คดีฮั้วเลือก สว. อย่าเป็นมวยล้ม ต้มคนไทย
คดีฮั้วเลือก สว. อย่าเป็นมวยล้ม ต้มคนไทย
หนึ่งปีที่ผ่านมา คนไทยตั้งข้อสงสัยตลอดมาว่า การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภามีความสุจริตโปร่งใสเพียงใด ทำไมกลุ่มที่สื่อมวลชนเรียกว่า “สว. สายสีน้ำเงิน” จึงได้รับเลือกตั้งมาเป็นจำนวนมากกว่า 140 คน จนสามารถควบคุมการออกเสียงลงคะแนนไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นการพิจารณาร่างกฎหมายที่ผ่านจากสภาผู้แทนราษฎร จนถึงการแต่งตั้งกรรมการในองค์กรอิสระ รวมทั้งการใช้เกณฑ์พวกมากเลือกพวกตัวเองเป็นประธานกรรมาธิการชุดต่าง ๆ โดยไม่คำนึงถึงเสียงข้างน้อยในวุฒิสภาแต่อย่างใด.
มีผู้ร้องเรียนพร้อมส่งหลักฐานการ “ฮั้วเลือก สว” ให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พิจารณาทบทวน แต่ กกต. ไม่ได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนอย่างจริงจัง ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย.
คณะผู้ร้องเรียนจึงได้ยื่นเรื่องไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และดีเอสไอได้สืบสวนสอบสวนในทางลับ ปรากฏหลักฐานพอสรุปการกระทำได้ว่า
1. จัดผู้สมัคร สว. ระดับอำเภอกลุ่มละ 5 คน รวม 100 คน ใน 928 อำเภอ ทั่วประเทศ.
2. จัดทำโพยฮั้วเลือก สว. 2 ชุด แบ่งเป็นกลุ่มละ 7 คน รวม 140 คน.
3. หลัง 16 มิถุนายน พ.ศ. 2567 หลังผ่านการเลือกตั้งระดับจังหวัด ขบวนการฮั้วได้นัดหมาย สว. ระดับประเทศ ไปทำโพยฮั้วใน 3 จังหวัด คืออยุธยา, ปทุมธานี และนครนายก เมื่อ 24 มิถุนายน ศกนี้.
4. สุดท้าย การเลือก สว. เป็นไปตามโพยฮั้ว กลุ่มนี้ได้ สว. มากกว่า 140 คน.
ดีเอสไอยังพบระบบจ่ายเงินค่าตอบแทน ดังนี้
1. ระดับอำเภอ จ่ายคนละ 5,000 บาท.
2. ระดับจังหวัด จ่ายคนละ 10,000 บาท.
3. ระดับประเทศ จ่ายคนละ 40,000 – 100,000 บาท
4. บวกโบนัสพิเศษ หากได้ สว. มากกว่า 120 คน แจกเงินพิเศษเพิ่มอีกคนละ 100,000 บาท.
5. มีการจ่ายเงินมัดจำงวดแรก 20,000 บาท ส่วนที่เหลือจ่ายเมื่อ กกต. ประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง.
พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง รัฐมนตรียุติธรรม ผู้รับผิดชอบ ดีเอสไอ. ให้สัมภาษณ์ระบุความผิดของคณะทำ “โพยฮั้ว สว.” 3 ข้อหาหนัก คืออั้งยี่, ซ่องโจร และฟอกเงิน.
ดีเอสไอได้แจ้งไปยัง กกต. พร้อมหลักฐานการสืบสวนสอบสวนทั้งหมด แล้วสอบถามว่า กกต. จะรับไปดำเนินการตามมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภาหรือไม่ หรือจะให้ ดีเอสไอรับไว้สอบสวนเป็นคดีพิเศษ.
กกต. ระบุว่า กรณีดังกล่าวยังไม่ปรากฏว่า ดีเอสไอ มีการรับเป็นคดีพิเศษแล้วหรือไม่ จึงยังไม่เสนอเรื่องไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้งชุดใหญ่ ให้พิจารณาตามมาตรา 49 แล้วใช้ท่าทีไม่รู้ไม่เห็นดองเรื่องต่อไป.
ทาง ดีเอสไอ เห็นว่าการทำโพยฮั้วเลือกตั้ง เข้าข่ายความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภามาตรา 97 (3) , ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 209 (ความผิดฐานอั้งยี่) และความผิดฐานฟอกเงิน ซึ่งต้องใช้วิธีสืบสวนสอบสวนเป็นกรณีพิเศษ.
ดีเอสไอส่งเอกสารลับถึง กกต. ขอให้ กกต. ตอบยืนยันความประสงค์กลับมาภายใน 10 กุมภาพันธ์ ศกนี้ ว่ามีความผิดทางอาญาใดที่ กกต. ประสงค์จะสอบสวนเอง และความผิดใดจะให้ ดีเอสไอ สอบสวน แต่ กกต. เงียบเฉย
วันที่ 26 กุมภาพันธ์ คณะกรรมการคดีพิเศษของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี นายภูมิธรรม เวชชยชัย เป็นประธาน พร้อมกรรมการจากหน่วยงานราชการและผู้ทรงคุณวุฒิอีก 21 คน ได้ประชุมเพื่อพิจารณาว่าจะให้ ดีเอสไอ รับทำคดีนี้เป็นคดีพิเศษหรือไม่ ?
อย่างไรก็ดี มีข่าวการทักท้วงจาก กกต. และบุคคลที่มีส่วนได้เสีย เช่นสมาชิกวุฒิสภา “กลุ่มสายสีน้ำเงิน” ว่าตามกฎหมาย ดีเอสไอ ไม่มีอำนาจสืบสวนสอบสวนเรื่องนี้ เพราะอำนาจนี้เป็นของ กกต. หาก กกต. ไม่ได้มอบอำนาจให้ดีเอสไอดำเนินการ ดีเอสไอไม่มีสิทธิ์ดำเนินการสอบสวนเรื่องนี้.
กลุ่ม สว. ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกที่มีชื่ออยู่ใน “โพยฮั้วเลือก สว.” ออกมาแถลงข่าวอย่างขึงขัง พร้อมขู่ว่าจะฟ้องบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการทำเรื่องนี้อย่างถึงที่สุด เข้าลักษณะใช้กฎหมายปิดปาก ระงับการสืบสวนสอบสวนของ ดีเอสไอ.
ประกอบกับการรับทำคดีนี้เป็นคดีพิเศษ ต้องได้รับเสียงสนับสนุนเห็นชอบ 2 ใน 3 จากกรรมการ 22 คน ปรากฎว่า ตัวแทนฝ่ายตำรวจ 3 คนติดภารกิจไม่สามารถเข้าร่วมประชุม ทำให้ที่ประชุมเหลือ 19 คน และหลายคนที่เข้าร่วมประชุมเป็นตัวแทนจากหัวหน้าส่วนราชการโดยตำแหน่ง ทำให้การลงคะแนนสนับสนุนเกิดภาวะไม่แน่นอน เพราะต้องได้เสียงสนับสนุนถึง 15 เสียง จาก 19 เสียงที่เข้าร่วมประชุม.
ซ้ำมีข่าวกระเส็นกระสายออกมาว่า ผู้มีอำนาจนอกระบบบางคนได้วิ่งเต้นล็อบบี้คณะกรรมการให้งดออกเสียงในเรื่องนี้ อ้างเหตุผลว่าคณะกรรมการอาจจะทำผิดกฎหมายได้ พวกตัวแทนหน่วยงานราชการจึงเกิดความลังเลไม่กล้าร่วมลงมติ.
นายภูมิธรรม เวชชยชัย ได้หาทางออก โดยเลื่อนการลงมติรับคดีหรือไม่รับคดีออกไปเป็นวันที่ 6 มีนาคม เพื่อตรวจสอบพยานหลักฐานให้รัดกุม และเชิญประธาน กกต. เข้าให้ข้อมูล.
เรื่องนี้ ผู้รู้ให้ความเห็นว่า การดำเนินคดีอาญา ดีเอสไอ มีอำนาจเต็มที่จะสืบสวนสอบสวนทำให้ความเป็นจริงปรากฏ ส่วนในแง่มุมกฎหมายเลือกตั้ง เป็นอำนาจของ กกต. ก็จริง แต่หาก กกต. ไม่ดำเนินการ ดีเอสไอ สามารถดำเนินคดีกฎหมายอาญา ควบคู่ไปกับกฎหมายเลือกตั้งได้.
ฝ่ายสูญเสียผลประโยชน์ได้ออกงิ้วออกดราม่า กล่าวหาว่ามีการเมืองแทรกแซง ดีเอสไอไม่มีอำนาจตามกฎหมาย ขู่ฟ้องร้องเอาผิดถึงที่สุด สว. จะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรียุติธรรม พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง ผู้รับผิดชอบ ดีเอสไอ. เป็นต้น.
คดีนี้เท่าที่ปรากฏหลักฐานประจักษ์ชัดว่ามีรายละเอียดการทำ “โพยฮั้วเลือก สว.” จริง มีขั้นตอนดำเนินการ มีการจ่ายเงิน มีการอำนวยความสะดวกในการจองโรงแรมห้องพัก แจกเสื้อสีเหลือง ให้ผู้สมัคร สว. ใส่แสดงเอกลักษณ์ตัวตนพวกเดียวกัน ฯลฯ.
สิ่งที่สื่อมวลชนตั้งข้อสังเกต คือทำไม กกต. จึงวางเฉย ไม่แสดงบทบาทการสืบสวนสอบสวนในเรื่องนี้ ทั้ง ๆ ที่ได้รับหลักฐานเอกสารร้องเรียนก่อนหน้านี้นานแล้ว และทำไมจึงไม่แถลงอย่างเป็นทางการเมื่อคณะกรรมการพิเศษของกรมสอบสวนคดีพิเศษพิจารณาการรับหรือไม่รับทำคดีนี้ของดีเอสไอ.
ข้อน่ากังวลประการหนึ่งของฝ่ายประชาชน คือหวั่นวิตกว่าการเลื่อนการลงมติของคณะกรรมการพิเศษดีเอสไอออกไป เป็นการหน่วงถ่วงเวลาเพื่อให้บรรดาคนที่มีอำนาจนอกกฎหมาย เจรจาต่อรอง หาผลประโยชน์เฉพาะเข้าตนเองและพวกพ้อง โดยมิได้ใส่ใจความเรียกร้องต้องการของประชาชนที่ต้องการเห็นการเลือกตั้ง สว. เป็นไปโดยสุจริต โปร่งใส ได้คนดีมีคุณภาพ ปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน.
ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ กลุ่มวุฒิสมาชิกได้ยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) เอาผิดกับรัฐมนตรียุติธรรม และอธิบดีดีเอสไอ ในความผิดกระทำขัดรัฐธรรมนูญ และล้มล้างการปกครอง ฯ.
คดีนี้จะเป็นอีกหนึ่งบททดสอบว่าความถูกต้องชอบธรรม ความสุจริต และความโปร่งใสในการเลือก สว. มีอยู่หรือไม่ และนายภูมิธรรม เวชชยชัยในฐานะประธานคณะกรรมการพิเศษดีเอสไอ กล้าทำในสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ และจะยังมีเกียรติภูมิ ความซื่อสัตย์ต่อประชาชน และประเทศชาติหรือไม่ ?
(ขอขอบคุณข้อมูลจากเดอะเนชั่น)