อการเรียนรู้ มีลิง ค่าง เป็นอาจารย์ใหญ่ หยวกกล้วยเป็นที่ฝึกฉีดยา แทงเข็ม หรือสหายที่ปวดหัว ปวดเมื่อย ก็มาเป็นหุ่นให้ฝึกปัก จิ้ม แทงเข็ม
เมื่อจบหลักสูตรมีบ้างเข้าร่วมกับหมวดทหาร ที่ขยายตัวเป็นกองร้อยทหาร และเป็นกองพันทหารในเวลาต่อมา
นักเรียนโรงเรียนแพทย์รุ่นนี้เกือบทั้งหมดลงไปปฏิบัติงานมวลชนในเขตงานที่อยู่ในหมู่บ้าน ชุมชน พัทลุง ตรัง สตูลทั้งสามจังหวัดรอบ ๆ พื้นที่ภูบรรทัด
ในหน่วยงานมวลชน ที่อยู่เป็นหน่วยย่อยๆ 4-5 คน อาศัยสวนปาล์ม สวนยาง สวนผลไม้ ชายป่ารอบหมู่บ้าน จะมีผู้ปฏิบัติงานที่มีความรู้ความสามารถทางการแพทย์ แต่ละหน่วย 1 ถึง 2 คน .. หน่วยที่ชุมชนหนาแน่น ก็จะมีถึง 3 คน นอกจากนั้นยังมีระบบส่งเมล์ ส่งข้อมูลผู้ป่วยที่มีอาการผิดปรกติ ไม่สามารถวินิจฉัยโรค แนวทางรักษาโรคได้ ไปถามไปปรึกษาเหล่าท่านอาจารย์หมอ ..หรือคุณหมอปรีดา ให้คำตอบ บางกรณีที่มีอาการหนัก หรือจะต้องผ่าตัด คุณหมอจากโรงพยาบาลกองทัพก็จะลงมาเอง..
ขอกล่าวถึงเหตุการณ์ที่สหายบาดเจ็บ ถึงขั้นการรักษาต้องใช้วิธีผ่าตัด เมื่อข่าวไปถึงกองทัพ .. คุณหมอปรีดา และคุณสิงหา ทราบเรื่องก็รีบจัดยา และเครื่องมือทางการแพทย์ เดินทางจากกองทัพลงสู่เขตงาน โดยเร่งรีบอย่างไม่ยอมหยุดพัก
เมื่อตรวจดูอาการคนป่วย บาดแผลสาหัสที่ขาเสียเลือดมากจำเป็นต้องให้เลือด ก็จัดการตรวจกรุ๊ปเลือดและตรวจความเข้ากันได้ของเลือด (cross matching) แล้วก็สูบเอาเลือดของสหายแพทย์ คุณสิงหาใส่ถุง แล้วถ่ายต่อให้คนป่วยทันที
การผ่าตัดเป็นไปด้วยดี .. แต่ทั้งคุณหมอปรีดา และคุณสิงหา ก็แทบหมดแรง .. กับการรักษาผ่าตัด การให้เลือด และการเดินลงเขาระยะยาวนานอย่างไม่หยุดพัก
ด้วยจิตใจรับใช้ประชาชนของสหาย ที่อุทิศตนเป็นหมอของประชาชน ทำการดูแลรักษา มวลชนชนบทผู้ขาดแคลนสวัสดิการทางสาธารณสุขจากรัฐ จึงพึ่งพาอาศัยหมอมวลชนของ ทปท. ที่เข้าไปรักษาถึงในบ้าน โดยไม่คิดค่ารักษา มวลชนที่มีอาการเรื้อรังเช่นโรคปอดอักเสบ หมอมวลชนก็จดชื่อยากิน ยาฉีดให้ญาติผู้ป่วยไปซื้อจากร้านขายยาในเมือง แล้วสหายจะมาฉีดให้ตามกำหนด
บ่อยครั้งเราจะรักษาด้วยวิธีแทงเข็ม ผลการรักษาเป็นที่ชื่นชอบ ยอมรับว่าหายจากอาการเจ็บป่วย หรือดีขึ้นมาก การรักษาของเราจึงเป็นที่ต้องการของมวลชน ผลตอบแทนที่ได้มักจะเป็นผลผลิตจากไร่ สวน บางทีก็มีของฝากอาหาร ขนม จากตลาด
งานหมอมวลชน เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขตงานมวลชนขยายกว้างไกลออกไปถึงชุมชนในเมือง ใกล้ ๆ หรือติดกับตัวเมืองของอำเภอ
ชีวิตผมตอนหลัง ๆ เมื่อไปทำงานมวลชน ก็ด้วยคุณรินนักเรียนหลักสูตรหมอที่ศึกษาจากที่นี่แหละดูแลรักษา ครั้งป่วยเป็นไทฟอยด์จนหาย จึงได้อยู่รอดปลอดภัย..


15. งานมวลชน (1)


.. เสียงลือกันว่าที่ประเทศพม่า มีดารา นางงาม นางแบบ นายแบบ เข้าร่วมกองทัพประชาชน เป็นนักรบปฏิวัติต่อสู้กับรัฐบาลเผด็จการทหาร
ย้อนอดีตครั้งเป็นนักรบปฏิวัติไทย ที่เขตงานมวลชนสตูล มวลชนก็ชุบชิบกันว่า สหายแต่ล่ะคนมีแต่สวย ๆ หล่อ ๆ สหายคนนั้นเหมือนดาราชื่อนั้น ชื่อนี้ กันเลยล่ะ
คุณเวช.. วัยรุ่นชายยกยอว่าหล่อเข้มเหมือน ดาม ดัสกร
คุณเหม นั้นก็ผมหยิกหยัก จมูกโด่งเค้าหน้าเหมือน ไพโรจน์ ใจสิงห์
คุณสายันต์ก็ดั่งพระเอกหนังจีน
คุณเรือง ยิ้มเก่มีเขี้ยวคล้าย ไพโรจน์ สังวริบุตร
คุณริน ขวัญใจเยาวชนหญิงเป็นคู่เหมือน มลฤดี ยมาภัย .. ว่าซ๊าน..
หน้าตาดี ทำงานดี มวลชนชื่นชมครับ สหายจังหวัดสตูล
ผมสหายตะวัน เรียนจบโรงเรียนการเมืองการทหาร จากสถาบันบ้านตระ ภูบรรทัด กองทัพพัทลุง ตรัง สตูล ได้รับคำสั่งให้ไปปฏิบัติงานมวลชนที่จังหวัดสตูล ลงไปทำงานมวลชนครั้งแรกตั้งที่พักแรมอยู่ตามชายป่า บ้านทุ่งนางแก้ว ตำบลเขาขาว อำเภอละงู
เคลื่อนไหวแบบจรยุทธ์ ตั้งค่ายพักชั่วคราว ย้ายที่ไปเรื่อย ๆ ในพื้นที่อำเภอละงู แถบตำบลเขาขาว และมะนังเป็นส่วนใหญ่ สหายร่วมหน่วยงานที่จำได้ มีคุณญา คุณอ้น คุณระเบียบ คุณริน คุณเผียน คุณเรือง คุณชำนิ คุณเวช คุณฉ่ำ คุณรักธรรม ซึ่งในบางครั้งคุณชำนิ คุณฉ่ำ คุณรักธรรม คุณระเบียบ ก็ออกไปเป็นหน่วยย่อย ๆ เพื่อขยายเขตงานมวลชนไปจนถึงนิคมควนกาหลง และเชื่อมกับบ้านเขตงานพื้นที่อำเภอทุ่งหว้า ที่มีคุณสมบัติเป็นสหายนำ มีคุณมัย คุณเหม คุณพัน คุณสายันต์ ร่วมหน่วยงานเคลื่อนไหวอยู่ทางนั้น
ผมลงมาปฏิบัติงานมวลชนไม่นาน มีมวลชนมาบอกสหายในหน่วยว่า วันนี้ที่โรงเรียนทุ่งนางแก้ว มีครูสาวจากที่อื่นมาบรรจุใหม่ พักที่บ้านพักครูในโรงเรียน
ปกติที่โรงเรียนบ้านทุ่งนางแก้วนี้ ครูที่อยู่ก็คุ้นเคยกับสหาย เป็นแนวร่วม เป็นมวลชน ที่สหายเราแวะไปทำงานการเมืองอยู่บ่อย ๆ
คุณเผียนสหายนำ.. เห็นว่าครูนั้นคือปัญญาชน และเห็นว่าผมก็เป็นอดีตนักศึกษา พวกปัญญาชนด้วยกันน่าจะเสวนา พูดคุยกันได้ถูกคอ เข้ากันได้ดี จึงมอบหมายให้ผมเป็นคนไปพบครูสาวที่มาบรรจุใหม่เพื่อทำงานมวลชน งานการเมือง สร้างภาพลักษณ์ที่ดีของพรรค โดยให้ไปกับคุณเวช ซึ่งเป็นสหายฝ่ายทหาร
เมื่อทานข้าวเย็นเสร็จ.. ค่ำ ๆ เราสองคน ก็พากันเดินลัดเลาะตามแนวป่า และถนนทางไปโรงเรียน ผมในชุด ทปท. เต็มยศ สะพายปืนคาร์บิน ส่วนคุณเวชก็ชุด ทปท. สะพาย M.16
.. ผมเองแหละที่ชวนคุณเวชแต่งอย่างนี้ ไปแบบนี้.. มวลชนเห็นจะได้ชื่นชอบมั่นใจในพรรค. .. คือเอาความคิดตนเอง สมัยเป็นนักศึกษา.. ที่ใฝ่ฝันอยากเห็น ทหารป่า ทหารประชาชนในชุดดาวแดง .. แบบชาวบ้านของจีนในหนังสือเรื่องดาวแดงอันแวววับ ที่ประชาชนจีนรอคอยกองกำลังทหารประชาชน ผู้จะมาขจัดพวกเจ้าที่ดิน อันธพาลท้องถิ่น พวกขุนศึกชั่วร้าย พวกรังแกประชาชน เมื่อประชาชนได้เห็นทหารของพรรคต่างยินดี โห่ร้องไชโย อบอุ่นใจ
จึงคิดไปว่าครูสาวบรรจุใหม่ เห็นนักรบประชาชนอย่างเรา คงตื่นเต้นดีใจ ชื่นชมแน่ ๆ เลย..
เราเดินฝ่าความมืดไป คุณเวชสหายฝ่ายทหาร ที่ไปด้วยรูปร่างลักษณะผิวคล้ำแบบคนใต้ หล่อเข้มหนวดเคราเขียวจางบนใบหน้า มีแววตากล้าของนักสู้
ครั้นเดินเข้าไปในโรงเรียน มองไปที่บ้านพักครู มีแสงไฟฟ้าส่องสว่าง เห็นครูเก่าครูใหม่ กำลังคุยกันที่ข้างล่างใต้ถุนบ้าน
เราสองคนเดินยิ้มเข้าไปหา เพื่อทักทาย คิดว่าคุณครูสาวคงจะดีใจที่ได้เห็นสหายตัวเป็น ๆ .. ..
ที่ไหนได้ คุณครูสาวที่เพิ่งมาบรรจุใหม่เป็นคนท้องถิ่นอื่น ไม่ได้มีพื้นความคิดการเมืองที่ก้าวหน้า ไม่ประสีประสาเรื่องการเมืองอะไรเลย มีแต่ความคิดฝังใจที่ติดตัวมาแบบกลัวคอมมิวนิสต์.. .. เมื่อเห็นเรามาแบบชุดทหารป่า สะพายปืนสงคราม เธอก็ตัวสั่นหน้าซีดตกใจ .. วิ่งหนีขึ้นบันไดเข้าไปในห้อง ล็อคประตู .. พร้อมเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น ..
ครูเก่ารุ่นพี่ ขึ้นไปเคาะประตูห้องและพูดปลอบก็ไม่ยอมฟัง ไม่ยอมเปิดประตูเอาแต่ร้องไห้เสียงสั่น
ผมและคุณเวชอยู่ต่อไม่นาน ดูสภาพมันไม่ดีขึ้นก็กลับ คิดว่าวันหลังจะไปใหม่
รุ่งเช้า.. ครูสาวขนของกลับเข้าเมือง ไม่มาอีกเลย.. ไม่รู้ลาออกเลย หรือทางการเยียวยาให้ไปอยู่ที่อื่นไม่ทราบ..


ต่อด้วยเฮฮา ประสาแม่ครัวหัวป่าก์ในเขตงาน
บริเวณเคลื่อนไหวงานมวลชนของเรา คือพื้นที่จากป่าภูบรรทัด ถ้ำเจ็ดคด ป่าพน น้ำตกวังสายทอง ลงไปตำบลมะนัง ตำบลเขาขาว จนถึงในตัวอำเภอละงู ..
พื้นที่เขตป่า ที่เป็นป่าดงดิบ สมัยนั้นยังมีการทำไม้ พรรคเรา กองทัพประชาชนเราได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มนายทุนทำไม้ ผู้ได้รับสัมปทานป่า ทั้งเงินสนับสนุนพรรค เสบียง และของฝากอื่น รวมทั้งการรับฝากซื้อ ส่งเสบียง วัสดุ เวชภัณฑ์..
เหตุการณ์สนุก ๆ ขำ ๆ เกิดขึ้น..
ในวันหนึ่ง เราได้ของฝากจากแนวร่วมที่ทำกิจการป่าไม้ ได้ทั้งปลากระป๋อง เครื่องกระป๋องอื่น ๆ ขนม ผลไม้ หลายห่อ หลายถุง..
สหายทางใต้เราก็ล้วนมาจากมวลชนในเขตงาน ซึ่งอยู่ตามชนบท และที่ทำมาหากินเขตแนวป่าเขา
สหายหญิงในเขตงานส่วนใหญ่จะปฏิบัติหน้าที่หมอมวลชน ขณะเดียวกันเมื่ออยู่ในที่พัก เธอก็จะเป็นผู้จัดการเรื่องอาหารการกิน.. ดังนั้นเมื่อได้ของฝาก สหายหญิง คุณญา คุณอ้น คุณริน ก็ทำการตรวจดูของฝาก วัตถุดิบแล้วก็คิดทำเมนูเด็ด ๆ ให้สหายได้กินกัน ..
สุดท้าย เมนูเด็ดที่สหายคิดไว้.. เป็นอันล้มเหลว .. นั่งขำ หัวเราะกัน .. ในความเฉิ่ม ในความไม่รู้..
ความที่เบื่อปลากระป๋อง ด้วยได้มาบ่อย เหลือบไปเห็นกระป๋องที่มีรูปวัวสีแดง เขียนเป็นภาษาอังกฤษ และภาษาแขก อ่านไม่ออกแปลไม่เป็น จึงคิดไปเองว่า ต้องเป็นเนื้อวัวกระป๋องแน่ ๆ.. คิดเมนู.. แกงเนื้อวัวกระป๋อง.. ว่างั้นเถอะ ..
มีดงัดแงะ เปิดฝากระป๋องออกมา ที่ไหนได้มันเป็นใบชา ชาสำหรับชงดื่ม.. Tea.. ใบชาบรรจุกระป๋อง.. ก็นั่งขำ ๆ กัน
ยังไม่หายขำ..
ก็ต้องมาขำกลิ้งกันอีก.. สหายหญิง แม่ครัวหัวป่าก์เราเตรียมอีกเมนู ด้วยการทำปลา และเตรียมเครื่องแกงส้ม .. ว่าจะทำแกงส้มปลา .. สหายคิดว่าในถุงที่ยัดกันเป็นก้อน ๆ ของผลไม้ บี้แบนสีน้ำตาลในถุงของฝากมันคือมะขามเปียก
เมื่อจะทำแกงส้ม.. หยิบเอาออกมา
เอ้า.. เอ้.. ดูแปลก ๆ ไม่เหมือนมะขามเปียกทั่วไป ชิมดูมะขามเปียกของฝากจากแนวร่วมทำไมมันหวาน ๆ..
โอล่ะพ่อ.. ที่เขาให้มานั้นนะ.. มันคืออินทผาลัม.. !!??
55555


16. วันเจ็ดสิงหา


ค่ำคืนนี้ที่หน้าบ้าน ซึ่งเป็นศาลจังหวัดอุบลราชธานี ..กำลังเตรียมสถานที่จัดงานวันรพี ..ซึ่งตรงกับวันที่ 7 สิงหา..
.. เราผู้เฒ่าย้อนคิดไปถึงอดีต เมื่อ 40 กว่าปีก่อนโน้น วัน 7 สิงหา ก็ถือเป็นวันสำคัญให้ระลึกถึงเช่นกัน ..เรียกว่า “วันเสียงปืนแตก”
.. ที่บ้านนาบัว อำเภอเรณูนคร วันที่ 7 สิงหาคม 2508 กระสุนปืนปฏิวัตินัดแรกได้ดังขึ้น
.. กาลต่อมา 6 ตุลา 2519 เกิดเหตุการณ์ล้อมปราบ นักศึกษาประชาชนที่รวมตัวกันในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นักศึกษาประชาชนถูกฝ่ายอำนาจเถื่อน จับขัง ทำร้าย เข่นฆ่า อย่างโหดเหี้ยม พร้อมกับการทำรัฐประหารยึดอำนาจประเทศ
.. แนวทางสันติวิธี ถูกปิดกั้น
.. หลังเหตุการณ์ 6 ตุลา ปี 2519 ประชาชน นักศึกษา ต่างเข้าร่วมการต่อสู้แนวทางใหม่ ..ได้เข้าสู่เขตจรยุทธ์ ฐานที่มั่นของกองทัพประชาชน ที่อยู่ตามป่าเขา ภูดอย ..
.. เพลานี้ ย้อนคิดถึงวันงาน "7 สิงหา" ..ที่ภูบรรทัด กองทัพพัทลุง ตรัง สตูล งานวัน 7 สิงหา นับว่าเป็นงานใหญ่งานหนึ่งของกองทัพประชาชน
.. สหาย และมวลชนในเขตงานทั้งสามจังหวัด เดินทางขึ้นมาร่วมฉลองงานที่กองทัพ บรรยากาศกองทัพช่วงนี้ช่างคึกคักยิ่ง มวลชนเดินทางมาร่วมร้อย
สหายงานมวลชนตามเขตงานต่าง ๆ สหายนักรบกองร้อย ทยอยขึ้นมากัน เสียงทักทาย จับมือเมื่อเจอะเจอกันด้วยความยินดี และคิดถึง เสียงบทเพลงแห่งอุดมการณ์ดังก้องกังวานภูบรรทัด สหายนักรบประจำค่าย มายืนหน้าเปื้อนยิ้ม รอเรียงแถวกันพร้อมจับมือประสานมือต้อนรับการขึ้นมาร่วมงานของสหายนักรบ มวลชน และแขกที่ขึ้นมาเยือน
.. วันงานมาถึง แบ่งภารกิจ โดยมีนักรบบางส่วนประจำการเฝ้าระวังตามเส้นทาง และคอยส่งสัญญาณหากมีเหตุร้าย หรือเครื่องบินจะมาโจมตี พร้อมการวางแผนกับสถานการณ์ฉุกเฉิน การแบ่งกำลังสกัดกั้น ปีกซ้าย-ขวา สัญญาณ รหัสต่าง ๆ จนถึงวิธีการถอยสู่จุดนัดพบที่ปลอดภัย
.. ผู้คนหลั่งไหล ล้นพื้นที่เดิมของกองทัพ ..เป็นงานเลี้ยงใหญ่แม้จะอยู่ในป่าเขา.. มีอาหารเลี้ยงอย่างดี ล้มวัว ..กินของหวานบวดสาคูผสมทุเรียนป่ากวน ที่สำคัญได้กินข้าวล้วน ๆ ไม่ปนหัวมัน
.. ภาคเช้า ..เพลงมาร์ชกองทัพ.. ถูกบรรเลงดังกระหึ่ม เหล่านักรบโดยเฉพาะกองร้อยทหารเดินสวนสนาม ที่มีคุณบรรจง และนักรบในชุด ทปท. หมวกดาวแดง พิเศษผูกผ้าพันคอ อาวุธประจำกายนาโต้ เอ็มสิบหก ครบเดินพร้อมเพรียงสง่างาม
.. เสร็จพิธีสวนสนาม ..ทั้งสหายจากเขตงาน มวลชน เหล่านักรบ เข้าสู่ห้องประชุม.. คุณโรจน์สหายนำกล่าวเปิดงาน มีการเล่าสถานการณ์ การปลุกเร้าให้ยึดมั่นแนวทางการต่อสู้ "อำนาจรัฐได้มาด้วยปืน" ยึดมั่นหลักคิดทฤษฎีการเมือง การอภิปรายเน้นการเมือง โดยสหายนำ และนักรบรุ่นใหม่ เช่น คุณอวบ คุณประยูร คุณดิษฐ์ โดยมีคุณวันดี ที่เข้ามาจากเหตุการณ์ 6 ตุลา เป็นพิธีกร
..ภาคค่ำบันเทิง ศิลปะการแสดงจากหน่วยงานมวลชน จากกองร้อยทหาร จากหน่วยงานพลาธิการ การแสดงดนตรีที่มีคุณหมอปรีดา คุณสิงหา คุณสายันห์ วงจรยุทธ์โดยคุณแสง คุณชาลี คุณพจน์ การแสดงนาฏศิลป์ปฏิวัติโดยคุณอุ้ม คุณเอื้อย คุณขวัญ..
สลับกองเชียร์ร้องเพลง มีสหายมวลชนร่วมร้องรำทำเพลง เต้นโหรงเหรง เต้นดวงตะวันแดง ตลอดคืน มวลชน นักรบทุกหมู่เหล่า หมุนเวียนกันออกมาร่วมเต้น ร่วมรำวง ด้วยเพลงปฏิวัติอย่างคึกคัก..
.. แม้ว่าบางครั้งในค่ำคืนนั้น เสียงนกหวีดสัญญาณเหตุร้ายดังยาว สลับสั้น ถี่ ๆ ต่อทอดเข้ามา พร้อมเสียงตะโกน ..เรือมา.. เรือมา (เครื่องบินรบมา) .. ไฟฟ้าทุกดวง ตะเกียงน้ำมัน ไฟฉาย ทุกอันจะดับปิดสนิท เราอยู่ในความมืด ค่ำคืนกลางป่าเขา ใจระทึกกับเสียงเครื่องบินรบที่บินอยู่ไม่ไกล จะยิง ทิ้งระเบิดบอมบ์ หรือไม่ ?
.. ไม่นานเสียงเครื่องบินรบผ่านเงียบไป เสียงนกหวีดลากยาวห่าง ๆ สัญญาณความปลอดภัยดังขึ้น.. ไฟฟ้าส่องสว่างอีกครั้ง.. พร้องเสียงเพลงปฏิวัติท่วงทำนองคึกคัก ทั้งมาร์ช ทั้งจังหวะรำวง
.. ปัง ปัง ปัง เสียงปืนดังเจ็ดสิงหา..
.. เสียงเหล่านักรบร้องเพลง เสียงกลองระรัว พิธีกรเชิญมวลชน นักรบหน่วยต่าง ๆ ออกไปเต้น ไปรำฟ้อน ก็เป็นไปอย่างคึกคัก สนุกคะนองใจกันต่อไป.. ..จนฟ้าแจ้ง ไก่ออกมาเขี่ยแกลบ
.. อดีตความหลัง .. เป็นความเศร้าของแผ่นดิน
.. แลปัจจุบัน .. วงจรอุบาทว์ เหลือบการเมืองจ้องฉกอำนาจเพื่อฉ้อ โกง อีกขุนทหารยังยึดอำนาจ ส่งผ่านหมู่พวกวนเวียนกัน ..
กาลข้างหน้า.. ฟ้าใหม่ ประชาไทยจะสดใส มั้ยหนอ ? คำตอบอยู่ที่ประชาชน พลังชน !!

จบ

 

 

โปรดติดตามและมีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท.  โปรดคลิ๊ก