ยุทธวิธีกับทรัมป์ : ประชาชนไทยอยู่ตรงไหน
ยุทธวิธีกับทรัมป์ : ประชาชนไทยอยู่ตรงไหน
ย่างเข้าเดือนเมษายน อากาศในไทยนอกจากจะร้อนอบอ้าวเป็นบางวันแล้ว ยังสลับด้วยฝนผสมพายุฤดูร้อน บวกกับอากาศเย็นในช่วงเช้า สะท้อนความวิปริตผิดปกติของธรรมชาติ.
เช่นเดียวกับ สถานการณ์เศรษฐกิจ, การเงิน และการเมืองของโลกที่ปั่นป่วนส่งผลกระทบคนทั้งมวล.
วันที่ 2 เมษายน ศกนี้ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศต่าง ๆ ตั้งแต่ 10 % จนถึง 49 %.
จีนโดนเรียกเก็บภาษี 34 % จากเดิมที่ขึ้นมาแล้ว 20 % รวมเป็น 54 %.
กัมพูชาโดนเรียกเก็บภาษีสูงสุด 49 % ตามมาด้วยลาว 48 % เวียตนาม 46 % และไทย 36 % อินโดนีเซีย 32 % มาเลเซีย 24 % และสิงคโปร์โดนไป 10 %.
สังเกตได้ว่าประเทศในกลุ่มอาเซี่ยนที่ทุนจีนไปลงทุนผลิตสินค้า แล้วส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา จะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าเป็นสัดส่วนสูงกว่าประเทศอื่น ๆ ที่เป็นทุนจีนไม่มาก.
นโยบายของทรัมป์ทำให้ตลาดหุ้นร่วงระนาวดุจแผ่นดินไหว ภายในสองสามวัน หุ้นในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ลดลงนับพันจุดติดต่อกัน สูญเสียมูลค่าตลาดไป 11.1 ล้านล้านดอลลาร์.
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ตกลงรวดเร็วอย่างเป็นประวัติการณ์.
นักลงทุนและนายทุนจีนเทขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ วันเดียว มากกว่า 50,000 ล้านดอลลาร์ ดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ถึง 4.8 %.
ราคาน้ำมันลดลงต่ำกว่า 70 ดอลลาร์ต่อบาเรล.
สภาวะเช่นนี้ บีบให้ทรัมป์ต้องถอยตั้งหลัก วันที่ 9 เมษายน เขาประกาศชะลอการขึ้นภาษีนำเข้าออกไปอีก 90 วัน อ้างว่าเพื่อให้เวลาประเทศต่าง ๆ ได้เข้ามาเจรจากับสหรัฐฯ.
นักเศรษฐศาสตร์ทั่วโลกคาดการณ์ว่าโลกจะเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ เศรษฐกิจสหรัฐฯจะเกิดภาวะเงินเฟ้อรุนแรง สินค้าอุปโภคบริโภค ตลอดจนสินค้าไฮเทค เช่นโทรศัพท์มือถือ, คอมพิวเตอร์, รถยนต์, อุปกรณ์อิเล็คโทรนิกส์ จะมีราคาเพิ่มสูงขึ้นสองสามเท่า.
การขึ้นภาษีนำเข้าของทรัมป์ทำให้ประเทศทั่วโลกตื่นตระหนก มี 75 ประเทศขอเจรจากับสหรัฐฯ นายกรัฐมนตรีอินเดีย และญี่ปุ่นรีบเดินทางไปพบทรัมป์ ยื่นข้อเสนอซื้อสินค้าสหรัฐฯ เพิ่มมากขึ้นทั้งด้านสินค้าเกษตร, อุตสาหกรรม และอาวุธยุทโธปกรณ์ พร้อมทั้งลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ นายกรัฐมนตรีเวียดนามยื่นข้อเสนองดเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เป็นต้น.
กลุ่มประเทศสหภาพยุโรป เรียกประชุมใหญ่โดยทันที และประกาศจะตอบโต้สหรัฐฯ อย่างเท่าเทียม แต่รอเวลาเจรจากับทรัมป์ ก่อนเดินหน้าเพิ่มภาษีตอบโต้สหรัฐฯ เช่นเดียวกับแคนาดา และเม็กซิโก เพื่อนบ้านใกล้ชิดที่สุดของสหรัฐฯ ต่างใช้กลยุทธ์เดียวกับสหภาพยุโรป.
ทรัมป์ขู่ว่าถ้าประเทศใดตอบโต้การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ เขาจะขึ้นภาษีเพิ่มอีกเท่าตัว ทรัมป์ถึงกับกล่าวเหยียดหยามประเทศคู่ค้าทั้งหลายว่า “แล้วพวกแกก็ต้องคลานมาเลียก้นฉัน”
โลกนี้มีเพียงจีนประเทศเดียว ที่ประกาศตอบโต้ทรัมป์แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน จีนไม่ยอมสยบต่อคำข่มขู่คุกคามของทรัมป์ ถึงถูกทรัมป์ประกาศเก็บภาษีเพิ่มขึ้นจาก 54 % เป็น 104 % และ เพิ่มอีก 25 % บวกกับฐานเดิมที่เพิ่มขึ้นก่อนหน้านี้ 20 % รวมแล้ว สินค้าจีนที่เข้าสหรัฐฯ จะถูกเก็บภาษี 145 %.
จีนตอบโต้ทันควันด้วยการเรียกเก็บอัตราภาษีสินค้าสหรัฐฯ ที่ส่งเข้าจีนในอัตรา 125 % และมีผลทันที.
ทรัมป์คาดว่าจีนต้องยอมสยบ เพราะจีนส่งสินค้าเข้าสหรัฐฯจำนวนมาก ได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐฯ มหาศาล สหรัฐฯส่งสินค้าเข้าจีนมีมูลค่า 4.9 ล้านล้านบาท ขณะที่จีนส่งสินค้าเข้าสหรัฐฯมีมูลค่าถึง 18.2 ล้านล้านบาท ยังไงจีนก็ต้องขอมาเจรจา.
แต่การณ์ไม่ได้เป็นไปตามแผนของทรัมป์ จีนสงบนิ่ง ตอบโต้ตามความเป็นจริงที่สหรัฐฯ กระทำต่อตน
ประกอบกับแรงกดดันจากกลุ่มบริษัทไฮเทคโนโลยี่ของสหรัฐฯ ที่นำเสนอข้อเท็จจริงว่า สินค้าไฮเทคที่ขายในสหรัฐอเมริกา ส่วนใหญ่ที่สุดนำเข้า หรือมีส่วนประกอบหลักจากจีน โทรศัพท์ไอโฟน 80 % ประกอบในจีน และอีก 20 % ประกอบในอินเดีย ไม่นับรวมคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็คโทรนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ.
หากขึ้นภาษี 145 % ต่อสินค้าจีน จะทำให้บริษัทไฮเทคยักษ์ใหญ่ ไม่สามารถทำธุรกิจต่อไปได้ สินค้าไฮเทคจะมีราคาสูงขึ้นสองสามเท่าตัว และแน่นอนว่าจะกระทบการใช้และพัฒนาเทคโนโลยี่สมัยใหม่ทันที.
วันที่ 11 เมษายน ทรัมป์จึงประกาศยกเว้นภาษีต่างตอบแทนแก่สินค้า สมาร์ทโฟน, คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็คโทรนิกส์จากจีน รวมทั้งเซมิคอนดัคเตอร์, แผงโซล่าเซลล์, การ์ดหน่วยความจำ ฯลฯ คือไม่ต้องเสียภาษีเพิ่ม 145 % ซึ่งเป็นผลดีต่อบริษัทเช่นแอปเปิล, เอนวีเดีย, ไมโครซอฟท์ เป็นต้น.
ข้ออ้างของทรัมป์คือเพื่อให้บริษัทไฮเทคต่าง ๆ มีเวลามากขึ้นในการเตรียมตัว และย้ายการผลิตคืนสู่แผ่นดินสหรัฐอเมริกา.
สงครามการค้ากับจีนไม่ได้จบลงเพียงเท่านี้ จีนได้ตอบโต้ใส่หัวใจการผลิตสินค้าไฮเทคของสหรัฐฯ ด้วยการสั่งห้ามส่งสินค้าแร่หายาก ที่จำเป็นสำหรับการผลิตสินค้าไฮเทคสมัยใหม่แก่สหรัฐฯ.
ถ้าไม่มีแร่หายาก การผลิตดาวเทียม, เครื่องบินรบ, ขีปนาวุธ, เซมิคอนดัคเตอร์, คอมพิวเตอร์, รถยนต์ไฟฟ้า ฯลฯ ต้องหยุดชะงักโดยสิ้นเชิง เพราะจีนควบคุมแหล่งแร่หายาก ควบคุมการขุด และสกัดมาใช้ประโยชน์ ราว 70 % ของแร่หายากในโลก.
บุคลิกของทรัมป์
บุคลิกโดดเด่นของทรัมป์ที่นักเจรจาทุกคนน่าจะรู้กันดีแล้ว และคงจะนำมาใช้เป็นข้อมูลเพื่อเจรจาต่อรอง
1. ทรัมป์เป็นคนกลับกลอก หน้าด้าน และเปลี่ยนแปลงพลิกลิ้นได้ตลอดเวลา ถ้าเห็นว่าสิ่งที่นำเสนอออกไป เกิดสะดุดชนกำแพง ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ เขาจะกลับลำทันที โดยไม่กลัวเสียหน้า ภายในเวลา 9 วัน นับจากวันที่ 2 เมษายน ทรัมป์ปรับเปลี่ยนนโยบายการขึ้นภาษีตอบโต้ไปสามรอบ เคยหาเสียงว่าจะยุติสงครามรัสเซีย - ยูเครนภายใน 24 ชั่วโมง ผ่านมา 3 เดือน ยังไม่เห็นผลคืบหน้า เขาได้แต่เพียงอ้างว่ามันลำบากที่จะหาข้อยุติ จะยุติกี่โมง ทรัมป์ไม่พูดถึงแล้ว.
2. ทรัมป์เป็นคนโอหัง เย่อหยิ่ง เหยียดหยามดูแคลนคนและชาติอื่น ๆ นโยบายของเขาตั้งอยู่บนความเชื่อที่ว่าสหรัฐฯเจริญที่สุด ผลิตสินค้าคุณภาพดีที่สุด ทำไมประเทศอื่นไม่ซื้อสินค้าสหรัฐฯ กลับเอารัดเอาเปรียบ ได้ดุลการค้าสหรัฐฯมากมายมหาศาล ขณะเดียวกันก็หยาบคาย แสดงตัวเป็นพี่ใหญ่ที่ทุกชาติต้องมาสยบยอม เหมือนกับที่เขาพูดว่าในที่สุดก็ต้องคลานมาเลียก้นเขา.
3. ทรัมป์เป็นคนไม่มีหลักการบนพื้นฐานทฤษฎีรองรับ คือตัดสินกำหนดนโยบายต่าง ๆ ตามใจตามอารมณ์ ศาสตราจารย์โจเซฟ สติ๊กลิสซ์ นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล วิจารณ์ว่าทรัมป์กำลังนำเศรษฐกิจสหรัฐฯ กลับสู่ทศวรรษ 1950 ทั้งที่ปัจจุบันเป็นศตวรรษที่ 21 สหรัฐฯ ไม่ได้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคมากมายอีกแล้ว สหรัฐฯผลิตสินค้าอุตสาหกรรมเพียง 9 – 10 % ของจีดีพี แต่สหรัฐฯ เน้นผลิตสินค้าภาคบริการ เช่นเทคโนโลยี่ชั้นสูง, ยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์, การศึกษา และการท่องเที่ยว เป็นต้น เขาไม่ได้เรียนรู้ผลกระทบทางเศรษฐกิจ ว่าค่าเงินดอลลาร์จะตกต่ำ เงินเฟ้อจะรุนแรง เพราะเขาไม่มีพื้นฐานความรู้ทางทฤษฏีเศรษฐศาสตร์เลย.
ที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของทรัมป์ เช่นนายนาวาโร ก็ถูกนายอีลอน มัสก์ ผู้ร่ำรวยที่สุดในสหรัฐฯ จากการผลิตรถเทสลา และยานอวกาศ ฯ วิจารณ์ว่าเป็นพวกสมองกลวง.
ทรัมป์เริ่มหลักคิดจากการเป็นคนคลั่งชาติ อเมริกาต้องยิ่งใหญ่ ต้องโดดเด่นเหนือชาติอื่น ๆ เขาจึงไม่สนใจเป็นพันธมิตรกับใคร แม้แต่พันธมิตรใกล้ชิดอย่างสหภาพยุโรป และแคนาดา, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ ทรัมป์ไม่สน ขอเพียงประโยชน์เฉพาะหน้าอเมริกามาก่อน.
4. ทรัมป์จะต้อนให้ผู้นำ และประเทศอื่น ๆ มาเล่นเกมของตัวเอง เขาไม่สนับสนุนการเจรจาแบบพหุภาคี แต่เน้นการเจรจาแบบตัวต่อตัว ประเทศต่อประเทศ ไม่ยอมเจรจาแบบรวมกลุ่ม เพื่อเขาจะได้กดดันทั้งด้านอารมณ์การเจรจา และบรรยากาศการเจรจา เหมือนที่เขาและรองประธานาธิบดีแวนซ์บีบคั้นกดดันต่อประธานาธิบดีเซเลนสกีของยูเครน ให้ยอมรับข้อเสนอทุกอย่างของสหรัฐฯ.
เรื่องนี้ กลุ่มสหภาพยุโรปทราบดี จึงไม่ยินดีที่จะเจรจาเป็นรายประเทศ แต่พร้อมเจรจาในนามกลุ่มสหภาพยุโรป นายอันวาร์ ซาดัต นายกรัฐมนตรีมาเลเซียมองออกเช่นกัน จึงเสนอให้กลุ่มประเทศอาเซี่ยนจับมือกันเพิ่มอำนาจต่อรอง.
ไทยจะตอบโต้อย่างไร
กลับมาดูผลประโยชน์ของประเทศเรา เราควรมีท่าทีต่อนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าต่างตอบแทนของทรัมป์อย่างไร ?
1. ตระหนักรู้จุดแข็งจุดอ่อนของทรัมป์ และสหรัฐฯ ทรัมป์มุ่งผลักดันให้ประเทศอื่นเปิดตลาดรองรับสินค้าสหรัฐฯ โดยเฉพาะสินค้าทางการเกษตร เช่นถั่วเหลือง, ข้าวโพด, เนื้อหมู และเครื่องใน, ไวน์ ฯลฯ ซึ่งผู้ประกอบการเกษตรเหล่านี้เป็นฐานเสียงที่สนับสนุนเลือกทรัมป์ รวมทั้งอุตสาหกรรมอาวุธยุทโธปกรณ์ และทรัพย์สินทางปัญญาอื่น ๆ การขึ้นภาษีเป็นเพียงบทเริ่มต้นให้ประเทศอื่น มาซื้อสินค้าสหรัฐฯ.
ทรัมป์ยังมีจุดมุ่งหมายทางการเมืองที่แอบแฝง คือการมุ่งทำลายจีน ซึ่งทรัมป์ถือเป็นศัตรูอันดับหนึ่ง เขามุ่งดึงชาติอื่น ๆ ให้ถอยห่างออกจากความสัมพันธ์ทางการค้า, การลงทุน และความร่วมมือกับจีน.
2. ไม่รีบเร่งแสดงท่าที อ่อนน้อมยอมศิโรราบต่อการข่มขู่คุกคามของทรัมป์ เวียดนามหน้าแตกมาแล้ว เมื่อข้อเสนอเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ลดลงเป็น 0 แต่ทรัมป์บอกยังไม่พอ ยังมีข้อเสนอรูปธรรมอะไรอีก อินเดียและญี่ปุ่นที่รีบเจรจา เจอการกลับลำนโยบายของทรัมป์แล้ว จะปรับนโยบายอย่างไร เมื่อได้ยื่นข้อเสนอบางอย่างไปแล้ว.
ไทยควรจะสงวนท่าที ไม่เร่งรัดเจรจาหาข้อสรุปกับสหรัฐฯ ข่าวว่ารัฐบาลแพทองธารจะส่งนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และรัฐมนตรีคลัง ร่วมกับนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีพาณิชย์เป็นหัวหน้าคณะไปเจรจากับเจ้าหน้าที่ชั้นสูงของทรัมป์ ในวันที่ 21 เมษายน ศกนี้ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเมื่อตกลงกันไปแล้ว ทรัมป์จะไม่กลับลำ หรือเสนอนโยบายใหม่ให้เราต้องยอมปฏิบัติตาม รอดูตัวอย่างจากประเทศอื่นก่อน น่าจะดีกว่าการรีบเร่งหาข้อยุติกับทรัมป์.
3. พยายามร่วมมือกับกลุ่มประเทศอาเซียนอย่างใกล้ชิด กำหนดนโยบายร่วมกันในการรับมือกับการขึ้นภาษีนำเข้าของทรัมป์ อย่าเปิดการเจรจาตัวต่อตัวตามแบบที่ทรัมป์ต้องการ เขาเป็นคนได้คืบเอาศอก ไม่มีหลักการ ไม่มีความเป็นพันธมิตรเก่าแก่ดั้งเดิม มีแต่ผลประโยชน์ที่จะรีดจากประเทศอื่น.
4. ประเทศไทยควรจะเล่นบทหลายหน้า ทางด้านต่างประเทศ จะเจรจาก็ทำไป แต่ไม่รีบเร่งยอมรับข้อสรุปกับทรัมป์โดยเร็ว ควรจะรอกำหนดนโยบายร่วมกันของกลุ่มอาเซียน เร่งเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีกับกลุ่มสหภาพยุโรปให้ได้ข้อสรุปโดยเร็ววัน ขณะเดียวกันก็รักษาและพัฒนาสัมพันธภาพอันดีกับจีน, อินเดีย, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ไต้หวัน, ออสเตรเลีย และกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง.
ภายในประเทศ องค์กรภาคประชาชนควรจะพิจารณาวางมาตรการคว่ำบาตรสินค้า และการลงทุนจากสหรัฐอเมริกา เช่นที่อินโดนีเซียได้กระทำมา คือการคว่ำบาตรสินค้าโค้ก, พิซซ่า, เคเอฟซี, สตาร์บัค รวมทั้งสินค้าไฮเทค เช่นคอมพิวเตอร์, โทรศัพท์มือถือ, รถยนต์อเมริกัน เพื่อช่วยลดทอนแรงกดดันโดยตรงของทรัมป์ เพราะถ้าธุรกิจข้างต้นถูกกระทบมาก เหมือนสินค้าไฮเทคในสหรัฐฯ บริษัทเหล่านี้ก็จะกดดันทรัมป์ให้ยอมลดทอนนโยบายแข็งกร้าว เหมือนที่ทรัมป์ยอมถอยยกเว้นภาษีสินค้าและอุปกรณ์ไฮเทคที่นำเข้าสหรัฐฯ.
อย่างไรก็ดี ไม่ว่าการเจรจาขอลดอัตราภาษีศุลกากรนำเข้ากับทรัมป์ได้ผลมากน้อยเพียงใด ปัญหาที่ตามมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ก็คือเศรษฐกิจและการค้าโลกจะตกต่ำ สินค้าที่เคยส่งเข้าสหรัฐฯ จะต้องกระจายไปยังตลาดใหม่ ๆ เกิดการตัดราคาสินค้า ส่วนเหลื่อมของกำไรลดลง ส่งผลต่อค่าแรงและผลตอบแทนต่อแรงงาน บางโรงงานที่สายป่านสั้นอาจต้องปิดตัวลง ภาวะการว่างงานเพิ่มขึ้น.
เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำฝืดเคือง ประชากรประเทศต่าง ๆ มีรายได้ลดลง เผชิญภาวะเงินเฟ้อ และเงินฝืดไปพร้อมกัน ย่อมกระทบการเดินทางท่องเที่ยวของคนทั่วโลกที่จะลดลงตาม ความคาดหวังของไทยที่จะมีรายได้จากการท่องเที่ยวมาค้ำจุนการเติบโตทางเศรษฐกิจต้องสะดุดไปด้วย อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่คาดหวังไว้ 2.5 – 3.0 % มีความเป็นไปได้ที่จะลดลงเหลือการเติบโตเพียง 1 – 1.5 % .
นั่นเป็นภาวะเลวร้ายทางเศรษฐกิจที่คนไทยต้องเตรียมรับสถานการณ์ตั้งแต่เวลานี้.