“สหายผู้เฒ่าเล่าความหลัง”.........“เขต ทปท.ห้ามเข้า” ภาค 2 งานมวลชน ตอนที่ 7
โดย….“เฒ่าตะวัน”
เมื่อเราลงมาตั้งค่ายพักที่ชายป่า บ้านทุ่งนางแก้ว .. เราเลือกทำเลที่ใกล้ถนนเส้นทางบ้านมะนัง ไปอำเภอละงู ที่ผ่านบ้านทุ่งนางแก้ว นอกจากเป็นบริเวณป่าแล้วด้านหลังพ้นแนวป่าไม่ไกลจะเป็นทุ่งหญ้าคา มีทางออกเชื่อมได้หลายด้าน ลัดเลาะไปยังบ้านชาวบ้านในชุมชนก็ไม่ไกล ..
เราทำแคร่ไม้ไผ่ ตั้งเสาคลุมผ้ายาง เป็นแคร่ 4-5 หลัง แยกสัดส่วน บริเวณสหายหญิง สหายชาย และครัวเตาดินขุด ใช้ไม้ฟืน ..
ข่าวกองกำลัง อส. มาอยู่ที่ตำบลเขาขาว ซึ่งห่างจากเรา 10 กว่ากิโลเมตร ..มี อส.จอมขมังเวทย์ด้วย ชื่อหยีมาส ลือกันว่า เก่งคาถาอาคม หนังเหนียว ยิงไม่เข้า เวลาตวาดเสียงดัง ๆ ใบมะพร้าว ยอดมะพร้าวจะมอดไหม้ ..
ผมก็ งง งง ขำ ขำ ..วิชาอาคมอะไร .. ตวาดแล้วต้นไม้ ใบไม้ ยอดมะพร้าว ไหม้ !!
คุยโวด้วย.. “กับคอม เคยเจอมาแล้ว ถูกคอมล้อมยิง.. ถอดโสร่ง เอามากวัดแกว่ง ปัดกระสุน แหวกวงล้อมมาได้อย่างปลอดภัย” ..
ข่าวการเคลื่อนไหวดังกล่าวทำให้เรามีความระมัดระวังตัวกันมากขึ้น
สำหรับเรื่องแปลก แนวคิดจิตนิยม ความเชื่อชาวบ้านในชนบทดูจะเป็นของคู่กัน อย่างเรื่อง "ผีปอบ"
วันหนึ่งสหายหญิงกลับมาจากการไปฉีดยารักษาคนป่วยเล่าว่า ที่บ้านป่าแกบ่อหิน.. มีคนถูกปอบเข้า.. จึงชวนกันไปดู
ผมนึกถึงเรื่องปอบที่แม่เคยเล่าให้ฟังว่า คนไล่ผีปอบนั้น มีคาถาวิชา มีหวายลงอักขระยันต์ เวลาเขาไปไล่ปอบจะส่งเสียงดัง ตวาด ฟาดหวายเฆี่ยนตีปอบ ปอบกลัว ยอมออกจากร่างที่สิง ..
ผมจึงคิดเลียนแบบ ปฏิบัติการทางจิตวิทยาข่มขวัญปอบลองดู
เมื่อเดินไปถึงหน้าบ้าน ได้เห็นชาวบ้านมายืนออ มุงดูเหตุการณ์ปอบเข้าสิงคน ..
เคยฝึกละคร เล่นละครมาก่อน ก็สวมวิญญาณคนไล่ปอบ เดินอาด ๆ เข้าไป ย่างขึ้นบันไดแบบกระทืบเท้า เสียงดัง .. : "ใคร มันมาจากไหน บังอาจมารังแกคนที่นี่ "
พร้อมกับถีบประตูห้องที่เปิดแง้มอยู่ ..ภาพผู้หญิงแก่ หน้าตาน่ากลัว นั่งบนแคร่มุมห้อง ปากขมุบขมิบ ตาเขียวปัดเป็นประกายจ้องมาทางผม..
ผมยกปืนคาร์บินขึ้นขู่ มือตบด้ามปืนแรง ๆ ให้เกิดเสียงดัง.. จ้องไปที่ร่างแม่เฒ่า.. ตวาด .. "จะไปรึไม่ไป ถ้าไม่ไป ยิงทิ้งทั้งผีและคน " .. พร้อมทำตาถมึงทึงวับวาวใส่แม่เฒ่าที่ปอบเข้าสิง..
แม่เฒ่า ..ก้มหน้า ตัวสั่น ทรุดลงนอนเหมือนคนเป็นลม .. ชาวบ้านผู้ชายบางคนเข้าไปดูแล ..
แม่เฒ่าค่อย ๆ งัวเงียรู้ตัวขึ้นมา ท่าทางแบบคนปกติ ..มองไปทางลูกหลาน พูดเบา ๆ ว่า.. แม่หิวข้าว ..ลูกหลานดีใจ จากที่กลัว ๆ แอบ ๆ ดูอยู่ห่าง ๆ ก็เข้ามาล้อมแม่เฒ่า นวดตัว พัดวี หาข้าวมาให้กิน
.. ปอบ จริง ปลอม ไม่รู้ .. ?
ถ้าปอบไม่ออก ไม่ไป ปอบสู้ล่ะ.. จะทำยังไง ?
ผมจะอยู่ทำไม ผมก็ใช้วิชาเสือเผ่นสิครับ !!
กลับที่พัก มีหมูป่าที่สหายยิงมาได้ มื้อเย็นจึงมีเมนูหมูป่าผัดเผ็ด ที่เหลือแม่ครัวผัดรวนเก็บไว้ได้เต็มหม้อ
รุ่งเช้า ผมตื่นแต่เช้ามืดด้วยมีธุระกับมวลชน จึงเดินลัดเลาะป่าออกไปด้านข้าง ๆ โรงเรียนทุ่งนางแก้ว ไปพบมวลชน.. ขากลับได้มอเตอร์ไซค์กลับเพื่อให้ทันกินข้าว แต่ด้วยขี่มอเตอร์ไซค์ไม่คล่องนัก เจอสะพานไม้แผ่นเดียวที่วางพาดทางน้ำไหลผ่านถนน จึงต้องจอดเพื่อจะจูงรถมอเตอร์ไซค์ข้ามสะพาน..
ชาวบ้านอยู่ใกล้วิ่งกระหืดกระหอบมา..บอก.
"โค้งข้างหน้า นายมาเต็มไปหมด"
ผมทิ้งรถไว้ให้ชาวบ้าน.. ตนเองวิ่งหลบเข้าป่าข้างทาง.. ไปค่ายที่พัก..
ในที่พักสหายกำลังรวมตัวกัน เรารู้ตัวแล้ว ทุกคนยืนถือปืนประจำกาย สะพายเป้เพื่อที่จะเคลื่อนย้ายหลบหลีก ด้วยเราเป็นเพียงสหายงานมวลชนที่มีกำลังด้อยกว่า
ฝ่ายนำกำหนดแผนการ รหัส จุดนัดพบ หากมีการปะทะให้ฝ่ายทหารระวังหลัง และยิงสกัด
คำสั่งรหัสโจมตี ปีกซ้าย ปีกขวาตีโอบ คือให้ถอย
การวางแผนยังไม่เสร็จดี มีเสียงเคลื่อนไหวในแนวป่าด้านหน้าค่ายที่พัก
คุณเวช คุณชำนิ คว้าปืนวิ่งไปอยู่แนวป้องกัน คอยยิงสกัด
ไม่นานก็มีเสียงปืนยิงปะทะ เสียงสนั่น ติดต่อกันตลอด
พวกเราที่เหลือต้องทิ้งฐาน ค่ายที่พัก.. พากันวิ่งไปป่าด้านหลังที่พัก ท่ามกลางห่ากระสุนไม่ทราบทิศทางใด ตัวผมวิ่งก้ม ๆ ฝ่าป่าหญ้าคาที่สูงท่วมหัวตามสหายไป
วิ่งไปได้ไม่นาน ผมตามสหายไม่ทัน และก็หลงทิศ ได้แต่วิ่งก้ม ๆ หมอบ ๆ ไปต่อ เจอสหายอีกคน ขณะเดียวกันเสียงปืนระรัวเป็นชุด กระสุนว่อนไปทั่ว จึงต้องหมอบหลบ นิ่ง ไม่เคลื่อนไหว เพราะหากเคลื่อนไหวจะเป็นที่สังเกต หากเราหลบอยู่นิ่ง ๆ เขายากที่จะค้นหา เพราะจุดที่เราอยู่เป็นป่าทุ่งหญ้าคากว้างใหญ่
เมื่อเหตุการณ์สงบ ผมและสหายจึงออกไปยังจุดนัดพบ สหายเราทุกคนปลอดภัย..ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย
ความดีใจที่ผ่านวิกฤตกันมาได้ สหายเยาวชนเราพากันร้องเพลง "เสือกระดาษ" ด้วยความครื้นเครง
"เสือ เสือกระดาษ
สำแดงอำนาจขี้ขลาดตาขาว
มีเรื่องตลกอันแสนเกรียวกราว
จะเล่าเรื่องราวให้พี่น้องฟัง
วันหนึ่งเดินชนกันเข้า
ถูกพวกเรายิงเอาตั้งหลายคน..”
"อ้าว.. แล้วพวกนาย.. ไม่ยิงเอาบ้างนิ"..
"อ้อ.. ยิง .. แต่”..
“หลับหู หลับตายิงกราด
ต้นไม้ใบขาดเกลื่อนกลาดเต็มดิน”
555 555
บรรยากาศหลังพายุร้าย ท้องฟ้ากลับมาดูแจ่มใส..
ทว่าสังเกตเห็นคุณญา ดูเศร้า ๆ .. เลยถามคุณญาเป็นอะไร ?
คุณญา.. แม่ครัวใหญ่ของหน่วย ตอบว่า..
"ฉันดายของหมูเถื่อนที่ผัดรวนไว้ ตั้งหม้อใหญ่.. ไม่ได้เอามาที.."
โถคุณญา นึกว่าเศร้าเรื่องอะไร .. เศร้าพราะเสียดายหมูป่าที่ผัดไว้เตรียมทำครัวนี่เอง.. !!??
โปรดติดตามและมีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท. โปรดคลิ๊ก
“สหายผู้เฒ่าเล่าความหลัง”.........“เขต ทปท.ห้ามเข้า” ภาค 2 งานมวลชน ตอนที่ 9 (ตอนจบ)
โดย….“เฒ่าตะวัน”
คุณรักธรรม ที่ทำงานมวลชนในเขตงานสตูล เป็นเพื่อนร่วมรุ่นโรงเรียนการเมืองการทหาร ค่ายบ้านตระนั้น พื้นเพเป็นคนจังหวัดเชียงราย อดีตนักศึกษารามคำแหง ที่เข้าป่าจากผลกระทบทางจิตใจในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519
คุณรักธรรม เป็นนักกิจกรรมที่เอาการเอางาน ศึกษาแนวคิดทางการเมือง จนมีอุดมการณ์แน่วแน่ ที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมให้เป็นสังคมที่เป็นธรรม จึงมีการดัดแปลงตนเองอย่างเข้มข้น มีลักษณะบุคลิกภาพที่อ่อนน้อมถ่อมตน สุภาพ ให้เกียรติมิตรสหาย เคารพความคิดเห็นผู้อื่น โต้แย้งความคิด ความเห็นต่างอย่างสุภาพ นุ่มนวล
จากการมุ่งมั่นต่อภารกิจปฎิวัติ คงด้วยผลจากการตื่นตัวทางการเมืองของนักศึกษา จากบริบทสังคมมหาวิทยาลัย ช่วงหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ผนวกกับเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ที่ปิดกั้นแนวทางสันติวิธีทางการเมือง การเรียกร้องเพื่อความเป็นธรรมด้วยมือเปล่าของนักศึกษา ชาวนา กรรมกร นักการเมือง จะถูกตั้งข้อหานานา หลายคนถูกจับกุม รุนแรงถึงขั้นฝ่ายผู้เรียกร้องความเป็นธรรมถูกฆ่า จนฟางเส้นสุดท้ายขาดลงสู่การตัดสินใจต่อสู้ด้วยอาวุธ เมื่อเพื่อนๆ ร่วมชุมนุมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถูกยิง ถูกฆ่า ทำร้ายอย่างทารุณ เหี้ยมโหด และถูกจับกุม ต่อหน้าต่อตา..
ในโรงเรียนการเมืองการทหาร คุณรักธรรม เป็นนายหมู่ที่รับผิดชอบ พูดน้อย ยิ้มแย้มใจดี สร้างบรรยากาศที่ดีในการศึกษาแบบเสวนา เปิดโอกาสการแสดงความมีส่วนร่วมให้สมาชิกในหมู่ที่มีทั้งนักศึกษาปัญญาชน ชาวนาชนบท และมาจากสังคมเมือง
จากโรงเรียนการเมืองการทหาร ค่ายบ้านตระ ภูบรรทัด ส่วนใหญ่ถูกส่งลงไปปฎิบัติงานมวลชน สำหรับที่เขตงานมะนัง ทุ่งนางแก้ว สตูลนั้น รุ่นๆ เดียวกัน ก็มีคุณฉ่ำ คุณรักธรรม คุณริน และผม (ตะวัน)
ที่เขตงาน คุณฉ่ำ คุณรักธรรม ผม ทำแคร่นอนด้วยกัน คุณเผียน คุณเวช คุณชำนิ จะทำแคร่หรือไม่ก็ตอกไม้ง่ามเป็นเสาสี่เสา สำหรับขึงผ้าเปลนอน ให้ออกตึงๆ เป็นเตียงผ้าใบ ไม่ต้องใช้ไม้ไผ่ปูนอน
ในค่ายนี้มีสองคนที่สูบบุหรี่ ทุกค่ำก่อนนอนคุณฉ่ำ คุณรักธรรมจะพากันมวนยาสูบ พ่นควัน คุยกันเพลิน ยิ้มร่าอารมณ์ดี
พอดึกๆ หรือเช้ามืดคุณฉ่ำ ก็จะไปยามเบ็ด ดูเบ็ดที่นำไปปักไว้แต่หัวค่ำ หิ้วปลากลับมา.. ให้สหายทำอาหาร
หลังรับทานอาหารเช้า เราก็จะแยกกันไปทำงานตามภาระกิจ ส่วนใหญ่ผมก็จะได้ติดตามคุณเผียน ที่เป็นสหายนำ บ้างก็ไปกับคุณเรือง คุณเรืองมักนำพามวลชนทำจิตอาสาพัฒนาชุมชนในด้านต่างๆ ไม่ว่าถนน สะพาน ลงแขกเกี่ยวข้าว .. และหลายครั้งก็ไปกับ คุณระเบียบ คุณรินที่ปฎิบัติงานหมอมวลชน ทำนองเป็นบอดี้การ์ด และโฆษณางานการเมือง ไปพร้อมๆกัน
คุณชำนิ คุณเวช คุณฉ่ำ คุณรักธรรม สี่เสือจรยุทธของเขตงาน ก็จะจับคู่ บางวันก็ไปพร้อมกันทั้งสี่คน บางวันก็ไปสามคน จรยุทธชายเขตงาน จนถึงขอบเขตขาวของศัตรู
ย้อนถึง วันคืนที่เศร้าโศก..
วันที่คุณฉ่ำ มีภารกิจที่บ้านหนองราโพ หมู่บ้านที่อยู่ในเส้นทางถัดจากบ้านทุ่งนางแก้วลงไป อำเภอละงู มีคุณเวช คุณรักธรรม ร่วมเดินทาง ..สามสหายแต่งกายแบบชาวบ้าน ผ้าขาวม้าคลุมปืนเอ็ม 16 เดินทางออกจากค่ายพัก ลัดเลาะไปตามชายป่าของหมู่บ้านทุ่งนางแก้ว.. มุ่งไปบ้านหนองราโพ
สายวันนั้น เราได้ข่าวอันแสนเศร้า เพื่อนเราทั้งสาม คุณเวช คุณฉ่ำ คุณรักธรรม ได้เสียสละ พลีชีพ กลางทุ่งนา บ้านหนองราโพ
เหตุการณ์ที่ชาวบ้านเล่า
..เช้าวันนั้น มีทหารและ อส.ลาดตระเวณเข้ามายังหมู่บ้าน และขณะที่อยู่ในหมู่บ้าน นั่งพักกันอยู่ใต้ถุนบ้านริมนา กำลังจะเดินทางออกไปต่อ เขาได้เห็นสหายเราเดินออกมาจากชายป่า ลงมายังทุ่งนา ตรงมายังหมู่บ้าน แรกๆ พวกทหารก็เข้าใจว่าเป็นชาวบ้านธรรมดา
ชาวบ้าน รู้ว่าเป็นสหาย มีบางคนถึงกับโบกมือให้ถอยกลับไปๆ หนีไปๆ ต่างภาวนาให้สหาย รู้ตัวว่ามีศัตรู ต่างภาวนาให้สหายถอยไป และปลอดภัย
คงด้วยสหายเรา ลงไปอยู่กลางทุ่งนาโล่ง แสงสว่างแยงตา มองไปที่หมู่บ้าน ใต้ถุนบ้านจะเป็นเงาๆ ภาพที่เห็นไม่ชัดเจน และสหายไม่เข้าใจความหมาย เห็นการโบกมือที่ให้ถอยกลับของมวลชน คือการทักทาย
มวลชนเล่าว่า สหายโบกมือทักทาย ผ้าขาวม้าที่คลุมปืน เผยออกให้เห็นปืนที่สหายถืออยู่ ทหารที่มาลาดตระเวนเห็น จึงรู้ว่าเป็นคอม เป็นสหาย ..
ฝ่ายสหายเรา อยู่ในพื้นที่โล่งแจ้ง กลางทุ่งนาแห้งหลังการเก็บเกี่ยว สามสหาย จรยุทธเข้าไปถึงกลางทุ่งนาโล่ง ถึงได้รู้ตัว
หน่วยลาดตระเวนของอีกฝ่าย ที่มีทั้งทหารและอส. ได้อาศัยเสาบ้าน เนินดินเป็นเกราะกำบัง พร้อมระดมกันยิงปืน เข้าใส่
นอกจากภาพของการยิงต่อสู้ปะทะกันแล้ว ที่มวลชนได้รับรู้ คือเสียงประกาศของสหาย.. "อยู่อย่างยิ่งใหญ่ ตายอย่างมีเกียรติ ".. "การปฎิวัติจงเจริญ" ที่เปล่งออกมา อำลา เป็นครั้งสุดท้ายจากสหาย
เราสูญเสียสหาย นักรบปฎิวัติที่ดีเลิศทั้งสามคน คุณเวช คุณฉ่ำ คุณรักธรรม ..
ที่ค่ายงานมวลชน เราได้ทราบข่าว ด้วยความเศร้า มิตรสหายที่กิน นอน พูดจาสนทนากันตลอดมาต้องพลีชีพ ..
แม้จะโศกเศร้า ก็ได้แต่แปรความโศก ความเศร้าให้เป็นพลังปฎิวัติ ..
อีกไม่กี่เดือนต่อมา การสานต่อกับเพื่อนที่อยู่ฐานที่มั่นภาคเหนือ ผ่านเพื่อนที่ กทม. ผมได้รับหนังสือให้ไปปฎิบัติงานกับเพื่อน มิตรสหายภาคเหนือ เป็นภารกิจขยายเขตงานมวลชนที่ราบภาคเหนือ เชื่อมต่อทางยุทธศาสตร์กับเขตงานต่างๆ ..
สหายนำในกองทัพรับทราบ ผมได้เดินทางออกจากเขตพัทลุง ตรัง สตูล ลงมาเขตงานคุณศรี บ้านช่องเขา ลิพัง.. เดินทางเข้าจังหวัดตรัง เดินทางโดยรถไฟเข้า กทม.
และแล้วได้แค่ประจำการที่ กทม. วนเวียนอยู่ตามสำนักพิมพ์กับมิตรสหายที่ทำวารสารการเมือง ด้วยสถานการณ์ ป่าแตก ผมไม่ได้ไปต่อ จึงบ๊ายบายไทยแลนด์ ไปสมัครเป็นล่ามเรือประมงที่ได้สัมปทานในมหาสมุทรอินเดีย ..มีหน้าที่ด้านเอกสาร และสอนการเดินทะเล สอนประมงให้คนอินเดียที่มาฝึกงานบนเรีอสองคน .. พึ่งลงเรือครั้งแรกของชีวิต เมาคลื่นเมาทะเลเป็นอาทิตย์ แถมภาษาอังกฤษก็งูๆ ปลาๆ
จึงได้แต่บอก แขกอินเดีย สองคนนั้นว่า You.. learning by doing.. . OK.
……..
บทส่งท้าย
สหายผู้เฒ่าเล่าความหลัง "เขต ทปท. ห้ามเข้า" หลายผู้คนคงสงสัย ทำไมเรื่องเล่า จึง.. ชื่อว่า "เขต ทปท. ห้ามเข้า"
เพราะเขต ทปท. เป็นเขตหวงห้าม ผู้คนภายนอก ยากนักที่จะได้เห็น ได้ทราบเรื่องราว ภาพภายใน.. มันเสมือน ทวิภพ .. ภพหนึ่ง โลกหนึ่งที่คู่ขนานกับสังคมไทยในขณะนั้น
โลกภายนอก ที่แข่งขัน แย่งชิง แสวงหาเพื่อผลประโยชน์ตนเอง กับโลกของผู้คนที่มีอุดมการณ์ มีอุดมคติเดียวกัน มาอยู่ร่วมกัน มีแต่ความรัก เกื้อกูล เอื้ออาทร แบ่งปันต่อกัน ร่วมกันทำภารกิจปฎิวัติเพื่อเปลี่ยนแปลงโลก เปลี่ยนแปลงสังคม ใช้ชีวิตรับใช้สังคม
ท่ามกลางการต่อสู้ ท่ามกลางความทุกข์ยาก ด้วยแสงดาวแห่งศรัทธา เราอยู่อย่างใจเป็นสุข
คนที่ไม่มีอุดมการณ์ ไม่มีอุดมคติ ย่อมยากจะเชื่อ ว่าโลกนี้มีผู้คนที่พลีตน พลีกาย เพื่อเพื่อนมนุษย์ เพื่อประชาชนโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน อยู่จริง ..
แต่เรื่องราวของผู้คนเช่นนั้น มีอยู่จริง ใน "เขต ทปท. ห้ามเข้า"
จบเรื่องเล่า "เฒ่าตะวัน"
…………………………….
To banish the trace of a tear from eyes;
A thousand deaths would I gladly die;
If one more life were granted me;
I’d spend that life in serving thee.”
By Awetik Issaakjan
เพื่อลบรอย คราบน้ำตา ประชาราษฎร์
สักพันชาติ จักสู้ม้วย ด้วยหฤหรรษ์
แม้นชีพใหม่ มีเหมือนหวัง อีกครั้งครัน
จักน้อมพลี ชีพนั้น เพื่อมวลชน.
แปลโดย ศรีนาคร
จิตร ภูมิศักดิ์
……………
โปรดติดตามและมีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท. โปรดคลิ๊ก
คอลัมน์ “ส่อวีรชน”* (2) ......ลูกอีสาน
โดย “คน บ้านเหมือดแอ่”
คุณชุมพร ทุมไมย,
คุณวัย เกศศรีพงษ์ศา
ตามที่พี่ซายของคุณเว้าประวัติคุณให้ฟัง พ่อแม่พี่น้องล้วนแต่ฮักพวกคุณ คุณเรียนเก่ง เป็นเพื่อนฮักของหมู่ แล้วกะเป็นที่คาดว่าในอนาคตสินำพาความเจริญมาให้หมู่บ้าน เป็นที่พึ่งพาของครอบครัว
ลูกหลานคนอีสานบ้านเฮาสิได้เรียนสูง ๆ คือเจ้า ตอนนั้นมีน้อยคน เวลาผ่านมาดนเหิง ๔๘ ปีแล้ว หมู่บ้านเฮาเปลี่ยนไปหลาย ในเมืองกะใหญ่โตโพดพิโล การแปรเปลี่ยนเป็นไปมีทั้งองค์คุณต่อพี่น้องเฮา แล้วกะหมกฝังความเน่าเปื่อยเสื่อมทรุดไว้นำ
ตอนเด็กน้อยเจ้าจำได้บ่ เว้าแล้วคึดฮอดยามปีที่ปอมีราคาเนาะ พ่อเจ้าเฮือนแม่เจ้าเฮือนได้ซื้อทองใส่ ลูก ๆ หลาน ๆ กะได้เสื้อใหม่ใส่ไปเอาบุญ แต่น้ำแซ่ปอเหม็นคัก พวกคุณยังจำกลิ่นปอจากปลาซิวที่เอาสวิงส้อนขึ้นมาเฮ็ดกินได้อยู่บ่ กลิ่นปอเน่ายังติดฮู้ดังมาจนมื้อนี้
“ปอ”เป็นพืชเศรษฐกิจ เป็นพืชที่มีราคา ยามเอาโค่นปอออกไปขายในตลาด คนบ้านเฮาได้กำเงินกลับเข้าหมู่บ้าน พากันหน้าตาเบิกบาน เว้านัวหัวม่วน อารมณ์เดียวกันกับตอนที่ยางพารามีราคา
สมัยนั้นถนนหนทางบ้านเฮากะซอดถึงกันหมิดแล้ว ดีกว่าทางเกวียน ทางหินลูกรังในสมัยพ่อแม่พวกเฮา นี่ขนาดงุบงิบกินใต้โต๊ะกันบักคักเด้ ขัวกะเป็นขัวปูนเหมิด สายไฟฟ้า ท่อประปากะไปฮอดทุกเฮือน ที่มากับความสะดวก มีของประดิษฐ์ ของบริการใหม่ ๆ มีวิทยุ โทรทัศน์ พัดลม ตู้เย็น มอไซค์ รถยนต์
มีสิ่งของจำเป็นกะต้องหามาไซ่ แต่หลายแนวซื้อหามาเพราะเรื่องหน้าตา อวดใส่กัน มีรถกระบะไซ่งานได้สารพัดประโยชน์กะดีแล้ว อยากได้รถเก๋งอีก บ้านเฮือนถ้ารักษาปรับปรุงตบแต่งแหน่กะงามโพด แต่อยากได้บ้านตึกตามแบบทันสมัย บ่มีเงินกะเทิ่งกู้เทิ่งยืม จึงพากันเป็นหนี้เป็นสินเหมิดคุ้มเหมิดตำบล
จำนวนหมู่บ้านทั้งประเทศเดี๋ยวนี้มีสิฮอดแปดหมื่นหมู่บ้านแล้ว หากสิรวมทรัยพ์สินเงินทอง รวมมูลค่าผลผลิตที่ขายออกไปแต่ละปีบ่น่อยเด้ คุณเบิ่งดู ธกส.ตั้งมาบ่จักปีมีเงินไหลไปกองอยู่กับเขาจักหลายหมื่นล้านแล้ว เถ้าแก่โรงสี โรงมัน พวกรับซื้อของเฮาในตลาด พ่อค้าขายเครื่องมือของไซ่ ขายปุ๋ย ขายยา ขายรถ ขายเครื่องไฟฟ้า นอกจากรวยเพราะค้ากำไร พวกเขายังเป็นเจ้าบุญนายคุณ ที่ยอมรับจำนองจำนำโฉนดที่ดินพี่น้องเฮา สุดท้ายหาฮู้โตบ่ว่า ซาวนาบ่มีที่ดินเฮ็ดนามันกะเหมิดซาติซาวนาท่อนั้นแหล่ว
เบิ่งดูไว ๆ นี่ พวกหัวใสเฮ็ดเงินติดปีก หากินบ่จักปีมันเอาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ สามารถดึงสาวเอาเงินไปแตกทุน เฮ็ดนั้นเฮ็ดนี่เพิ่มความรวยได้อีก
ดั่งนี้ ใผจั๋งสิมาว่าคนที่หาอยู่กินกับธรรมชาติ เลี้ยงวัวควาย เฮ็ดไฮ่เฮ็ดนา ปลูกผักปลูกหญ้า ว่าเป็นคนทุกข์คนยาก บ่แม่นเด้อ ความจริงคือ สิ่งที่เฮามีนั้นถืกคนมาเอารัดเอาเปรียบ สูบรีด คดโกง รวมทั้งกดขี่รังแกสารพัด เรื่องเหล่านี้เกิดมาหลายยุคหลายซั่วคนแล้ว
คุณทั้งสองเห็นนำบ่.
_______________________________
*“ส่อ“ หมายถึง ขี้ซักถาม ขี้ฟ้อง, “ส่อวีรชน” คือทั้งจะถาม จะฟ้อง ให้ชุมพรกับวิชัยฟังถึงเรื่องราวต่าง ๆ ในขณะที่ “สองพี่น้อง” ยังมีชีวิตอยู่ และเมื่อพวกเขาเสียสละชีวิตไปแล้ว.
สนใจสมัครสมาชิกผู้มีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท. โปรดคลิ๊ก
เรื่องสั้น คิดถึงป่า ตอน.....กลัวผีป่า
โดย “วันดี”
ในป่าตอนกลางคืนเมื่อความมืดมาครองนั้นมืดจริง ๆ มืดเหมือนเอาผ้าดำมาปิดไว้ แม้แต่นิ้วมือตัวเองก็ไม่อาจมองเห็นได้ นอกจากมืดมิดสนิทแล้ว ป่ากลางคืนยังสงัดเงียบ มีเสียงแปลก ๆ ชวนขนลุกดังขึ้นทางนู้นทางนี้เป็นครั้งคราว สร้างความประหวั่นพรั่นพรึงให้กับหัวใจของคนกลัวผีได้ดีแท้
ครั้งหนึ่ง ฉันได้รับมอบหมายงานให้ไปประจำอยู่ในค่ายเก่าแห่งหนึ่งที่ถูกทิ้งร้างเพราะเสียลับ เพื่อจัดพิมพ์เอกสารของสำนัก เนื่องจากเครื่องพิมพ์และเครื่องโรเนียวยังไม่ได้ขนย้ายไปที่ใหม่ และฉันเป็นคนเดียวในเวลานั้นที่ใช้อุปกรณ์การพิมพ์สองอย่างนี้เป็น
ฉันถูกส่งไปพร้อมสหายชายโรงเหล็กสี่คน สหายชายที่เป็นเพื่อนนักศึกษาจากในเมืองด้วยกันอีกสองคน สหายนำลืมไปหรืออย่างไรก็ไม่ทราบว่าฉันเป็นสหายหญิง เพราะไม่มีสหายหญิงไปอยู่เป็นเพื่อนกันแม้แต่คนเดียว
ค่ายร้างย่อมวังเวง สถานที่ที่เคยมีคนอยู่มากหน้าหลายตา โรงเรือนหลายหลังที่ยังคงอยู่ดูเหมือนจะซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้ภายในอย่างเงียบเชียบ สหายโรงเหล็กเข้าประจำการในโรงเหล็กซึ่งอยู่สูงขึ้นไปบนควน ห่างไกลพอสมควร สหายชายชาวเมืองสองคนจับจองโรงพลาฯเก่าที่กว้างขวางพอผูกเปลได้หลายเปล ส่วนฉันเลือกลูกหนำน้อยของสหายครอบครัวที่อยู่ใกล้โรงพลาฯมากที่สุด
ตอนกลางวันก็ไม่กระไรนัก แสงแดดส่องลอดแมกไม้สูงลงบนพื้นดินทรายสีขาวอมชมพูที่ถูกปรับไว้ราบเรียบดูงดงามราวภาพเขียน น้ำใสในลำธารไหลระรี้ระริกช่วยแต่งเติมบรรยากาศป่าเขาให้น่าอภิรมย์ แต่พอดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยดวงไปด้านหลังขุนเขา อากาศค่อย ๆ เย็นลง แสงที่เคยสดใสเริ่มมัวหม่น ฉันรีบไปยังลำธารที่ใกล้ที่สุด ชำระล้างร่างกายอย่างรวบรัดเพื่อจะได้มารวมกลุ่มกับสหายส่วนใหญ่กินข้าวมื้อเย็น หลังจากนั้น โอลัลล้า ฉันจะทำอย่างไรดี
ความมืดอย่างที่เล่าคืบคลานเข้ามาในค่ายร้างอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักป่ารอบข้างก็มืดสนิท เงียบสงัด มองไปทางไหนก็อ้างว้างเปล่าเปลี่ยวเดี่ยวโดด ทุกคนหลบเข้าที่ตั้งของตน เห็นแสงตะเกียงวอมแวมมาจากโรงพลาฯ ส่วนตัวฉันนั้นไม่กล้าจุดตะเกียงกลัวว่าอย่างอื่นจะมองเข้ามาเห็น ได้แต่นั่งนิ่งแฝงความมืดอ่านใจตัวเองตั้งแต่หัวค่ำ พอตกดึกน้ำค้างเริ่มตกกระทบหลังคาจากดังเปาะแปะ ๆ ใบไม้บนต้นไม้สูงเริ่มสะบัดลมเกรียวกราว เสียงอะไรบางอย่างแกรกกรากกรากแกรกอยู่ข้างหนำ เสียงกบภูเขาร้องเหมือนกู่ตะโกนอยู่ข้างห้วย มือฉันเริ่มเปียกชื้นด้วยเหงื่อขี้ขลาด สู้สะกดจิตตัวเองอ้างสรรนิพนธ์ประธานเหมา กล้าสู้กล้าเอาชนะมาข่มใจ แต่ในที่สุดก็ไปไม่รอด
ฉันแบกเป้หอบเปลและผ้าห่มถือไฟฉายส่องตรงไปที่โรงพลาฯแล้วพุ่งปราดไปทันที ภายในโรงพลาฯสหายสองคนผูกเปลนอนเอกเขนกคุยกันสบายใจเฉิบ
“ให้ฉันผูกเปลที่นี่ด้วยนะ ฉันไม่กล้านอนคนเดียว” ฉันจำได้ว่าฉันเอ่ยปากขอไปตรง ๆ อย่างนั้น และคงจะด้วยเสียงสั่นเครือเป็นแน่ แต่ไอ้สองคนนั่นใจร้ายใจดำใจอำมหิตหัวใจเถื่อน ปฏิเสธกันเป็นพัลวัน “ไม่ได้ ไม่ได้ สหายหญิงจะมานอนที่เดียวกับสหายชายไม่ได้ ต้องไปนอนในที่ของตัวเอง” ฉันจะชี้แจงอย่างไรอ้อนวอนท่าไหน ไอ้คนใจดำทั้งสองก็ไม่ยอมท่าเดียว
เอาวะ ไม่ให้อาศัยหลังคาเดียวกัน ฉันขึ้นไปนอนกับสหายโรงเหล็กก็ได้ ที่นั่นสหายยังจับกลุ่มคุยกันเบา ๆ “ขอฉันผูกเปลใกล้ ๆ แถวนี้นะสหาย” ฉันยังคงใช้ข้อความเดิมในการสื่อสาร ปรากฏว่าสหายโรงเหล็กมีใจเมตตากว่าเจ้าพวกโรงพลาฯ ยินยอมให้ฉันพักค้างกับพวกเขาด้วยดี
แต่ไม่ทันที่ฉันจะได้สอดเชือกเข้าไปในหัวเปล ไอ้หัวใจเถื่อนสองคนนั้นก็ตามมายื่นคำขาดให้ฉันกลับไปนอนที่ลูกหนำเดิม อ้างนู่นนี่นั่นมากมาย จนสหายโรงเหล็กก็ชักเอนเอียง “จริงแหละคุณวันดี ไปตะ ไปนอนในหนำดีหวาแล้” คืนนั้นฉันหมดหนทางจริง ๆ จำต้องหอบเป้น้อยกลอยใจกลับที่เดิมด้วยมือที่ชุ่มเหงื่อ
ฉันจุดตะเกียงวางไว้บนแคร่นอนในตัวหนำ ยกแคร่ให้ตะเกียงไป ส่วนตัวเองเอาผ้ายางออกมาปูนอนบนพื้นดินติดประตูหนำ คิดว่าอย่างไรเสียให้มันน่ากลัวแค่ด้านที่มองเห็น ส่วนด้านหลังก็ปิดเสียโดยให้หลังติดพื้นเอาไว้ เสร็จแล้วก็พยายามข่มตาหลับ ในขณะที่ใจเสกสรรปั้นแต่งเรื่องราวต่าง ๆ มาหลอกหลอนตัวเองไม่รู้จบไม่รู้สิ้น ฉันไม่รู้ว่าคืนแรกที่นั่นฉันได้นอนหลับไปบ้างหรือเปล่า จำได้แต่ว่าหัวใจฉันเต้นตูม ๆ ยันรุ่ง
คืนต่อมา ฉันปลอบใจตัวเองว่าคงจะผ่านไปได้ง่ายขึ้นเพราะผ่านมาได้คืนหนึ่งแล้ว แต่การณ์กลับเป็นตรงข้าม ความกลัวที่สะสมเอาไว้แต่คืนแรกกลับมาทบต้นเอากับคืนที่สองด้วย คืนนี้แม้ที่นอนข้างประตูก็ทำให้ใจฉันสงบลงไม่ได้ เสียงน้ำค้าง เสียงใบไม้ เสียงกบ เสียงน้ำในลำธาร และอื่น ๆ อีกมากมายที่ฉันไม่รู้จัก ดังระงมยิ่งกว่าเมื่อคืนเสียอีก
และแล้วจู่ ๆ มีเสียงของหนักบางอย่างเคลื่อนผ่านลูกหนำ สักพักมันก็เปลี่ยนเป็นเสียงกระแทกพื้นดังสนั่นหวั่นไหว อย่างน้อยก็ในใจฉัน คราวนี้แม้แต่จะนอนเอาหลังแนบพื้นฉันก็ทำไม่ได้เสียแล้ว จำต้องผุดลุกขึ้นนั่งระวังตัวใจสั่นระริก เสียงเคลื่อนไหวปริศนาเริ่มดังขึ้นอีก ดัง ๆ หยุด ๆ และดูทีท่าว่ามันคงจะเป็นเช่นนั้นไปทั้งคืน
สุดท้ายก่อนหัวใจจะวายไปดื้อ ๆ ด้วยสติที่ยังพอเหลืออยู่ ฉันตัดสินใจสวมวิญญาณบ้าบิ่นบินเดี่ยว เปิดไฟฉายส่องไปตามทิศทางที่มาของเสียงนั้น
ในลำแสงสีเหลืองสว่างจ้าคือใบหน้าบ้องแบ๊วของสัตว์สี่เท้าขนาดเขื่อง ขนฟูสีดำเมื่อม ตาแวววับมองตอบมาด้วยความตระหนก คงตระหนกพอ ๆ กับตาฉัน และเพียงแว่บเดียวที่สบตากัน เราทั้งสองต่างก็เผ่นแน่บคนละทิศละทาง
ฉันไปถึงโรงพลาฯที่เพื่อนใจดำสองคนนอนอยู่ได้อย่างไรตอนนี้ยังนึกไม่ออก แต่ทำเอาสองคนนั้นเห็นใจยินยอมให้ฉันเข้าไปซุกหัวใต้ชายคาเดียวกับพวกเขาในคืนนั้น และในวันรุ่งขึ้น คงจะมีใครสักคนเดินไปที่ค่ายใหม่ รายงานความกลัวผีของฉันให้สหายนำได้รับรู้ ผลก็คือฉันได้สหายหญิงคนหนึ่งมานอนเป็นเพื่อน
ใครอยากรู้ว่าตัวที่ฉันสบตาคืนนั้นคืออะไร ไปหาดูได้ที่ หมีขอ หรือ บินตุรง หรือ หมีกระรอก รูปร่างหน้าตาในรูปน่ารักไม่เบาทีเดียว
สนใจสมัครสมาชิกผู้มีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท. โปรดคลิ๊ก
บันทึก :- คิดถึงป่า ตอน...ถอดเสื้อค่าง
โดย…”วันดี”
มีมากมายหลายอย่างในชีวิตเราที่อยากจำแต่กลับลืม และที่อยากลืมแต่กลับจำ
คลองโต๊ะหังเป็นลำธารสายหนึ่งที่ไหลคดเคี้ยวผ่านเขตป่าเขาบริเวณรอยต่อของจังหวัดพัทลุง-ตรัง-สตูล
พื้นที่ริมลำธารบริเวณรอยต่อสามจังหวัดนี้เองคืออดีตที่ตั้งของค่ายเขต 2 และริมฝั่งธารสายนี้เช่นกันที่ฉันได้ประกอบกิจการถอดเสื้อค่างอย่างเป็นล่ำเป็นสันอยู่ระยะหนึ่ง
ปีนั้นเรากำลังสร้างค่ายใหม่ กำลังของเราถูกแบ่งเป็นส่วน ๆ ตามความจำเป็นของงาน ฉันเองได้รับมอบหมายให้มาร่วมงานสร้างค่ายครั้งนี้ ในตำแหน่งแม่ครัวพร้อมกับสหายหญิงอีกคน
งานสร้างค่ายเป็นงานหนัก สหายทุกคนทุ่มเทกำลังกันหามรุ่งหามค่ำ เนรมิตป่าสูงตรงรอยต่อสามจังหวัดให้เป็นค่าย หรือต่อมาเรียกกันภายในว่า "องค์การ" ซึ่งมีทุกอย่างเกือบสมบูรณ์ในความเป็นศูนย์กลางอำนาจของเขต 2
ที่นี่เราได้สร้างทั้งโรงพยาบาล โรงครัว เรือนพลาธิการ บ้านพักสหายหญิงชาย บ้านพักสหายครอบครัว โรงพิมพ์ สำนักพิมพ์ โรงเหล็ก สนามบาสเก็ตบอล โรงเรียนหรือที่บางทีเราเรียกกันตามหน้าที่ว่า "ห้องประชุม"
องค์การมีพื้นที่กว้างขวางทอดตัวไปตามลำน้ำคลองโต๊ะหัง ที่ราบเล็กๆ บนไหล่เขาด้านหนึ่งของฝั่งคลองถูกปรับให้เรียบลดหลั่นเป็นชั้น ๆ สวยงามด้วยน้ำมือของสหาย เรือนแต่ละหลังสร้างด้วยไม้ไผ่บนเสาไม้เนื้อแข็ง หลังคามุงด้วยใบจากภูเขา และแน่นอนว่าพวกเขาทำงานเหล่านั้นโดยมีฉันและสหายหญิงอีกคนหนึ่งปรนนิบัติด้วยอาหารวันละ 2 มื้อ
โรงครัวชั่วคราวของเราปลูกอยู่ริมคลอง ทุกบ่ายคุณพฤกษ์ สหายชาวซาไกผู้ถือปืนลูกกรดยาวเป็นอาวุธประจำกาย จะหาบค่างคราวละ 4-5 ตัวมาทิ้งไว้ให้เราริมคลอง หลังจากเก็บล้างอุปกรณ์ทำครัวของมื้อเช้ากันแล้ว เราสองคนก็จะมาช่วยกันจัดการกับค่างกองนั้น ซึ่งแต่ละตัวยังอ้าปากค้างเห็นฟันขาวโพลน จะเรียกว่าแสยะหรือยิงฟันก็แล้วแต่ แต่พอจะเดาได้ว่ามันคงจะเจ็บปวดแสนสาหัสขณะโดนกระสุน
ใหม่ ๆ ฉันไม่มีกะจิตกะใจที่จะจัดการกับซากของสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ผอม ๆ เหล่านี้เลย แต่ด้วยการปลุกระดมของสหายร่วมรบในโรงครัว เธอบอกให้ฉันเห็นถึงความจำเป็นที่สหายส่วนใหญ่ต้องได้โปรตีนเพื่อชดเชยกับพลังงานที่ใช้ไปในการสร้างค่ายให้กับงานปฏิวัติที่ยิ่งใหญ่ ในที่สุดฉันก็กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในการทำอาหารมื้อเย็นจากค่างหลายตัวให้กับสหายที่ตรากตรำงานหนักจนได้
วันดี ๆ บางวัน สหายที่กลับมาจากทำงานนอกค่ายผ่านลำธารมาทางโรงครัว จะได้เห็นร่างของค่างที่ถูกถอดเสื้อล่อนจ้อนแขวนกับต้นไม้ริมลำธารเป็นแถว พวกเขาล้อเลียนฉันว่า “วันนี้คุณวันดีฆ่าเด็กอีกแล้ว” คำพูดเล่น ๆ เช่นนี้ทำให้ฉันสะเทือนอยู่ในใจแต่ไม่กล้าบอกใคร
กรรมวิธีการถอดเสื้อค่างนั้นฉันจะเล่าให้ฟังว่าทำกันอย่างไร เอาแบบเรียบ ๆ ไม่บรรยายรายละเอียด จะได้ไม่ต้องคิดอะไรมาก คิดแค่ว่าเรากำลังทำอาหารก็แล้วกัน นะสหายนะ
ก่อนอื่นเอาซากค่างมาผูกคอแขวนกับกิ่งไม้ริมลำธารเพื่อให้ล้างเลือดออกได้ทันทีเมื่อเสร็จงาน จากนั้นก็เอามีดมาควั่นคอ ตัดข้อมือข้อเท้าออก แล้วผ่าหนังด้านหน้าแบบเดียวกับเสื้อกระดุมหน้า ใช้มือดึงหนังจากส่วนคอออกตามแบบถอดเสื้อที่เราทำกันทุกวัน ใช้แรงให้พอดี ๆ หนังก็จะหลุดออกจากร่างทั้งตัว ที่เหลือคือร่างที่ไม่ผิดไปจากคนเลยแม้สักนิดเดียว ต่อจากนั้นก็ผ่าเอาเครื่องในออกทิ้ง ก่อนจะเอามาหลับหูหลับตาสับ ๆ ให้เป็นชิ้น เทลงไปในกระทะใบใหญ่ที่เครื่องแกงกำลังเดือด
ฉันทำงานนี้อยู่นานเป็นเดือนจนค่ายแห่งนี้สร้างเสร็จ โดยไม่เคยกินเนื้อค่างในแกงเลยแม้สักคำเดียว เสื้อผ้าเนื้อตัวของฉันสหายบางคนบอกว่าเป็นกลิ่นเดียวกับพวกมัน และจนบัดนี้ภาพร่างอันเปลือยเปล่าของสิ่งมีชีวิตตัวเล็ก ๆ เหล่านั้นก็ยังติดตาติดใจไม่เคยลืม เป็นอะไรที่อยากลืมแต่กลับจำฝังใจเรื่องหนึ่งของชีวิต
โปรดติดตามและมีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท. โปรดคลิ๊ก