บันทึกเรื่องล้ำในไพรลึก  ตอนที่ ๑  “ประไพ วิเศษธานี” มหากวีนักเดินทาง

โดย ชลธิรา สัตยาวัฒนา

“ประไพ วิเศษธานี” มหากวีนักเดินทาง ได้เดินทางไกลจากเราไปแล้ว ๑๐๖ ปีเต็มด้วยวิถีพิเศษเฉพาะ เป็นการเดินทางที่เหลือเชื่อหากลงลึกในเรื่องราว ด้วยท่านมักคิดและทำอะไรที่ “ขวางโลก สวนกระแส” อยู่เป็นนิตย์ ตราบสิ้นลมหายใจ


“ประไพ วิเศษธานี” เป็นชื่อที่ปรากฏว่า เป็นผู้แต่ง~แปล~เรียบเรียง~ทำคำอธิบาย หนังสือชื่อสำคัญ กาพย์กลอนเหมาเจ๋อตุง


ช่วงปีพุทธศักราช ๒๕๑๘ ในท่ามกลางกระแสการเมืองขึ้นระดับสูงถึง ‘ขีดแดงแก่ก่ำ’ กาพย์กลอนเหมาเจ๋อตุง ฉบับแปลเป็นกาพย์กลอนภาษาไทย โดยผู้ใช้นามปากกา “ประไพ วิเศษธานี” ก็เผยโฉมในบรรณพิภพ ถึงวันนี้เมื่อเวลาล่วงเลยมาร่วม ๔๙ ปีแล้ว สมควรที่จะยกย่ององค์กรเยาวชนนักศึกษาที่หาญกล้า จัดพิมพ์หนังสือนี้เป็นครั้งแรกโดย “ทัพหน้าราม”, ปีที่พิมพ์ ๒๕๑๘.


หนังสือพิเศษล้ำวางแผงงดงามด้วย ‘ปกสีรุ้งฟ้า’ เผยแพร่กว้างขวางในตลาดหนังสือในช่วงรำลึก “เหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖” จะขายดีหรือขายหมดเกลี้ยง หรือหมดสิ้นไปเพราะหนังสือรุ่น “๖ ตุลาฯ ๒๕๑๙” ถูกเผาวายวอดไปจำนวนมาก ยังไม่อาจสืบทราบได้


ผู้เรียบเรียงกาพย์กลอนเหมาในภาษาจีน ให้เป็น ‘สยามพากย์’ เจ้าของนามปากกา “ประไพ วิเศษธานี” เขียนอุทิศหนังสือเล่มนี้ให้แด่ “มิตรสัมพันธ์ ไทย-จีน”


ชลธิรา สัตยาวัฒนา นักวิจารณ์วรรณกรรมในยุคสมัยที่มี “หนังสือก้าวหน้า” วางพรึบพรับบนแผงหนังสือแถวหน้ามหาวิทยาลัยต่างๆ ในโอกาสเทศกาลการเมือง เขียนแนะนำหนังสือเล่มนี้ไว้ในวารสารธรรมศาสตร์ ที่มี อาจารย์รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ เป็นบรรณาธิการ เมื่อปี ๒๕๑๙ ว่า

“นักเลงหนังสือที่ยังไม่ได้เล่มนี้มาครอบครอง ควรรีบตามตะครุบมาให้ได้”


คุณค่าของ “กาพย์กลอนเหมาเจ๋อตุง-สยามพากย์” ว่าตามการประเมินค่าวรรณกรรมตามแนวของ ชลธิรา สัตยาวัฒนา แห่งสำนักคิดเทวาลัย (คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ) เป็นคุณค่าที่สัมผัสได้ โดยการอ่านช้า ๆ อย่างเพ่งพินิจขบคิดใคร่ครวญ ถ้ามีความรู้ทางวรรณคดีไทยตามแบบแผนจารีตนิยมในระดับสูง คุณค่าในลักษณะ “อ่านยาก เพราะใช้ศัพท์แสงพราวพรายเช่นนี้” เป็นสิ่งที่ไม่อาจถือเป็นข้อตำหนิกวีผู้แปล~รจนาให้เป็นกานท์กวีไทยได้ เพราะเป็นเจตนารมณ์ของผู้แปลและรจนาเป็นกาพย์กลอนโดยตรง


ความพิเศษเฉพาะที่ว่า “ล้ำ” ของ “กาพย์กลอนกวีเหมาเจ๋อตุง” เล่มนี้ ตามแนวการประเมินค่าข้างต้น มีสองประการคือ


ประการแรก เป็นการแปลเรียบเรียงบทกวีของเหมาเจ๋อตุง เป็นภาษาไทย ด้วยสำนวนภาษาและลีลา รวมถึงฉันทลักษณ์แบบแผนไทยดั้งเดิมรวมทั้งสิ้น ๓๗ บท


ประการที่สอง หนังสือเล่มนี้ไม่เหมือน “หนังสือปลุกระดมมวลชน” อย่างที่เราเห็นกันดาษดื่น หากมีลักษณะค่อนไปในทางวิชาการที่ลึกซึ้งมาก จึงอาจถือได้ว่าเป็น “การปลุกระดมทางความคิดชั้นคลาสสิก” ก็ว่าได้ เพราะส่วนที่เป็น ‘กาพย์กลอน’ แท้ๆ มีเพียงประมาณ ๕๐ หน้า ที่เหลือในเล่มอีกประมาณ ๒๐๐ หน้านั้น ‘ประไพ วิเศษธานี’ เขียนเรียบเรียงไว้เป็นภาคผนวก รวมทั้งสิ้น ๕ บทผนวก


อรรถาธิบาย “กาพย์กลอนเหมาเจ๋อตุง” ในภาคผนวก
บทผนวกบทแรก เป็นอรรถาธิบายกาพย์กลอนแต่ละบทอย่างละเอียดในด้านฉันทลักษณ์ ความเป็นมา สถานที่ เรื่องราว และความคิดของกวีผู้เป็นเจ้าของบทประพันธ์ ผู้เขียนบทอรรถาธิบายชื่อว่า “ประไพ วิเศษธานี” นั้น ชลธิรา สัตยาวัฒนา (๒๕๑๙) ได้วิเคราะห์ว่า


“น่าจะเป็นคนเดียวกันกับผู้ใช้นามปากกา ‘นายผี’”
แม้ลีลาภาษาสำนวนจะแตกต่างกันโดยเกือบจะสิ้นเชิง


‘ประไพ วิเศษธานี’ ให้ชื่อบทผนวกแรกอย่างขรึมขลัง ว่า “ฎีกาของผู้ฎีกา” ซึ่งบ่งชี้ชัดว่า ผู้เขียนอรรถาธิบายเป็น ‘ผู้รู้กฎหมาย’ และน่าจะใช้ชีวิตอยู่กับศาสตร์แห่งนิติธรรม อันเป็นคุณค่าของยุคสมัยที่ผ่านเลย
การนี้เป็นที่เปิดเผยในกาลต่อมาว่า ‘นายผี’ เป็นนามปากกาของ อัศนี พลจันทร นักคิดนักเขียนและกวีฝ่ายก้าวหน้า ผู้เคยมีวิชาชีพเป็น ‘ผู้ช่วยอัยการ’ จังหวัดทางภาคใต้ (จังหวัดปัตตานี) และต่อมาได้ย้ายมาทางภาคกลาง (จังหวัดสระบุรี)

บทผนวกที่สอง เป็นบทเทียบเสียงพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ จีน-ไทย การให้ความสำคัญในส่วนนี้ แสดงว่า ‘ประไพ วิเศษธานี’ เป็นผู้รู้ภาษาจีนดีมาก ถึงขั้นมีความสนใจด้านการเทียบเสียงและคำ นั่นคือการใช้หลักวิชาทางสัทศาสตร์และนิรุกติศาสตร์มาใช้อธิบายกลกลอนการกวี วิธีเข้าถึงความลึกซึ้งของคำกวีในภาษาจีนเช่นนี้ ต่างจากผู้รู้ภาษาจีนท่านอื่นๆ ในขบวนการปฏิวัติไทย


บทผนวกที่สาม คือ นามานุกรม (Index) “ประไพ วิเศษธานี” ให้ชื่อว่า “สูจิ” จัดว่าเป็นศัพท์แหวกแนววงการหนังสือค่อนข้างมาก

ส่วนบทผนวกที่สี่ มีชื่อว่า “แทงเกษียนในกาพย์กลอนที่แต่ง” เป็นการคิดชื่อบทที่แหวกล้ำกว่าใคร ความในบทนี้เป็น “คำแปลอรรถาธิบายกาพย์กลอนบางบท” ที่เขียนอธิบายโดยเหมาเจ๋อตุงเอง

บทผนวกสุดท้าย เป็นจดหมายของผู้แปลถึง ‘เพื่อนผู้หนึ่ง’ เห็นชัดเจนว่าเจตนาไม่ระบุชื่อเสียงเรียงนาม ผู้เขียนตั้งใจทำการนี้ให้ดู “ลึกลับ” และขรึมขลังอยู่ในที ซึ่งก็เป็นความจำเป็นแห่งยุคสมัย ที่จะทำการใดๆ ล้วนแต่ต้อง “ปิดลับ” พาให้คนรุ่นใหม่แห่งยุคสมัยนั้นชวนฉงน แล้วแกะรอยกันจ้าละหวั่น


“กาพย์กลอนเหมาเจ๋อตุง” ~สยามพากย์ ฉบับงามล้ำนี้ พิเคราะห์ดูวันเวลาที่ผู้แปลบันทึกไว้บ้างบางตอน พบว่าแปลเรียบเรียงและทำอรรถาธิบายไว้ในระหว่างปี ค.ศ. ๑๙๖๘-๑๙๗๕ (พ.ศ.๒๕๑๑-๒๕๑๘) เป็นโครงการแปลงานวรรณกรรมที่ใช้เวลานานถึงราว ๘ ปี เหตุที่เป็นเช่นนี้มีข้อความยืนยันของผู้จัดทำโครงการฯ ว่าได้ทำการอย่างวิริยะอุตสาหะในช่วงชีวิตแห่ง “การเดินทางไกลอันระหกระเหิน” ดังปรากฏใน “จดหมายถึงเพื่อนผู้หนึ่ง” ว่า


“ในการแปลหนังสือเรื่องนี้ ผู้แปลได้สนใจถ้อยคำทุกคำและหนังสือทุกตัว,
ทั้งในภาษาจีนและในภาษาไทย, ถ้อยคำทุกคำและหนังสือทุกตัวในบทแปลมีหลักฐานรองรับ
และมีเหตุผลของมันเองโดยตลอด....ทั้งในด้านทฤษฎีลัทธิมาร์กซ ในด้านประวัติศาสตร์,
ภูมิศาสตร์และโบราณคดี, ทั้งในด้านวรรณคดีและกวีนิพนธ์, ตลอดจนทั้งในด้าน
ภาษาศาสตร์และนิรุกติศาสตร์, รวมทั้งด้านความเป็นจริงและความเรียกร้องต้องการทั้ง
เฉพาะหน้าทั้งยาวไกลของการปฏิวัติไทย-จีน.
โปรดทราบว่า มาตรฐานของเราคือ แปลกาพย์กลอนเหมาเจ๋อตุง ที่เป็นกาพย์กลอนจีนให้เป็น
กาพย์กลอนเหมาเจ๋อตุงที่เป็นกาพย์กลอนไทย; ไม่ใช่การถอดความหรือการทำให้ง่าย,
และก็ไม่ใช่การทำให้กลายเป็นของดาษ ๆ หรือให้กลายเป็นสามานย์ไป....”
(จดหมายของผู้แปลถึงเพื่อนผู้หนึ่ง, หน้า ๒๔๔)
* แบ่งวรรคตอนและคงเครื่องหมายวรรคตอนข้างต้นและบทคัดต่อจากนี้ โดยเคารพต้นฉบับ


ผู้ที่คุ้นเคยกับหลักการของ “วรรณคดีประชาชน” ถ้าหวังจะอ่านพบความเรียบง่าย แจ่มชัด ตรงไปตรงมาในกาพย์กลอนเหมาเจ๋อตุง จะต้องผิดหวังเอามาก ๆ
ประการที่หนึ่งนั้น เป็นเพราะกาพย์กลอนของเหมาเจ๋อตุงเอง ในต้นฉบับเดิมแท้ๆ ก็เป็นที่กล่าวขวัญกันว่ามีความยากอยู่แล้ว มีปราชญ์ตีความไปต่างๆ นานา แต่ก็ลงเอยว่า “ผู้ที่จะอธิบายได้ถูกต้องตรงกับความเป็นจริงมีอยู่คนเดียว คือ เหมาเจ๋อตุงเอง”
ส่วนกวีผู้เป็นเจ้าของบทกวีนั้นเล่า ก็ได้มีหลักฐานปรากฏในจดหมายบางฉบับ เขียนโดย ท่านประธานเหมาเจ๋อตุงเอง เช่น ฉบับลงวันที่ ๑๒ มกราคม ๑๙๕๗ ว่า
“สิ่งเหล่านี้ (คือกาพย์กลอน) ตลอดมาข้าพเจ้ามิได้ยินดีที่จะให้เอาออกโฆษณาเป็นทางการ
เพราะเป็นโคลงแบบเก่า, เกรงว่าจะเป็นการแพร่ตัวอย่างที่ไม่เหมาะให้โทษแก่เยาวชน,
อนึ่งรสกลอนก็ไม่มาก, ไม่มีอะไรเด่น”
(คัดจาก “จดหมายบางฉบับของเหมาเจ๋อตุง”, หน้า ๒๓๘)


คำชี้แจงดังว่าของกวีท่านนี้ น่าจะเป็นการถ่อมตัวติดดิน ตามท่วงทำนองที่ชาวพรรคคอมมิวนิสต์จีนใช้สืบกันมาจนถึงปัจจุบัน


การแปลเป็นกาพย์กลอนครั้งนี้ ‘ประไพ วิเศษธานี’ ได้เปรียบเทียบสำนวนกวีกับฉบับแปลเป็นภาษาอังกฤษบางบทด้วย พบว่าแต่ละบทมีรสกวีนิพนธ์ลึกซึ้ง แต่งแนวสัญลักษณ์นิยมเกือบจะทั้งหมด นอกจากบทอุปมาอุปมัยและอุปลักษณ์จำนวนไม่น้อยแล้ว ท่านกวีเหมาเจ๋อตุงยังใช้นิทานปรัมปรา นิยายพื้นบ้าน และเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ รวมถึงความเชื่อดั้งเดิมต่างๆ สอดแทรกอยู่มากมาย เหตุนี้เอง ‘ประไพ วิเศษธานี’ จึงทำอรรถาธิบายประกอบยาวเหยียด เพื่อให้คนที่ไม่มีภูมิหลังอ่านรู้เรื่องและเข้าใจ


สาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่ง ที่ทำให้ “กาพย์กลอนเหมาเจ๋อตุง” (สยามพากย์) ขาดความเรียบง่ายแจ่มชัด ในทัศนะของผู้เขียนบทวิจารณ์ก็คือ
“เพราะผู้แปลเรียบเรียง คือ ‘ประไพ วิเศษธานี’ เป็นมือชั้นครู เป็นนักอักษรศาสตร์
ผู้เชี่ยวชาญลึกซึ้งในภาษาฮินดีอูรดู บาลีสันสกฤต และเจนจบในวรรณคดีโบราณของไทย
ประสบการณ์ที่สั่งสมมาหลากหลายเช่นนี้ จึงเป็นผลให้กาพย์กลอนจีนในสยามพากย์ มีลีลา
เป็นแบบฉบับ เทียบเคียงวรรณคดีไทยสมัยอยุธยาตอนต้น พิจารณาเพียงบทลงท้ายก็เห็น
ฝีมือชัดเจน :
“กวีพจน์จีนพากย์เพี้ยง เพชรรัตน์,
กลอกประกายพรายอรรถ- รสรุ้ง;
สยามพากย์ฝากกวีวัจน์ วรวาทย์,
เรือนกนกผกเพชรฟุ้ง เฟื่องฟ้ามหาสยามฯ”
(อัษฎาทศสถาน : ๑ กรกฎาคม ๑๙๖๘)


ในบางบท ผู้แปลเรียบเรียงบทกวีใช้ศัพท์สำนวนโบราณ นิยมใช้ในวรรณคดีสมัยอยุธยาตอนต้น เช่นสำนวน ไทยดั้งเดิม “แต่งแง่” (อาจจะหมายความว่า ‘แต่งจริต มีแง่งอน’ ปัจจุบันไม่มีที่ใช้แล้ว พบสำนวนนี้ได้ใน ลิลิตพระลอ )
“สระสว่างทางท่าห้าคืบปืน, อุษาส่องต้องพื้นประลองผ่อง;
ทวยธิดาจีนใจเด็ดไผ่ปอง ไป่รักของ แต่งแง่, รักแต่ปืน…”
(“ทหารบ้านหญิง” : หน้า ๓๗)


เชิงกลอนบางตอน ก็เร้าอารมณ์ได้คึกคักมาก แสดงว่าผู้แปลเรียบเรียง สามารถถอดหัวใจของกาพย์กลอนเดิมออกมาได้ครบถ้วนกระบวนความ เช่น
“ตีนภูดูลงเป็นธงศึก, ยอดภูคึกกลองเร้าเป่าเขาขาน;
อริล้อมแน่นอะไรก็ไป่ปาน, ฝ่ายเราหาญตั้งมั่นยันทมิฬ;
อันป้อมคูขันแข็งแต่งไว้แล้ว, ทวยหาญแก้วขวัญดั่งผนังหิน;
บินห์วางหยางเจี้ยลั่นสนั่นดิน, ศัตรูผินเผ่นไปในกลางคืน.”
(“จิ่งกังทราน” : หน้า ๔)


นอกจากบทโคลงบทกลอนข้างต้น ‘ประไพ วิเศษธานี’ ได้ฝากชั้นเชิงกวีไว้เป็น กาพย์ฉบัง ๑๖ ด้วย บางบทที่คัดสรรมานี้พิสูจน์ให้เห็นฝีมือชั้นครูอย่างแท้จริง เด่นทั้งในด้านการใช้คำ การสรรเสียงและความหมายให้ได้ภาพพจน์เด่นชัด ให้ “อารมณ์ลึกล้ำแบบไทย ๆ” ทั้งที่เป็นการแปลคำต่อคำบทต่อบทจากภาษาจีน มีข้อบังคับทั้งด้านหลักการ อุดมการณ์ เหตุการณ์ ฉาก สถานที่ และตัวละครในบท เช่น
“น้ำค้างแข็งขาวพราวพนา แดงใบไพรดา ระดาษพิลาสแลไสว
หลากสวรรค์แสนยากรรไกร เกรี้ยวเคี้ยวฟันไฟ พิโรธทลึ่งถึงพรหม
ฝนฟุ้งหลุงกังถั่งถม หมอกอ้อยอิ่งอม ก็อับไปทั้งพันผา
บัดทหารโห่ร้องก้องมา ว่าที่แนวหน้า จับต์รางฮุยจ์ร้านได้ตัว
ข้าศึกสองแสนแน่นนัว เนียเคลื่อนเกลื่อนครัว ยกซ้ำเข้าสู่กังไส
ดุจลมหลุนหลุนหมุนไป ดุจคว้างควันไฟ ฟะฟ้องอยู่กึ่งกลางนภา
แสนล้านกรรมกรชาวนา ประกาศก้องว่า ร่วมกันกำจัดศัตรู”
(“ต่อสู้การล้อมปราบใหญ่ครั้งที่หนึ่ง” : หน้า ๑๐)


เมื่อพินิจคำ ลีลากวี ฉันทลักษณ์ที่ใช้แล้ว ผู้วิจารณ์ได้คาดเดาความงำที่ “ปิดลับ” ไว้แต่ครั้งนั้นว่า
“ไม่ต้องสงสัยว่า ‘ประไพ วิเศษธานี’ คือผู้แปล “ภควัทคีตา” และ “จิตรา”
เป็นคนเดียวกับผู้แต่งคู่มือการแต่งกาพย์กลอนของไทยชื่อ “ศิลปาการแห่งกาพย์กลอน”
เป็นคนเดียวกับผู้บุกเบิกแนววิจารณ์วรรณคดีเชิงสังคมนิยมใน วารสารอักษรสาส์น เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน”


นอกจากนี้ ผู้วิจารณ์ยังได้ชี้ชัดอย่างไม่ลังเลว่า ‘ประไพ วิเศษธานี’ เป็นเจ้าของบทกวีอันลือชื่อ
“อีศานนับแสนแสน สิจะพ่ายผู้ใดหนอ”
ซึ่งก็เป็นคนเดียวกับกวีผู้รจนาวรรณคดีคำฉันท์ยุคใหม่ “เราชะนะแล้วแม่จ๋า”
ท่านผู้นี้จะเป็นใครอื่นไปมิได้ หากเป็นคนเดียวกับผู้ที่ จิตร ภูมิศักดิ์ ยกย่องไว้เมื่อสิบปีก่อนว่า เป็น “มหากวีของประชาชน”


จากคำบอกเล่าของ ‘ประไพ วิเศษธานี’ ตามที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้ ที่จงใจปิดลับชื่อจริงและไม่ใช้นามปากกาที่เคยใช้มา ท่านชี้แจงว่าในเวลานั้น ท่านกำลัง “ซัดเซพเนจรอยู่”.....กาพย์กลอนเหมาเจ๋อตุง - สยามพากย์ ก็ทำขึ้น “ระหว่างเดินทาง....ไม่มีหนังสือและอุปกรณ์ที่ใกล้มือเพียงพอ, จึงทำได้แต่เพียงอาศัยความทรงจำส่วนหนึ่ง; และเนื่องจากเวลาก็นัอย จึงทำได้แต่เพียงอ่านหนังสืออย่างกระจัดกระจายไม่กี่เล่ม... เท่าที่จะหาได้ในยามยาก ต้องพลัดที่นาคาที่อยู่เช่นนี้อีกส่วนหนึ่ง....”
(“จดหมายของผู้แปล ถึงเพื่อนผู้หนึ่ง” : หน้า ๒๕๔)


ในบทวิจารณ์ที่เขียนไว้ในปีพ.ศ.๒๕๑๘ ชลธิรา สัตยาวัฒนา ซึ่งไม่เคยพบปะหรือรู้จักมักคุ้นกับ “นายผี” เลย ประเมินว่า ‘ประไพ วิเศษธานี’ พิสูจน์ความเป็น “มหากวีของประขาชน” ด้วยผลงานชิ้นนี้ ที่แต่งเรียบเรียงไว้อย่างวิจิตรบรรจงทุกถ้อยกระทงความ
“เราอาจจินตนาการได้ว่า ขณะที่มือซ้ายของเขาถือปากกาและหนังสือ รจนากาพย์กลอนอยู่นั้น มือขวาของเขาก็กำลังจับปืนอยู่ในดินแดนไม่ใกล้ ไม่ไกลจากเรา
อาจจะอยู่บนเทือกเขาสูง หรือบางครั้งก็อาจจะลงหุบห้วยลุ่มลึก
ทั้ง ๆ ที่เขาอาจจะนั่งอยู่ในศาล เป็นผู้รักษากฎหมายอย่างเป็นทางการได้อย่างสบาย ๆ...
ทำไมเขาจึงเลือกทางเดินเช่นนี้....คำตอบหาได้ไม่ยากนัก
ถ้าเพียงแต่เรามีจิตใจรักความเป็นธรรมและมุ่งต่อสู้เพื่อมนุษยธรรม”


อย่างไรก็ตาม ผู้วิจารณ์ได้ทิ้งท้ายว่า
“แต่ก็น่าจะหวังว่า ควรจะมีกาพย์กลอนเหมาเจ๋อตุง ฉบับภาษาไทยอีกสักสำนวนหนึ่ง
ที่ใช้ภาษาสื่อความเข้าใจได้ง่าย ๆ ดังที่ ‘ประไพ วิเศษธานี’ ก็ได้ชี้แจงไว้ด้วยตนเองว่า
...ด้วยเหตุนี้ บทแปลและบทอธิบายที่ทำผนวกนี้ไว้ จึงถือได้แต่เพียงเป็นกระดานหก สำหรับผู้รู้ที่เรืองวิชา จะมาใช้ในการจัดทำให้ดีและสมบูรณ์ขึ้นในกาลต่อไปเท่านั้น”.


เมื่อเกิดเหตุการณ์สังหารหมู่ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ข่มขืนผู้หญิง และเข่นฆ่าประชาชนที่ท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ชลธิรา สัตยาวัฒนา สรุปผลการวิจักษ์วิจารณ์งานกาพย์กลอนชั้นครูชิ้นนี้ ว่า
“ประไพ วิเศษธานี เป็นคนเดียวกับ ‘นายผี’ ที่ จิตร ภูมิศักดิ์ ยกย่องว่าเป็น
‘มหากวีผู้ล้ำเลิศของฝ่ายประชาชน’
คุณสุภา ศิริมานนท์ บรรณาธิการวารสารอักษรสาส์น บอกกับเราว่า
เจ้าของทั้งสองนามปากกานี้ และยังอีกหลายนามปากกา คือ คุณอัศนี พลจันทร อัยการผู้ผันตัวเองเป็นนักปฏิวัติชนชั้นกรรมาชีพ และเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยด้วย
งานชิ้นนี้แสดงว่า คุณอัศนี พลจันทร ยังมีชีวิตอยู่ คงอยู่ในที่ไม่ใกล้ ไม่ไกลจากเรานัก …”


ปัจจุบัน เริ่มเป็นที่ทราบกันแล้วว่า ช่วงเกิดเหตุสังหารหมู่นักเรียนนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และที่สนามหลวง ทั้งตรงหน้าศาลหลักเมือง และหน้าศาลแม่พระธรณีบิดมวยผมนั้น ‘นายผี’ หรือ ‘ประไพ วิเศษธานี’ เป็น “สหายนำ” คนหนึ่งของพคท. เป็นผู้มีส่วนร่วมอย่างมีนัยยะสำคัญในช่วงบุกเบิกก่อตั้ง สปท. “สถานีวิทยุเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย”


​อัศนี พลจันทร เรียนจบนิติศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง เป็นอัยการผู้ช่วยที่จังหวัดปัตตานี ก่อนย้ายไปประจำการที่สระบุรี มหากวีของประชาชนท่านนี้เขียนวรรณกรรมไว้หลายเรื่องที่สะท้อนความทุกข์ยากของชนชั้นล่าง เชิดชูคุณค่าของคนยากจนค่นแค้น ที่รู้จักกันดีเช่น บทกวี “ความเปลี่ยนแปลง” และ วรรณคดีคำฉันท์เรื่อง “เราชนะแล้วแม่จ๋า”
อัศนี พลจันทร ไม่ใช่คนสิ้นไร้ไม้ตอก ไม่ได้สิ้นทางไปในระบบราชการ หากด้วยจิตใจที่รักความเป็นธรรม ได้เลือกหนทางเข้าป่าไปพร้อมกับคู่ชีวิต
อัคนี พลจันทร แม้มีความเป็นตัวของตัวเอง และเป็นผู้มี “อหังการกวี” แต่อ่อนน้อมถ่อมตนมากพอที่จะน้อมรับการนำขององค์กร มีเจตนารมณ์แน่วแน่ต่อการเข้าสังกัดพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นกลุ่มพลังก้าวหน้าที่ทางการไทยถือว่าผิดกฎหมายในยุคนั้น


ในปีพุทธศักราช ​๒๕๐๕ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ยังไม่มีกองกำลังติดอาวุธ ชัดเจน และยังไม่ได้ “แตกเสียงปืน” เป็นกิจลักษณะ อัศนี พลจันทร ซึ่งอยู่เขตเคลื่อนไหวปฏิวัติ ได้รับมอบหมายจากองค์การนำของพคท.ให้เดินทางไปก่อตั้ง “สถานีวิทยุเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย (สปท.) ที่กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม ซึ่งในช่วงเวลานั้นสหรัฐอเมริกาได้ยึดครองเวียดนามใต้แล้ว สหายโฮจิมินห์ ผู้นำเวียดนามที่มีอิทธิพลในเขตเวียดนามเหนือ ได้อนุญาตให้ พคท.ซึ่งเป็นพรรคพี่น้อง จัดตั้งสถานีวิทยุ สปท. ที่กรุงฮานอย เพื่อให้เป็นวิทยุคลื่นสั้นที่กระจายเสียงทางไกลมาถึงเมืองไทยได้ทั่วทุกเขตงานทั่วประเทศ สปท. กระจายเสียงอยู่ที่กรุงฮานอยได้ราวปีเศษ ในสภาพที่กองกำลังอาวุธฝ่ายประชาชนของเวียดนามเหนือต้องสู้รบอย่างหนักหน่วงกับ ‘จักรพรรดินิยมอเมริกา’ ในยุคนั้น ทำให้จำต้องย้ายสถานีไปตั้งมั่นทำการอยู่ที่เมืองคุณหมิง มณฑลยูนนาน ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อนั้นเอง บุคคลที่มีความสามารถพิเศษล้ำด้านภาษาและอักษรศาสตร์ท่านนี้ ก็ได้รับคัดสรรและมอบหมายจากองค์การนำของ พคท.ให้ละจากงานสปท. แล้วเดินทางไปทำงานโครงการพิเศษเฉพาะร่วมกับสหายผู้เชี่ยวชาญภาษาจีนอีกบางท่าน ณ กรุงปักกิ่ง นั่นคือ โครงการแปล “สรรนิพนธ์ เหมาเจ๋อตง” ฉบับสำนักพิมพ์ภาษาต่างประเทศ ปักกิ่ง
สำนวนงานแปลรวมหมู่นี้ นักเรียนนิสิตนักศึกษาและประชาชนไทย ทั้งในเมืองและในป่า ได้ใช้เป็นบทศึกษาร่วมกันมาในสงครามปฏิวัติจนกระทั่งเกิดภาวการณ์ “ป่าแตก”


***โปรดติดตามตอนต่อไป
“ไม่ไกลเกินไป ที่จะเข้าถึงลุงไฟ”


___________


บรรณานุกรม
ชลธิรา สัตยาวัฒนา,
“กาพย์กลอนเหมาเจ๋อตุง ในสยามพากย์”,
วารสารธรรมศาสตร์, ปีที่ ๕, ฉบับที่ ๓, กพ-พค. ๒๕๑๙.


ประไพ วิเศษธานี (นามปากกา)
กาพย์กลอนเหมาเจ๋อตุง.
กรุงเทพฯ: ทัพหน้าราม, ๒๕๑๘. (๒๕๘ หน้า, ๑๕ บาท)

 


 

 

  

สนใจสมัครสมาชิกผู้มีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท. โปรดคลิ๊ก  

บันทึกเรื่องล้ำในไพรลึก.... ชลธิรา สัตยาวัฒนา  ตอนที่ 10   “แดนจินตนาการอันแสนงาม” ของ อัศนี พลจันทร

ชลธิรา สัตยาวัฒนา

 

วิถีชีวิตของ อัศนี พลจันทร โลดโผนทว่าลุ่มลึกมาตั้งแต่วัยหนุ่ม
ในปีพุทธศักราช 2480 นายอัศนี พลจันทร มีอายุได้เพียง 19 ปี ขณะที่ศึกษาวิชากฎหมายอยู่ชั้นปีที่ 2 ที่มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง หนุ่มน้อยคนนี้ได้เริ่ม ‘ลองวิชา’ ด้วยการเขียนบทความท้าทายนักเขียนอาวุโส โต้ทัศนะของ ส.ธรรมยศ ผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง ว่าด้วยเรื่อง "นิราศลำน้ำน้อย" (ของพระยาตรัง) โดยใช้นามแฝงว่า "นางสาวอัศนี"
ขณะซุ่มซ้อมมือฝึกปรือตนเองระหว่างเรียนหนังสือที่ธรรมศาสตร์นั้น ในระยะต้น อัศนี พลจันทร ยังไม่พาตัวเองเข้าสู่ ‘กระแสหลัก’ ของการเมืองร่วมสมัย หากได้ใช้เวลาว่างจากการเรียน เดินเข้าไปเสาะหาความรู้เพิ่มเติมในวัดมหาธาตุและหอสมุดแห่งชาติซึ่งอยู่ติด ๆ กันในรัศมีเดินถึง จนได้ความรู้เพิ่มพูน กลายเป็น “ผู้รู้” ที่เชี่ยวชาญด้านภาษา วัฒนธรรม และศิลปะวรรณคดี เฉพาะด้านภาษาก็ได้เรียนรู้ยกระดับตามความสนใจของตนเองถึง 7 ภาษา ได้แก่ ภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส จีน มลายู บาลี สันสกฤต และอูรดู (ภาษาอูรดู เป็นภาษาประจำชาติของปากีสถาน และเป็นภาษาหลักของมุสลิมในประเทศอินเดีย)
ความรู้รักที่จะเรียนภาษาเช่นนี้มีมาแต่วัยเด็ก และดำเนินไปอย่างต่อเนื่องจนตราบถึงบั้นปลายของชีวิต แม้ก่อนหน้าการ “เสียสละสิ้นชีพ” ไปไม่กี่ปี “ป้าลม” ซึ่งอยู่ใกล้ชิดตลอดมา (ยกเว้นช่วงสุดท้ายที่ต้องแยกจากกันไปตามคำสั่งของฝ่ายนำ เพื่อให้ผู้หญิงและเด็กเล็กปลอดภัยจากการล้อมปราบของฝ่ายรัฐบาล) ให้ข้อมูลว่า อัศนี พลจันทร ได้จัดทำ “พจนานุกรมภาษาจีนโบราณ” ไว้ค่อนข้างสมบูรณ์ ขณะที่ใช้ชีวิตในเขตป่าเขา น่าเสียดายที่ “ต้นฉบับงาน” อันทรงคุณค่าชิ้นนี้สูญหายไประหว่างหลบหนีการล้อมปราบของกองกำลังฝ่ายรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม ช่วงปี พ.ศ.2479-2483 ถือว่าเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านของประวัติศาสตร์ จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่ระยะต้นของระบอบประชาธิปไตยไทยที่เริ่มใช้รัฐธรรมนูญ ท่ามกลางการแย่งชิงอำนาจของหลายฝ่ายภายหลังการสละราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (ในหลวงรัฐกาลที่ 7) เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่อุบัติขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว นักศึกษามหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง อย่างอัศนี พลจันทร ย่อมเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องใส่ใจ ขบคิด และเรียนรู้ โดยเฉพาะผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัย ก็คือ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม หรือ ฯพณฯ ดร.ปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเป็นมันสมองของ “คณะราษฎร” มาตั้งแต่เริ่มคิดก่อการ และต่อมาท่านก็ต้องตกอยู่ในเกมการช่วงชิงอำนาจจากหลายฝ่าย บทบาทการกรีดปากกาเป็นบทกวีและการเขียนบทความนำเสนอผ่านสื่อหลายรูปแบบของอัศนี พลจันทร ในนามปากกาต่าง ๆ จึงได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของบันทึกประวัติศาสตร์ช่วงนี้ไปโดยปริยาย
เมื่อสำเร็จการศึกษาขั้นปริญญาตรี วิชากฎหมาย จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง อัศนี พลจันทร เข้ารับราชการทันที ตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ.2484 โดยเริ่มงานราชการในตำแหน่ง ‘อัยการผู้ช่วยชั้นตรี’ (เทียบขั้น ‘อัยการฝึกหัด’ ชั้นจัตวา อันดับ 7) อัตราเงินเดือนที่กองคดี กรมอัยการ 50 บาท
ชีวิตอัยการโดยทั่วไปนั้น มีโอกาสได้รับรู้ความทุกข์ยากเดือดร้อนของประชาชน หากอัยการมิใช่คนใจไม้ใส้ระกำจนเกินไปนัก ก็จะสัมผัสปัญหาที่ผู้เสียหายเผชิญเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายโจทก์หรือจำเลย หรือผู้มาให้การเป็นพยาน ทั้งที่เป็นเพื่อนมิตรหรือญาติพี่น้องใกล้ชิด ต่างก็มี “เรื่องเล่า” จากชีวิตจริงในสภาพที่มีปัญหาต่าง ๆ รุมล้อม เมื่อคนเหล่านี้มาบอกกล่าวกับ ‘อัยการผู้ช่วย’ ที่มีพื้นฐานทางจิตใจเคร่งครัดทางวิชาชีพเช่นอัศนี พลจันทร แม้เป็นเพียงบัณฑิตจบมาใหม่หมาด ก็สามารถซึมซับปัญหาที่รุมเร้าประชาชนคนยากได้อย่างรวดเร็ว
ความตื่นตัวต่อปัญหาชาวบ้านของอัยการผู้ช่วยหนุ่ม อัศนี พลจันทร ไม่ได้มาจากความช่างคิดที่สั่งสมมาแต่วัยเด็กและจากการอ่านหนังสือดี ๆ เท่านั้น หากมีภววิสัยรองรับจากการซึมซับรับรู้ปัญหาความทุกข์ยากเดือดร้อนของประชาชน จนเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน โดยเฉพาะในช่วงเปลี่ยนผ่านจากความสิ้นหวังทางจิตใจ กับความพยายามที่จะฟื้นคืนชีพทางเศรษฐกิจ ด้วยหวังที่จะทุเลาความบอบช้ำจากสงครามโลกครั้งที่ 2
สำหรับประเทศไทยนั้น แม้มิได้เป็นผู้พ่ายแพ้สงคราม และสภาพบ้านเมืองในภาพรวมก็ไม่ได้พังยับเยินเสียหายจากหายนะภัยสงครามโดยตรง แต่พิษร้ายจากสงครามโลกก็แผ่ซ่านส่งผลกระทบต่อผู้คนจำนวนมากทุกครัวเรือน แม้หากไม่ล้มตายหรือบาดเจ็บจากสงคราม ก็ล้วนแต่ต้องเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจหนักหน่วง ชนชั้นล่างแต่ละครัวเรือนต่างต้องขบคิดวางแผนว่าจะอยู่กินกันต่อไปอย่างไรในแต่ละวันแต่ละคืน บางครอบครัวถึงกับอยู่ในสภาพ “บ้านแตกสาแหรกขาด” พ่อแม่ลูกเต้าต้องแยกกันอยู่คนละทิศละทาง ผลกระทบจากสงครามเกิดขึ้นกับชนทุกชั้น แม้แต่ในครอบครัวปัญญาชนและผู้มีอันจะกิน บางคนก็ถึงกับได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจจนล้มป่วยไปชั่วชีวิตก็มี ส่วนผู้คนระดับชาวบ้านร้านตลาดก็จำต้องดิ้นรนต่อสู้แบบ “ปากกัดตีนถีบ” หากไม่ใช่เพื่อความอยู่รอด ก็หวังหาทางตั้งตัว ฟื้นฐานะเพื่อยังชีพให้ “อยู่ดีกินดี” กว่าเดิม ในการนี้คนบางกลุ่มบางพวกจึงแสวงหาความได้เปรียบ ช่วงชิงโอกาสที่จะกอบโกยผลประโยชน์ และตักตวงให้ได้มามากที่สุด ส่วนมากทำการโดยปราศจากคุณธรรม นำมาซึ่งความบอบช้ำของผู้สูญเสียที่ตกเป็นเบี้ยล่าง
บริบทสังคมเศรษฐกิจการเมืองในช่วงรอยต่อระหว่างปี พ.ศ.2484-2485 ระยะหลังสงครามโลกดังกล่าวข้างต้น เป็นช่วงเวลาที่อัศนี พลจันทร เริ่มเข้ารับราชการในฐานะอัยการผู้ช่วยพอดี นักคิดนักเขียนและกวีซึ่งมีความเปรื่องปราชญ์ในตัวเอง จึงมองเห็นปัญหาที่ซุกอยู่ภายในเรื่องราวคดีความต่าง ๆ ได้ทะลุปรุโปร่ง แม้จะเกิดในครอบครัวขุนนางเจ้าที่ดินศักดินา อัศนี พลจันทร ได้ปรับมุมมองและทีทรรศน์ต่อโลกความเป็นจริงอันประจักษ์อยู่ตรงหน้า สามารถพัฒนาตนเป็น ‘อัยการของประชาชน’ ได้อย่างรวดเร็วเป็นพิเศษ
ปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตข้าราชการของ อัศนี พลจันทร เริ่มตั้งแต่ปีแรกของการทำงาน เมื่อมีคดีหนึ่งที่อัยการชั้นเหนือไม่กล้าสั่งฟ้องด้วยตนเอง เพราะจำเลยเป็นน้องชายของผู้เรืองอำนาจทางการเมืองในสมัยนั้น ภาระการดำเนินการฟ้องต้องตกมาอยู่ในความรับผิดชอบของอัยการผู้ช่วย คือ อัศนี พลจันทร คดีนี้อัยการเป็นโจทย์ ดำเนินการฟ้องร้องจนได้รับชัยชนะเหนือความคาดหมาย แต่ความสำเร็จนี้กลับส่งผลให้ถูกสั่งย้ายไปปฏิบัติงานที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน พื้นที่ซึ่งแม้จนขณะนี้ก็ยังถือว่าเป็นดินแดน “ไกลปืนเที่ยง” (นับเป็นคำสั่งย้าย ครั้งที่ 1)

ชีวิต ‘นายผี’ ในฐานะ ‘อัยการแพะ’
ในปีต่อมา อัศนี พลจันทร ด้วยวัยเพียง 24 ปีเศษ ก็ได้ ‘ก่อการดี’ ขึ้นอีกคดีหนึ่ง ด้วยสาเหตุไม่แจ้งชัด (เนื่องจากยังไม่พบรายละเอียดของคดีความ) แต่คงจะ ‘ร้ายแรง’ ไม่เบา ดังนั้นในทัศนะของผู้บังคับบัญชาสายตรง จึงออกคำสั่งย้ายอัยการผู้ช่วยท่านนี้ออกจาก “แดนไกลปืนเที่ยง" เมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2485 โดยให้ไปทำงานในตำแหน่งเป็น ‘อัยการผู้ช่วย จังหวัดปัตตานี’ (นับเป็นคำสั่งย้ายกะทันหัน ครั้งที่ 2)
ในความรู้สึกของ ‘ป้าลม’ (คุณวิมล พลจันทร) คู่ชีวิตร่วมทุกข์ร่วมยากของท่าน ถือว่าคราวนี้เป็นการ “ถูกเนรเทศ” ไปอยู่ท้องถิ่นทุรกันดารและเสี่ยงภัย แม้จะได้อัตราเงินเดือนเพิ่มขึ้นเป็น 80 บาท แต่สำหรับในช่วงปลายสงครามโลกนั้น ข้าวของทุกอย่างแพงมาก การจัดหาจัดซื้อก็เป็นไปด้วยยาก มักถูกชักผลประโยชน์หลายชั้นเชิงกว่าสินค้าที่ต้องการจะมาถึงผู้บริโภค ‘ป้าลม’ บันทึกเล่าชีวิตส่วนตัวของครอบครัวว่า
“การกินอยู่ในครอบครัวที่ปัตตานีเวลานั้น ถึงกับต้องเหวี่ยงแหหาปลามากินกันเอง เมื่อมีส่วนเหลือก็เจือจานเพื่อนบ้าน และซื้อไก่มาเลี้ยงเอาไข่ อีกทั้งยังหาซื้อแพะมาเลี้ยงไว้รีดนมด้วย”
ณ ท้องถิ่นเสี่ยงภัยและทุรกันดารแห่งนี้ เกิดมี “ตำนานอัยการแพะ” เล่าสู่กันฟังในหมู่ชาวบ้านที่ปัตตานีว่า…
วันหนึ่ง ขณะที่ท่านอัยการ อัศนี พลจันทร กำลังนั่งขีดเขียนค้นคว้าหนังสือเพลินอยู่นั้น แพะที่เลี้ยงไว้ย่องเข้ามากินต้นฉบับงานเขียนหมดไปหลายแผ่น ชาวบ้านพบเห็นเข้าจึงเอาไปร่ำลือ แล้วเรียกกันปากต่อปากว่า “อัยการแพะ”
อัศนี พลจันทร จึงมีฉายาว่า "อัยการแพะ" ที่มักใช้เรียกขานกันติดปากชาวบ้านมุสลิมปัตตานี บางแหล่งข้อมูลอ้างว่า ต้นฉบับลายมือเขียนที่ถูกแพะเอาไปกินแทนหญ้านั้น เป็นต้นฉบับงานแปล "ภควัทคีตา" ผลงานแปลจากวรรณคดีภาษาสันสกฤตชิ้นสำคัญที่ สุภา ศิริมานนท์ เห็นคุณค่า ต่อมาจึงได้นำลงตีพิมพ์ใน วารสารอักษรสาส์น ซึ่งท่านเป็นบรรณาธิการ (นับแต่ฉบับเดือนตุลาคม 2493)
บทบาทของ “อัยการแพะ” อาจตีความจากข้อเท็จจริงว่า อัศนี พลจันทร ถูกโยกย้ายไปอยู่แดนทุรกันดาร จึงตกเป็น “แพะรับบาป” คือต้องเป็นฝ่ายรับโทษทัณฑ์จากการ “ก่อการดี” เพื่อคนทุกข์ยาก อย่างไรก็ตาม โทษทัณฑ์นี้กลับเป็นผลดีต่อการหล่อหลอมชีวิตให้เข้มข้นยิ่งกว่าเดิม ทำให้ “อัยการแพะ” ได้มีโอกาสลงไปสัมผัสวิถีชีวิตพื้นบ้าน ใกล้ชิดกับชาวบ้านร้านถิ่นยากจนในจังหวัดปัตตานี โดยการเข้าไปคลุกคลีอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน และด้วยจิตใจรักการเรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรมอย่างจริงใจ ภาพอัศนี พลจันทร บนเวทีละครชีวิตช่วงเวลานี้ ฉายชัดเจนว่า ท่านได้ถือโอกาสศึกษาชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน แสดงความสนใจใคร่รู้วัฒนธรรมชาวมุสลิมปัตตานี ถึงขั้นฝึกอ่าน คัมภีร์อัลกุรอ่าน ตลอดจนปฏิบัติกิจวัตรอิสลามิกชนโดยเคร่งครัด คือ งดการบริโภคเนื้อหมู และยังสวม ‘หมวกกาบีเยาะห์’ เวลาเดินทางไปไหนต่อไหนด้วย นอกจากนี้ “อัยการแพะ” ยังปฏิบัติตนเป็นผู้ให้ทาน เจือจานพี่น้องมุสลิมที่ขาดแคลน รูปธรรมของ “การให้” ที่ชัดเจนจากบันทึกเล่าเรื่องของ “ป้าลม” คือ เมื่อได้รับปันส่วนไม้ขีดไฟมาจากทางการ “อัยการแพะ” จะสั่งการให้ภรรยาของท่านแบ่งไว้ใช้เองเท่าที่จำเป็นเพียงบางส่วน แล้วก็นำส่วนที่กันไว้ ไปแจกจ่ายให้ชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงอย่างเท่าเทียมกัน “สองครัวเรือนต่อหนึ่งกลัก” ท่วงทำนองน่าประทับใจเช่นนี้ สะท้อนให้เห็นอารมณ์รักอันลึกซึ้งที่ “อัยการแพะ” ได้มอบให้พี่น้องมุสลิมชาวปัตตานี “โดยไม่มีกำแพงชาติพันธุ์ ศาสนา และวัฒนธรรม มากั้นกลาง”
ในด้านคดีความ บริบททางการเมืองที่เข้มข้นระยะปลายสงครามโลกครั้งที่สอง อึงอลโกลาหลด้วยกระแสโฆษณาชวนเชื่อ ให้ “เชื่อผู้นำ ชาติพ้นภัย” นำโดยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม วาทกรรมการเมืองของผู้มีอำนาจได้สร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านอย่างแสนสาหัส จนเกิดมีกรณีตำรวจไล่จับชาวบ้านปัตตานีจำนวนมากที่ไม่รู้เรื่องราวและไม่อาจเข้าใจ “คำสั่ง” เบื้องบนที่บัญชาการลงมาเช่นนี้ได้ จากการนี้ชาวบ้านจึงถูกจับ รีดไถ เรียกค่าปรับ ในข้อหา “ฝ่าฝืนนโยบายรัฐนิยม” ของรัฐบาล โดยเฉพาะกรณี “การกินหมาก ไม่สวมหมวก และนุ่งโสร่ง” เมื่อพนักงานสอบสวนส่ง “สำนวนคดีเปรียบเทียบปรับ” มาขอความเห็นชอบจากพนักงานอัยการ ตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา ปรากฏว่า “อัยการแพะ” อัศนี พลจันทร ได้ใช้ความกล้าหาญทางจริยธรรม ชี้มูลเหตุแห่งคดีความว่า “การเปรียบเทียบปรับไม่ชอบ” ซึ่งมีผลเท่ากับ “สั่งไม่ฟ้อง ต้องคืนค่าปรับให้กับผู้ต้องหาทุกราย” โดยให้เหตุผลว่า
“ผู้ต้องหาไม่รู้ภาษาไทย ไม่เข้าใจกฎหมายไทย. รัฐนิยมขัดต่อเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน และขัดต่อหลักความยุติธรรม,ใช้บังคับไม่ได้.”
ผลจากการที่ อัศนี พลจันทร เลือกยืนเคียงข้างผู้ถูกกดขี่ และยื้อคืนความเป็นธรรมให้ประชาชน ทำให้กิตติศัพท์ของ “อัยการแพะ” ลือเลื่องไปทั่วทั้งจังหวัดปัตตานี และแม้แต่ภายในกรมอัยการเอง ทว่าโดยเหตุที่อัยการในท้องที่อื่น ล้วนให้ความเห็นชอบกับ “การเปรียบเทียบปรับ” ดังกล่าวทั้งสิ้น “อัยการแพะ” จึงไม่เพียงเป็น ‘แพะรับบาป’ แทนผู้อื่น อัศนี พลจันทร ยังได้กลายเป็น “แกะดำ” ในกองบังคับคดี กรมอัยการ ไปแล้วอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ตลอดช่วงเวลาสองปีที่ “อัยการแพะ” ทำงานไป เรียนรู้ไป และสัมผัสซึมซับวิถีวัฒนธรรมชาวมุสลิมปัตตานีนั้น ท่านยังได้ทำให้ราชการปั่นป่วน ด้วยการพลิกมุมมองทางกฎหมายอย่างครึกโครมไว้หลายคดี โดยเฉพาะการ “กลับดำให้เป็นขาว” สั่งไม่ฟ้องชาวบ้านมุสลิมปัตตานีกว่า 50 คนที่โดนจับด้วยข้อหา “ไม่สวมหมวก” ตามนโยบายของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ผลจึงตามมาด้วยการกล่าวหาว่าร้ายเป็นการภายในว่า อัยการผู้ช่วย อัศนี พลจันทร “ให้การสนับสนุนชนชาวมลายู ต่อต้านรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม”
อัศนี พลจันทร จึงตกเป็น ‘แพะรับบาป’ ถูกสั่งย้ายอีกคำรบหนึ่ง คราวนี้ให้ไปประจำการที่จังหวัดสระบุรี (นับเป็นคำสั่งย้ายกะทันหัน ครั้งที่ 3)
“อัยการแพะ” จึงจำต้องอำลาชาวมุสลิมปัตตานีไปตามคำสั่งย้าย เมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2487 ด้วยหยาดน้ำตาของประชาชนที่อาลัยรักท่าน อย่างไรก็ตาม “อัยการแพะ” จากไปแต่เพียงรูปกายเท่านั้น งานเขียนที่พรั่งพรูออกมาในระยะหลัง แม้อยู่ห่างไกลกัน สะท้อนให้เห็นว่า “อัยการแพะ” ไม่เคยลืมประชาชนชาวปัตตานีที่ท่านรักและห่วงใย และได้เขียนถึงผู้คนพี่น้องชาวมุสลิมเสมอมาในงานเขียนที่มีนัยยะสำคัญหลายชิ้น ดังจะได้กล่าวถึงต่อไป


‘นายผี’ ยังคงเป็น ‘แกะดำ’ ที่สระบุรี
การมาเป็นอัยการผู้ช่วยที่สระบุรีครั้งนี้ อัศนี พลจันทร ไม่เคยเข็ดหลาบที่ถูกสั่งสอนด้วยการโยกย้ายที่ทำงานและถิ่นฐาน ในบันทึกของ ‘ป้าลม’ ด้วยนามแฝง ‘ฟองจันทร ทะเลหญ้า’ ปรากฏข้อความช่วงใช้ชีวิตที่สระบุรี ดังนี้ :
“ท่านปฏิเสธไม่รับเลี้ยงจากพ่อค้า โดยอ้างว่าเป็น ‘มุสลิม’ ต้องเคร่งครัดเรื่องอาหารการกิน เพื่อปิดประตูที่พ่อค้าจะเข้าถึงตัวอัยการได้ตามธรรมเนียมที่ปฏิบัติกันมาจนถึงปัจจุบัน คือการเลี้ยงอาหาร แม้พ่อค้าบางคนไม่มีธุรกิจผิดกฎหมาย แต่การมีสัมพันธ์ที่ดีกับอัยการหรือผู้พิพากษา (สำหรับพ่อค้า) ถือว่าได้มากกว่าเสีย ถ้ามีธุรกิจผิดกฎหมายด้วย ก็ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง. ท่านได้ใช้ชีวิตร่วมกับ วิมล พลจันทร ที่บ้านพักหลังเก่าของราชการ ซึ่งไม่มีใครกล้ามาอยู่ ด้วยเพราะต้นมะขามใหญ่หลังบ้านเคยมีคนผูกคอตาย.”
“ฟองจันทร ทะเลหญ้า” (ป้าลม) ยังเล่าวิถีชีวิตครอบครัวพลจันทร ใน ‘บ้านผีสิง’ ของทางราชการ ไว้ถี่ถ้วนว่า
“ในปี พ.ศ.2488, ครอบครัวพลจันทรก็มีสมาชิกเพิ่มเป็นลูกสาวอีกหนึ่งชีวิต ทำให้ปกติแล้วเงินเดือนที่ได้รับก็ชักหน้าไม่ถึงหลังอยู่แล้ว ยิ่งทำให้อัตคัตไปอีก ทั้งงานเขียนก็ยากที่จะลงพิมพ์เพื่อหวังเป็นรายได้มาจุนเจือ... ผู้เป็นภรรยาก็ต้องออกตระเวนซื้อกล้วย ถั่ว หรือข้าวโพดจากไร่มาขาย บางครั้งบางคราวก็ต้องไปไกลถึงเขาพุทธบาทซึ่งอยู่ห่างจาก (ตัวจังหวัด) สระบุรีราว 20 กิโลเมตร.”
ต่อมาในปี พ.ศ.2491 ร้อยเอกประเสริฐ สุดบรรทัด ซึ่งได้คบหากับ อัศนี พลจันทร สนิทสนมกันฉันท์เพื่อน ได้ลงสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสระบุรี แต่ถูกข้าหลวงตัดสิทธิ์ จึงได้ร้องเรียนไปยังกรมอัยการ อัศนี พลจันทร ได้พยายามช่วยคลี่คลายปัญหาให้ แต่แล้วในวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2491 ท่านก็ถูกคำสั่งย้ายอีก (นับเป็นคำสั่งย้ายกะทันหัน ครั้งที่ 4)
ครั้งนี้ให้ไปประจำการที่จังหวัดอยุธยา ด้วยเหตุผลภายในกองอัยการว่า
“คุณอาญาติผู้ใหญ่ของท่าน เป็นหัวหน้าอัยการอยู่ที่นั่น จะได้ช่วยควบคุมดูแลมิให้ก่อเรื่องได้.”


แม้เป็นอัยการชั้นโทที่อยุธยา ก็ไม่วายถูกสั่งย้าย
ในปีถัดมา วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2492 อัศนี พลจันทร ก็ได้เลื่อนขึ้นเป็นข้าราชการชั้นโท
ถึงกระนั้นก็ตาม บทบาททางการเมืองของอัศนี พลจันทร ที่จังหวัดอยุธยา กลับมีมากยิ่งขึ้นเป็นลำดับ ทั้งโดยทางลับและเปิดเผย ในช่วงเวลานี้ ชื่อเสียงในฐานะกวี ในนามปากกา ‘นายผี’ ฝีปากคมกล้า เริ่มเป็นที่ประจักษ์ในหมู่นักอ่านและนักคิดนักเขียนแล้ว มีบุคคลในวงการนี้ รวมทั้งศิลปินและกวี ไปมาหาสู่กันเปิดเผย จนนำมาซึ่งปัญหาใหญ่ในชีวิตของท่านอีกครั้งหนึ่ง สาเหตุมาจากการที่ ‘เปลื้อง วรรณศรี’ จะมาปราศรัยช่วยหาเสียงให้เพื่อนที่ลงสมัครรับเลือกตั้ง สส.ที่อยุธยา ในการนี้จำเป็นต้องดำเนินการขออนุญาตล่วงหน้า อัศนี พลจันทร ก็ได้เป็นธุระขออนุญาตจาก “ข้าหลวง“ คือ “เจ้าเมืองพระนครศรีอยุธยา” (ตำแหน่ง ‘ผู้ว่าราชการจังหวัด’ ในปัจจุบัน) ให้ด้วยตัวเอง แต่เมื่อถึงกำหนดวันนัดหมาย ปรากฏว่านายอำเภอไม่ยอมให้ขึ้นปราศรัย โดยอ้างว่า “ท่านข้าหลวงไม่อนุญาตแล้ว”
เหตุการณ์อันคาดไม่ถึงโดยฉับพลันทันทีนั้น ทำให้เกิดการโต้เถียงกันขึ้น บันทึก ‘ป้าลม’ เล่าว่า
“มีจังหวะหนึ่ง ท่านเอื้อมมือไปจะเกาหลัง (บ้างก็ว่าเกาสะเอว). นายอำเภอเข้าใจผิด คิดว่าท่านจะชักปืนออกมายิง, นายอำเภอได้รีบปั่นจักรยานออกไป การปราศรัยจึงมีขึ้นได้.”
แต่ในที่สุดก็มีเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่เดินทางมาสอบสวนถึงที่ ผลการสอบสวนคือ นายอำเภอถูกย้ายก่อน แต่ก็ตามมาด้วยคำสั่งย้าย อัศนี พลจันทร ด้วยในเดือนกรกฎาคม 2495 คราวนี้ถือว่ารุนแรงเป็นพิเศษ คือ เป็นคำสั่งให้ย้ายกลับเข้าประจำกองคดี กรมอัยการ กระทรวงมหาดไทย (นับเป็นคำสั่งย้าย ครั้งที่ 5)


เกิดเหตุ “กบฏสันติภาพ” อัศนี พลจันทร ถึงคราวจำต้องล่องหน
ครั้นถึงวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ.2495 ก็เกิดเหตุใหญ่ในบ้านเมือง รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ตั้งข้อหาร้ายแรงถึงขั้นอ้างว่ามีบุคคลจำนวนหนึ่ง “กระทำการเป็นกบฏ” ในราชอาณาจักร จึงดำเนินการกวาดล้าง เข้าจับกุม ศิลปิน กวี นักเขียน นักหนังสือพิมพ์ และนักการเมือง รวมทั้งนักศึกษาในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ โดยเฉพาะที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ฯ
การกวาดล้างจับกุม "กบฏสันติภาพ" ครั้งใหญ่นี้ อัศนี พลจันทร ประเมินสถานการณ์ได้ทันต่อเหตุการณ์ เมื่อรู้ตัวว่ามีตำรวจไปคอยดักจับที่บ้าน จึงร่อนเร่อยู่นอกบ้าน หาที่พักหลบซ่อนตัวในที่ปลอดภัย ทางเลือกของท่านก็คือ ลี้ภัยไปซุ่มซ่อนอยู่ในบ้านเพื่อนกรรมกร ใช้เวลาช่วงว่างนั้น ทุ่มเทให้กับการเขียนหนังสือ ร่ายกวีด้วยปลายปากกา คงมิใช่เพียงตามประสา “นักเลงกลอนนอนเปล่าก็เศร้าใจ” แต่เจตนาใช้งานกวีสร้างสรรค์เป็นอาวุธ ทั้งเพื่อปลุกปลอบใจตนเองและห้ำหั่นศัตรูของประชาชน วิกฤตแห่งชีวิตครั้งนี้สาหัสสากรรจ์กว่าครั้งใดที่ผ่านมา “ป้าลม” เล่าว่า
“ในเย็นวันหนึ่ง ท่านได้แอบเข้าไปเก็บเสื้อผ้า…เอาลูกเล็กสองคนมากอด สั่งภรรยาให้ซื้อผ้าห่มกันหนาวให้ลูก แล้วก็หายตัวไปนับแต่บัดนั้น.”
มีหลักฐานเอกสารชัดเจนว่า ในช่วงเกิดเหตุการณ์กวาดล้าง “กบฏสันติภาพ” นี้ อัศนี พลจันทร ยื่นหนังสือลาป่วย “ติดต่อกันสามเดือน” คือตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป ต่อหน่วยงานต้นสังกัด แต่ยังไม่ทันครบกำหนดระยะการลา ท่านก็ได้ตัดสินใจยื่น “หนังสือลาออก” จากราชการ ในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2495 ในสมัยที่หลวงอรรถปรีชาชนูปการ เป็นอธิบดีกรมอัยการ (คนที่ 9) เป็นการยุติบทบาทชีวิตการเป็นอัยการได้เพียง 11 ปีเศษ
‘นายผี’ นักคิดนักเขียนและกวีของประชาชน ต้องหลบลี้หนีภัยคุกคามจากรัฐบาลเผด็จการ ด้วยวัยเพียง 35 ปี คือตั้งแต่ปี พ.ศ.2495 เป็นต้นมา มีความเป็นไปได้ว่า ท่านมีโอกาสสัมผัสกับบุคคลในพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยมาแล้วระดับหนึ่ง คงได้พบพานจากการส่งงานเขียนงานกวีให้ลงพิมพ์ตามหน้าหนังสือพิมพ์และนิตยสารฉบับต่าง ๆ โดยเฉพาะ นิตยสารสายธาร และ นสพ.มหาชน อันเป็นที่รู้กันภายในวงการนักคิดนักเขียนว่า มี พคท.อยู่เบื้องหลัง ส่วนบรรณาธิการก่อตั้งและเป็นผู้บริหารงานโดยตรง ก็คือ นายเชาวน์ พงษ์พิชิต ผู้ใช้นามแฝงในวงการหนังสือพิมพ์ว่า ‘ชาญ กรัสนัยปุระ’ หรือ ‘นายช้าง’ นายหัวคณะศิลปินพเนจรแห่งภาคใต้นั่นเอง
พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ก่อตั้งเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พุทธศักราช 2485 บันทึกของ “ฟองจันทร ทะเลหญ้า” ‘ป้าลม’ ระบุว่า “อัศนี พลจันทร ได้เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ซึ่งเพิ่งก่อตั้งได้สิบปี…ถือว่าท่านเป็นสมาชิกพรรคฯ ในยุคแรก ๆ.”
สรุปความจากมรสุมชีวิตช่วงนี้และจากพยานบุคคลผู้เป็นคู่ชีวิต เป็นที่ชัดเจนว่า อัศนี พลจันทร ได้รับเกียรติให้เข้าเป็น “สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย” เมื่อปีพุทธศักราช 2495 (โดยไม่ทันได้ผ่านขั้นตอนการคัดกรองเป็น “สมาชิกสันนิบาตเยาวชนแห่งประเทศไทย” ขั้นตอนนี้แตกต่างจากกรณีของ จิตร ภูมิศักดิ์ ที่เข้าสู่กระบวนการเป็น “สมาชิก สยท.” (แบบพิเศษ) รับเข้าโดย “ชาญ กรัสนัยปุระ” คงมีความจำเป็นที่จะต้องรับเข้าในช่วงวิกฤตทางการเมือง โดยไม่ทันได้รายงานองค์การนำและได้รับอนุมัติจากหน่วยพรรค “ชั้นเหนือ” ของ พคท. เพราะสมาชิกพรรคต่างอยู่ในสภาพต้องหลบหนีซ่อนตัวลี้ภัย หรือบ้างก็เดินทางล่วงหน้าเข้าเขตป่าเขาชายแดนประเทศพี่น้องเพื่อนบ้านไปแล้ว แม้ในเวลานั้นยังไม่ทันได้ “แตกเสียงปืน” ก็ตาม)


ความรุ่งโรจน์ของ ‘นายผี’ ก่อนเดินทางไกล
กล่าวได้ว่าในระหว่างปี พ.ศ.2492 - 2495 ถือเป็นช่วงรุ่งโรจน์ของมหากวี ‘นายผี’ ก่อนเกิดเหตุการณ์กวาดล้างจับกุมผู้ต้องสงสัยใน “คดีกบฏสันติภาพ” อัศนี พลจันทร ดูมีความสุขยวดยิ่งกับการเขียนหนังสืออันเป็นงานที่ท่านรัก สังเกตจากชิ้นงานระดับคุณภาพที่พรั่งพรูออกมาประดุจสายฟ้าแลบ ซึ่งได้รับพิจารณาลงพิมพ์อย่างกว้างขวาง โดยท่านได้ใช้เวลาส่วนหนึ่งช่วยทำนิตยสาร อักษรสาส์นรายเดือน ที่ คุณสุภา ศิริมานนท์ อดีตบรรณาธิการ นิกรวันอาทิจ เปิดขึ้น เพื่อเป็นเวทีแสดงทัศนะในด้านศิลปวรรณคดีและการเมือง ระหว่างนั้น ‘นายผี’ ก็ยังคงเขียนให้กับ สยามนิกร และ สยามสมัย ควบคู่กันไป บทกวีและเรื่องสั้นของ อัศนี พลจันทร หลั่งไหลออกมาในหลายนามปากกา ดังกล่าวมาแล้ว ในช่วงเวลาแห่งจุดรุ่งโรจน์สูงสุดในชีวิตการเขียนหนังสือของ อัศนี พลจันทร ท่านได้ขยายขอบเขตเนื้อหาการเขียนบทความ จากการวิพากษ์วิจารณ์การเมืองและรัฐบาล ไปในทิศทางที่ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยใช้ปรัชญาลัทธิมาร์กซชี้นำ ให้ความสำคัญกับแนวคิดความแตกต่างระหว่างชนชั้น การกดขี่ขูดรีดพลังการผลิตคือกรรมกรและชาวนาผู้ยากไร้ และเปิดโปงความอยุติธรรมในระบบสังคมอย่างชัดเจน ที่น่าสนใจก็คือ ท่านได้เพิ่มมิติงานเขียนของท่านหลายชิ้นด้วยมุมมองแบบ “Marxist Feminism” ให้พื้นที่กับการวิพากษ์วิจารณ์เพื่อปลดปล่อยสตรี โดยกระตุ้นให้ตระหนักถึงบทบาทและคุณค่าที่แท้จริงของตัวเอง และยังได้เสนอแนวทัศนะว่าด้วย ‘ความรัก’ ในรูปแบบใหม่ คือ “ความรักระหว่างชนชั้นและความรักในมวลชน” บทกวีเรื่องยาวของ ‘นายผี’ ในช่วงกระแสสูง เช่น “เราชะนะแล้ว แม่จ๋า” เสนอแนวคิดเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างชัดแจ้ง โดยใช้กวีวจนะที่ทรงพลัง ปลุกเร้าประชาชนผู้ยากไร้ และกล่าวถึง ‘ชนชั้นกรรมาชีพ’ ให้ตระหนักถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของตน


การก้าวข้ามเส้นแบ่งทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรม ของ อัศนี พลจันทร
ในนิตยสารการเมือง ลงวันที่ 16 ธ.ค. 2493 ปรากฏข้อความเป็น “บทบันทึก” ว่า
“มวลชนมุสลิม ซึ่งเปนชนกลุ่มน้อยในประเทศไทยทั้งหลาย จะต้องเห็นอกเห็นใจกับ นาดฺราและสามีของเธอ จะต้องคัดค้านจักรวรรดินิยมในการกระทำอันนี้ แน่นอน และประชาชนชาวไทยทั้งหลาย ก็จะต้องเห็นอกเห็นใจและสนับสนุน
—“อัลละหุ อักบฺร! มฺรเดกะห มุสลีมีน! ตันหยงมลายู เฮาะฆ โอรังมลายู!”
Allahu Akbar! Merdeka Muslimin tanjung Melayu hok orang Melayu
บันทึกนี้เขียนโดยผู้ใช้ชื่อ ‘กุลิศ อินทุศักติ’ บรรยายเหตุการณ์การประท้วง ‘ศาลจักรวรรดินิยมอังกฤษ’ โดยชาวมุสลิมในสิงคโปร์ ที่มีชนวนมาจากเหตุภายในครอบครัว อำนาจรัฐสิงคโปร์ได้พรากสามีภรรยามุสลิมคู่หนึ่งอย่างไม่เป็นธรรม นำมาซึ่งการขยายผลเป็นการประท้วงและจลาจลครั้งใหญ่ในสิงคโปร์จนเป็นข่าวโจษจันกันทั่วโลก (เหตุการณ์นี้ รู้จักกันในภาษาอังกฤษว่า Maria Hertogh riots) “บันทึก” ที่ว่านี้เขียนโดย “กุลิศ อินทุศักติ” ซึ่งเป็นนามแฝงของ อัศนี พลจันทร ที่มักใช้กับการเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาอิสลามและชาวมลายูมุสลิม เนื้อหาท่าทีกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกผู้อ่านให้เห็นความชั่วร้ายของระบอบจักรวรรดินิยมอังกฤษอย่างถึงที่สุด


อ่านความคิด อัศนี พลจันทร ในตัวตนสมมุติ “กุลิศ อินทุศักดิ์”
อัศนี พลจันทร คือ ความซับซ้อนที่ซ่อนตัวตน ชอบที่จะซ่อนเงื่อนซ่อนปม เพื่อป้องกันการติดตามของทางการ ด้วยความจำเป็นของสถานการณ์การเมือง และด้วย “ความสนุกนึก” ส่วนตัว ด้วยชอบที่จะทำตัวให้ลึกลับอยู่เสมอ อัศนี พลจันทร จึงนิยมใช้สไตล์การเขียนแบบ “แฝงร่าง อำพรางตน” ชวนให้นักอ่านที่ทันกัน และ “รู้ทางนายผี” พอจะแกะรอยตามได้ แม้จะไม่ง่ายนัก แต่ก็ไม่ยากเกินหากใช้ความพยายาม
ความนับถือและร่วมมือร่วมใจที่อัศนี พลจันทร มีต่อชนมุสลิมมลายู ได้รับการจดจำในตำนานเล่าขานของคนในพื้นที่ปัตตานี แสดงออกมาอย่างชัดแจ้งในข้อเขียนหลากหลายประเภท ดังเช่นบทความ “บริเวณ ๗ หัวเมือง”, นิทานการเมือง “ฟาตีมะห์แห่งเกามอีบู” และรายงานข่าว เรื่อง “อัลละหุ อักบฺร! มฺรเดกะห มุสลีมีน! ตันหยงมลายู เฮาะฆ โอรังมลายู!” ดังได้คัดมาข้างต้น ผลงานทางความคิดและการสื่อสารอย่างตั้งอกตั้งใจของท่าน แสดงให้เห็นว่า ศรัทธาต่อเพื่อนร่วมโลกที่มีต่อกัน ความร่วมแรงร่วมใจกัน ไม่มีขีดจำกัดทางการนับถือศาสนา หรือความแตกต่างทางชาติพันธุ์ หรือแม้กระทั่งพรมแดนรัฐ
อัศนี พลจันทร เมื่อลาออกจากราชการแล้ว ยังคงมีงานเขียนและบทกวี ออกมาสู่โลกวรรณกรรมอย่างต่อเนื่อง ในอีกหนึ่งนามปากกา คือ ‘อินทรายุธ’ เราจะสามารถอ่านความคิดของท่านได้ว่า ท่านได้ก้าวข้าม “กำแพงชนชั้น ชาติพันธุ์ ศาสนาและวัฒนธรรม” สู่ความมุ่งหวังเชิงอุดมการณ์อันสูงส่ง ท่านวาดหวังสิ่งที่อาจเรียกได้ว่าเป็น “ยูโตเพีย” (Utopia) อันเป็น “แดนจินตนาการอันแสนงาม” บนฐานคิดของท่านเอง ที่สั่งสมจากการอ่าน ผนวกกับการขบคิด ไตร่ตรอง และจินตนาการ ถึง “สังคมไร้รัฐ” ไร้ชนชั้น และไร้ความแตกต่างใด ๆ อย่างจำหลักมั่นคงในใจท่าน ตั้งแต่ช่วงกลางปีพุทธศักราช 2491 ในข้อเขียนที่ควรค่าแก่การศึกษาตีความ โดยเฉพาะนัยความหมายระหว่างบรรทัด ดังที่คัดมานี้ :
“… เราต่างมีหน้าที่ของเรา เราต่างมีความรับผิดชอบของเรา ขอเราจงไปพบกันใหม่ในโลกหน้าเถิด แลขอโลกหน้าของเรานี้จงปราศจากอุปสรรค แต่โลกหน้าจะปราศจากอุปสรรคได้ก็ด้วยเราช่วยกันสร้างแต่ในโลกนี้ในเวลานี้ ขอให้โลกหน้าจงเปนแผ่นดินอันราบเสมอกัน ขอน้ำจงไหลขึ้นลงแต่ทางเดียว ขอจงมีต้นกัลปพฤกษ์ขึ้นอยู่ ณ สี่มุมเมือง ขอคนจงอิ่มอยู่เสมอแลไร้กิเลศ ขอจงปราศจากชาติแลศาสนาซึ่งต่างกัน ขอชาติทั้งหลายจงเปนชาติเดียว ขอศาสนาทั้งปวงจงเปลี่ยนเปนศาสนาเดียว ขอมนุษย์ชาติจงตั้งขึ้น แลดำเนินไปตามกฎหมายเดียวคือมนุษย์ธรรม ขอสัจจศาสนาจงตั้งขึ้น แลดำเนินไปตามวินัย คือสัจจธรรม.”
(*คัดจาก “บทสนทนาสุดท้ายระหว่างฟาตีมะห์กับกุลิศ อินทุศักดิ์” ในนิทานการเมืองเรื่อง “ฟาตีมะห์แห่งเกามอีบู” โดย ‘อินทรายุธ’ ตีพิมพ์ครั้งแรกใน น.ส.พ.มหาชนรายสัปดาห์ ฉบับวันที่ 27 มิถุนายน 2491.)

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

 

โปรดติดตามและมีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท.  โปรดคลิ๊ก  

 บันทึกเรื่องล้ำในไพรลึก ตอนที่ 3....“สหายไฟ ผู้จุดไฟ สปท.”

ชลธิรา สัตยาวัฒนา

“เดือนเพ็ญ… แสงเย็นเห็นอร่าม
นภาแจ่มนวลดูงาม
เย็นยิ่งหนอยามเมื่อลมพัดมา
แสงจันทร์นวลชวนใจข้า
คิดถึงถิ่นที่จากมา
คิดถึงท้องนาบ้านเรือนที่เคยเนา”
ความรับรู้ความเข้าใจที่มีต่อเพลง “คิดถึงบ้าน” ประพันธ์เนื้อร้องและใช้ทำนองเพลง ‘พม่าเห่ ๒ ชั้น’ (ท่อนแรก) โดย อัศนี พลจันทร มิได้มีปัญหาเพียงเฉพาะด้านเนื้อเพลงที่ ‘บอกเพลง’ ต่อ ๆ กันมา (เฉกเช่นเพลงพื้นบ้านแนวมุขปาฐะแต่ดั้งเดิม) จนบางถ้อยคำอันเป็น ‘กวีวัจนะ’ ผิดเพี้ยนหรือหลากเลื่อนไป ดังที่กล่าวมา เช่น
จาก “เดือนเพ็ญ แสงเย็นเห็นอร่าม” เป็น “เดือนเพ็ญ สวยเย็นเห็นอร่าม” และ
จาก “บอก เขา น้ำ นา” กลายเป็น “บอก เขานะนา”
แม้แต่ ‘ที่มาที่ไป’ ของเพลงนี้ก็ยังเป็น ‘ปริศนาไขว้’ กันไปมา ชวนให้ต้องขบคิดไขข้อข้องใจอีกไม่รู้แล้ว…
ปรัศนีของอัศนี พลจันทร ถอดรหัสจากกรณีเพลง “คิดถึงบ้าน”
ในขณะที่คุณโกลิศ พลจันทร ลูกชายของ “นายผี ~ อัศนี พลจันทร” ให้สัมภาษณ์ทบทวนความทรงจำว่า ‘คุณพ่อ’ แต่งเพลง “คิดถึงบ้าน” ที่กรุงปักกิ่ง โดยที่คุณโกลิศก็อยู่ที่นั่นด้วยนั้น ข้อมูลที่เผยแพร่เป็นทางการจากฝ่ายผู้เคยร่วมงานสถานีวิทยุเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย (สปท.) จัดพิมพ์โดย “กลุ่มเพื่อน สปท.” กลับระบุว่า อัศนี พลจันทร แต่งเพลงนี้ที่เวียดนาม ดังความว่า :
“ผลงานของ ‘สหายไฟ’ ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางอีกชิ้นหนึ่งในบรรดางานเขียนที่ทรงคุณค่ามากมายของท่านที่มอบให้กับวงการวรรณกรรม คือบทเพลงอมตะชื่อ “คิดถึงบ้าน” หรือที่รู้จักกันในเวลาต่อมาในชื่อเพลง “เดือนเพ็ญ” …
ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าสหายไฟแต่งเพลงนี้ในวันที่เท่าไหร่ แต่สหายผู้ปฏิบัติงานใน สปท. ประมาณไว้ว่า น่าจะแต่งขึ้น ‘ก่อนเดือนมิถุนายน ปี พ.ศ. 2506 (ค.ศ.1963) ซึ่งเป็นช่วงที่สหายไฟอยู่ใน สปท.ที่เวียดนาม’ ก่อนที่จะย้ายไปปฏิบัติงานที่อื่น…” (กลุ่มเพื่อน สปท, ที่นี่ สปท. สำนักพิมพ์แสงดาว, 2565: น.56.)
สหายผู้เคยร่วมงาน สปท.ระยะบุกเบิก ระบุเงื่อนเวลาที่แต่งเพลงและพิกัดสถานที่ ขณะ ‘นายผี’ หรือ ‘สหายไฟ’ ปฏิบัติการสำคัญระดับองค์กรปิดลับของ พคท.ในประเทศเวียดนาม ไว้ราวกลางปี ค.ศ.1963 และยังให้ข้อมูลสถานที่และเวลาหลังจากเดินทางออกจากเวียดนามอย่างชัดเจนว่า :
“ด้วยความรู้ความสามารถทางอักษรศาสตร์ไทย และการแปลภาษาต่างประเทศของท่าน…เมื่อ ‘สหายไฟ’ ปฏิบัติงานที่ สปท.ได้ประมาณปีเศษ คือในปลายปี พ.ศ. 2506 (ค.ศ.1963) ท่านก็ได้รับภาระหน้าที่ใหม่จากพรรค (พคท.) ให้เดินทางไปเข้าร่วมกับสหายอีกสองท่านในทีมแปล “สรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตง” ที่กรุงปักกิ่ง โดยมี ‘สหายนพ’ มารับช่วงการเป็น บรรณาธิการ สปท. แทนนับแต่นั้น” (กลุ่มเพื่อน สปท. อ้างแล้ว, หน้าเดียวกัน.)
นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวรองรับบริบทให้ภาพน่าเชื่อถือ ด้วยคำบอกเล่าจากสหายรุ่นบุกเบิก อ้างถึงเพลง “คิดถึงบ้าน” ด้วยว่า
“ต่อมาเพลงนี้ก็ได้กลายเป็นเพลงที่สหายหญิงใน สปท.หลายคนร้อง เพื่อคลายความคิดถึงบ้าน” (กลุ่มเพื่อน สปท. อ้างแล้ว, หน้าเดียวกัน.)
ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีความต่อท้ายด้วยว่า เพลง “คิดถึงบ้าน” ของ ‘สหายไฟ’ ได้รับใช้ในการ “ร้องบนเวที เมื่อมีงานเลี้ยงภายในสถานีในช่วงเวลานั้นอยู่บ่อย ๆ” (กลุ่มเพื่อน สปท. อ้างแล้ว, หน้าเดียวกัน.)
หากเป็นเช่นว่าจริง เรื่องเล่านี้ดูเหมือนจะชี้ชัดเจนด้วย ‘เหตุการณ์’ ในทำนองย้อนทวน ‘ความหลังครั้งหนึ่งยังจำได้’ โดยมีบริบทรองรับ สหายผู้ร่วมปฏิบัติการ สปท. รุ่นบุกเบิก ฟื้นความหลังสรุปความได้ว่า
ความทรงจำที่ 1 : ‘สหายหญิง’ ร้องกันเมื่อคิดถึงบ้าน
ความทรงจำที่ 2 : ได้มีการร่วม ‘ร้องเพลง “คิดถึงบ้าน” กันในงานเลี้ยงภายในของ สปท. ในห้วงเวลาที่ ‘สถานีวิทยุเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย’ ระยะบุกเบิก ตั้งอยู่ ณ พื้นที่แห่งหนึ่งในประเทศเวียดนาม
หลักฐานจากความทรงจำโดยอ้างเหตุการณ์ต่างกรรมต่างวาระนี้ ชวนให้เชื่อถือได้ว่า ‘นายผี’ อัศนี พลจันทร แต่งเพลง “คิดถึงบ้าน” ที่ประเทศเวียดนามจริง
พิเคราะห์จากช่วงเวลาแล้ว ขณะนั้นเวียดนามยังอยู่ในภาวการณ์สงครามต่อต้านการยึดครองของลัทธิล่าอาณานิคมตะวันตก มิใช่ที่ปักกิ่ง เมืองหลวงของสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งดำเนินสงครามปฏิวัติปลดปล่อยประเทศได้สำเร็จแล้ว
ความข้อนี้ทำให้ลงความห็นเชิงพื้นที่ได้ แต่ก็ก่อให้เกิดคำถามเป็น “ปริศนา” ชุดใหม่ ให้ต้องขบคิดกันต่อไปอีก
หากเป็นเช่นว่านั้นจริง…ก็ค่อนข้างจะเป็นเรื่อง “แปลก” เอามาก ๆ หรือไม่ … ที่ใน “หนังสือปกขาว” ว่าด้วยเรื่องราวของ สปท. ไม่มีเพลง “คิดถึงบ้าน” ในส่วนของบัญชีรายชื่อเพลง และแน่นอนเมื่อเป็นเช่นนั้น...เนื้อเพลงก็ย่อมไม่ปรากฏ
“หนังสือปกขาว” เล่มสำคัญ อันมีชื่อว่า ที่นี่...สถานีวิทยุเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย จัดทำโดย “กลุ่มเพื่อน สปท.” เล่มหนา ความยาวถึง 520 หน้า รายงานเรื่องราวประวัติของ สปท. ตั้งแต่เริ่มบุกเบิก ก่อตั้ง ปฏิบัติการ ระบุชื่อ ‘สหายฟืน’ เป็นบรรณาธิการต้นฉบับ ภายในเล่มมีบันทึกความทรงจำของผู้ร่วมงาน สปท. มากมายหลายคน และรวบรวมรายชื่อเพลงและเนื้อเพลงต่าง ๆ ที่ออกอากาศทาง สปท. บอกถึง “เบื้องหลัง” ที่มาที่ไปของเพลงต่าง ๆ ทั้งก่อนเปิดสถานี (ตั้งแต่ พ.ศ.2505), ระหว่างเปิด สปท.ที่เวียดนาม, และเมื่อโยกย้ายที่ตั้ง สปท. มาทำการ ณ เมืองคุนหมิง มณฑลยูนนาน, จนกระทั่งจำต้องปิดสถานี (พ.ศ.2522) รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 17 ปี บรรจุรายชื่อเพลงไว้ 129 เพลง พื้นที่ในหนังสือซึ่งรวบรวมเนื้อเพลงไว้มีถึง 160 หน้า แต่ทว่าไม่มีทั้งชื่อเพลงและเนื้อร้อง “คิดถึงบ้าน” ปรากฏอยู่ในหนังสือปกขาวเล่มสำคัญนี้เลย (กลุ่มเพื่อนสปท., อ้างแล้ว, 2565, บทที่ 4: น.148-309.)
ความย้อนแย้งนี้ เป็นเรื่องชวนขบคิดและน่าถกแถลงกัน โดยผู้มีส่วนร่วมรู้เห็นหรือรับฟังเรื่องราวมาแม้เพียงส่วนเสี้ยว ไม่ว่าจากสหายผู้นำนักศึกษา หรือสหายหน่วยศิลป์ เพื่อนวัยเยาว์ผู้ร่วมล้อมวง ‘ไฟสุมขอน’ ยามค่ำคืนกับ “ลุงไฟ และป้าลม” ที่กระท่อมลับในไพรลึก หรือแม้แต่โดย “กลุ่มเพื่อน สปท.” นำโดย ‘สหายฟืน’ ผู้ก่อไฟ “ที่นี่ สปท.” ให้ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้งในทศวรรษปัจจุบัน
ที่กล่าวมานี้ ก็คือเรื่องราวตำนาน ‘นายผี’ อันชวนฉงน เป็นปรัศนีของ อัศนี พลจันทร อยู่ไม่วาย
ตำนานไร้รูปรอยของ ‘นายผี’ อาจเทียบในเชิงอุปลักษณ์ได้ กับสิ่งที่ จาคส์ แดร์ริด้า นักคิดโพสต์โมเดิร์นเรืองนามเรียกว่าเป็น “White Mythology ” อันเป็นวาทกรรมแนวสัญนิยมหลังสมัยใหม่ บ่งชี้เรื่องราวตำนานเล่าขานที่ดูประหนึ่งเรืองรองแจ่มจรัส ทว่า “ถูกลบ” หรือ “ทำให้เลือน” อันเป็นผลมาจากปฏิสัมพันธ์เชิงอำนาจ ระหว่างผู้กุมอำนาจเหนือ กับผู้ที่ถูกกำกับไว้ในอำนาจ จนทำให้เรื่องราวความเป็นจริงลบเลือน เหลือแต่เพียงตำนานไว้เล่าขานแต่เพียงราง ๆ
´นายผี’ คือนักปฏิวัติปัญญาชน เป็นผู้มี “แสงเย็น เห็นอร่าม” สาดประกายเรืองรองมากที่สุดคนหนึ่งในขบวนการปฏิวัติไทยนำโดย พคท. แม้แต่ จิตร ภูมิศักดิ์ ในฐานะกวีชั้นเลิศก็ยังยกย่องท่านว่าเป็น “มหากวีของประชาชน” แต่เหตุใดภาพ ‘นายผี’ กลับเลือนรางเหมือนถูก ‘กลบ~ลบให้เลือน’ จนชวนให้คิดว่า เป็นเพราะระบบการจัดตั้งภายในองค์กรที่เข้มข้นและปิดลับมากแบบ พคท.หรือไม่ ที่ได้มีส่วน ‘งำประกาย’ อัศนี พลจันทร จนเราได้เห็นแต่ ‘เงาราง ๆ’ สมชื่อ ‘นายผี’
และด้วยเหตุนี้กระมัง ?... ชื่อจัดตั้ง ‘สหายบ่ไร’ ที่ตั้งขึ้นใหม่โดย ‘นายผี’ เอง จึงได้ตามมาเป็นสมมติฉายาของ อัศนี พลจันทร ในช่วงระยะสุดท้ายก่อน “ป่าแตก” และในที่สุด “ขบวนการคนเดือนตุลาฯ” ที่เข้าป่าก็เลือนสลายกลายเป็น “ตำนานสีขาว” (White Mythology) อีกชุดหนึ่ง ที่รอการ “รื้อ” เพื่อ “สร้าง” ใหม่
น่าจะถึงเวลาอันควรที่ชนรุ่นหลังจะลองแกะรอย สืบค้นวิถีดำเนินชีวิตนักปฏิวัติของ อัศนี พลจันทร กระเทาะเปลือก “ตำนานสีขาว” ถอดรหัสทั้งด้านบวกและด้านลบไม่ว่าของฝ่ายใด เพื่อร่วมเก็บรับบทเรียนชีวิตและจิตวิญญาณของกวีสำคัญอย่าง ‘นายผี’ อัศนี พลจันทร กันต่อไป

 

 

 


***โปรดติดตามตอนต่อไป ตอนที่ 4
“จันทร์เอย ช่วยบอกให้ลมช่วยเป่า”

 

  

สนใจสมัครสมาชิกผู้มีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท. โปรดคลิ๊ก  

บันทึกเรื่องล้ำในไพรลึก   ตอนที่ 2...“ไม่ไกลเกินไป ที่จะเข้าถึงลุงไฟ”

โดย ชลธิรา สัตยาวัฒนา

“ไม่ไกลเกินไป ที่จะเข้าถึงลุงไฟ”

การต่อภาพปริศนา ว่า “จิตร ภูมิศักดิ์ เป็นใคร? ทำอะไรไว้บ้าง? ทำไมถึงต้องถูก “โยนบก” ?
“การโยนบก” คืออะไรในรั้วจามจุรีอันโอ่อ่า? จิตรใช้นามปากกาอะไรบ้างในช่วงถูกพักการเรียน? ตอนถูกจับขังติดคุกลาดยาวอยู่กับใคร? จิตรทำอะไรและเขียนอะไรไว้บ้าง ช่วงไร้อิสรภาพ? ออกจากคุกแล้วจิตรเข้าป่าไปอยู่ที่เขตไหน? และจิตรถูกใครยิงตาย…ที่ไหน?
ทั้งหมดนี้...กว่าจะต่อปริศนา “ตัวตน” ของ “จิตร” จนได้ภาพรวมที่กระจ่างชัด นักคิด กวีนักเขียน นักวิชาการ นักทำหนังสือ สำนักพิมพ์ต่าง ๆ ต้องใช้เวลานานหลายปี เพราะใน ‘เทวาลัย’ ยุคก่อน “6 ตุลาฯ 2519” ยังไม่มีใครกล้าปริปากเล่าเรื่อง หรือท้าวความหลังว่าเคยรู้จักจิตร ภูมิศักดิ์ หลังเกิดเหตุนองเลือดสังหารหมู่นักศึกษากลางสนามหลวงยิ่งแล้วเข้าไปใหญ่ เพราะบรรดาหนังสือที่สืบค้นกันออกมา ล้วนถูกริบถูกรวบถูกเผาจนแทบว่าจะสิ้นซาก กว่าจะฟื้นคืนชื่อคืนร่าง จิตร ภูมิศักดิ์ ขึ้นมาผงาดได้อีกครั้งก็ใช้เวลานานโข...

 

แต่นั่นก็ไม่ยากเท่า การเสก “นายผี” ให้ฟื้นคืนร่าง ปรากฏให้ชัดเจนต่อหน้าต่อตาเรา
เพราะ “นายผี” ก็คือ นายของ ‘ผี’ โดยจริงแท้ ผู้ฝึกฝนตัวเองมาที่จะเคลื่อนไหวไร้รูปรอย
เขามักจะปรากฏตนเป็นพัก ๆ เหมือนนกโฉบเข้ามาเพื่ออะไรบางอย่าง แล้วก็บินหายไปพักใหญ่ ไปไหนหรืออยู่แห่งหนใดไม่มีใครรู้ได้ จากนั้นก็ดูเหมือนจะเป็นเช่นเขา ผู้มาอย่างอำพรางตนในรูปนามใหม่ให้ผู้คนฮือฮาแต่ก็สับสนกันไป เช่นกรณีที่ “เขา” ใช้นามปากกา “ประไพ วิเศษธานี” ซึ่งต่อมาไม่นานนัก ก็ดูเหมือนว่าจะเป็น “เขา” อีกกระมังที่บินร่อนเข้ามาในนาม “อุทิศ ประสานสภา” แต่จะใช่เป็นเขาหรือไม่ ผู้คนก็โจษขานเล่าลือกันไปอีกยกใหญ่

 


การต่อภาพร่างของ “จิตร” นั้น ร่องรอยส่วนใหญ่อยู่ในเมือง ในรั้วเทวาลัย ในหนังสือมหาวิทยาลัย ในสื่อสิ่งพิมพ์ที่พอจะแกะรอยได้อย่างเป็นรูปธรรม เพราะมีคนจดจำรำลึกหรือเป็นสักขีพยานให้ได้ และแม้ในคุกที่เรียกกันว่า ‘มหาวิทยาลัยลาดยาว’ ก็มีพยานบุคคลร่วมแดนตารางให้ปากคำจนสืบทราบกันได้หลายเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นบทเพลง บทละครและงานเขียนชิ้นสำคัญ ๆ…รวมถึง “แดนสังหาร” จิตร ภูมิศักดิ์ ที่สกลนคร ก็สืบสาวได้ถึง ‘จุดปลิดชีพ’ จิตร ภูมิศักดิ์ และแม้กระทั่งใครเป็นมือปืน

 


แต่ทว่าการฟื้นคืนร่าง “นายผี” นั้น เป็นการ ‘แกะรอย’ ผ่านผืนป่ากว้างใหญ่อันเป็นแดนปิดลับในท่ามพงไพรลึก แถมยังเป็นที่เข้าใจกันว่า “นายผี” เป็นบุคคลระดับ ‘สหายนำ’ ของ พคท. (พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย) ที่เคลื่อนไหวอย่างผิดกฎหมายในช่วงมืดมนของสังคมการเมืองไทย การเดินทางของ “นายผี” จึงล้วนวูบไหวไร้ร่องรอย เพราะวิถีคอมมิวนิสต์ไทยแต่เดิมมาจำต้องสงวนชื่อเสียงเรียงนาม ทั้งนามจริงและนามปากกา แม้แต่ชื่อจัดตั้งก็มักจะเปลี่ยนเมื่อย้ายถิ่นย้ายเขตงานหรือย้ายสังกัดหน่วยงาน

 


ข้อเขียนชุด “บันทึกเรื่องล้ำในไพรลึก” มุ่งคลี่ ‘มายารูป’ ของผู้ที่ได้ชื่อว่า เป็นทั้ง ‘ผี’ และ ‘ไฟ’ ตามด้วย ‘สหายบ่ไร’ ชื่อจัดตั้งท้ายสุดก่อนที่เขาจะหายเข้ากลีบเมฆเหนือสันปันน้ำสู่แดนลาว
การแกะรอยเพื่อฟื้นคืน ‘ร่างทรง’ ของ “นายผี” ผู้อยู่ในเงามืดมิดของสังคมทมิฬมารมาชั่วชีวิต ผู้เขียนคนนี้ก็ต้องทุ่มเทใช้เวลาเกือบชั่วชีวิตเช่นกัน

 


จากการสืบสาวประวัติจากพยานบุคคลที่เคยร่วมงานกับ ‘นายผี’ มา เช่นคุณสุภา ศิริมานนท์ ปัญญาชนผู้บุกเบิกการศึกษาเผยแพร่ลัทธิมาร์กซ์ในสังคมไทย และกวีนักคิดนักเขียนนักประวัติศาสตร์เช่นคุณทวีป วรดิลก ในระยะเริ่มแรกของการสืบสาวนั้น เรารับรู้กันแต่เพียงภาพ ‘ตัวตน’ อันเป็นอัตลักษณ์เข้มคมของ ‘อัยการกวี’ ผู้มีอหังการว่า
“อัศนี พลจันทร ไม่ใช่คนสิ้นไร้ไม้ตอก
ไม่ได้สิ้นทางไปในระบบราชการ
หากด้วยจิตใจที่รักความเป็นธรรม
ได้เลือกหนทางเข้าป่าไปพร้อมกับคู่ชีวิต”

 


“นายผี” เดินทางไกลไปจากระบบราชการไทยนานแสนนานกว่าห้าสิบหกสิบปี สู่แนวรบที่ปฏิวัติของเขตงานต่าง ๆ ที่ล้วน ‘ปิดลับ’ ขั้นสูงสุดในหลายประเทศ จนในที่สุด ‘เถ้าอังคาร’ ของท่านก็ได้มีโอกาสกลับบ้านเกิดมาซบ “อกแม่” ตามที่ได้ตั้งจิตปรารถนาไว้ในบทเพลง “คิดถึงบ้าน”
คุณโกลิศ พลจันทร บุตรชายของอัศนี พลจันทร เปิดเผยว่า ได้ติดตามคุณพ่อไปอยู่ที่ “ปักกิ่ง” ด้วยแต่เยาว์วัย และเล่าถึงที่มาของ ‘เพลงคิดถึงบ้าน’ (หรือ ‘เดือนเพ็ญ’) ที่ชนะใจคนจำนวนมากจากหลากหลายชนชั้นอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ ไว้ดังนี้ :
​“คุณพ่อคิดถึงเมืองไทย และขวนขวายเสนอฝ่ายนำ (ศูนย์กลางนำ พคท.) ว่า อยากขอกลับมาอยู่ในเขตพื้นที่ประเทศไทยจะดีกว่า แต่ไม่เป็นผล ท่านจึงแต่งเพลง “คิดถึงบ้าน” ขึ้นมา โดยใช้ท่อนแรกของทำนองเพลง “พม่าเห่ สองชั้น”
คำบอกเล่านี้ชี้ช่องว่า “นายผี” แต่งเพลง “คิดถึงบ้าน” ที่ ‘ปักกิ่ง นครแห่งความหลัง’ ของ สด กูรมะโรหิต และใครต่อใครอีกหลายคน
[จากป่าดงพงลึก “นายผี” ไปทำอะไรที่สร้างสรรค์ไว้ที่ ‘ปักกิ่ง’…เราจะได้แกะรอยสืบสาวราวเรื่องลงรายละเอียดในขั้นตอนต่อไป]

 


เมื่อมีคำถามเชิงวิจารณ์ว่า
“เพลงนี้มีเนื้อหาลีลาโรแมนติก เสมือนเป็นอารมณ์นายทุนน้อยที่คิดถึงบ้าน ‘อยากกลับเข้ามาอยู่ในเมือง’ ถึงขนาดกล่าวหาว่าเป็นการแสดงท่าทียอมจำนน ความจริงในช่วงเวลานั้นเป็นอย่างไร”

 


คุณโกลิศ พลจันทร ให้คำตอบว่า
“มันเป็นการให้ร้ายคุณพ่อ เหมือนว่าพ่อยอมจำนน เลิกสู้ เลิกปฏิวัติเสียแล้ว เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง
ความจริงคุณพ่อยืนหยัด เดินหน้าอยู่ในขบวนปฏิวัติ…ไม่เคยคิดจะมอบตัวใด ๆ เลย
ที่บอกว่า ‘คิดถึงบ้าน’ นั้น หมายถึง อยากกลับไปสู่แนวหน้าในเขตป่าเขา เพื่อสู้รบปลดปล่อยประเทศไทยตามความตั้งใจ
จะเห็นได้ว่า คุณพ่อไม่ยอมจำนน จนวาระสุดท้ายของชีวิตก็ยังสิ้นใจอยู่ที่ สปป.ลาว”

จากปากคำนี้ เราได้เค้าเงื่อนภาพร่างเป็นเงาเลือนรางว่า “นายผี” ร่อนเร่กลับมาสู่ ‘แนวหน้าในเขตป่าเขา’ ชายแดนไทย แล้วก็ไปสิ้นใจในแดนลาว
[เราจะสืบค้นแกะรอย “นายผี” ในฟากฝั่งแดนลาวกันต่อไป]

 


มีคำถามตามมาว่า
“เนื้อหาของเพลง ‘คิดถึงบ้าน’ มีอะไรที่ควรรู้ หรือควรเข้าใจให้ถูกต้อง”
ได้คำตอบจากคุณโกลิศว่า
“มีการร้องผิด โดยเฉพาะวรรคแรกที่ไปร้องกันว่า
“เดือนเพ็ญ สวยเย็นเห็นอร่าม...”
ที่ถูกต้องใช้คำว่า ‘แสง’ ไม่ใช่ ‘สวย’
“เดือนเพ็ญ แสงเย็นเห็นอร่าม...”

 


เท่าที่ติดตามดูระยะหลัง กวีวจนะที่งดงามคือ “แสงเย็น” ได้คืนกลับมา บัดนี้นักร้องส่วนใหญ่จากค่ายเพลงต่าง ๆ ร้องได้ถูกต้องตามต้นฉบับแล้ว

 


คุณโกลิศ พลจันทร ยังให้ข้อมูลที่น่าสนใจเพิ่มว่า
“สังเกตว่าในเนื้อเพลง มีคำว่า ‘ลม’ กับ ‘ ไฟ’ ตรงนี้มีนัยยะครับ
‘ลม’ ในเนื้อเพลง มีถึง 4 คำ ‘ลม’ เป็นชื่อจัดตั้งของคุณแม่ผม
‘ไฟ’ ก็คือชื่อจัดตั้งของคุณพ่อผมเอง”

 


มาถึงวันนี้ เริ่มเป็นที่รู้กันแพร่หลายแล้วว่า เพลง “เดือนเพ็ญ” หรือ “คิดถึงบ้าน” นั้น ทั้งเนื้อร้องและทำนอง ประพันธ์โดย อัศนี พลจันทร (นามจริง) คือผู้ที่รู้จักกันในนามปากกาที่ใช้แต่งบทกวีว่า ‘นายผี’ และอีกหลายนามปากกา ท่านเป็นผู้มี ‘ชื่อจัดตั้ง’ ที่ใช้กันใน พคท.ว่า ‘สหายไฟ’ หนุ่มสาวนักศึกษาที่เข้าป่าไปหลัง “6 ตุลาฯ” เรียกขานท่านในเขตป่าเขาแนวรบปฏิวัติว่า “ลุงไฟ”

 


“คิดถึงบ้าน” จัดเป็นเพลงเพื่อชีวิตที่สมควรได้รับยกย่องว่าเป็น ‘หนึ่งในสุดยอดเพลงเพื่อชีวิต’ ก็ว่าได้ เป็นเพลงที่ขับขานและบันทึกเสียงในวาระต่าง ๆ มากที่สุดเพลงหนึ่งในรอบสามทศวรรษที่ผ่านมา น้อยคนที่ฟังเพลงนี้แล้วจะไม่รู้สึกรู้สมกับอารมณ์เพลงสื่อความหมายกินใจ เข้าถึงแทนใจผู้คนที่จำต้องพลัดพราก เดินทางไกลจากบ้านเกิดเมืองนอน ความลึกซึ้งของอารมณ์เพลงสื่อผ่านถ้อยคำเรียบง่าย เป็นคำใสซื่อที่ชาวบ้านเข้าใจ เป็นคำกวีที่ชาวเมืองผู้มีการศึกษาเข้าถึงรสทางวรรณศิลป์ ด้วยท่วงทำนองเพลงที่ไพเราะกลมกลืนกับเนื้อหา ทำให้ชื่อ ‘นายผี’ หรือ อัศนี พลจันทร เป็นที่รู้จักจดจำรำลึกในวงกว้าง กลายเป็นเพลงร่วมสมัยจวบจนปัจจุบัน

 


เนื้อเพลงต้นฉบับ
ผู้คนทั่วไปมักเข้าใจกันว่า เริ่มแรกเพลง "คิดถึงบ้าน" คงได้รับการถ่ายทอดกันแบบปากต่อปาก หรือที่คนพื้นบ้านเรียกกันว่า “ต่อเพลง” จึงเป็นเหตุให้จดจำเนื้อร้องเพี้ยนกันไปบ้าง โดยเฉพาะคำบางคำดังกล่าว แต่ก็มีบางข้อมูลบ่งชี้ว่าหาเป็นเช่นนั้นไม่
เนื้อร้องสำนวนนี้ ได้รับการตรวจทานจาก "ป้าลม" หรือ คุณวิมล พลจันทร ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากของ ‘ลุงไฟ’ หรือ ‘นายผี’ คัดจากหนังสือ "รำลึกถึงนายผี จากป้าลม"
(จัดพิมพ์ในวาระ ‘ป้าลม’ อายุครบ 72 ปี)

 


“เดือนเพ็ญ…แสงเย็นเห็นอร่าม
นภาแจ่มนวลดูงาม
เย็นยิ่งหนอยามเมื่อลมพัดมา
แสงจันทร์นวลชวนใจข้า
คิดถึงถิ่นที่จากมา
คิดถึงท้องนาบ้านเรือนที่เคยเนา

 


กองไฟ…สุมควายตามคอก
คงยังไม่มอดดับดอก
จันทร์เอยช่วยบอกให้ลมช่วยเป่า
โหมไฟให้แรงเข้า
พัดไล่ความเยือกเย็นหนาว
ให้พี่น้องเรานอนหลับอุ่นสบาย

 


เรไร…ร้องฟังดังว่า
เสียงเจ้าที่เฝ้าคอยหา
ลมเอ๋ยช่วยมากระซิบข้างกาย
ข้ายังคอยอยู่มิหน่าย
มิเลือนเคลื่อนคลาย
คิดถึงมิวายที่เราจากมา

 


ลมเอย…จงเป็นสื่อให้
น้ำรักจากห้วงดวงใจ
ของข้านี้ไปบอกเขานะนา
ให้คนไทยรู้ว่า
ไม่นานลูกที่จากมา
จะไปซบหน้าในอกแม่เอย”
ไม่แปลกอะไร ถ้าจะยืนยันว่า ความหมายลึกล้ำของคำในเพลงนี้ คือ คำว่า ‘ลม’ นัยแรกหมายถึงลมที่พัดทั่วไป อีกนัยที่ลึกลงไปคือ ชื่อคู่ทุกข์คู่ยากของผู้แต่งเพลง ซึ่งก็คือ คุณวิมล พลจันทร ผู้มีชื่อจัดตั้งในป่าว่า ‘สหายลม’
“ดิน น้ำ ลม ไฟ” คือ สี่ธาตุหลักที่ปรากฏในบทเพลงนี้
‘ดิน’ ถูกแทนที่ด้วยคำรวมว่า ‘ถิ่น’ และเสริมด้วยอีกหลายคำ เช่น ท้องนา บ้านเรือน คอกควาย
คำอุปลักษณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ ‘อกแม่’ ซึ่งเป็นภาพแทนทั้งอารมณ์รักต่อคนรักและอุดมการณ์สูงส่งที่มีต่อบ้านเกิดเมืองนอน
‘แม่พระธรณี’ ในความหมายสากล คือ ‘Mother Earth’ หมายรวมอยู่ในคำ ‘อกแม่’ ที่อบอวลด้วย ‘น้ำรัก’
“ลมเอยจงเป็นสื่อให้
น้ำรักจากห้วงดวงใจ
ของข้านี้ไปบอกเขานะนา”
ข้อความในสามวรรคนี้ ควรยกให้เป็นโวหารกวี ที่ใช้ “กวิตานุมัติ’ หรือที่ในวงการวรรณคดีวิจารณ์เรียกว่า Poetic license ที่เล็ดลอดออกมาด้วยอารมณ์รักต่อผู้อันเป็นที่รักอย่างเหลือล้น ขณะเดียวกันนั้นก็ให้มีความหมายอีกนัยหนึ่ง คือ การทดเทิด หรือ ‘ยกขึ้นสูง’ (Sublimation) ถึงอุดมการณ์อันสูงส่ง นั่นคือ ‘ความรู้สึกรักชาติ’ (ที่ไม่ใช่ ‘ความคิดชาตินิยม’ ตามนิยามความหมายของนักประวัติศาสตร์; และก็มิใช่ความรักหลงจน ‘คลั่งชาติ’ เช่นที่พบเห็นได้ทั่วไปในหมู่ผู้มีความคิดอนุรักษ์นิยมแบบสุดโต่ง) หากเป็นความรักแบบอาวรณ์โหยหาถึง ‘อกแม่’ ในความหมายของ ‘แผ่นดินแม่’ อันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนที่นิยมใช้ทับศัพท์บาลีว่า ‘มาตุภูมิ’ ผู้ประพันธ์บทเพลงได้แสดงออกถึงความหมายนัยยะหลังสุดโดยการตวัดกลับอย่างมีชั้นเชิง ด้วยสามวรรคสุดท้ายของบทเพลงคือ
“ให้คนไทยรู้ว่า
ไม่นานลูกที่จากมา
จะไปซบหน้าในอกแม่เอย”

 


อัศนี พลจันทร หรือ ‘ลุงไฟ’ แต่งเพลงนี้ขึ้นด้วยอารมณ์ความรู้สึก “คิดถึง” อย่างลึกซึ้ง ทั้งของตัวท่านเองที่มีต่อคู่ชีวิต คือ ‘ป้าลม’ และด้วยความจริงใจอันเปี่ยมท้นต่อบ้านเกิดเมืองนอน~แผ่นดินแม่~มาตุภูมิ ในความหมายกว้างที่สุดไม่จำกัดพื้นที่ เหตุการณ์ทางสังคมการเมืองในสมัยนั้น ทำให้ท่านตัดสินใจอำลาจาก “อกแม่” ~ มาตุภูมิ ไปเป็นเวลายาวนานมาก ในการนี่ท่านได้ดำเนินภารกิจสำคัญที่ควรถือได้ว่าเป็นคุณูปการอัน ‘ล้ำเลิศ’ เท่าที่นักคิดนักเขียนและกวีนักแต่งเพลงคนหนึ่งจะสามารถอุทิศให้กับการปฏิวัติไทยได้อย่างไม่น่าเชื่อ ดังจะได้ลงรายละเอียดต่อไป

 


พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ นักร้องนักแต่งเพลงเพื่อชีวิตเพื่อประชาชน ดูเหมือนจะเป็นคนแรก ๆ ที่นำเอาเพลง "คิดถึงบ้าน" นี้ออกจาก ‘ไฟสุมขอน’ กลางกระท่อมไม้ไผ่หลังเล็ก ในราวป่า ณ ห้วงไพรลึกแห่งหนึ่งบริเวณตะเข็บชายแดนไทย-ลาว ไม่ใกล้ไม่ไกลนักจากอาณาบริเวณ ‘ฐานที่มั่นปฏิวัติ เขตน่านเหนือ’ แถบภูแวภูพยัคฆ์ นักศึกษาปัญญาชนที่เข้าป่าไปรู้จักกันในนาม ‘เขต 4’ อันเป็นที่ตั้งของสองหมู่บ้านใหญ่ของชาวลัวะ (ไปร๊ ) คือ บ้านสว่าง กับ บ้านกู้ชาติ

 


เหตุใดจึงเริ่มต้นจาก พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ ? ไม่เป็นใครอื่น ?

 


“บันทึกการเดินทางไกล” ของ ‘สิริอุสา พลจันท์’ ให้เบาะแสว่า เป็นเพราะ ‘ในบรรดานักร้องนักแต่งเพลงเพื่อชีวิตที่ได้เข้าป่าไปทางภาคเหนือ ในเขตฐานที่มั่นปฏิวัติชนชาติลัวะจังหวัดน่านนั้น พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ ในชื่อจัดตั้ง ‘สหายแคน’ เป็น ‘สหายนักศึกษา’ ใน “หน่วยศิลป์น่านเหนือ” ที่ ‘นายผี’ หรือ ‘ลุงไฟ’ ชื่นชอบและชื่นชมว่ามีความสามารถด้านพลังเพลงอย่างเอกอุ ด้วยมีลีลาการร้องแบบชาวบ้านและใช้ท่วงทำนองเพลงแนวพื้นบ้านพื้นเมือง แนวเพลงและ ‘ทางเฉพาะ’ ของพงศ์เทพ กระโดนชำนาญ สอดคล้องกับฐานรากและ ‘ทางมวลชน’ ส่วนใหญ่ที่เป็นชาวไร่ชาวนา ซึ่งเป็นพลังสำคัญของการปฏิวัติ
คงเป็นเพราะเหตุนี้เองที่ ‘สหายแคน’ พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ จากหน่วยศิลป์ ได้รับโอกาสให้ได้พบกับ ‘สหายนำ’ (ยากที่คนทั่วไปจะได้พบ) เช่น ‘ลุงไฟ’ ผู้สังกัด “หน่วย 20” อันเป็นหน่วยงานที่ทำงานด้านทฤษฎี มีลักษณะปิดลับระดับสูงอีกหน่วยงานหนึ่งที่ซุกซ่อนตัวอยู่ที่ตะเข็บชายแดนไทย-ลาว

 


หลังจากนั้นก็มีมิตรสหายปัญญาชน กวี นักเขียนอีกบางคน ได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษให้เดินเข้า ๆ ออก ๆ ไปยังกระท่อมน้อยในราวป่าทึบทึมหลังนั้นด้วย จนทำให้เกิดมีบรรยากาศล้อมวง ‘ไฟสุมขอน’ ศึกษาแลกเปลี่ยนเรื่องกลกลอนกานท์กวีกันอย่างมีรสชาติยามค่ำคืน ในจำนวนนี้มี สหายจันทากับสหายป่อง (ต้นกล้า) สหายทองกรานกับสหายพันตา (คาราวาน) เป็นต้น
พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ เคยเขียนว่า ก่อนจากกันที่ชายแดนน่าน ‘นายผี’ ส่งกระดาษให้แผ่นหนึ่ง เมื่อกลับสำนัก คลี่ดูปรากฏเป็นเนื้อเพลง ข้อมูลนี้ได้มาจาก ‘สหายจันทา’ สหายนักศึกษาในหน่วยศิลป์น่านเหนือ หนึ่งในสมาชิกร่วมวง ‘ไฟสุมขอน’ ในกระท่อมลับของลุงไฟ (ไม่มีใครยืนยันหรือโต้แย้งเพราะเป็นเหตุการณ์เฉพาะตัว แต่ก็ไม่มีหลักฐานเอกสารหลงเหลือยาม ‘ป่าแตก’ ให้สืบค้นได้)

 


อาจถือได้ว่า ‘สหายแคน’ พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ เป็นผู้ได้รับมอบมรดกตกทอดชิ้นงามนี้จาก ‘ลุงไฟ’ โดยตรง ที่วอนฝาก ‘ลม’ ให้ช่วยพัดพาความคิดถึงห่วงหาอาวรณ์มามอบให้กับ ‘แผ่นดินแม่’ ในระยะเวลาต่อมา ด้วยเป็นที่ชัดเจนว่า ‘สหายพันตา’ หรือ ‘หงา คาราวาน’ (สุรชัย จันทิมาธร) แม้จะมีโอกาสสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ ‘ลุงไฟ’ ได้ร่วมล้อมวง ‘ไฟสุมขอน’ ระยะหนึ่งด้วยเช่นกัน แต่ ‘หงา’ รับรู้และฟังเพลง “คิดถึงบ้าน” นี้ ไม่ใช่โดยทางตรงจาก ‘ลุงไฟ’ หากได้ผ่านทางญาติผู้หลานของ ‘ลุงไฟ’ ดังปรากฏหลักฐานในบันทึกของ ‘หงา’ เองถึงที่มาของเพลง “คิดถึงบ้าน” ว่า :
“...ที่สนามรบก่อนเกิดศึกใหญ่ (หมายถึงยุทธการล้อมปราบในเขตน่านเหนือ) ผมได้พบญาติพี่น้องซึ่งเป็นสายทางเขา (นายผี) เพลง 'คิดถึงบ้าน' ถูกร้องให้ผมฟังโดย ‘หมอตุ๋ย’ สหายหญิงผิวคล้ำคนภาคกลางแถบราชบุรี ซึ่งเป็นญาติของเขา และบอกว่าเป็นเพลงที่นายผีแต่งขึ้น ตั้งแต่พลัดบ้านพลัดเมืองไปอยู่ที่กรุงปักกิ่ง เป็นเวลาเกือบ 30 ปีมาแล้ว” — หงา คาราวาน

 


อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลที่ได้จาก ‘สหายจันทา’ อีกกระแสหนึ่งว่า ‘ป่อง ต้นกล้า’ เล่าว่าเคยนั่งคุยกับ ‘นายผี’ คืนหนึ่งที่น่านเหนือ (น่าจะเป็นกระท่อมไฟสุมขอน ที่หน่วย 20 ~ ผู้เขียน) แล้ว ‘นายผี’ ก็พูดถึงเพลงนี้ และยังร้องให้ฟังด้วย
‘ป่อง ต้นกล้า’ ขอจดเนื้อแล้วเอามาร้องให้สหายหน่วยศิลป์น่านเหนือฟัง ด้วยทำนองอิงกับเพลงไทยเดิม "พม่าเห่ ๒ ชั้น" ป่องจึงคุ้นเคยและจับ ‘ทางเพลง’ ได้อย่างรวดเร็วแม่นยำ

 


หลังจากนั้นหลายปี เมื่อเพลงนี้ "ฮิต" แล้ว เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ กวี~ศิลปินแห่งชาติ ได้แต่งเพลง "ตอบเดือนเพ็ญ" ล้อกับเพลง "คิดถึงบ้าน" โดยใช้ทำนอง "พม่าเห่ ๒ ชั้นทางเปลี่ยน" มอบให้ สุรชัย จันทิมาธร ขับร้อง ผลงานชิ้นนี้บันทึกเทปเรียบร้อยแล้ว
(คำว่า "ทางเปลี่ยน" หมายถึงเพลงเดิม ที่ศิลปินเอาทำนองหลักมาปรับ แต่ง ขยาย ให้มีทำนองแตกต่างออกไป แต่โครงสร้างเพลงเหมือนเดิม ~ สหายจันทา)

 


ดังความเป็นมาที่กระท่อนกระแท่น สืบค้นจากหลายทิศทาง จึงเกิดมี “ข้อถกเถียง” ที่น่าสนใจในเรื่อง “การต่อเพลง” แต่ละคำแต่ละวรรคแต่ละท่อน ที่ไม่อาจยืนยันด้วยต้นฉบับลายมือตัวเขียนของ ‘นายผี’ เองได้ เนื่องจากท่านล่วงลับไปแล้ว สำหรับนักวรรณคดีวิจารณ์เช่นผู้เขียนบันทึกนี้ เห็นว่ามีความสำคัญยวดยิ่งต่อการประกอบสร้าง ‘อหังการกวี’ อย่าง ‘นายผี’ ให้สมจริง เพื่อชนรุ่นหลังจะได้ร่วมกันวิจักษ์วิจารณ์ ซึมซับรับรู้รสวรรณศิลป์ชั้นครูกันอย่างลึกซึ้ง :
เนื้อเพลงท่อนสุดท้ายที่ว่า
“ลมเอยจงเป็นสื่อให้
น้ำรักจากห้วงดวงใจ
ของข้านี้ไปบอกเขา นะนา
ให้คนไทยรู้ว่า
ไม่นานลูกที่จากมา
จะไปซบหน้าในอกแม่เอย”

 


‘สหายจันทา’ นักดนตรีจากวงต้นกล้าเดิม แล้วไปหล่อหลอมตนเองในแนวหน้า และได้รับการบ่มเพาะทางการดนตรีชั้นสูงที่แนวหลัง สังกัดหน่วยศิลป์เขตน่านเหนือช่วงหนึ่ง (ก่อนเดินทางลงมาน่านใต้) เล่าสู่กันฟังว่า ในวงการนักเพลงมีความเห็นต่าง ๆ กัน และเอาเพลงท่อนนี้มาขับร้องเป็นสามแนว คือ
แนวที่ 1. "บอกเขา นะนา"
ผู้ร้องเนื้อนี้ อ้างข้อเขียน ~ บทสัมภาษณ์ป้าลม ที่ยืนยันว่า "บอกเขานะนา" ถูกต้อง (เป็นสำนวนพูด)
แนวที่ 2. "บอกเขา นั้นนา"
นักร้องบางคน บางวง ใช้เนื้อร้องนี้ในช่วงแรก ๆ ในการแสดงสด (โดยถือเป็นสำนวนเขียน)
แนวที่ 3. "บอก เขาน้ำนา" หมายถึง ภูเขา แม่น้ำ ทุ่งนา (เป็นโวหารกวี)

สหายจันทาชี้ช่องให้คิดว่า “ส่วนตัวผม เห็นว่าที่ถูกต้องน่าจะเป็น ‘บอกเขา น้ำ นา’ ผมคิดว่า นี่เป็นภาษาสไตล์นายผี รวบคำ คำน้อย ความมากฯ”

 


ผู้เขียนเห็นคล้อยตามว่า การตีความของ ‘สหายจันทา’ อดีตสมาชิกผู้เคยร่วมล้อมวง “ไฟสุมขอน” คุยเรื่องสัพเพเหระมากับ ‘ลุงไฟ’ รวมทั้งแนวกวีแนวเพลงของท่าน น่าจะเป็นไปได้ ด้วยเหตุผลที่ว่า ฝีปากกวีชั้นครูอย่าง ‘นายผี’ ไม่น่าจะใช้ “สำนวนพูด~ นะนา” ในบทเพลงที่ท่านบรรจงเรียบเรียงขึ้นโดยใช้เวลานานสั่งสมความนุ่มและเนียน ถึงแม้คนรุ่นหลังจะทำเพลงท่อนนี้ให้เป็น “สำนวนเขียน~นั้นนา” ก็ยังไม่น่าจะใช่สำนวนกวีระดับ ‘มหากวี อัศนี พลจันทร’ ผู้เคร่งครัดในการเลือกเฟ้นถ้อยคำให้เป็นโวหารกวีวจนะทุกบททุกวรรคทุกตอน ในวรรณคดีคำฉันท์ชิ้นเอกของท่าน คือ “เราชะนะแล้ว แม่จ๋า”
ดังนั้น เนื้อเพลงท่อนสุดท้ายที่สมบูรณ์ จึงน่าจะเป็น
“ลมเอยจงเป็นสื่อให้
น้ำรักจากห้วงดวงใจ
ของข้านี้ไปบอก เขา น้ำ นา
ให้คนไทยรู้ว่า
ไม่นานลูกที่จากมา
จะไปซบหน้าในอกแม่เอย”

 


“เขา น้ำ นา” คือ ภาพพจน์แบบ “อธิพจน์” เป็นกวีโวหารที่มีมิติทั้งกว้างและลึก มีสีสัน ให้ทั้งความสูงสง่า ความใส ความลึก และความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดินแม่ ภาพฉากทัศน์นี้ยิ่งใหญ่ควรค่าที่กวีอหังการอย่าง อัศนี พลจันทร “จะไปซบหน้าในอกแม่เอย”

 


พลวัตรเพลง “คิดถึงบ้าน”
พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ บันทึกเสียง ‘เพลงคิดถึงบ้าน’ ครั้งแรกในนาม “วงคาราวาน” ด้วยอัลบั้มเพลงชุด "บ้านนาสะเทือน" เมื่อปี 2526
ต่อมาในปี 2527 แอ๊ด คาราบาว ได้นำมาบันทึกเสียงอีกครั้ง ในอัลบั้มเพลงชุด "กัมพูชา" โดยเปลี่ยนชื่อเพลงนี้เป็น "เดือนเพ็ญ" พร้อมทั้งสลับท่อนเนื้อร้องจากเดิมเล็กน้อย

 


หลังจากนั้นก็มีผู้นำเพลงนี้ไปบันทึกเสียงอีกนับครั้งไม่ถ้วน ทั้งในชุดอัลบั้มเพลงปกติ และในการแสดงคอนเสิร์ตสด อาทิ พงษ์สิทธิ์ คำภีร์, คนด่านเกวียน, อัสนี-วสันต์ โชติกุล, โฮป, คีตาญชลี, คาราวาน, สายัณห์ สัญญา, ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี, ยอดรัก สลักใจ, โจ้ วงพอส, ฟอร์ด สบชัย, หนู มิเตอร์, นิค นิรนาม, มนต์สิทธิ์ คำสร้อย ทั้งนี้ในมหกรรมคอนเสิร์ต “ถูกใจคนไทย” เบิร์ด - ธงไชย แมคอินไตย์ ก็ได้นำมาร้องร่วมกับแอ๊ด คาราบาว ด้วย

 


นอกจากนี้ เพลงนี้ยังได้รับการบรรเลงและนำมาขับร้องซ้ำหลายครั้งโดยศิลปินทั้งชาวไทยและต่างประเทศ อาทิ ในคอนเสิร์ตของ “เอ็กซ์ เจแปน” ที่จัดแสดงในประเทศไทย เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 ‘โยชิกิ’ หัวหน้าวงได้นำเพลงนี้มาบรรเลงด้วยเปียโนในช่วงอังกอร์ เป็นต้น

 


ล่าสุด เพลง "คิดถึงบ้าน" ได้รับใช้ “แผ่นดินแม่” ผ่านสื่อภาพยนตร์ เป็นเพลงประกอบเรื่องและเพลงปิดท้ายภาพยนตร์เรื่อง “ตาคลีเจเนซิส” ของ ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล (กันยายน 2567) โดย เอกภพ พานสิทธิ์ แห่ง “วงเสือโคร่ง” เป็นผู้ขับร้อง

 


———
* โปรดติดตามตอนต่อไป
“สหายไฟ ผู้ร่วมจุดไฟในถ้ำ”

  

สนใจสมัครสมาชิกผู้มีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท. โปรดคลิ๊ก  

บันทึกเรื่องล้ำในไพรลึก.... ชลธิรา สัตยาวัฒนา  ตอนที่ 4  “จันทร์เอย ช่วยบอกให้ลมช่วยเป่า”

 ชลธิรา สัตยาวัฒนา

 “กองไฟ…สุมควายตามคอก คงยังไม่มอดดับดอก  จันทร์เอย...ช่วยบอกให้ลมช่วยเป่า”

ประเด็นปัญหาที่ว่า อัศนี พลจันทร ในฐานะ ‘สหายนำ’ คนหนึ่ง ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ผู้มีบทบาทร่วมก่อตั้งสถานีวิทยุเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย (หรือที่เรียกคำย่อว่า สปท.) แต่งเพลง “คิดถึงบ้าน” ขึ้นที่ไหนนั้น... ยังอาจจะไม่ใช่ปัญหาสลักสำคัญ เท่ากับการแกะรอยให้ได้ความว่า ‘นายผี’ หรือ สหายไฟ ได้ทำอะไรบ้าง เมื่อไปปฏิบัติการบุกเบิกงาน สปท.ที่เวียดนาม
จากการสืบค้นข้อเขียนและเรื่องเล่าสู่กันฟังหลายชิ้นงาน พบว่าการก่อตั้ง สปท. ไม่ใช่เป็นเรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นตามสถานการณ์สู้รบ องค์การนำของ พคท. มีแนวความคิดริเริ่มด้านการประชาสัมพันธ์ในวงกว้าง เรียกเป็นศัพท์ภายในพรรคว่า “งานโฆษณา” ฝ่ายนำของ พคท. มีระบบการกระจายอำนาจและความรับผิดชอบงานต่าง ๆ อย่างทั่วด้าน ในบริบทที่กล่าวถึงก็ได้จัดให้มีกรรมการกลางพรรค นำ “งานโฆษณา” อย่างเป็นกิจลักษณะ ด้วยว่างานด้านวิทยุกระจายเสียงจัดเป็นความก้าวหน้าแห่งยุคสมัยทั้งในระยะก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ทั้งฝ่ายอักษะและฝ่ายสัมพันธมิตรได้ใช้งานวิทยุรหัสมอสติดต่อสื่อสารงานลับข้ามประเทศ และใช้ระบบวิทยุคลื่นสั้นกระจายเสียงจากทางไกล เช่น BBC และ VOA ให้ได้ยินได้ฟังกันทั่วทั้งอินโดจีน ในทุกประเทศ และตลอดแนวชายแดน ไม่ว่าจะเป็นบนยอดเขาสูง หรือในป่าดงพงลึกและหุบห้วย
การเตรียมการจัดตั้ง “สถานีวิทยุเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย” จึงสะท้อนให้เห็นศักยภาพและทัศนวิสัยคาดการณ์ไกลขององค์การนำ พคท. ที่มีแผนงาน เสาะหาและเตรียมสถานที่อย่างสุขุมรอบคอบ อีกทั้งมีแนวทางการ “จัดหา” ผู้คนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับลักษณะงานอย่าง ‘มีสายตา’ ดำเนินการ “จัดตั้ง” ทีมงานอย่างเป็นระบบ โดยระดมพลกันมาหลายทิศทาง
แม้จะยังสืบค้นไม่ได้ชัดเจนว่า อัศนี พลจันทร อัยการหนุ่มฝีปากกล้า ผู้มีคารมกวีเปี่ยมด้วยพลัง แรก “เข้าป่า” เมื่อใด ที่เขตไหน หลักฐานเอกสารงานเขียนบ่งชี้ว่า ตั้งแต่ระยะก่อน พ.ศ.2500 อัศนี พลจันทร มีผลงานเขียนจำนวนมาก ทั้งที่เป็นบทกวี บทความ บทวิจารณ์วรรณคดี ตีพิมพ์อย่างต่อเนื่องใน นสพ.สยามสมัย สยามนิกร และปิตุภูมิ รวมทั้งในวารสารมหาชน ที่ ‘ชาญ กรัสนัยปุระ’ เป็นบรรณาธิการ
‘ชาญ กรัสนัยปุระ’ เป็นนามแฝงที่ประหลาด มีนัยยะชวนให้คิดว่า คนตั้งนามแฝงให้กับผู้ใช้ชื่อจริงว่า “เชาวน์ พงษ์พิชิต” น่าจะมีความรู้ด้านอักษรศาสตร์ ที่เชี่ยวชาญด้านภาษาสันสกฤต แม้แต่ชื่อ “เชาวน์ พงษ์พิชิต” ก็เช่นกัน อาจเป็นชื่อที่จดทะเบียนในชั้นหลัง สืบค้นได้ว่าบรรณาธิการและนักเขียนชื่อ ‘เชาวน์’ หรือ ‘ชาญ’ นั้น มีชื่อที่ใคร ๆ ในขบวนการต่อสู้กู้ชาติสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เรียกกันว่า ‘นายช้าง’
‘นายช้าง’ คือใคร?
ชื่อนี้ใช้เรียกกันในยุคสมัยที่ ‘นายช้าง’ ยังเป็นหนุ่มรูปงาม ร่างกายสูงสง่า เป็นหนึ่งในดาราดวงเด่นที่จัดตั้ง “คณะละครเร่” นำพาหนุ่มสาวทางภาคใต้ให้เข้าร่วมการเคลื่อนไหว “ขบวนการรักชาติ” เพื่อต่อต้านการรุกคืบของญี่ปุ่นที่เข้ามาจัดตั้งกองกำลัง ยึดพื้นที่บางส่วนที่มีความหมายเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศไทย “นายช้าง” จัดตั้งหน่วยวัฒนธรรมทำนองละครร้อง ละครเร่ และงิ้ว เคลื่อนไหวปลุกระดมจิตใจผู้คนให้หาญสู้ตลอดแดนดินถิ่นทางใต้ พื้นที่ต่าง ๆ ในจังหวัดสงขลา พัทลุง พังงา ยะลา สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช เป็นเขตเคลื่อนไหวที่ ‘นายช้าง’ ใช้รูปการศิลปะการแสดงนำหน้า แต่โดยทางลับ ‘นายช้าง’ นำพาการจัดตั้งกองกำลังอาวุธแบบ “กองโจร” ปล้นเอาอาวุธของกองทหารฝ่ายญี่ปุ่นมาใช้งานในกองกำลังต่อสู้กู้ชาติยามวิกฤต อันสืบเนื่องจากกรณีจอมพล ป.พิบูลสงคราม ประกาศเข้าร่วมสงครามเป็นพันธมิตรกับฝ่ายญี่ปุ่น ในสภาวะวิกฤตเช่นนี้ อาจารย์ปรีดี พนมยงค์ ก็ได้เคลื่อนไหวเป็นการลับ เตรียมการแก้ปัญหาโดยจัดตั้ง “กลุ่มเสรีไทย” ทั้งในประเทศและนอกประเทศ ‘นายช้าง’ ได้ติดต่อสัมพันธ์กับเสรีไทยสายนอกประเทศ (จากอังกฤษและอเมริกา) บางส่วนที่โดดร่มลงมาเตรียมการเคลื่อนไหวต่อสู้ด้วยอาวุธในเขตป่าเขาทางภาคใต้ด้วย
ชื่อจัดตั้งของ ‘นายช้าง’ (‘ชาญ กรัสนัยปุระ’ หรือ ‘เชาวน์ พงษ์พิชิต’) เป็นที่รู้จักกันในชั้นหลังในหมู่สหายนักศึกษาปัญญาชนคนเข้าป่าว่าคือ ‘สหายนิล’ ผู้ร่วมเคลื่อนไหวกับขบวนการต่อสู้แนวรักชาติกู้ชาติมา ตั้งแต่ครั้ง พคท.ยังใช้ชื่อแรกตั้งว่า “พรรคคอมมิวนิสต์สยาม” พรรคนี้มีบทบาทเคลื่อนไหวตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งในกรุงเทพฯ ภาคกลาง ภาคอีสาน และโดยเฉพาะในพื้นที่ทางใต้ของประเทศไทย แนวทางการเคลื่อนไหวหลักคือ คัดค้านสงครามและต่อต้านกองทหารญี่ปุ่นที่ยาตราทัพเข้ามายึดครองพื้นที่บางส่วนของประเทศสยาม ขบวนการนี้แม้มีจุดกำเนิดมาจากการเคลื่อนไหวปฏิวัติทางสากลนอกประเทศ แต่ก็มีรูปการเคลื่อนไหวอย่างอิสระเป็นของตนเอง กล้าคิดกล้าทำ กล้าปฏิบัติการอย่างห้าวหาญ
หากวิเคราะห์อย่างเคารพประวัติศาสตร์ ยึดถือจากหลักฐานความเป็นจริง พบว่าแนวทางการเคลื่อนไหวของขบวนการอันมีที่มาจากพรรคคอมมิวนิสต์สยาม ก็เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับขบวนการเสรีไทยทั้งสายอังกฤษ ฝรั่งเศส และอเมริกา ต่างกันตรงที่สายพรรคคอมมิวนิสต์มิได้นำอาวุธและกองกำลังอาวุธของฝ่ายสัมพันธมิตรเข้ามาในเขตแดนไทย แต่ในบางขณะและบางวาระโอกาส สองขบวนการนี้ก็ได้พบปะกันโดยบังเอิญ เพราะเคลื่อนไหวทับซ้อนกันในพื้นที่เขตป่าเขา แม้ต่างฝ่ายก็ปิดลับ มิได้รับรู้นัดหมายกันมาก่อน ครั้นเมื่อได้พบปะกันบังเอิญบ่อยเข้า ด้วยมีอุดมการณ์รักชาติ ต้องการกู้ชาติ มีเป้าหมายศัตรูกลุ่มเดียวกัน ในระยะท้ายใกล้สิ้นสุดภาวะสงคราม จึงมีบางสายงานจับมือกัน ร่วมมือทำการก่อกวนกองกำลังทหารญี่ปุ่นบ้าง มีประจักษ์พยานว่าเสรีไทยบางหน่วย ได้สามัคคีสู้รบร่วมกับกองกำลังปิดลับของขบวนการกองโจรที่นำพาทางการจัดตั้งและวางแผนโดยสายงาน พคท.โดยอาจไม่รู้ว่าเป็นพรรคคอมมิวนิสต์ นอกจากนี้ยังมีเสรีไทยในบางพื้นที่ ซึ่งฝึกการรบแบบกองโจรในเขตป่าเขา ผ่องถ่ายอาวุธที่เคยใช้กันมา หรือไม่ทันได้ใช้ ให้กับฝ่ายขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นที่นำโดย พคท. เนื่องจากมีประกาศชี้แจงการสิ้นสุดสงครามเสียก่อน บางหน่วยถึงกับฉลองชัยร่วมกันเช่นในเขตพื้นที่ทางใต้ของประเทศไทยหลายจังหวัด (เชาวน์ พงษ์พิชิต. ประวัติพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย, 2565.)
ภายหลังสงคราม เชาวน์ พงษ์พิชิต หรือ ‘สหายนิล’ ได้ใช้เวลาไปกับงานโฆษณาของ พคท.อย่างเต็มตัว ในฐานะบรรณาธิการวารสาร “มหาชน” หนึ่งในจำนวนนักเขียนประจำที่ส่งงานกวีให้ตีพิมพ์ใน “มหาชน” คือ ‘นายผี’ โดยมีผลงานลักษณะอื่นตีพิมพ์ในนามปากกาอื่น ๆ ด้วย
เหตุการณ์ตามความเป็นมาทั้งสิ้นตลอดกระบวนการ สะท้อนให้เห็นว่า อัศนี พลจันทร ติดต่อสัมพันธ์กับบุคคลและเครือข่ายงานโฆษณาของ พคท. อย่างใกล้ชิดทางงานเขียนตั้งแต่ก่อนเข้าป่า
จึงไม่แปลกอะไรที่ในช่วงปีพุทธศักราช 2504 – 2505 อัศนี พลจันทร ได้ก้าวขึ้นมาเป็นนักการเมืองฝ่ายปฏิวัติเต็มตัว จากการเป็น “ปัญญาชนไทย” ที่รู้จักในฐานะกวี นักเขียน นักวิจารณ์วรรณคดีปากคม ในวารสาร หนังสือ สิ่งพิมพ์ ของขบวนการประชาธิปไตยฝ่ายก้าวหน้า เช่น สายธาร ปิตุภูมิ มหาชน และอักษรสาส์น อัศนี พลจันทร ถูกกำหนดตัวและได้รับเลือกโดย “สมัชชา 3” ของ พคท. ให้ขึ้นมามีบทบาทสำคัญยิ่งในฐานะ “สหายนำ” คนหนึ่งของ พคท. ในจำนวนรายชื่อกรรมการกลาง 24 คน อัศนี พลจันทร เป็นทั้งกรรมการกลางบริหารพรรค และ “กรมการเมือง” (สำรอง)
ผลการประชุม “สมัชชา 3” ยังมีรายชื่อ นิตย์ พงษ์ดาบเพชร สหายหญิงผู้สำเร็จวิชาการหนังสือพิมพ์จากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ประจำการอยู่ที่สถานีวิทยุปักกิ่งในฐานะผู้เชี่ยวชาญภาษาไทย และ ศักดิ์ สุภาเกษม นักเขียนและนักหนังสือพิมพ์มืออาชีพ ที่มีชื่อเสียงและผลงานเป็นที่ประจักษ์ ซึ่งมีภารกิจงานแปลประจำการอยู่ที่ปักกิ่งแล้วเช่นกัน
ทั้งสหายนิตย์ พงษ์ดาบเพชร และสหายศักดิ์ สุภาเกษม มีสถานภาพเป็นสมาชิกพรรคระดับนำ คือ “กรรมการกลาง” (สมัชชา 3) เช่นเดียวกับ อัศนี พลจันทร ทั้งสามท่านมีประวัติเคยทำงานหนังสือพิมพ์มาแล้วอย่างโชกโชน แต่ละท่านมีทักษะการใช้ภาษาไทยในระดับสูง และมีความสามารถพิเศษด้านการขีดเขียนแนวต่าง ๆ กันไป การที่ พคท.เลือกทั้งสามท่านให้เป็นกรรมการพรรค นำงาน สปท. จึงถูกหลักการวางคนให้สอดคล้องกับความสามารถ และเป็นการประกอบส่วนต่าง ส่งเสริมให้สหายที่มีความสามารถระดับสูง ร่วมกันบุกเบิกสร้างสรรค์งาน สปท.อันมีลักษณะพิเศษเฉพาะแห่งยุคสมัยนั้น
มีข้อมูลระบุด้วยว่า ในสภาพที่องค์การนำ พคท.ได้มอบหมายให้ทั้งสามท่านประกอบส่วนเป็น “กรรมการพรรค” ที่นำการบุกเบิกและดำเนินงานของ สปท.นั้น ทางพรรคได้วางบทบาทให้ อัศนี พลจันทร เป็นหัวหน้ากองบรรณาธิการ. (“ธง แจ่มศรี ใต้ธงปฏิวัติ”, อ้างโดย สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ, หน้า 385.)
อย่างไรก็ตาม “กลุ่มเพื่อน สปท.” รายงานว่า อัศนี พลจันทร นำงาน สปท.ในฐานะหัวหน้ากองบรรณาธิการได้เพียงปีเศษ ราวเดือนตุลาคม ปี 2506 ฝ่ายนำของ พคท. ก็มีคำสั่งย้าย อัศนี พลจันทร ไปช่วยงานด้านการแปลสรรนิพนธ์ของเหมาเจ๋อตง จากนั้นก็มอบหมายให้ ศักดิ์ สุภาเกษม เป็นผู้อำนวยการหน่วยพรรคประจำกองงาน สปท. และยังได้จัดส่ง สุจินต์ อัครสมิต จากเมืองไทย ให้ไปทำหน้าที่เป็นบรรณาธิการ สปท. เป็นที่เข้าใจได้ว่า การสั่งการนี้อาศัยอำนาจตามสายงานจัดตั้งภายในของ พคท. ไม่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายการเมืองอื่นและบุคคลภายนอกพรรค เช่น ท่านปรีดี พนมยงค์ หรือ สหายโฮจิมินห์ แต่ประการใด
อาจจะเป็นช่วงระยะบุกเบิกนี้เอง ที่มีเรื่องเล่าขานกันต่อมาปากต่อปากว่า เพลง “คิดถึงบ้าน” ที่อัศนี พลจันทร แต่งขึ้นขณะทำงาน สปท. ได้ถูกตราว่าเป็นเพลงสะท้อนอารมณ์ ‘นายทุนน้อย’ โดย ‘จัดตั้ง’ คือ องค์การนำชั้นเหนือที่กำกับดูแล “งานโฆษณา” ได้ระงับมิให้นำออกอากาศทาง สปท. เหตุการณ์นี้มีแต่เสียงอ้างว่า…หรือร่ำลือกัน ยังไม่พบหลักฐานเอกสารรองรับชัดเจน
ในระยะต่อมา เพลงนี้ได้กลายเป็น ‘เพลงเพื่อชีวิต’ ที่อ่อนหวาน ติดอันดับ ครองใจผู้คนที่รับฟังจำนวนล้นหลาม ดัชนีชี้วัดความสำเร็จของเพลงนี้ คือ จำนวนครั้งของการจัดทำอัลบั้มเพลงบันทึกเสียงของนักร้องหลายคนจากหลายค่ายเพลง เป็นที่ประจักษ์ว่าแม้บุคคลสำคัญระดับชาติสถานภาพสูงก็ยังนิยมชื่นชอบเพลงนี้
‘สหายหญิง’ ที่นิยมร้องเพลงนี้ในยาม “คิดถึงบ้าน” ขณะ สปท.ยังตั้งอยู่ในเวียดนาม น่าจะเป็นพยานบุคคลรายสำคัญที่อาจสืบสาว แกะรอย หาข้อเท็จจริงได้บ้าง แม้ว่าประวัติ สปท.ช่วงนี้จะสืบค้นได้ค่อนข้างยากเย็น ดังที่กองบรรณาธิการ “กลุ่มเพื่อน สปท.” ผู้เรียบเรียงหนังสือปกขาวเล่มหนาชื่อว่า “ที่นี่ สถานีวิทยุเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย” (สนพ.แสงดาว, 2565; 520 หน้า) ก็ยอมรับว่า ประวัติส่วนนี้เขียนได้ยากเนื่องจาก “สหายนำร่วมรุ่น ผู้บุกเบิก สปท. ล้วนล้มหายตายจากกันไปสิ้นแล้ว”
บันทึกเล่าเรื่องย้อนความทรงจำของสหายรุ่นบุกเบิกในหนังสือปกขาว (กลุ่มเพื่อน สปท. 2565) มีเรื่องราวกล่าวถึง ‘สหายไฟ’ หรือ อัศนี พลจันทร ไว้น้อยมาก แต่เมื่อใช้ความพยายาม “ร่อนทรายหาทอง” ก็ไม่ถึงกับไม่พบเสียเลย
การสืบค้น สหายร่วมรุ่นบุกเบิก สปท. ฝ่ายปฏิบัติการ พบว่ามี “สามสหาย” ที่เอ่ยชื่อ “สหายไฟ” โดยระบุว่าเคยพบและร่วมงานกับท่าน ในบทบาท ภาระหน้าที่ และการงาน ต่าง ๆ กันไป
“สามสหาย” อาวุโส ผู้ร่วม “จุดไฟ” ใน สปท.ระยะบุกเบิกที่เวียดนาม เป็นใครบ้าง? จะได้นำเสนอต่อไป


***โปรดติดตาม ตอนที่ 5
“โหมไฟ…ให้พี่น้องเราอุ่นสบาย”
_____
เอกสารอ้างอิง
กลุ่มเพื่อน สปท., สหายฟืน. (บรรณาธิการต้นฉบับ) ที่นี่...สถานีวิทยุเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แสงดาว, 2565. (520 หน้า)
เชาวน์ พงษ์พิชิต.ประวัติพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แสงดาว, 2565. (592 หน้า)
สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ.ธง แจ่มศรี ใต้ธงปฏิวัติ. กรุงเทพฯ: พิมพ์ในงานฌาปนกิจ ธง แจ่มศรี, สิงหาคม 2562.
คำรายงานการเมืองของมิตร สมานันท์. 29 กันยายน 2504. (เอกสารถ่ายสำเนา)
“ฉลองวันครบรอบหนึ่งปี กับภาระหน้าที่ของเรา” โดย สหายวิญ (เอิบ). 1 มีนาคม พ.ศ. 2506. (เอกสารโรเนียว)
บทสัมภาษณ์คุณสุมิตร (เอกสารถ่ายสำเนา) อ้างโดย “กลุ่มเพื่อน สปท.” คุณสุมิตรเล่าว่า ปี 2507 คนของคุณปรีดี ได้ไปปลุกระดมและเรียกร้องให้มาร่วมปฏิวัติไทยโดยเข้าใจว่า กลุ่มคุณปรีดี กับ พคท. เป็นแนวร่วมกัน โดย พคท.เป็นแนวหลัก เดินทางไปอบรมการทหารที่เวียดนามปี 2508 จนปลายปี 2508 จึงเดินทางเข้าไทยทางเขต 8 (เชียงราย).
มติกรมการเมืองเดือนสิงหาคม 2506.การประชุมกรมการเมือง ครั้งที่ 2 ชุดที่ 3 (8-18 สิงหาคม 2506) หัวข้อที่ 4.
สรุปงานในระยะ 20 ปี (โดยสังเขป) จากสมัชชาผู้แทนพรรคทั่วประเทศครั้งที่ 3 จนถึงสมัชชา 4. (เอกสารถ่ายสำเนา)
Somsak Jeamteerasakul. “The Communist Movement in Thailand,”, A thesis submitted for the degree of Doctor of Philosophy, Department of Politics, Monash University, 31 July 1991.

 

โปรดติดตามและมีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท.  โปรดคลิ๊ก  

whitebanner