User Rating:  / 0

 ทางแยก   -   ไหมลี   (๑)

 

เสียงน้ำค้างหล่นกระทบหลังคาผ้าใบ ดังเปาะแปะๆ

 

ลมยามดึกหอบไอหนาวแผ่คลุมทั่วผืนป่า

 

 

 

คืนนี้ ... จันทร์กระจ่างฟ้า

 

แสงนวลสวยสว่างลอดหมู่แมกไม้ลงมา

 

ส่องกระทบ “นั้งชั่ว” สีแดงชิ้นน้อยในมือ “มุ่ง”

 

ห่อผ้าสามเหลี่ยมเล็กๆ  ผูกโยงเส้นด้ายสดใส

 

ของฝากจากหญิงสาวที่ชื่อ “ไหม”

 

 

 

“กู๋จิหมั้วตลั้งจือจัวก้อ ...”

 

(ฉันไม่มีอะไรจะให้เธอ)

 

“ไหม” ยื่น “นั้งชั่ว” ให้มุ่งด้วยแววตาเศร้าๆ

 

เธอวิ่งตามเขาลงมาจากไร่ข้าวบนสันภู

 

ไร่ข้าวของครอบครัวเธอ ที่มุ่งและสหายแวะเวียนมาบ่อยๆโดยเฉพาะช่วงเกี่ยวข้าว

 

 

 

ข้าวปีนี้เกี่ยวเสร็จไปหมดแล้วเมื่อบ่ายคล้อย วันนี้เอง

 

หลังอำลาพ่อแม่ของเธอ มุ่งตรงมาหาและเอ่ยเบาๆว่า ...

 

“คงอีกนานกว่าเราจะได้เจอกัน”

 

เขาพยายามใช้ถ้อยคำสั้นๆ เป็นสัญญานบอกไหม ให้รู้ว่า ...

 

จากนี้ไป เขาอาจไม่ได้มาพบเธอและครอบครัวอีก

 

 

 

หลากหลายเรื่องราวในระยะหลัง

 

รวมทั้งคำพูดวันนี้ของมุ่ง

 

ปลุกไหมให้ตื่นจากความฝัน ...

 

ไม่มีคำพูดใดๆ จากเธอ

 

มีเพียงสายตางุนงง หม่นหมองที่มองมาเท่านั้น

 

ใจที่วูบไหวไม่ต่างกัน ทำให้มุ่งไม่อาจสบตาเศร้าคู่นั้นได้อีก

 

เขาก้มลงซ่อนแววตาหวั่นไหว

 

เอื้อมมือคว้าเป้ใบใหญ่ขึ้นสะพายบ่า

 

เดินดุ่มนำหน้าสหายลงจากไร่

 

 

 

ไม่ ... แม้แต่จะหันไปโบกมือลาน้องๆของเธอ

 

เช่นทุกครั้งที่เคยทำ

 

 

 

...................................................

 

 

 

“นั้งชั่ว” / เครื่องรางของคนม้ง

 

 

 

เป็นถุงผ้าสามเหลี่ยมเล็กๆสีแดง ข้างในบรรจุเมล็ดพืชคั่วแล้ว 9 ชนิดคือ

 

น้งโย้วยั้ว = เมล็ดผักกาด

 

น้งโย้วจื่อ = เมล็ดผักชี

 

น้งป้า = คล้ายเมล็ดงาสีน้ำตาล ไม่มีชื่อไทย

 

น้งฉู = คล้ายน้งป้า

 

น้งเหอ = เมล็ดเล็กๆมีเปลือกนอกคล้ายถั่วแดงหลวงหุ้มอยู่ ไม่มีชื่อไทย (เชื่อว่าภูตผีปีศาจกลัวเมล็ดนี้มาก)

 

โต่วดู๊ = ถั่วดำ

 

โต่วด๊า = ถั่วเหลือง

 

ป๊อกื่อเลี้ยะ(ล้า) = ข้าวโพดแดง

 

มั่งน้งหม่า = เมล็ดกัญชง

 

 

 

คนม้งมักแขวน “นั้งชั่ว” ไว้ที่เอวหรือชายเสื้อ

 

เชื่อว่าช่วยปกป้องคุ้มครองให้ปลอดภัยจากภูตผีปีศาจและโรคภัยไข้เจ็บ

 

 

สนใจสมัครสมาชิกผู้มีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท.  โปรดคลิ๊ก  

 

User Rating:  / 0

 ทางแยก   -   ไหมลี   (๑๐) 

 

ภารกิจเชื่อมต่อเขตงาน ทำให้หน่วยของมุ่งไม่ได้กลับฐานที่มั่นนานกว่าทุกครั้ง

แต่เพราะทุกคนในหน่วยเป็นหนุ่มโสด ไม่มีพันธะใดๆ

การอยู่เคลื่อนไหวต่อในเขตจรยุทธ์รอบนี้ จึงเป็นเรื่องเห็นดีเห็นงามร่วมกัน

 

หลังกินข้าวเช้าเสร็จ หน่วยของมุ่งแยกกับหน่วยสหายคำ

เดินเลาะตามลำห้วยย้อนกลับเส้นทางเดิม ก่อนตัดขึ้นสันภูป่าดง

ตกบ่ายจึงเข้าเขตป่าเลา

พ้นจากป่าเลาทึบปลอดจากผู้คน มองไปบนสันภูไร่เก่าที่จะต้องผ่าน

ความที่ไร่เพิ่งถูกทิ้งร้างไม่นาน ไม้ใหญ่มีไม่มาก หลักๆคือหญ้ากับตอฟาง

ดูโล่งเกินจะเสี่ยงเดิน

 

“เราหยุดพักที่นี่ก่อนดีกว่า รอมืดหน่อยค่อยไปต่อ” มุ่งบอกสหาย

“ดีเหมือนกัน งั้นเราคุยแผนงานกันเลยจะได้ไม่เสียเวลา” สหายไฟว่า

แต่ละคนปลดสัมภาระลง ต่างมองหาพุ่มไม้ที่พอบังแดดบังฝน

 

การพูดคุยเริ่มขึ้นกลางไอแดดร้อน

“รอบนี้ เราจะไปตามสันภูทางตะวันตก สำรวจเขตทำกินของหมู่บ้านย่านนั้นสักอาทิตย์หนึ่ง ค่อยวกกลับมาตามข่าวประชุมชาวบ้านที่ไร่พ่อไหม ดีไหมครับ”

สหายไฟที่จากนี้จะเป็นคนนำทาง เพราะชำนาญเส้นทางหมู่บ้านคนเมืองเสนอ

“ไว้ตอนใกล้ๆนัดครั้งหน้าค่อยแวะไม่ดีกว่าเหรอครับ จะได้ไม่ต้องย้อนไปย้อนมา” สหายธงถาม

“ผมอยากรู้ความเคลื่อนไหวของศัตรูช่วงนี้ เปลี่ยนหัวหน้าใหม่มันอาจมีผลต่องานเชื่อมเขตของเรา” สหายไฟว่า

“จริงของสหายไฟนะ ฟังจากพ่อไหม ผู้พันคนใหม่ไม่ธรรมดา” มุ่งออกความเห็น ขณะสหายคนอื่นก็เห็นด้วย

“งั้นเย็นนี้ กินข้าวแล้วเราเดินทางต่อเลยนะครับ” มุ่งนัดหมาย

 

ชีวิตในเขตจรยุทธ์ ...

กลางวันคือเวลาหยุดพักสงบนิ่ง กลางคืนคือเวลาเคลื่อนไหวทำงาน

ยิ่งคราวนี้จะออกสำรวจเขตทำกินของชาวบ้านในหมู่บ้านพื้นราบ

กลางคืน คือช่วงเวลาที่ปลอดภัยที่สุด

 

กว่า ๒ ปีที่ผ่าน มุ่งคุ้นเคยกับชีวิตที่ต้องปรับไปตามสถานการณ์จริง ตรงหน้า

เหมือนเช่นวันนี้ ที่เขาและสหาย ...

ต้องอาศัยร่มไม้เตี้ยๆกลางดงหญ้าเสือหมอบในป่าเลา เป็นที่หลบรอ

รอตะวันตกดิน เพื่อจะได้ออกเดินทางต่ออีกครั้ง

กลางไอแดดระอุยามบ่าย ต่างทำได้เพียงนิ่ง อยู่กับตัวเอง

 

ถ้าเป็นก่อนนี้ มุ่งมักจะพักเอนหลังนอนคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ เรื่อยเปื่อย              

แต่ช่วงหลังๆ บ่อยครั้งภาพของไหมจะแว่บเข้ามาในห้วงคำนึง

มุ่งรู้ดี ถึงความรู้สึกแปลกใหม่ที่เกิดขึ้นในใจ

เขาพยายามหักห้าม หันเหความคิดไปหมกมุ่นกับงาน

แต่ ... ยามเผลอ ความรู้สึกเจ้ากรรมนี้จะคอยรบกวนใจอยู่เรื่อย

                                                                                      

เขานึกถึงวันที่ต้องกลับไปไร่ของไหมอีกครั้ง หลังการทำงานรอบนี้                              

ใจหนึ่งก็ ... ภาวนา ขออย่าให้ไหมอยู่ที่ไร่ในวันนั้นเลย

แต่อีกใจก็ ... ปั่นป่วนรวนเร

                                                                                                                        

แดดที่แผดร้อนเมื่อบ่าย คลายตัวพร้อมตะวันคล้อยต่ำลง

“สหาย ... กินข้าวเอาแรงกันเหอะ คืนนี้จะได้เดินชมจันทร์กันยาวๆ” เสียงสหายไฟบอกเบาๆ

 

ข้าวสวยในหม้อสนามที่ต่างคนต่างหุงของใครของมันเมื่อเช้านี้ ยังเหลือพอกินมื้อเย็นได้สบาย

กับข้าวพิเศษที่หน่วยสหายคำให้มาคือ หมูรวนเค็ม อัดเต็มกระบั้งไม้ไผ่

ยังทำให้ทุกคนเอร็ดอร่อย ถึงจะกินซ้ำ ๓ มื้อติดๆกัน

 

ใครไม่รู้กระซิบเรียกรอยยิ้มจากวงข้าว ว่า ...

“หมูเค็มจงเจริญ น้ำห้วยใส่พริกป่นผงชูรสจงพินาศ”            

                                                                                                    

                                                                                                               

 สนใจสมัครสมาชิกผู้มีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท.  โปรดคลิ๊ก  

 

User Rating:  / 0

 ทางแยก   -   ไหมลี   (๑๒) 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

เสียงเป่าใบไม้ ดังแว่วมาจากไร่ของเหล่าวือ

ถ้อยสำเนียงคร่ำครวญ เว้าวอน ที่พัดมาตามสายลม

บ่งบอกความหมองหม่นในใจคนเป่า

 

ไหมอดคิดไม่ได้ว่า เขาจงใจส่งเสียงตัดพ้อนี้ มาถึงเธอ

หลายครั้งที่มาดักคอย ยามเธอไปและกลับจากไร่

เหล่าวือพยายามชวนคุย พูดโน่นถามนี่ แต่ไหมมักนิ่งเฉย

ท่าทีหมางเมินเย็นชาของเธอ ดูจะไม่ทำให้เขาลดละเลิกรา

 

จนเมื่อเย็นย่ำวันก่อน                     

เขามายืนคอยไหมตรงทางแยกขึ้นไร่ของเขา เหมือนเคย

เย็นนั้นพ่อแม่และน้องๆเดินล่วงหน้าไปก่อนแล้ว

“กลับแล้วเหรอ ...” เหล่าวือทัก

“อ่อ ...” ไหมตอบ

 

เสียงย่ำเท้าตามมาห่างๆ เช่นทุกครั้งที่เธอกลับตามลำพัง

เขามักจะเดินตามมาส่งจนถึงบ้าน ก่อนแยกกลับไปเงียบๆ

แต่ค่ำนั้น ...

 

“ไหม ... ฉันรักเธอนะ”

จู่ๆเหล่าวือก็เอ่ยคำที่ไหมไม่อยากได้ยิน

“เธอจะว่ายังไง ถ้าฉันจะขอให้เธอรับรักฉัน”

ไหมหยุดกึก เธอตอบสั้นๆเหมือนคำตอบนั้นมีอยู่แล้วในใจ

“ฉันยังไม่อยากมีคู่รัก”

พูดจบ ไหมรีบสาวเท้าก้าวเร็วๆ ทิ้งเหล่าวือให้ยืนนิ่งงันกับคำตอบไร้เยื่อใย

 

จากวันนั้น แม้ไม่ถึงกับหายหน้า

แต่เช้าเย็นที่เคยยืนดักทักทาย ก็ค่อยๆห่างหาย

บางเช้า ผ่านทางแยกขึ้นไร่ ... เธอเห็นเขากำลังเดินขึ้นไปตามทาง

บางเช้า เขายังยืนดักเหมือนเดิม แต่ไหมรู้ลึกๆว่า ... ไม่เหมือนเดิม               

รอยยิ้มที่เคยแช่มชื่น กลายเป็นยิ้มเจื่อนๆหมองๆ

ไม่มีเดินตามถามไถ่ชวนพูดจาใดๆ ทักแล้วก็แยกขึ้นไร่ไป

ตกเย็นไม่มีมารอทักทาย มีแต่เสียงเป่าใบไม้เศร้าๆลอยตามลม มาทักแทน

 

ในความเหินห่างนี้ แรกๆไหมรู้สึก ... โล่งใจ

ไม่ต้องฝืนเจอหน้าทุกวี่ทุกวัน                                                                              

ไม่ต้องเบื่อหน่ายกับการถามตอบ ซ้ำซาก

ไม่ต้องทนรำคาญกับการเดินตามต้อยๆคอยไปส่งเธอถึงบ้าน

แต่นานเข้า ไหมก็อดระแวงไม่ได้ว่า

เหล่าวืออาจกำลังซุ่มวางแผนฉุดเธอ

เหมือนพวกผู้ชายที่แอบรักสาวแต่สาวไม่รักตอบ ชอบทำกัน ... ก็เป็นได้

 

ไหมเริ่มกังวลและระวังตัว ...

เธอไม่ไปไหนคนเดียว แม้แต่ไปไร่

คิดจะหนีไปนอนที่ไร่เหมือนช่วงก่อน แต่พ่อที่ไม่รู้ถึงปัญหาของไหม ไม่เอาด้วย

พ่อว่าไม่จำเป็นต้องนอนไร่ งานไม่ได้เยอะอย่างก่อนหน้านี้

ไหมไม่กล้าขะยั้นขะยอกลัวพ่อสงสัย เพราะลึกๆในใจ ... นอกจากหนีเหล่าวือแล้ว

เธอแอบหวังว่า ... อาจได้พบคนที่เฝ้ารอ

 

“ไหม ... ก้อรู้มั้ย เดี๋ยวนี้วือเอาแต่ทำงานๆๆ ไม่ค่อยไปเจอเพื่อนฝูงเหมือนก่อน”

ฉางที่เลิกยุยงให้เธอรักกับเหล่าวือพักใหญ่แล้ว เล่าถึงเขาให้เธอฟัง

“รู้หรือเปล่าว่าทำไมถึงเป็นอย่างงั้น” ฉางว่าต่อหลังเห็นไหมทำเฉยๆ

“ทำไม ...” ไหมถาม

ฉางป้องปากพูดเบาๆ

“เน้งบอกฉันว่า วือกำลังเสียใจ วืออกหัก”

“เน้ง ... แฟนเธอน่ะเหรอ เขารู้ได้ไง วือเล่าให้ฟังเหรอ” ไหมแกล้งถามเฉไฉ

“อ้าว เขาเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก มีอะไรเขาก็ต้องบอกกันซิ” ฉางว่าแล้วเล่าต่อ

“ตอนเพื่อนๆเขารู้ว่าผู้หญิงไม่รับรัก พวกเขาพากันยุให้วือฉุด”

ไหมหันขวับจ้องฉางเป๋ง ฉางทำหน้ารู้ทันก่อนบอก

“วือเขาไม่เอาด้วย ... เขาว่าไม่อยากเป็นแบบเหล่ายิ้ง”

 

ฉางว่าพร้อมหัวเราะ ไหมนึกถึงเรื่องของเหล่ายิ้งแล้วอดขำตามไม่ได้

เหล่ายิ้งหนุ่มหล่อประจำหมู่บ้าน พาพรรคพวกไปฉุดสาวต่างบ้านที่หมายตา จนสำเร็จ

แต่สาวเจ้าไม่ปลงใจให้ เธอดื้อแพ่งไม่กินไม่นอน

เอาแต่ร้องไห้จะกลับบ้านท่าเดียว สุดท้ายเหล่ายิ้งจำใจต้องส่งกลับ

วีรกรรมฉุดสาวครั้งนั้น ทำเอาเหล่ายิ้งหลบลี้หนีหน้าชาวบ้าน อยู่นาน

 

“แต่ที่วือพูดกับเน้งส่วนตัวน่ะ ... ฉันคิดว่าเธอต้องรู้นะ จะได้เข้าใจวือดีขึ้น” ฉางพูดจริงจัง

“วือพูดอะไร ...”

“เขาว่า ความรักเป็นเรื่องใจที่ผูกพันตรงกันของคนสองคน เขาจะไม่บังคับใครให้มารัก”

“ถึงผิดหวัง เขาก็จะรักษาแผลใจของเขาเอง”

 

“เธอรับจ้างวือมาบอกฉันเหรอ ...” ไหมถามรวนๆ ทั้งที่ใจนั้นอ่อนยวบ

“เปล่า ฉันเพียงแต่จะบอกความจริงในใจของวือเผื่อเธอจะเข้าใจเขามากขึ้น เท่านั้นแหละ”

 

ฉางกลับไปนานแล้ว

แต่คำพูดหลายคำของเพื่อน ย้ำเตือนให้ไหมรู้สึกผิดต่อเหล่าวือ

ผิดที่ประเมินจิตใจของเขา ... ต่ำค่าเกิน

 

   

 สนใจสมัครสมาชิกผู้มีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท.  โปรดคลิ๊ก  

 

User Rating:  / 0

 ทางแยก   -   ไหมลี   (๑๑) 

 

วันที่ผู้ใหญ่เรียกประชุมชาวบ้าน ไหมกับแม่ไม่ได้ไป

แต่ไหมสังเกตว่า พักนี้พวกทหารเข้ามาในหมู่บ้านบ่อยขึ้น

 

“ผู้พันคนใหม่ชอบแวะเยี่ยมทักทายชาวบ้าน” พ่อบอกสั้นๆ

ทั้งไหมและแม่ ได้แต่อือออรับรู้ ไม่ได้นึกอยากซักถามอะไรต่อ

 

หลังๆนี้ สิ่งที่ไหมอยากรู้กลับเป็นข่าวคราวของพวกสหาย โดยเฉพาะสหายที่ชื่อมุ่ง

เธอคิดถึงเขาบ่อยๆและเฝ้ารอคอยว่า เมื่อไหร่เขาจะแวะมาที่ไร่อีก

 

ทุกช่วงเวลาที่จดจ่อรอคอยใครคนหนึ่งนั้น กลับมีอีกคน ...

ที่เธอไม่เคยคิดจะนึกถึง ไม่เคยอยากพบหน้าหรือพูดจาด้วย

คอยแวะเวียนเข้ามาให้ได้พบได้เจอบ่อยๆ

“ไหม ... ก้อยอมูเต๊อ๊อ” เสียงเหล่าวือเอ่ยทัก

(ไหม ... เธอจะไปไร่แล้วเหรอ)

ไหมไม่ยอมหันไปมองชายหนุ่มที่ยืนดักรออยู่ตรงทางแยกขึ้นไร่ของเขา เธอตอบสั้นๆ   

“ยอ ...”

(ใช่ ...)

“เย็นนี้กลับค่ำหรือเปล่า” เหล่าวือถามพลางเดินตามช้าๆ

ไหมเงียบไม่ยอมตอบ ชายหนุ่มไม่ลดละ เขาบอกความในใจชัดแจ้ง                                    

“ฉันคิดถึงเธอนะ ค่ำนี้ฉันไปหาเธอได้ไหม”

ไหมยังคงนิ่งเงียบ เหล่าวือถอนใจก่อนหันหลังเดินย้อนกลับไปไร่ของเขา

 

ไหมนึกถึงวันน่อเป๊โจ่วที่ผ่านมา แล้วอดเคืองฉางเพื่อนรักไม่ได้

เป็นเพราะฉางคะยั้นคะยอให้เธอออกไปป๋อค้อนั้ง (โยนลูกช่วง) เป็นเพื่อน

เหล่าวือที่รอจังหวะอยู่แล้ว ก็เลยขอเธอเป็นคู่โยน

วันนั้นไหมแสดงออกชัดว่า เธอไม่ได้สนใจจะสานไมตรีกับเขาแม้แต่น้อย

“ฉันเมื่อยละ พอก่อนนะ”

เป็นข้ออ้างของไหมหลังโยนลูกช่วงไปได้ไม่กี่รอบ

เธอยังจำสีหน้าผิดหวังของเหล่าวือได้ และเมื่อเขาเพียรมาขอเป็นคู่โยนกับเธออีก

“ฉันจะกลับบ้านละ จะไปช่วยแม่ทำงาน”

ไหมอ้างข้างๆคูๆแล้วรีบเดินออกมาจากลาน

ไม่ได้บอกฉางที่กำลังโยนลูกช่วงอย่างเพลิดเพลินกับหนุ่ม ที่หมายตา

ไม่สนใจเสียงเหล่าวือที่ถามตามหลัง

“ให้ฉันไปส่งมั้ย ...”

 

หลังปีใหม่จนย่างเข้าสู่ช่วงฤดูกาลแห่งการทำงานหนัก ในอีกรอบปี

เหมือนท่าทีที่ไหมแสดงออก ไม่ได้มีผลให้เหล่าวือลดละความพยายาม

ทุกครั้งที่มีโอกาสพบเจอกันแม้เพียงเดินผ่าน เช่นครั้งนี้

ชายหนุ่มจะแสดงออกชัดเจนถึงความรู้สึกของเขาที่มีต่อเธอ

 

“ก้อไม่ชอบวือเหรอ ... เขาเป็นคนดีนา ขยันด้วย”

ฉางเคยถามตรงๆ ไหมส่ายหน้าอ้างเหตุผลเท่าที่นึกได้

“ไม่อยากไปเป็นลูกสะใภ้คนรวย เราคนจนอยู่แบบนี้ดีกว่า”

“ทำไม ... กลัวเขารังเกียจรังแกเหรอ ฉันว่าไม่นะ”

 

แล้วฉางก็ร่ายยาวถึงพี่สะใภ้คนโตของเหล่าวือ

ที่คนในหมู่บ้านต่างก็รู้ว่ามาจากครอบครัวยากจน

“ฉันเห็นพี่เขามีความสุขดีออก พ่อแม่พี่น้องวือรักเอ็นดู ไม่เห็นมีใครพูดจาว่าร้ายหรือทำไม่ดีกับพี่เขาเลย”

“หรือเธอมีคนที่แอบชอบแล้ว เลยไม่สนใจวือ ... ” ฉางถามกึ่งเล่นกึ่งจริง

“ไม่มี จะบ้าเหรอวันๆฉันอยู่แต่ไร่ ไม่ได้เจอใครนอกจากพ่อแม่กับน้องๆ” ไหมรีบตอบปัด

 

ฉางเอื้อมมือมาจี้เอวไหม ปากก็ร้องแหย่ ...

“ไม่เชื่อ บอกมาๆๆๆ ใคร ๆ ๆ ๆ”

“ไม่มีจริงๆ”

ไหมตอบแล้วจี้เอวฉางกลับบ้าง สองสาวพากันหัวเราะคิกคัก

 

ไหมไม่รู้จะบอกความในใจกับฉางยังไงว่า ที่จริงแล้ว

เธอมีคนคนหนึ่ง ที่เฝ้าคิดถึงและรอคอย

เขาคนนั้น ถ้าฉางรู้  ... คงตกใจไม่น้อย

และหากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปให้คนอื่นๆรู้ ... นอกจากทุกคนจะตกใจแล้ว

สิ่งที่จะตามมาคือ ทั้งตัวเธอและครอบครัวคงได้เจอกับความเดือดร้อนสาหัส แน่นอน

  

                                                     

 สนใจสมัครสมาชิกผู้มีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท.  โปรดคลิ๊ก  

 

User Rating:  / 0

 ทางแยก   -   ไหมลี   (๑๓) 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 ความไม่คุ้นกับทั้งเส้นทางและสภาพหมู่บ้านแต่ละที่ ทำให้เวลาที่ตั้งเป้าไว้ ยืดออกไป            

แผนกลับมาไร่ไหมเพื่อฟังข่าวศัตรู ก็ยืดตาม

กว่าภารกิจช่วงแรกจะเสร็จ ก็เกินเวลาที่วางไว้ไปค่อนเดือน

วันนี้ทั้งหน่วยตกลงกันว่า ได้เวลาแวะไปไร่ของไหมกันแล้ว

 

ฟ้าโปร่งโล่งไร้เมฆฝน...

ข้าวในไร่เริ่มตั้งท้อง รวงข้าวเขียวอ่อนโยกไหวยามต้องลม 

มุ่งค่อยๆลัดเลาะตามทางขึ้นไป ใจที่เต้นแรงจากการเดิน

เต้นแรงขึ้น ... จากความรู้สึกภายใน  

ตุ๊บไร่เงียบเชียบ ไม่มีวี่แววผู้คน

มุ่งถอนใจคล้ายโล่งอก ...

 

“ไม่มีใครอยู่เลย ผมว่าช่วงนี้ข้าวโตพอเว้นระยะเสียหญ้า พวกเขาคงไม่ขึ้นมาทุกวัน”

มุ่งบอกสหายในหน่วย หลังกลับจากสืบสภาพบนไร่                              

“รอดูอีกวันสองวัน ดีมั้ย” สหายไฟถาม

“ดีครับ จะได้พักสักหน่อย ตกระกำลำบากมามากละ” สหายดงแซงพูด

ก่อนหันไปพยักเพยิดขอความเห็นคนอื่น ซึ่งไม่มีใครคัดค้านใดๆ

“งั้นเราข้ามไปนอนที่สันภูฟากโน้นละกัน เออ ..สหายดง แผลที่คอดีขึ้นละยัง” สหายไฟถามยิ้มๆ

“ยังชั่วละ ว่าแต่ไม่รู้ใครนำทาง พาหลงซะ .... “ สหายดงตอบพร้อมยิ้มกวน

 

ความทุลักทุเลในคืนเดือนมืด ที่สหายไฟพาทั้งหน่วยหลงทาง

จากเดิมตั้งใจเลาะเลียบท้ายหมู่บ้าน กลายมาเป็นแทบจะผ่ากลางหมู่บ้านเลยทีเดียว

ดีที่สหายดงเดินไปชนราวตากผ้า ล้มหงายหลัง

จึงได้เห็นบ้านคนตะคุ่มๆอยู่ตรงหน้า 

รุ่งขึ้น รอยถลอกที่คอเพราะถูกลวดราวตากผ้าบาดของสหายดง กลายเป็นเรื่องสนุกของทุกคน

 

หลังได้พักเต็มที่ สองวันถัดมาทั้งหมดก็แวะมาคุยกับพ่อไหม 

“ผู้พันมาพูดอบรมชาวบ้านเรื่องคอมมิวนิสต์ เขาถามอยู่ว่าใครทำไร่ลึกขึ้นไปบนภูบ้าง”

พ่อไหมเล่าถึงวันประชุมชาวบ้าน และบอกว่าผู้พันเคยแวะมานั่งคุยด้วยครั้งหนึ่ง

“เขาถามฉันว่าทำไร่ไกลๆได้เจอพวกคอมมิวนิสต์บ้างไหม ฉันก็บอกไปว่าไม่เคยเจอ”

“เขาคงเชื่อแหละ ยังสั่งว่าถ้าเจอพวกสหายให้รีบบอกนะ” พ่อไหมเล่าซื่อๆ

มุ่งสบตาสหายไฟขณะพ่อไหมเล่าต่อว่า ตอนนี้พวกทหารไม่ค่อยเกเรกับชาวบ้านเหมือนแต่ก่อน

“ฉันว่า คงกลัวผู้พันแหละ ...”

“ดีแล้ว เจอกันคราวหน้ามีอะไรก็ช่วยมาเล่าให้เราฟังด้วยนะครับ” สหายไฟบอก

 

“พวกทหารอาจระแคระคายการเคลื่อนไหวของเรา ช่วงนี้ต้องระวังให้มากหน่อย”

สหายไฟเปิดประเด็น หลังกลับจากไร่พ่อไหม

“ผมค่อนข้างมั่นใจว่าหน่วยเราไม่ได้ติดต่อคนเยอะ ไม่น่าจะเสียลับ” มุ่งว่า

“ก็ไม่แน่นา ... ดีไม่ดีข่าวอาจรั่วจากหน่วยพี่น้องเราก็เป็นได้” สหายธงตั้งข้อสังเกต

“อืมมม เอางี้ ผมว่าเดือนหน้าช่วงที่นัดกับสหายคำ เราแวะไร่พ่อไหมก่อนดีกว่าเผื่อได้ข่าวเพิ่ม” สหายดงเสนอ

“ดี งั้นเอาตามนี้นะสหาย ...”

ไม่มีใครโต้แย้งข้อสรุปของสหายไฟ เพราะรู้กันว่าเมื่อใดที่คนของศัตรูเริ่มวนเวียนกับมวลชน

นั่นคือ ... สัญญานอันตราย

 

แดดลับเหลี่ยมภูแล้ว ...

ความมืดค่อยๆคืบคลาน ป่าทั้งป่าสงบเงียบ

มุ่งทบทวนไล่เรียงเรื่องราวที่รับรู้ในวันนี้

 

แม้จะยังไม่มีเหตุให้ถึงกับตึงเครียด แต่ประสบการณ์เตือนให้รู้ว่า ...

จากนี้ความระแวดระวังต้องเพิ่มขึ้น

โดยเฉพาะการไปไร่พ่อไหม ...

ที่เคยนึกจะแวะก็แค่ส่งคนมาสังเกตการณ์สักพักก็ขึ้นไป คงไม่ได้แล้ว

การสืบสภาพต้องทำล่วงหน้าอย่างน้อย ๑ วัน

และต้องละเอียดรอบคอบกว่าเดิมให้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้

 

ความปลอดภัยของมวลชน ความปลอดภัยของสหาย โดยเฉพาะ ...

 

การบรรลุเป้าหมายในภารกิจสำคัญคือ การเชื่อมเขต

เป็นสิ่งที่มุ่งย้ำเตือนตัวเองอย่างหนักแน่นว่า ...

เขาจะประมาทละเลยจนเกิดความผิดพลาดไม่ได้ ... เด็ดขาด

 

ดึกแล้ว กลางหมู่ดาวพราวพร่างในคืนแรม

“ดาวสายเดือน” โผล่พ้นขอบฟ้า ส่องประกายวิบวับไกลๆ

อีกไม่กี่อึดใจ เดือนก็จะเคลื่อนตามขึ้นมาประดับฟ้า

เป็นคู่เคียงเช่นนี้มา ... ชั่วนาตาปี 

แสงดาว สายลม ช่วยหอบความหมกมุ่นครุ่นคิดให้คลายลง

 

ใจหวนนึกถึงเจ้าของสายตาที่แอบมองเขาเป็นพักๆ เมื่อบ่ายนี้

แก้มสาวที่แดงซ่านด้วยความเขินอายยามสบตากัน 

ทว่า ... ความรู้สึกของมุ่งกลับผิดแปลก

ความเอิบอิ่มแช่มชื่นที่เคยท่วมท้น กลับคล้ายมีเงาหม่นมัวทาบทับ

ความรู้สึกอึดอัดขัดแย้งที่ไม่รู้ก่อตัวขึ้นแต่ครั้งไหน เมื่อใด

เข้าครอบคลุม ... เบื้องลึกในใจ

เกิดอะไรขึ้นกับเขา กันนี่

 

 

 สนใจสมัครสมาชิกผู้มีส่วนร่วมกับสถานีข่าว สปท.  โปรดคลิ๊ก  

 

whitebanner