ดิจิตัล วอลเล็ท EP2-จะเดินต่ออย่างไร
วิเคราะห์และสรุปโดย ดาวกระจายประกายแสง
โครงการ digital wallet จะต้องตายไปพร้อมกับการไปของอดีตนายกเศรษฐาหรือไม่ จะเดินต่อไปอย่างไร คงเป็นคำถามของประชาชนทั่วไป แต่พอได้นางสาวแพรทองธาร ชินวัตรหรืออุ๊งอิ๊ง หรือนางสาวแพรทองธารได้รับการโหวตให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป พร้อมกับรายชื่อของรัฐมนตรีว่าการและช่วยว่าการกระทรวงการคลังยังเป็นคนเดิม ทำให้เชื่อว่าโครงการจะเดินหน้าต่อไป โดยโครงการนี้จะนำล่องจ่ายเงินให้กับกลุ่มเปราะบางที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐอยู่แล้วจำนวนประมาณ 14 ถึง 15 ล้านคน โดยจะจ่ายให้ภายในวันที่ 30 กันยายน 2567 นี้ และจ่ายเป็นเงินสดไม่ใช่ Digital Wallet ส่วนที่เหลืออีก 45-46 ล้านคน จะดำเนินการในรูปแบบไหนก็คงต้องรอการแต่งตั้งครม. และเข้าทำหน้าที่ให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยมาว่ากัน
เรื่องนี้เลยต้องย้อนกลับที่มาที่ไปของโครงการ Digital Wallet สักหน่อย หากย้อนติดตามข่าวในช่วงปีที่แล้ว ที่มีการเสนอชื่อผู้เข้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของแต่ละพรรคการเมือง เมื่อมีชื่อนายเศรษฐา ทวีสินลอยมาจากพรรคเพื่อไทย แล้วก็มีชื่อ โครงการ Digital Wallet เกิดขึ้นทันที จึงคาดเดาได้ว่าโครงการนี้เป็นแนวคิดที่ติดตัวมากับนายเศรษฐา ขายให้กับพรรคเพื่อไทยและพรรคเพื่อไทยก็ฉวยเอามาเป็นนโยบายเรือธงของพรรคทันที หลังจากที่หานโยบายเด็ดๆ ไม่ได้
สิ่งที่รัฐบาลได้จัดเตรียมโดยผ่านการถกถียงโต้แย้งกันครั้งใหญ่เป็นช่วงเวลาหลายๆ เดือน กว่าจะสรุปออกมาได้ว่างบประมาณจะเอามาจากไหนก็แทบตาย ข้อสรุปคือการหางบประมาณมาสนับสนุนโครงการประมาณ 4.5 แสนล้านบาท ซึ่งตอนนี้ก็ถือว่าลงตัวแล้ว นั่นคืองบประมาณจะมาจาก 2 ขยัก 2 ปีงบประมาณ ดังนี้
งบส่วนแรก เป็นงบเพิ่มเติมที่รัฐบาลสามารถหาได้จากงบประมาณปี 2567 โดยมี 2 ก้อน คือ งบประมาณเพิ่มเติมงบประมาณประจำปี 2567 วงเงิน 1.22 แสนล้านบาท ซึ่งงบก้อนนี้ได้ผ่านเป็นพระราชบัญญัติเพิ่มเติมฯ จากทั้งสองสภาเรียบร้อยแล้ว และงบที่เกิดจากการเกลี่ยและดึงมาจากงบลงทุนปกติอีก 4.3 หมื่นล้านบาท รวมเป็น 1.65 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตามวงการอุตสาหกรรมและการลงทุนได้ตั้งข้อสังเกตว่า เหตุไฉนงบประมาณปี 2567 ตัวแม่กว่าจะประกาศใช้จริงได้ก็ต้องรอถึงเดือนพฤษภาคม 2567 จึงเกิดการคาดเดากันว่าเป็นการพยายามขุดหาเงินจากร่างงบฯ เดิมนำมาใช้ในโครงการ Digital Wallet ผลเสียที่เกิดขึ้นคือจะมีผลทำให้งบลงทุนของส่วนราชการใช้ไม่ทันและทำให้สามารถดึงเงินกลับมาได้ ซึ่งน่าจะเป็นก้อนเดียวกันกับยอดงบ 4.3 หมื่นล้านบาท และเนื่องจากเงินงบ 2 ก้อนนี้ (1.22 แสนล้านบาท + 4.3 หมื่นล้านบาท) ซึ่งจะต้องใช้ให้ทันภายในปีงบประมาณ 2567 ซึ่งก็คือต้องใช้ให้ทันวันที่ 30 กันยายน 2567 ทำให้รัฐบาลไม่มีทางเลือก ต้องรีบใช้จ่ายเงินก้อนนี้ออกไปก่อน ไม่สามารถรอให้แพลตฟอร์มการโอนรับจ่ายเงินของระบบ Digital Wallet เสร็จก่อนเพราะคาดว่าน่าจะเสร็จตอนสิ้นปี จึงสังเกตได้ว่ารัฐบาลต้องจ่ายให้เป็นเงินสดให้กับกลุ่มเปราะบางประมาณ 15 ล้านคน ก่อนและต้องจ่ายให้ทันภายในวันที่ 30 กันยายน 2567
งบส่วนที่สอง เป็นงบที่มาจากงบของปีงบประมาณปี 2568 จำนวน 2.85 แสนล้านบาท มีอยู่ 2 ส่วน คืองบกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้จากการจัดสรรปกติ จำนวน 1.527 แสนล้านบาท และอีก 1.323 แสนล้านบาท มาจากเงินเหลือจากวิธีการบริหารงบประมาณ (เดาว่าน่าจะเอามาจากงบกลางบวกกับการดึงงบที่ใช้ไม่ทันของปี 2568 รวมกัน)
สำหรับงบส่วนที่สองที่จะมาจากงบประมาณปี 2568 นั้น ในวันที่ 5 กันยายนนี้ สมาชิกสภาจะมีการพิจารณางบประมาณในวาระสองและสาม ซึ่งเชื่อว่าจะมีการลงมติให้ผ่านภายในวันดังกล่าว โดยที่ รมช.คลังนายจุลพันธ์กล่าวว่า น่าจะเพียงพอสำหรับผู้จะได้รับสิทธิจำนวน 50 ล้านคน โดยเชื่อว่าจะมีผู้ใช้สิทธิจริงประมาณ 45 ล้านคน
กล่าวโดยสรุปก็คือ เงินในส่วนแรกที่มาจากงบประมาณปี 2567 น่าจะเสร็จโครงการไปภายในเดือนกันยายนนี้และในรูปของเงินสด เป็นการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางเป็นอันดับแรก ส่วนเฟสต่อมา ก็คือในปี 2568 รัฐบาลจะยังใช้รูปแบบเงินดิจิตอลหรือไม่ หรือจะเป็นเงินสดเหมือนเฟสแรก ยังไม่มีคำตอบที่แน่นอน และ ยังจะเป็นคนส่วนที่เหลือหรือประมาณ 45 ล้านคนหรือไม่ หรือจะมีการลดทอนจำนวนคนลงไป ซึ่งคงต้องติดตามกันต่อไป
ประเด็นที่ผู้เขียนอยากจะติดตามวิเคราะห์ต่อก็คือ ผลได้ผลเสียของโครงการ Digital Wallet ที่จะมีต่อสังคมส่วนรวมว่าจะมีมากน้อยแค่ไหนตามที่ได้เคยตั้งคำถามทิ้งท้ายไว้ใน EP 1 โดยอยากจะมุ่งความสนใจไปยังกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากโครงการนี้ นอกจากประเด็นนี้ก็ยังจะเพิ่มความสนใจไปยังเรื่อง ผลที่ได้ผลเสียต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ว่าจะเป็นการเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจผ่านการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศหรือ GDP แบบพายุหมุนตามที่รัฐบาลเพื่อไทยตั้งใจให้เกิดหรือไม่ หรือเป็นการใช้เงินในจำนวนที่มากภายในกิจกรรมที่ไม่เกิดผลมากเท่าไหร่ต่อเศรษฐกิจโดยรวมกล่าวคือควรจะใช้เงินจำนวน 4-4.5 แสนล้านบาทดังกล่าวไปให้กับการพัฒนาด้านอื่นๆ แทนไม่ว่าจะทั้งหมดหรือบางส่วนหรือไม่
สำหรับในประเด็นแรก ได้เคยเกริ่นไว้ ใน EP1 ว่าเราต้องมีข้อมูลที่ชัดเจนกว่านี้ว่าระบบจะออกมาในรูปไหนกันแน่ เพราะตอนนี้ได้แต่คาดเดากันจากข้อมูลหยาบๆ ที่รัฐบาลแจ้งมา ดังนั้นจึงขอเก็บเรื่องไว้ก่อน
สำหรับในประเด็นที่สองนี่น่าสนใจเพราะมีความเห็นต่างจากรัฐบาลจากหลายภาคส่วน ที่เห็นชัดๆ คือ จุดยืนของธนาคารแห่งประเทศไทยและความเห็นของพรรคฝ่ายค้านอย่างพรรคก้าวไกล(หรือพรรคประชาชนในทุกวันนี้) ซึ่งเห็นตรงกันว่า โครงการ Digital Wallet ไม่ตอบโจทย์ตอบปัญหาเศรษฐกิจของบ้านเมืองในปัจจุบัน ทั้งนี้จะขอสรุปย่อๆ จากความเห็นจากธนาคารแห่งประเทศไทย ดังนี้
1) ความจำเป็นที่จะกระตุ้นการบริโภคในวงกว้างมีไม่มาก โดยในปี 2566 การบริโภคภาคเอกชนของไทยขยายตัวได้ที่ร้อยละ 7.1 เทียบกับค่าเฉลี่ยช่วงปี 2553 – 2565 ที่ขยายตัวเฉลี่ยที่ร้อยละ 3 ต่อปี และในครึ่งปีแรกของปี 2567 การบริโภคของไทยก็ยังขยายตัวไม่หยุดอยู่ที่ 4 % ซึ่งยังเติบโตสูงกว่า GDP อยู่มาก
2) การต้องใช้งบสูงถึง 4.5-5 แสนล้านบาทเป็นภาระที่เพิ่มขึ้นอย่างหนักต่อสถานะทางการคลังในระยะยาว และหากไม่สามารถรักษาเสถียรภาพภาระหนี้ภาครัฐได้ จะเพิ่มความเสี่ยงที่ประเทศไทยจะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ เช่น เกณฑ์การประเมินของ Moody’s ได้กำหนดอัตราส่วนภาระดอกเบี้ยจ่ายต่อรายได้ของประเทศในกลุ่ม Baal (Rating ของไทยในปัจจุบัน) และเสี่ยงที่จะจะทำให้ต้นทุนการกู้ยืมภาครัฐและภาคเอกชนปรับเพิ่มขึ้น
3) ด้วยเม็ดเงินจำนวนมากขนาดนี้ ถ้านำไปกระตุ้นหรือส่งเสริมเศรษฐกิจในส่วนอื่น เช่นภาคการผลิต จะสร้างผลิตภาพที่ดีขึ้นทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ทั้งนี้ จะขอเจาะลึกไปดูไส้ในของ GDP ไทยใน 2 ไตรมาศแรกของปี 2567 นี้ จะพบตัวเลข ดังนี้
|
Q1 /2024 |
Q2/2024 |
GDP |
1.6 |
2.3 |
การบริโภคของเอกชน |
6.9 |
4 |
การบริโภคของรัฐ |
-2.1 |
0.3 |
การลงทุน |
-4.2 |
-6.2 |
การส่งออก |
2.5 |
4.8 |
จะเห็นได้ว่าตัวเลขการบริโภคของภาคเอกชนซึ่งก็คือการจับจ่ายใช้จ่ายของประชาชนทั่วไปไม่ได้เป็นตัวฉุด GDP ให้ตกต่ำลง แต่การบริโภคของภาครัฐซึ่งก็คือการจับจ่ายใช้สอยรัฐกลับเป็นตัวฉุดรวมถึง การลงทุนของภาคเอกชน ซึ่งการจับจ่ายใช้สอยของภาครัฐที่ต่ำนั้นเกิดจากจากงบประมาณปี 2567 เพิ่งประกาศใช้เมื่อกลางปีที่ผ่านมานี่เอง ในขณะที่การลงทุนภาคเอกชนอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด ถ้ารัฐ ใช้เงิน 5 แสนล้านบาทนี้กระจายให้กับภาคการผลิตและการลงทุนน่าจะตรงเป้ามากกว่าหรือไม่อย่างไร
จึงขอฝากพวกเราเข้าไปขบคิดต่อ ส่วนโครงการที่คิดเท่า Wallet จะเดินไปยังอย่างไรในส่วนที่เหลือ ผู้เขียนจะติดตามและนำเสนอเป็นระยะระยะ ต่อไป
วิเคราะห์และสรุปโดย ดาวกระจายประกายแสง
สนใจสมัครสมาชิกผู้มีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท. โปรดคลิ๊ก